นอกจากการมีรายจ่ายมากกว่ารายรับจะเป็นพฤติกรรมทางการเงินแย่ๆ ที่ควรห่างไกลแล้ว ยังมีมีพฤติกรรมอื่นๆ ที่ค่อยๆ กัดกินเงินออมของคุณโดยไม่รู้ตัว ลองมาสำรวจดูกันว่า คุณมี 1 ใน 7 พฤติกรรมน่าสะพรึงเหล่านี้อยู่บ้างหรือเปล่า
Cary Carbonaro นักวางแผนทางการเงินจาก United Capital แนะนำว่า “นอกจากจะต้องมีระเบียบวินัยในการออมแล้วคุณยังต้องมีการตั้งตัดจำนวนเงินเข้า (ตัวอย่างเช่นบัญชีเงินเดือน) เพื่อเข้าบัญชีออมโดยอัติโนมัติ, การเรียงลำดับความสำคัญในการใช้จ่าย และการมีเป้าหมาย”
สำหรับพฤติกรรมที่กำลังค่อยๆ ทำร้ายเงินออมของคุณ ได้แก่:
- ใช้ก่อนค่อยเก็บ
หากคุณกำลังมีพฤติกรรมใช้ก่อนแล้วค่อยออม เลิกซะแล้วรู้จักเรียงลำดับความสำคัญเสียใหม่
“เงินเดือนเข้าเมื่อไร ให้นำไปออมทันที 7-10% ส่วนที่เหลือ ให้ตั้งเป้าไว้เช่นกันว่าจะใช้ทำอะไรโดยจัดลำดับความสำคัญให้ดี” Ted Peters ซีอีโอของ Bluestone Financial Institutions Fund แนะนำ
- ดีแต่ตั้งเป้าแต่ไม่ยอมปฏิบัติ
“เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นนั้นหมายถึงสัดส่วนสู่การออมที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน” แนะนำโดย Neil Krishnaswamy นักวางแผนทางการเงินจาก Exential Wealth Advisors เท็กซัส
คิดคำนวณถึงจำนวนเงินที่ต้องมีในช่วงเกษียณให้ดี เพราะหากไม่มีการเตรียมตัวที่ดีคุณอาจจะเจ็บได้ คาร์โบนาโรแนะนำต่ออีกว่าควรจะทบทวนแผนการออมของตนอย่างน้อยปีละครั้งว่ายังอยู่บนเป้าที่ตั้งไว้หรือไม่ ความทะเยอทะยานในการออมและพฤติกรรมการออมควรจะควบคู่ไปด้วยกัน
- หมดเงินไปกับเรื่องบ้าน
ใครทุกคนก็อยากเป็นเจ้าของบ้านสักหลัง แต่จะดีกว่าไหมถ้าภาระการผ่อนไม่ใหญ่เกินตัว รายได้ต่อเดือนไม่ควรจะหมดไปกับเรื่องผ่อนบ้านเกิน 28% (รวมเงินต้น, ดอกเบี้ย, ภาษีและประกัน)
- ไม่ยอมศึกษาเรื่องภาษีขององค์กรที่ทำงานให้ดี
บางองค์กรมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุน (ขึ้นอยู่กับองค์กรว่าจะนำกองทุนชนิดไหนเข้ามา) ที่สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีรายได้ ซึ่งเงินที่ถูกหักไปสามารถเติบโตในอนาคต (ศึกษาความเสี่ยงด้วยในการลงทุน) จะดีกว่าไหมถ้าเปลี่ยนเงินจากภาษีส่วนหนึ่งให้กลายเป็นรายได้
- กลัวเรื่องการลงทุนใน “หุ้น”
ตลาดหุ้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แบ่งสัดส่วนเงินออมให้กับเรื่องนี้พร้อมศึกษาข้อมูลหลักทรัพย์ที่เลือกให้รอบคอบดีกว่าทิ้งเงินให้นิ่งรอดอกเบี้ยน้อยนิดจากสถาบันการเงิน (ควรปรับเลือกความเสี่ยงให้เหมาะในระดับที่ตนรับได้)
- ไม่สนใจค่าธรรมเนียม
ค่าธรรมเนียมไม่เคยฆ่าใคร แต่ถ้าบ่อยครั้งอาจจะเจ็บตัวได้เช่นกัน ศึกษาเงื่อนไขการทำธุรกรรมประเภทต่างๆ ให้ดีว่าค่าธรรมเนียมที่ต้องเสียนั้นมีจำนวนเท่าไร ถ้ามีพฤติกรรมไม่สนใจเรื่องค่าธรรมเนียมต่างๆ ควรเลิกซะ ยิ่งกรณีเบิกเกินบัญชี (overdraft) ให้พยายามเลี่ยงเพราะค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง (คุณสามารถเลี่ยงได้โดยการมีบัญชีคู่ในธนาคารเดียวกันไว้อีกทั้งคุณยังสามารถตั้งค่าให้บัญชีที่มีจำนวนเงินคงเหลือมากกว่าโอนเข้าอัติโนมัติในบัญชีที่โอเวอร์ดราฟท์ได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม)
*ในกรณีที่คุณเป็นนิติบุคคลที่ต้องมีบัญชีเพื่อรองรับไว้สำหรับการขึ้นเช็คในธุรกรรมต่างๆ คุณต้องคอยหมั่นเช็คอยู่เสมอว่าบัลลานซ์คุณมีสภาพคล่องที่สามารถรองรับการทำธุรกรรมต่างๆได้เพื่อไม่ให้เสียค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็น
- กู้มาก่อนค่อยวางแผนการลงทุน
ระวังไว้เพราะการกู้ยืมกำลังบอกเป็นนัยว่าคุณต้องมาพร้อมกับการคาดคะเนว่าจำนวนเงินที่กู้มานั้นสามารถสร้างโมเดลการเติบโตได้จริงๆ สมมติคุณกู้มา 1 แสนบาทแล้วปรากฏว่าโปรเจคคุณไปไม่รอด แต่คุณยังคงต้องผ่อนชำระพร้อมดอกเบี้ยสำหรับเงินก้อนที่กู้มาอยู่ดี ความมั่นใจว่าจะสามารถชำระหนี้ที่กู้มาได้และความรอบคอบในการใช้เงินในจำนวนที่กู้มาเป็นสิ่งที่ต้องพึงมี ดังนั้นหากไม่มั่นใจ “อย่ากู้”
หากคุณสามารถเลิกพฤติกรรมทางการเงินแย่ๆเหล่านี้ไปได้ มีแนวโน้มว่าคุณอาจจะได้เห็นสมุดบัญชีพร้อมกับจำนวนเงินออมที่มากขึ้น
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย ชัยสิทธิ์ บุนนาค Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ chaiyasit@ddproperty.com