เปรียบเทียบลูกหัวปีท้ายปี VS. ห่างกันหลายปี เลือกแบบไหน

25 ธ.ค. 2559

หลังจากที่ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองและมีความมั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว คู่สามีภรรยาหลายคู่ก็เริ่มจะวางแผนสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยอาจมีวิธีการอย่างเช่น การเพิ่มสมาชิกครอบครัว นั่นก็คือลูกตัวน้อยๆ ที่เป็นพยานแห่งความรักของทั้งคู่ ก่อนจะเริ่มลงมือลองวางแผนให้รอบคอบดีก่อนไหม เช่นว่า ควรจะมีลูกกันกี่คนจึงจะสามารถให้การเลี้ยงดูได้ดีที่สุด และมีลูกหัวปีท้ายปีหรือห่างกันหลายปี อันไหนดีกว่ากัน

มาแบ่งกันตามระยะปีดีกว่า เริ่ม!

การมีลูกห่างกันเพียง 1-2 ปี
ข้อดี
1. ผลวิจัยระบุว่า เด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี สามารถปรับตัวได้ง่ายกว่า เมื่อเริ่มต้นมีน้อง อาจจะเป็นเพราะว่าเด็กยังไม่รู้เดียงสามากพอ จึงไม่รู้สึกระแวดระวัง หรือกังวลกับสมาชิกใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาภายในบ้าน
2. ถ้ามีลูกในช่วงอายุที่ไล่เลี่ยกัน ลูกจะมีเพื่อนเล่น มีความสนุกสนานกับการเล่นของเล่นชิ้นเดียวกัน แบบเดียวกัน เล่นกันรู้เรื่อง จึงไม่ต้องกลัวลูกเหงา
3. การที่มีลูกอายุใกล้ๆ กัน แม่คนเดียวมักจะเอาไม่อยู่ ทีนี้คุณก็มีเหตุผลที่จะดึงสามีอยู่ติดบ้านในวันหยุด เพื่อช่วยเลี้ยงลูก ทำให้ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันได้บ่อย
4. เด็กที่โตมาแบบเพื่อนกัน เติบโตในช่วงวัยเดียวกัน แม่ต้องปวดหัวเป็นธรรมดา แต่เหนื่อยแค่แป๊บเดียว พอลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่พร้อมๆ กัน พ่อแม่ก็สบายหายห่วง

ข้อเสีย
1.การมีลูกหัวปีท้ายปี จะสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้กับคุณแม่ เพราะลูกๆ จะเข้านอนไม่ตรงกัน คนโตก็หลับๆ ตื่นๆ ส่วนลูกอีกคนก็เป็นทารกแรกเกิดที่ตื่นตลอดคืน แถมต้องมาเดาใจลูกๆ ด้วยว่า ที่ร้องงอแงต้องการอะไรกันแน่
2. ลูกอายุใกล้ๆ กันมักจะทะเลาะกันบ่อยๆ
3. ต้องเตรียมเงินไว้มากๆ เพราะทารกแรกเกิด และเด็กเล็กในขวบปีแรกๆ มีเรื่องต้องใช้เงินเยอะ

 
การมีลูกห่างกัน 2-3 ปี
ข้อดี
1. เมื่อมีลูกอีกคนเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ ลูกคนแรกก็โตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง ไม่จำเป็นต้องดูแลตลอดเวลา
2. ตัวของคุณแม่เองร่างกายจะแข็งแรงพร้อมมีลูกคนต่อไป เพราะผ่านพ้นช่วงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ฟื้นฟูจากการคลอดลูกคนแรก
3. ลูกโตพอจะกินอาหารเสริม และดูดนมจากขวด ไม่จำเป็นต้องให้ลูกดูดจากเต้า จึงสามารถไปดูแลลูกอีกคนได้อย่างเต็มที่

