ประกันโรคร้ายแรง อีกหนึ่งตัวช่วยเมื่อพ่อแม่เจ็บป่วย

19 ธ.ค. 2560

“อยากบรรเทาภาระค่ารักษาพยาบาลของคุณพ่อคุณแม่ การทำประกันโรคร้ายแรงช่วยได้” 

โรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อคุณแม่ของเราที่มีอายุมากขึ้น โรคภัยต่างๆ ก็ยิ่งถามหา ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล การทำประกันสุขภาพเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยบรรเทาภาระค่ารักษาพยาบาลลงได้ แต่ค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามอายุ ทำให้หลายคนไม่อยากทำประกันสุขภาพ เพราะอาจเป็นภาระที่หนักเกินไป อย่างไรก็ตามก็มีวิธีที่ช่วยบรรเทาค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นคือ การทำประกันโรคร้ายแรงด้วยเบี้ยประกันที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับประกันสุขภาพ แล้วประกันโรคร้ายแรงมีแบบไหนบ้าง และคุ้มหรือไม่ที่จะทำประกันโรคร้ายแรงให้คุณพ่อคุณแม่ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย มีคำแนะนำมาฝาก

เมื่อพูดถึงโรคร้ายแรงอย่างโรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ นับว่าเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นจำนวนมาก และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อโรคสูงถึงหลักล้าน การทำประกันโรคร้ายแรงจึงมีความสำคัญ โดยประกันโรคร้ายแรงมีหลายรูปแบบ ซึ่งก่อนตัดสินใจทำเราควรศึกษารายละเอียดก่อนว่า ประกันฉบับนั้นให้ความคุ้มครองเป็นอย่างไร โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบดังนี้

1. คุ้มครองโรคใดโรคหนึ่ง ให้ความคุ้มครองโรคร้ายแรงเฉพาะโรค เช่น มะเร็ง เบาหวาน ซึ่งเหมาะกับคนที่คิดว่า ตนเองมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนั้นๆ
2. คุ้มครองโรคร้ายแรงตามกลุ่ม ประกันแบบนี้มีการกำหนดโรคร้ายแรงเป็นกลุ่มเอาไว้ เช่น กลุ่มโรคหลอดเลือด กลุ่มโรคมะเร็ง กลุ่มที่ต้องเปลี่ยนอวัยวะสำคัญ และกลุ่มโรคร้าย แรงอื่นๆ โดยกำหนดไว้ว่า หากเป็นโรคร้ายแรงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะได้รับเงินเอาประกันภัย และเมื่อเป็นโรคร้ายแรงกลุ่มที่เหลือ ก็ยังมีโอกาสได้รับเงินเอาประกันภัยเพิ่มเติม
3. คุ้มครองโรคร้ายแรงหลายโรค ประกันแบบนี้กำหนดโรคร้ายแรงที่ให้ความคุ้มครองการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคร้ายแรง เช่น 30 โรคร้ายแรง โดยอาจจ่ายเงินเอาประกันภัยเพียงครั้งเดียวเมื่อเป็นโรคใดโรคหนึ่ง หรือจ่ายหลายครั้งตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ของกรมธรรม์

นอกจากนี้ ประกันโรคร้ายแรงมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป โดยเงื่อนไขที่เราควรทำความเข้าใจได้แก่

• เงื่อนไขที่จะได้รับผลประโยชน์ ประกันโรคร้ายแรงกำหนดเงื่อนไขในการได้รับผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน บางแบบผู้เอาประกันจะได้รับเงินเมื่อเสียชีวิตจากโรคร้ายแรงเพียงอย่างเดียว ขณะที่บางแบบจะได้รับเงินเมื่อป่วยเป็นโรคร้ายแรงระยะลุกลาม
• ระยะของโรคร้ายแรงที่ประกันให้ความคุ้มครอง อย่างเมื่อเป็นโรคมะเร็งก็จะมีตั้งแต่ระยะเริ่มต้นไปจนถึงระยะลุกลาม เราจึงควรเข้าใจว่า ประกันโรคร้ายแรงที่พิจารณาอยู่นั้นครอบคลุมโรคร้ายแรงได้ถึงระยะไหน
• จำนวนเงินเอาประกันภัยที่บริษัทจ่ายให้ ประกันโรคร้ายแรงบางฉบับอาจมีการกำหนดจำนวนเงินที่บริษัทจะจ่ายให้แตกต่างกันไป เช่น จ่ายให้ 15% ของวงเงินเมื่อเป็นโรคหนึ่ง แต่จะจ่ายให้ 100% ของวงเงินเมื่อเป็นอีกโรคหนึ่ง เป็นต้น
• จำนวนครั้งที่ขอรับเงินเอาประกันภัยได้ ประกันโรคร้ายแรงบางแบบ เมื่อเป็นโรคร้ายแรงและขอเคลม จะทำให้ประกันฉบับนั้นสิ้นสุดลง ขณะที่ประกันฯ บางฉบับก็ยังมีผลความคุ้มครอง จึงสามารถขอรับเงินประกันภัยได้ เมื่อเป็นโรคร้ายแรงในอนาคต

