ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอันช็อคโลกที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 นำไปสู่การได้ผู้นำคนที่ 45 ของสหรัฐนั่นคือ โดนัลด์ ทรัมป์ หากใครที่ติดตามสถานการณ์การเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด ในช่วงที่ผลคะแนนทางฝั่งทรัมป์กำลังขึ้นนำคู่แข่งคนสำคัญอย่างนางฮิลลารี คลินตัน ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงินและตลาดหุ้นไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะเกิดการเทขายและเข้าซื้อสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, หน่วยเงิน, พันธบัตรรัฐบาล และทองคำ
แต่เมื่อผ่านมาหนึ่งคืน ตลาดทุนโลกก็เริ่มกลับสู่ภาวะปกติและอยู่ในกรอบราคาก่อนช่วงวันเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามยังมีผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและต้องคอยติดตามต่อไป ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนหรือมนุษย์เงินเดือน บทความนี้จะขอหยิบนำเรื่องที่อาจส่งผลกระทบมายังทวีปเอเชียและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Markets) ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการค้า ค่าเงิน ซึ่งผลกระทบที่ว่าอาจมาถึงบ้านเราได้เช่นกัน
การทำการค้าแบบ “อเมริกาต้องมาก่อน”
การทำการค้าแบบสุดโต่งที่ทรัมป์เคยพูดไว้ในช่วงการหาเสียง ที่เน้นย้ำว่าผลประโยชน์ของประชาชนสหรัฐต้องมาก่อน (Protectionism) คือการที่รัฐบาลต้องการลดการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ ลงและลดภาวะขาดดุลทางการค้าของประเทศ (Deficit Account) หรือการที่ตัวเลขการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นมากกว่าการส่งออกที่เกิดจากการผลิตสินค้าในประเทศเพื่อไปขายประเทศอื่นนั่นเอง ซึ่งสวนทางกับประเทศไทยที่มีตัวเลขดุลการค้าบวกหรือการที่บ้านเราส่งออกมากกว่านำเข้า (Surplus Account)
หนึ่งในนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการค้าคือการเพิ่มภาษีนำเข้า (Tariff) นั่นหมายความว่าหากเราต้องการนำสินค้าเข้าไปขายในสหรัฐเราจะโดนเก็บภาษีมากขึ้น เมื่อโดนเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นรายได้จากการขายสินค้านั้นจึงลดลง ประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ (หากบังคับใช้จริง) คือ ประเทศจีน ที่มีตัวเลขการส่งออกไปยังสหรัฐมากที่สุดจากตัวเลขการส่งออกทั้งหมด (ประมาณ 450,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2558) โดยสินค้าที่ส่งไปยังสหรัฐมากที่สุดคืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า สำหรับอัตราภาษีนำเข้าปัจจุบันของสหรัฐนั้นอยู่ที่ประมาณ 4.2%

ตัวเลขที่อยู่ในวงเล็บคือตัวเลขที่ติดลบที่เกิดจากการขาดดุลทางการค้า (ตัวเลขนำเข้ามากกว่าตัวเลขส่งออก) ดังนั้นจากแท่นชาร์ตที่เห็น ตัวเลขติดลบของสหรัฐที่เกิดจากการค้ากับจีนสูงถึงเกือบ 400,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2558

แท่นชาร์ตทางฝั่งซ้ายแสดงถึงตัวเลขการส่งออกของจีนไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งสินค้าจากจีนส่งไปยังสหรัฐมากที่สุด / แท่นชาร์ตฝั่งขวาแสดงประเภทสินค้าที่ถูกส่งไปยังสหรัฐซึ่งอันดับหนึ่งคืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
