รถไฟความเร็วสูง กทม – โคราช ถือได้ว่าเป็นประตูสู่แดนอีสาน และหลังจากที่ประเทศไทยได้มีข้อยุติร่วมกับประเทศจีน ที่จะเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างเองแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย และการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป และยังคงเป็นโครงการในลักษณะความร่วมมือไทยจีน โดยว่าจ้าง บริษัทก่อสร้างที่รัฐบาลจีนเป็นผู้รับรอง มิใช่การว่าจ้างระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทโดยตรง รวมทั้งต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี การจัดอบรมให้แก่วิศวกรและเจ้าหน้าที่ของไทยเพื่อให้สามารถดำเนินการเดินรถไฟ และดูแลความพร้อมของทั้งระบบ ให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานได้สูงสุด
สำหรับรถไฟความสูงกทม. – โคราช จะให้ประโยชน์กับประเทศชาติทั้งในปัจจุบัน และอนาคตเป็นหลัก โดยโครงการดังกล่าวหมุนเวียนและตกอยู่ภายในประเทศ ทั้งหมด อาทิ การพัฒนาที่ดินสองข้างทางเพื่อจัดที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อย การสร้างเมืองใหม่ การสร้างงานรองรับลูกหลานที่จะจบการศึกษาในอนาคต การเพิ่มอาชีพทางเลือกให้แก่เกษตรกร และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาพรวม
ส่วนรายละเอียดของรถไฟความเร็มสูง กทม. – โคราช มีระยะทาง 250 กิโลเมตร (กม.) /ชม. ขนาดรางมาตรฐาน 1.435 เมตร (ม.) เพื่อรองรับผู้โดยสารซึ่งถือเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงครั้งแรกของไทย และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือน ส.ค.หรือก.ย.59 โดยเลื่อนจากเดิมที่โครงการนี้จะเริ่มก่อสร้างในเดือน พ.ค. 59 โดยฝ่ายไทยจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด แต่ใช้เทคโนโลยีจากจีน โดยคาดว่าจะมีจำนวนผู้โดยสาร 2 หมื่นคน
ขณะนี้ได้ส่งผลศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ไปยังคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาในการเริ่มโครงการ ส่งผลศึกษาด้านอื่นๆ เช่น ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนได้คำนวณต้นทุนในการก่อสร้างมาให้ ซึ่งพบว่ามีมูลค่าโครงการสูงถึง 1.9 แสนล้านบาท ในขณะที่ผลการศึกษาต้นทุนของไทยอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นจึงให้ทางจีนลดต้นทุนลงมาให้อยู่ในระดับต้นทุนที่ไทยคำนวณไว้ โดยใช้ราคาวัสดุก่อสร้างในประเทศไทย และคิดราคาแบบมิตรภาพ เพราะเป็นความร่วมมือแบบรัฐต่อรัฐ
ทั้งนี้ การลงทุนงานโยธาจะเปิดให้ผู้รับเหมาไทยเข้าร่วม แต่บางช่วงเช่นพื้นที่ภูเขาก็ต้องใช้เทคโนโลยีของจีนเข้ามาช่วย ส่วนระบบอาณัติสัญญาณ ระบบรถ และตัวรถจะมาจากจีน เพราะโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐกับรัฐ(G to G) การพิจารณาให้งานระบบรถ ระบบอาณัติสัญญาณ และการเดินรถ เข้าไปเป็นรูปแบบเอกชนร่วมลงทุนภาครัฐ (PPP) ซึ่งให้เอกชนลงทุน และให้สัญญาสัมปทาน หรืออาจจะให้เอกชนเป็นผู้บริหารเดินรถ ในรูปแบบ PPP เป็นต้น
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สิณีวรรณ เทศปัญ กองบรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sineewan@ddproperty.com
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี้