ข้อเสีย
1. ลูกจะขาดเพื่อนเล่นในช่วงวัยเดียวกัน เพราะต้องรอให้น้องโตก่อน อาจจะเหงา หรือพ่อแม่ต้องพาลูกไปเจอเด็กคนอื่นๆ เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคมลูก
2. พี่คนโตจะเริ่มรู้เรื่อง และรู้สึกไม่มั่นคงเมื่อมีน้องเกิดขึ้นมา กังวลว่าจะมาแย่งความรัก หรือแย่งของเล่น พ่อแม่จึงต้องหาวิธีพูดคุยกับลูกคนโตให้เข้าใจ สร้างความมั่นใจให้ลูกรู้ว่า พ่อแม่จะรักลูกไม่มีเปลี่ยนแปลง
3. ค่าใช้จ่ายกองโตที่พ่อแม่ต้องเตรียมงบประมาณให้ดี เพราะเด็กแรกเกิดต้องใช้เงินเยอะ ขณะเดียวกันลูกอีกคนก็เตรียมพร้อมจะเข้าสู่เตรียมอนุบาล

chi1

การมีลูกห่างกัน 3 ปีขึ้นไป

ข้อดี
1.เมื่อลูกคนโตอายุเกิน 3 ขวบ นั่นหมายความว่า ลูกอยู่ในวัยเข้าเตรียมอนุบาล หรือบางคนก็เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลแล้ว ทำให้แม่มีเวลาทุ่มเทกับลูกคนใหม่ที่เพิ่งคลอดออกมา มีเวลาให้นม เล่นกับเบบี๋ และมีเวลาของแม่เองที่จะผ่อนคลาย ได้งีบหลับสักหน่อย
2.การมีลูกอายุห่างกัน แม่เองก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก ร่างกายฟื้นฟูแล้ว กลับมาแข็งแรง พร้อมดูแลลูกอีกคน
3.ความสัมพันธ์ของเด็กที่อายุต่างกัน จะช่วยลดการทะเลาะเบาะแว้งของพี่น้อง ลูกแต่ละคนไม่รู้สึกแข่งขันกันเอง แถมยังเป็นที่พึ่งที่ดีให้แก่กัน
4.ให้พี่ช่วยเลี้ยงน้อง เสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว การที่พี่น้องอายุห่างกันจะช่วยดูแลกัน แบ่งเบาภาระของพ่อแม่ได้

ข้อเสีย
1. ความต้องการของลูกแต่ละช่วงวัยก็แตกต่างกัน แม่ต้องเตรียมพร้อม หาความรู้ และใส่ใจกับลูกๆ ทุกคน ทำให้พ่อแม่เหนื่อยเป็นพิเศษ
2. ร่างกายของแม่เองก็ห่างหายจากการตั้งครรภ์ไปนาน ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งตั้งท้องได้ยากขึ้น ทำให้ต้องบำรุงและตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจท้องอีกครั้ง
3.ถ้าแม่กลับไปทำงานประจำ พอท้องอีกครั้งก็ต้องปรับตัวใหม่ วางแผนครอบครัวใหม่ ให้ชีวิตลงตัวมากขึ้น
หากลูกของเพื่อนๆ โตกันหมดแล้ว แต่คุณแม่เพิ่งจะมีน้องมาเพิ่มอีกคน การไปพบปะสังสรรค์ก็จะน้อยลง อาจไม่ได้สนุกกับเพื่อนๆ เหมือนเดิม

สุดท้ายนี้ไม่ว่าจะมีลูกหัวปีท้ายปี หรือห่างกันหลายๆ ปี ต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย ที่ทุกครอบครัวต้องตัดสินใจเอาเอง โดยพิจารณาจากความพร้อมของทั้งร่างกายคุณแม่ และการเตรียมค่าใช้จ่ายให้ลูก เพื่อให้ครอบครัวสมบูรณ์และมีความสุขที่สุด

ที่มา : sg.theasianparent.com
สามารถอ่านรีวิวโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมได้ที่นี่

ขอบคุณบทความจากเว็บไซต์ theAsianparent.com เว็บไซต์ให้คำแนะนำด้านการเลี้ยงลูกอันดับ 1 ในประเทศไทย

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