สิ่งที่คนเป็นลูกต้องพิจารณาเมื่อจะทำประกันโรคร้ายแรงคือ อายุสูงสุดที่สามารถซื้อประกันหรือสัญญาแนบฉบับนั้น เพราะปัจจุบันคนไทยอายุยืนขึ้น ยิ่งประกันโรคร้ายแรงสามารถทำต่อเนื่องไปจนถึงอายุมากๆ อย่าง 80 ปี คนเป็นลูกอย่างเราก็จะยิ่งเบาใจกับภาระค่ารักษาพยาบาลที่ประกันโรคร้ายแรงสามารถช่วยแบ่งเบาไปได้ อย่างไรก็ตาม ค่าเบี้ยของประกันโรคร้ายแรงจะสูงขึ้นตามอายุ ดังนั้นอยากให้ตรวจสอบก่อนว่า เมื่อคุณพ่อคุณแม่อายุเยอะๆ แล้ว ตัวเราเองมีกำลังในการจ่ายเบี้ยประกันไหวหรือไม่

ไขข้อข้องใจ: จ่ายเบี้ยประกันชีวิตต่อไม่ไหว จะยอมขาดทุนหรือส่งต่อดี 

ถ้าเปรียบเทียบการทำประกันโรคร้ายแรงกับประกันสุขภาพ ก็ต้องยอมรับว่า การทำประกันสุขภาพให้ความคุ้มครองที่กว้างกว่า เพราะไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยในซึ่งไม่ใช่โรคที่ได้รับการยกเว้น ก็สามารถใช้สิทธิเบิกเคลมค่ารักษาพยาบาลได้

Health insurance

สำหรับคนที่อยากทำประกันสุขภาพ มาดูกันถึงวิธีการซื้อประกันสุขภาพให้คุ้มว่าทำอย่างไรบ้าง 

ส่วนประกันโรคร้ายแรงนั้นมีการกำหนดไว้ชัดเจนว่า จะจ่ายเงินเอาประกันภัยให้เมื่อเป็นโรคร้ายแรงที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม เมื่อนำค่าเบี้ยมาเปรียบเทียบกัน ยกตัวอย่างเช่น เพศหญิงอายุ 65 ปี ทำประกันภัยสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองจากการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่งไม่เกิน 5 แสนบาท (Smart Health)* จ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพปีละ 38,450 บาท แต่ถ้าทำประกันโรคร้ายแรงที่ให้ความคุ้มครอง 4 กลุ่มโรค (Multiple CI Plus)** จะจ่ายค่าเบี้ยประกันโรคร้ายแรงปีละ 12,710 บาท จะเห็นได้ว่า ค่าเบี้ยประกันของประกันทั้ง 2 ประเภทมีความแตกต่างกันกว่า 2-3 เท่าตัว การทำประกันโรคร้ายแรงจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับลูกที่อยากทำประกันเพื่อบรรเทาภาระค่ารักษาพยาบาลของคุณพ่อคุณแม่ แต่อาจมีทุนทรัพย์ไม่มากนัก เพราะอย่างน้อยเมื่อเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงก็ยังมั่นใจว่า มีเงินสำหรับจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้

หากคิดจะทำประกันโรคร้ายแรงให้กับคุณพ่อคุณแม่ แนะนำให้รีบทำตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะหากคุณพ่อคุณแม่มีอาการที่บ่งบอกว่า มีโอกาสที่จะเกิดโรคร้ายแรงขึ้นในอนาคต เช่น ความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหัวใจได้ ก็จะทำให้มีโอกาสถูกปฏิเสธการขอทำประกัน หรือถูกเพิ่มค่าเบี้ยจากบริษัทประกันได้

*สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบสมาร์ทเฮลท์ (Smart Health) ของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
**สัญญาเพิ่มเติม มัลติเพิล ซีไอ (Multiple CI Plus) ของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย ปานตา ฉัตรมาศ CFP® K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

เงินฝาก กองทุน ประกัน เลือกลงทุนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์

“ไม่ว่าจะออมเงินในบัญชีเงินฝาก ซื้อกองทุนรวมเพื่อเพิ่มผลตอบแทน หรือท

อ่านต่อ12 ต.ค. 2560