ในขณะที่ตลาดออนไลน์กำลังมาแรง แต่ผู้ประกอบการค้าปลีกยังให้ความสนใจกับการมีพื้นที่หน้าร้านและการขยายสาขา โดยจีนเป็นทำเลที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ในขณะที่ไทยได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เช่นเดียวกับหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จากรายงานการวิจัยเรื่อง “ผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีกทั่วโลกมีความเคลื่อนไหวอย่างไร” ฉบับที่ 7 ของซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระบุว่า ท่ามกลางการเติบโตของยอดขายสินค้าออนไลน์ แต่ก็ยังไม่ทำให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนแผนการขยายสาขาของผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีกในปี 2559 ได้
ทำเลที่ได้รับความสนใจอันดับต้นๆ ของโลก ได้แก่ ประเทศในทวีปยุโรปอย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ในขณะที่จีนครองอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิก และเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยมีผู้ค้าปลีก 27% วางแผนจะขยายสาขาในจีน ตามด้วยฮ่องกงในอันดับ 6 (24%) ญี่ปุ่นในอันดับ 7 (22%) สิงคโปร์ในอันดับ 9 (21%)
อย่างไรก็ดี ระดับความสนใจในทำเลอย่างจีนและเกาหลีเริ่มแผ่วลงเล็กน้อยในปีนี้ ในขณะที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น โดยมาเลเซีย (10%) อินโดนีเซีย (9%) ไทย (8%) เวียดนาม (8%) และฟิลิปปินส์ (8%) ต่างได้รับความสนใจมากขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 2558 ขณะที่ตลาดโดยรวมได้รับความสนใจเพิ่มโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1-3%
เมื่อถามถึงปัจจัยเสี่ยงในปีนี้ แบรนด์ต่างๆ ให้คำตอบว่า ค่าใช้จ่ายด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้น (56%) และแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจน (42%) เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ
นายโจเอล สตีเฟน ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าแผนกพื้นที่ค้าปลีก ซีบีอาร์อี เอเชีย ให้ความเห็นว่า “ผู้ค้าปลีกยังคงมีโอกาสที่จะขยายธุรกิจในเอเชีย เพราะมีประเทศในเอเชียติดอันดับเป้าหมายยอดนิยมระดับโลกถึง 4 ประเทศ เป้าหมายหลักของผู้ค้าปลีกที่ต้องการพื้นที่ร้านค้า คือ การสร้างข้อเสนอที่สามารถดึงดูดลูกค้าให้อยู่ที่ร้านนานขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้น”
ทั้งนี้จากผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า 83% ของแบรนด์ระบุว่า แผนการขยายสาขาในปี 2559 จะไม่ได้รับผลกระทบจากการเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ขณะที่ผู้ค้าปลีกมองว่า มีเพียง 22% ของแบรนด์เท่านั้นที่กังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่รุนแรงกับโลกออนไลน์ ขณะเดียวกันผู้ค้าปลีกมองว่าการขยายเครือข่ายร้านค้านั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างดี โดย 17% ของผู้ค้าปลีกมีความตั้งใจที่จะขยายมากกว่า 40 สาขาในปี 2559 (เพิ่มขึ้นจาก 9% จากปี 2558) ขณะที่ส่วนใหญ่ต้องการขยายมากสุด 20 สาขา
“การมีหน้าร้านในทำเลหลักนั้นยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาพลักษณ์ของแบรนด์ และต้องสร้างความผูกพันด้านจิตใจกับลูกค้าด้วย ลูกค้าต้องยังมีความรู้สึกว่าอยากไปซื้อของที่ร้าน สัมผัสกับตัวสินค้า และมีความรู้สึกที่ดีพร้อมกับการได้รับประสบการณ์เฉพาะของแบรนด์นั้นๆ หน้าร้านมีความสำคัญต่อการซื้อสินค้า และสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น รับสินค้าที่สั่งซื้อทางออนไลน์ไว้ วิจัยเกี่ยวกับสินค้าหรือแบรนด์ หรือทดลองสินค้า มิใช่เป็นแต่เพียงเพื่อการซื้อขายสินค้าเท่านั้น” นายโจเอลกล่าว
ทั้งนี้ ผู้ค้าปลีกในเอเชียแปซิฟิกจะนิยมขยายสาขาใหม่ๆ ตามศูนย์การค้า ส่วนแบรนด์จากทวีปอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) นิยมที่จะขยายสาขาไปยังศูนย์กลางการเดินทาง เช่น สนามบินและสถานีรถไฟ เนื่องจากเป็นทำเลที่คึกคักมีลูกค้าเดินเข้าออกจำนวนมาก
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่