ไม่เพียงแต่การกีดกันทางด้านการค้าเท่านั้นแต่ยังหมายถึงการกีดกันทางด้านแรงงานอีกด้วย (Workforce Barrier) หรือการที่ตลาดแรงงานภายในสหรัฐนั้นถูกจัดไว้ให้สำหรับประชากรที่มีสัญชาติอเมริกันเท่านั้นไม่ใช่สำหรับประชากรจากถิ่นอื่นที่เข้ามาอาศัยในประเทศ และหากนโยบายนี้ถูกนำมาบังคับใช้จริง นอกจากแรงงานจากประเทศแม็กซิโกจำนวนมากในสหรัฐที่จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากแล้ว ทางฝั่งเอเชียมีประเทศที่จำนวนแรงงานนั้นถูกเทไปยังสหรัฐเป็นจำนวนมากเช่นกันนั่นคือ ฟิลิปปินส์ ที่จำนวนประชากรที่เดินทางไปทำงานยังต่างประเทศนั้นอยู่ที่เมืองลุงแซมถึง 35% และจำนวนเงินจากแรงงานฟิลิปปินส์ ณ ต่างประเทศที่ส่งกลับมายังบ้านเกิด (Repatriation) นั้นมีจำนวนถึง 31% ที่มาจากสหรัฐ ซึ่งตัวเลขรายได้จากแรงงานต่างแดนที่ส่งกลับมายังประเทศส่งผลสำคัญไปยังตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศฟิลิปปินส์หรือจีดีพีนั่นเอง
สงครามค่าเงินที่อาจจะเกิดขึ้น
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า สงครามค่าเงิน แต่ยังคงสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่ ขออธิบายเป็นตัวอย่างเข้าใจง่ายดังนี้:
แต่ละประเทศนั้นต้องการให้ดุลการค้าของประเทศของตนอยู่ในภาวะบวก (Surplus Account) หรือการที่ตัวเลขส่งออกมากกว่าตัวเลขนำเข้า ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกิดดุลการค้าประเภทนี้คือ ค่าเงิน โดยถ้าหากประเทศนั้นสามารถรักษาระดับค่าเงินให้อยู่ในภาวะอ่อนสอดคล้องไปกับสภาพเศรษฐกิจโลกได้ ก็จะสามารถส่งของไปขายในต่างแดนในราคาที่สูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หมวกงานฝีมือของไทย หากเราส่งไปขายสหรัฐเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วราคาประมาณใบละ 3 เหรียญ ณ ตอนนั้นหนึ่งเหรียญมีมูลค่า 30 บาท ดังนั้นเราจึงขายหมวกได้ราคาใบละ 30 x 3 = 90 บาท แต่ ณ ปัจจุบันค่าเงินของเราอ่อนลงนั่นหมายความว่าหมวกใบเดียวกัน ณ ตอนนี้เมื่อส่งไปขายสหรัฐจะสามารถขายได้ราคาใบละ 35 x 3 = 105 บาท นั่นเอง เพราะหนึ่งเหรียญปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 35 บาท
จากสถานการณ์นี้หากรัฐบาลสหรัฐสนับสนุนให้เกิดการส่งออกมากขึ้นและลดการนำเข้าลงเป็นไปได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED (Federal Reserve Department) ต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่อดึงให้ค่าเงินเหรียญของตนนั้นอ่อนลงเพื่อที่ว่าตนจะได้เปรียบเรื่องราคาการส่งออกหรือส่งไปขายต่างแดนได้แพงขึ้น คราวนี้เมื่อมองดูที่สินค้าประเภทเดียวกัน สมมติสถานการณ์ว่ามีผู้ส่งออกด้วยกันแค่สองเจ้านั่นคือ สหรัฐ และ จีน หากจีนต้องการให้สินค้าของตนมีโอกาสขายได้มากกว่าสหรัฐจะต้องปรับขึ้นค่าเงินให้แข็งขึ้นเพื่อที่ว่าต่างประเทศสามารถซื้อได้ถูกลง จากหลักเศรษฐศาสตร์หากคิดเสียว่าสินค้ามีคุณภาพแบบเดียวกันหากเจ้าไหนมีราคาที่ต่ำกว่าย่อมหมายถึงดีมานด์ที่มากกว่า (คนชอบของถูกและดีนั่นเอง)* อย่างไรก็ตามถึงแม้ดีมานด์จะสูงขึ้นแต่หมายความว่าเฉลี่ยต่อชิ้นแล้วจะขายได้ในราคาที่ต่ำลง
*ตัวอย่างการส่งออกในราคาที่ถูกลงเนื่องจากค่าเงินที่แข็งขึ้น:
สินค้าชนิดเดียวกันกรณีค่าเงินหยวนแข็ง (1 หยวน = 5 บาท) สินค้าหนึ่งชิ้นราคา 2 หยวนหรือ 10 บาท
สินค้าชนิดเดียวกันกรณีค่าเงินหยวนอ่อน (1 หยวน = 6 บาท) สินค้าหนึ่งชิ้นราคา 2 หยวนเมื่อเป็นเงินไทยเราจะต้องใช้เงินซื้อถึง 12 บาท
