1 มกราคม 2559 ที่ผ่านมาประเทศไทยได้เข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economics Community: AEC) อย่างแท้จริง พร้อมกับประเทศสมาชิกอาเซียนรวมทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ มาเลียเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และไทย ตามกำหนดเวลาจัดตั้งประชาคมอาเซียนหรือ AEC Blueprint ซึ่งการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนนี้มีปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยในหลายๆ ด้าน ดังนี้
เป้าหมายหลักของการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนก็คือการเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งภูมิภาคมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นอย่างมากในฐานะผู้ซื้อและผู้ขาย แต่การจะเป็นตลาดและฐานผลิตร่วมกันได้นั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ได้แก่ การเคลื่อนย้ายสินค้าเสรี การเคลื่อนย้ายบริการเสรี การเคลื่อนย้ายการลงทุนเสรี การเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรี และการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรี ซึ่งทั้ง 5 องค์ประกอบนี้เองที่จะเป็นปัจจัยบวกแก่ภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทย ดังนี้
การเคลื่อนย้ายสินค้าเสรี
จากมาตรการยกเลิกมาตรการที่กีดกันการค้าระหว่างกัน และการลดภาษีจากการนำเข้าสินค้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนนี้เองที่ทำให้ การนำเข้าและส่งออกสินค้านั้นจะมีปริมาณที่เพิ่มขึ้น และจะเป็นตัวเร่งการเจริญเติบโตของธุรกิจค้าปลีกต่างๆ เพื่อส่งต่อสินค้าไปสู่ผู้บริโภคลำดับสุดท้าย (End User) ทำให้เกิดความต้องการด้านพื้นที่เพื่อทำการค้าต่างๆ ขึ้น และนำไปสู่การขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะเชิงพาณิชย์ในที่สุด ไม่รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปาทาน (Supply Chain) เช่น คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงาน เป็นต้น
การเคลื่อนย้ายบริการเสรี
ในลักษณะเดียวกันกับการเคลื่อนย้ายสินค้าเสรี การเคลื่อนย้ายบริการเสรีนั้นจะทำให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจบริการของไทยไปสู่ประเทศอื่นๆ และการขยายตัวของธุรกิจบริการจากประเทศอื่นๆ เข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทย สำหรับประเทศไทยนั้นจะมีตัวเร่งจากความเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้มีความต้องการในธุรกิจบริการที่ค่อนข้างมากอยู่แล้ว ไม่รวมไปถึงการที่ประเทศไทยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำในด้านการท่องเที่ยวและการบินอยู่แล้ว ทำให้โดยรวมแล้วจะเป็นการผลักดันความต้องการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์เพิ่มมากยิ่งขึ้น
การเคลื่อนย้ายการลงทุนและเงินทุนเสรี
เป็นปัจจัยบวกอีกประการหนึ่งที่มีผลต่อการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย จากการเปิดโอกาสให้เกิดการร่วมทุนกับต่างประเทศ หรือการเข้ามาลงทุนจากบริษัทข้ามชาติ ทำให้การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ นั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าเดิมจากข้อจำกัดด้านการเงินที่ลดลง การมีผู้เล่นในตลาดเพิ่มขึ้นทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เกิดการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ผู้ประกอบการไทยต้องมีการปรับตัวทั้งคุณภาพสินค้า บริการและราคาเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันให้คงอยู่
การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรี
ในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนนั้นได้มีการจัดทำข้อตกลงร่วมกันเพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือ (MRA) ใน 7 สาขาวิชาชีพ ได้แก่ วิศวกร สถาปนิก แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล นักบัญชี และนักสำรวจ ซึ่งแรงงานมีฝีมือกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เมื่อย้ายเข้ามาทำงานในประเทศไทยแล้วจะทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ทั้งการซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดและการเช่าที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านเช่า และรวมข้อมูลคอนโดให้เช่า ทำให้เกิดการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ตามทำเลต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการทั้งในย่านใจกลางเมือง และในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมหนาแน่น เช่น จังหวัดชลบุรี เป็นต้น
ในขณะที่ปัจจัยอื่นๆ ที่จะมีผลต่อมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ การร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทำให้เกิดทางหลวงอาเซียนที่เชื่อมโยงทุกประเทศในภูมิภาคเข้าด้วยกันทำให้อสังหาริมทรัพย์ในแนวเส้นทางเหล่านี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ไม่รวมไปถึงถนนรองที่จะเกิดขึ้นอีกจำนวนมากเพื่อเชื่อมต่อทางหลวงเข้ากับถนนอื่นๆ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก ทำให้มูลค่าการซื้อขายในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้น ย้อนกลับไปสู่กำลังซื้อของประชากรที่มากขึ้นตามไปด้วย
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย เชษฐพล มานิตย์ Online Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ chetapol@ddproperty.com