การควบรวมธุรกิจระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่ด้านการคมนาคมของเมืองไทย ทางด่วนกรุงเทพและรถไฟฟ้ากรุงเทพฯ ผ่านการเห็นชอบของ ครม. แล้ว พร้อมชื่อบริษัทใหม่ “ทางด่วนและรถไฟฟ้า”
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ (ภาพ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบการควบรวมและโอนสัญญาสัมปทานระหว่างบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL และ บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และการควบรวมครั้งนี้จะดำเนินการภายใต้ชื่อบริษัทใหม่ ได้แก่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ BEM
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบในข้อกฎหมายและผลกระทบในการควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัทโดยคณะกรรมการกำกับกิจการร่วมลงทุนพบว่าการควบรวมในครั้งนี้ไม่มีผลกระทบในความเสียหายต่อรัฐและต่อผลประโยชน์ของชาติแต่อย่างใด ในขณะที่ในทางเศรษฐกิจพบว่าการควบรวมในครั้งนี้ทำให้บริษัทมีความเข้มแข็งทางธุรกิจ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทเอกชนในการเข้าร่วมเมกะโปรเจคต่างๆ มากยิ่งขึ้น
ภายหลังการควบบริษัท บริษัทใหม่จะประกอบธุรกิจการให้บริการทางพิเศษและระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้า รวมถึงการพัฒนาเชิงพาณิชย์ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบรถไฟฟ้าและทางพิเศษ นอกจากนั้นยังมีแผนที่จะต่อยอดธุรกิจเพิ่มเติมไปยังธุรกิจอื่นที่มีอัตราการเติบโตและอัตราผลตอบแทนสูงได้ เช่น โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ การพัฒนาเชิงพาณิชย์ หรือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น
สำหรับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL เป็นผู้บริหารจัดการโครงการระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้า โดยบริษัทได้เข้าทำสัญญาโครงการระบบรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (หัวลำโพง-บางซื่อ) หรือโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (“รฟม.”) ในรูปแบบ PPP Net Cost (AOT) โดย บริษัทมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการจัดเก็บรายได้ค่าโดยสาร รวมทั้งการดำเนินกิจกรรม และการพัฒนาเชิงพาณิชย์ ซึ่งรวมถึงการโฆษณา การให้เช่าพื้นที่ในโครงการ และธุรกิจให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมภายในสถานีและภายในขบวนรถไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 25 ปี ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2547 จนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2572 ปัจจุบันมีบริษัทย่อย 1 บริษัท คือ บริษัท แบงคอก เมโทร เน็ตเวิร์คส์ (“BMN”) ประกอบธุรกิจจัดหาและจัดทำป้ายสื่อโฆษณาในรูปแบบต่างๆ บริเวณสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ให้เช่าพื้นที่ร้านค้าในสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและพื้นที่ชั้นใต้ดินของอาคารจอดแล้วจรที่สถานีลาดพร้าว โดยบริษัทถือหุ้นเป็นสัดส่วนร้อยละ 65.19
ในขณะที่บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL เป็นผู้ให้บริการทางพิเศษคือทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) และส่วนต่อขยายรวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องภายใต้สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (“กทพ.”) โดยมีระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2533 และสัญญาเพื่อการต่อขยายโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วนดีระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2540 รวมไปถึงสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้างบริหารจัดการ ให้บริการ และบำรุงรักษาโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครกับกทพ. โดยมีระยะเวลาสัมปทาน 30 ปีนับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2555 ปัจจุบัน BECL มีการลงทุนในบริษัทย่อยจำนวน 1 บริษัท ได้แก่ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (“NECL”) ประกอบธุรกิจก่อสร้างและบริหารทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด) ภายใต้สัญญาสัมปทานกับ กทพ. ระยะเวลา 30 ปี นับตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2539 โดย BECL มีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 53.33 และมีเงินลงทุนระยะยาวในบริษัทอื่นทั้งหมดจำนวน 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท ทีทีดับบลิวจำกัด (มหาชน) (สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 19.66) บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ19.40) บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 10.00) และบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 7.50)
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่