การรถไฟฯ เดินหน้าลงทุนรถไฟทางคู่คาดทยอยเสร็จ ปี 62 ส่วนอีก 5 เส้นทางที่เหลือมั่นใจเปิดประมูลได้ทันภายในปี 59
สืบเนื่องจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีนโยบายผลักดันให้เกิดการลงทุนพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ เพื่อเพิ่มขีดวามสามารถการแข่งขันของประเทศ พร้อมกับจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยมานั้น
นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การรถไฟฯ ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางได้มีการดำเนินงานสนองต่อนโยบายของรัฐบาล โดยที่ผ่านมาได้มีการลงนามสัญญาจ้างผู้รับจ้างโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สำเร็จแล้ว 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางรถไฟ สายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย และช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น
ทั้งนี้ปัจจุบันทั้ง 2 เส้นทาง ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างไปแล้วตามแผนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา และมีความก้าวหน้าไปตามลำดับ ดังนี้ เส้นทางแรก รถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย สัญญาที่ 1 งานก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-วิหารแดง และช่วงบุใหญ่-แก่งคอย ระยะทาง 97 กม. และทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Lines) 3 แห่ง ระยะทาง 7.1 กม.ขณะนี้มีความก้าวหน้าไปแล้ว 0.75% และคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จได้เดือนกุมภาพันธ์ 2561 ส่วนงานสัญญา 2 งานก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงวิหารแดง-บุใหญ่ ระยะทาง 9 กม. พร้อมอุโมงค์รถไฟลอดใต้เขาพระพุทธฉาย ระยะทาง 1.2 กม. มีความก้าวหน้าไป 0.80% และก่อสร้างเสร็จเดือนเมษายน 2561 ขณะที่โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 187 กม. มีความก้าวหน้าในการก่อสร้างไปแล้ว 1.42% และก่อสร้างเสร็จเดือนกุมภาพันธ์ 2562
ส่วนโครงการรถไฟทางคู่ที่เหลือตามแผนงานอีก 5 เส้นทาง ได้แก่ รถไฟทางคู่ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร รถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. รถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม. รถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กม. และรถไฟทางคู่หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กม. คาดจะทยอยเปิดประกวดราคาได้ภายใน ปี 2559 ทั้งหมด เป็นไปตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยระยะ 8 ปีที่กำหนดไว้
“จากการที่นายกรัฐมนตรี และกระทรวงคมนาคม ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จะช่วยให้เกิดการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ทางรางได้ครั้งใหญ่โดยเฉพาะการสร้างรถไฟทางคู่จะช่วยแก้ปัญหาความคับคั่ง ของการเดินรถและลดระยะเวลาสับหลีกขบวนอันเป็นอุปสรรคให้การขนส่งทางรถไฟล่าช้า รวมถึงยังช่วยลดต้นทุนการขนส่งต่อหน่วยให้ถูกลง จากปัจจุบันไทยมีต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีสัดส่วนร้อยละ 14.2 ตลอดจนช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศได้ในระยะยาว”
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี้
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สิณีวรรณ เทศปัญ กองบรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sineewan@ddproperty.com