จากภาวะนี้จะเห็นได้ว่าสถานการณ์เงินหยวนแข็งเราจะได้เปรียบเรื่องการนำเข้าสินค้าเพราะทางผู้ซื้อจะซื้อได้ราคาถูกลงแต่ผู้ขายจะได้กำไรน้อยลงเช่นกัน ดังนั้นหากประเทศหนึ่งมีค่าเงินที่แข็งจะเสียเปรียบเรื่องการส่งออกเพราะส่งออกได้ในราคาถูกลงแต่หากมีค่าเงินที่อ่อนจะส่งผลให้ส่งออกได้ราคาสูงขึ้น หากไทยต้องการนำเข้าสินค้าจากจีนสถานการณ์ที่ 1 จะทำให้ได้ราคาถูกกว่า
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอีกเช่นกันคือตลาดหุ้นญี่ปุ่นหากช่วงไหนที่เงินเยนปรับตัวแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่องจะฉุดดัชนี Nikkei ลงเนื่องจากบริษัทมหาชนส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นพึ่งธุรกิจส่งออกเป็นหลักเมื่อค่าเงินแข็งขึ้นทำให้เขาส่งออกไปขายต่างแดนในราคาที่ถูกลง รายได้เมื่อกลับมาบริษัทเหล่านี้จึงน้อยลง เมื่อรายได้น้อยลงแสดงถึงภาวะไม่เติบโตของบริษัท ส่งผลให้นักลงทุนขายหุ้นของตนที่ถืออยู่ นำไปสู่ราคาหุ้นของบริษัทที่ตกลง เมื่อหุ้นจากหลายบริษัทตกลงดัชนีใหญ่ (Nikkei) ที่เป็นผลประมวลรวมของบริษัทเหล่านี้จึงถูกฉุดลงเช่นกัน

ดอลลาร์ (ฝั่งซ้าย) ที่มีรูปของ เบนจามิน แฟรงคลิน หนึ่งในผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ปรากฏอยู่บนธนบัตร / หยวนหรืออีกชื่อหนึ่งคือเรนมินบิ (ฝั่งขวา) ที่ปรากฏรูป เหมา เจ๋อตุง ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนอยู่บนธนบัตร
ทรัมป์จะส่งผลกระทบอะไรต่อไทยหรือไม่?
ในเมื่อลูกพี่จีนเริ่มที่จะเสียดุลการค้าเพราะโดนนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ กีดกัน ดังนั้นการที่จะปรับดุลการค้าให้คงอยู่ในสภาวะเกินดุล (Surplus) ได้คือการปรับลดตัวเลขการนำเข้าลงเพื่อไปถ่วงดุลกับตัวเลขการส่งออกที่ลดน้อยลง และไทยเราเองมีสัดส่วนการส่งออกที่สำคัญไปยังจีน ในเมื่อดีมานด์ทางฝั่งเขาน้อยลงเราจึงส่งของไปขายยังประเทศเขาน้อยลง นำไปสู่ตัวเลขรายได้จากการส่งออกที่น้อยลงซึ่งตัวเลขนี้เป็นตัวเลขสำคัญที่ส่งผลโดยตรงไปยังจีดีพีของไทย ดังนั้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของบ้านเราจึงช้าลง
นอกจากการเสียดุลการค้าของจีนที่ส่งผลไปยังเศรษฐกิจที่เติบโตช้าของเขาแล้ว ตัวเลขการลงทุนไปยังต่างประเทศของแผ่นดินใหญ่ (FDI: Foreign Direct Investment) ของรัฐบาลจึงน้อยลงด้วยเช่นกัน ดังนั้นทางรัฐบาลจึงต้องชะงักการลงทุนไปยังต่างประเทศลง ไทยจึงอาจได้เห็นตัวเลขการลงทุนจากจีนที่หดตัวลงนั่นเอง
จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนมีสัดส่วนเป็นอันดับ 1 จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดของไทย เมื่อสภาพเศรษฐกิจแผ่นดินใหญ่เริ่มจะฝืดเคือง อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะต้อง play safe หรือรัดเข็มขัดทางการเงินให้มากขึ้นโดยลดการใช้จ่ายทางด้านการเที่ยวลง ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีไทยเป็นอย่างมากเนื่องจากปีที่แล้วจำนวนรายได้ที่เกิดจากนักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นพระเอกสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของไทย
จากสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเราในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียควรจะคอยติดตามสถานการณ์เหล่านี้ให้ดีไม่ใช่เอะอะอะไรก็มัวแต่โทษระบบเศรษฐกิจของประเทศตัวเองโดยที่ไม่ยอมสละเวลาศึกษาข้อมูลเลยว่าแท้จริงมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
บทความข้างต้นนี้เขียนโดย ชัยสิทธิ์ บุนนาค Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามหรือข้อสงสัยสามารถติดต่อโดยตรงได้ที่ chaiyasit@ddproperty.com