ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ใกล้ถึงเวลาที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องทำหน้าที่โดยการจ่ายภาษีบุคคลธรรมดา โดยทางภาครัฐก็ได้ออกนโยบายต่างๆ มาเพื่อให้บุคคลธรรมดาได้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น และนำรายการต่างๆ ที่ผ่านมามาขอลดหย่อนภาษีได้ โดยสามารถดูรายการลดหย่อนภาษีของปี 2559 ได้ที่ รวมสินค้าลดหย่อนภาษีปลายปี 59 สนองนโยบายช้อปช่วยชาติ รายการที่คนให้ความสนใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นมาตรการช็อปช่วยชาติ ที่สามารถนำเงินค่าใช้จ่ายที่เพดาน 15,000 บาท ไปลดหย่อนภาษีตามรายได้สุทธิได้ ดังนี้
นอกจากนั้น อีกหนึ่งรายการที่มนุษย์เงินเดือนไม่ควรมองข้ามก็คือ การลดหย่อนภาษีจากการจ่ายประกันสังคม โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้นทำงาน คงกำลังสับสนว่าการหักเงินเดือนเข้ากองทุนประกันสังคมทุกๆ เดือน เดือนละ 750 นั้น สามารถนำไปใช้สิทธิอะไรได้บ้าง ทั้งนี้สวัสดิการประกันสังคมจะครอบคลุมผู้ประกันตน 7 กรณีด้วยกัน ได้แก่ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และการว่างงาน โดยจะแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้ส่วนหนึ่ง ในกรณีที่ถึงเวลาเกษียณอายุหรือลาออกจากประกันสังคม เราก็มีสิทธิ์ได้รับเงินบำเหน็จหรือบำนาญ โดยมีเงื่อนไขว่าเราต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 180 เดือน นอกจากงานเงินที่เราสบทบมาตลอดมาหักลดหย่อนภาษีได้ตามจริงโดยมีเพดานสูงสุงไม่เกิน 9,000 บาทต่อปีตามที่จ่ายจริง อันมาจากการคำนวณรายได้สูงสุดที่เดือนละ 15,000 บาท หรือ 750 x 12 เดือนก็จะได้ 9,000 บาทและใช้ในการลดหย่อนได้พอดี ซึ่งหากใครที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท ก็ให้นำเงินเดือน ไปคูณ 5 % (อัตราประกันสังคมที่ต้องจ่ายต่อเดือน) และนำผลลัพธ์มาคูณ 12 เดือน
ตัวอย่าง
กรณีเงินเดือน 12,000 บาท แต่จำเป็นต้องจ่ายภาษี เนื่องจากมีรายได้สุทธิจากทางอื่นเกิน 150,001 บาท แต่ไม่เกิน 300,000 บาท เท่ากับว่าเงินที่สามารถเอามาหักลดหย่อนภาษีได้จะเท่ากับ 12,000 x 5% = 600 บาท (เงินที่ต้องจ่ายเข้ากองทุนสมทบ) x 12 เดือน ก็จะเท่ากับว่าเงินประกันสังคมต่อปีที่สามารถเอามาหักลดหย่อนได้ = 7,200 บาท (ไม่เกิน 9,000) บาท
โดยผู้ประกันตนที่มีสิทธิ์ใช้เงินประกันสังคมในการลดหย่อนภาษีนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 โดยจะมีสิทธิประโยชน์ต่างกัน ดังนี้
ผู้ประกันตนภาคบังคับ (มาตรา 33)
ผู้ประกันตนในกลุ่มนี้ คือ พนักงานบริษัทเอกชนทั่วไป ซึ่งมีสถานะเป็นลูกจ้างที่ทำงานอยู่ในสถานประกอบการที่มีพนักงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป อายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี และไม่เกิน 60 ปี โดยต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุน คิดเป็นสัดส่วนดังนี้ ลูกจ้าง 5% + นายจ้าง 5% + รัฐบาล 2.75% ของฐานเงินค่าจ้าง ขั้นต่ำตั้งแต่ 1,650 บาท แต่ไม่เกิน 15,000 บาท สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนภาคบังคับ (มาตรา 33) จะได้รับความคุ้มครอง มีดังนี้ กรณีเจ็บป่วย / อุบัติเหตุ กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน
ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ (มาตรา 39)
ผู้ประกันตนตามมาตรานี้ คือ บุคคลที่เคยทำงานอยู่ในบริษัทเอกชนในมาตรา 33 มาก่อนแล้วลาออก แต่ต้องการรักษาสิทธิประกันสังคมไว้ จึงสมัครเข้าใช้สิทธิประกันสังคมในมาตรา 39 แทน การสมัครประกันสังคมในกลุ่มนี้ มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นผู้ประกันตนในมาตรา 33 มาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เดือน และลาออกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 เดือน อีกทั้งต้องไม่เป็นผู้ทุพพลภาพ ผู้ประกันตนต้องส่งเงินเข้ากองทุน 432 บาทต่อเดือน และรัฐบาลจะช่วยสมทบอีก 120 บาทต่อเดือน ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จะได้รับความคุ้มครอง ดังนี้ กรณีเจ็บป่วย / อุบัติเหตุ กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ
โดย ผู้ประกันตนในมาตรา 33 ทางบริษัทที่เป็นผู้ว่าจ้างจะมีฝ่ายบุคคลเป็นคนจัดการให้และสรุปยอดการหักลดหย่อนออกมาเป็นเอกสารที่เรียกว่าใบทวิ 50 ส่วน ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ มาตรา 39 สามารถติดต่อขอหนังสือรับรองการชำระเงินสมทบกองทุนทั้งปี เพื่อไปยื่นลดหย่อนภาษีได้
ทั้งนี้หากใครยังไม่เคยเสียภาษีมาก่อน หรือ เป็นมนุษย์เงินเดือนหน้าใหม่ ก็ควรเริ่มต้นศึกษาการเสียภาษีได้แล้ว เพราะเป็นเรื่องของสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับส่วนตัว โดยสามารถ เริ่มต้นเรียนรู้การเสียภาษี สำหรับมนุษย์เงินเดือนมือใหม่ ได้ที่นี้
บทความที่เกี่ยวข้อง
ทบทวนประกันสังคมใหม่อีกครั้ง เงินที่ถูกเก็บไว้ได้อะไรใหม่จากเดิม
มนุษย์เงินเดือนทำอะไรผิด ทุกเดือนที่จ่าย 750 จึงเบิกมาใช้ไม่ค่อยได้