มีเงินทั้งที “โปะหนี้” หรือ “ลงทุน”

28 ก.พ. 2560

“เมื่อมีเงินก้อน รีบปิดหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง อย่างบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือโปะหนี้บ้านเพื่อลดดอกเบี้ยและหมดหนี้ได้เร็วขึ้น”

ช่วงนี้เราคงได้ยินข่าวสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่สู้ดีนัก ทำให้หลายคนระมัดระวังตัวในการจับจ่ายใช้สอยเป็นพิเศษ และหลาย ๆ คนที่เป็นหนี้ก็มีความกังวลว่าเมื่อไรหนี้จะหมด ขณะเดียวกันก็มีคำถามว่าแล้วในขณะที่เป็นหนี้ ถ้าเรามีเงินสักก้อน สามารถนำเงินไปลงทุนได้บ้างไหม

จริงๆ แล้ว การตัดสินใจว่า ถ้ามีเงินจำนวนหนึ่งแล้วจะโปะหนี้ หรือนำไปลงทุนดีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าทางเลือกไหนที่ทำให้เงินสร้างมูลค่าได้สูงกว่ากัน ก็นำเงินไปใช้ในทางเลือกนั้น ซึ่ง K-Expert มีคำแนะนำมาเสนอดังนี้

สำหรับคนที่เป็น “หนี้ประเภทที่ไม่มีหลักประกัน พวกหนี้บัตรเครดิต หนี้บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคล”

38432953_xl.original

ถ้ามีเงินเมื่อไร ไม่ต้องคิดมาก นำเงินทั้งหมดไปโปะหนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะอัตราดอกเบี้ยจากยอดค้างชำระของสินเชื่อประเภทนี้ค่อนข้างสูง ประมาณ 20-28% ต่อปี ซึ่งหมายความว่า ถ้าเรานำเงินที่มีมาโปะหนี้ก้อนนี้ก็เหมือนเรานำเงินไปลงทุนที่ได้ผลตอบแทนมากกว่า 20% ต่อปีนั่นเอง โดยถ้าจะหาทางเลือกในการลงทุนอื่นที่ได้ผลตอบแทนมากกว่านี้ ก็คงหาได้ยากมาก เพราะแม้แต่ตลาดหุ้นเองในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังเติบโตเฉลี่ยประมาณ 10-15% ต่อปี บางปีให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูง แต่บางปีก็ติดลบเยอะ เรียกว่า ถ้าลงทุนระยะสั้นๆ ก็ถือว่ามีความเสี่ยงในการลงทุนที่สูงอีกด้วย

วิธีที่ช่วยทำให้เรามีวินัยและไม่ตกเป็นหนี้ประเภทนี้คือ ก่อนรูดใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิต ต้องมั่นใจว่า เมื่อถึงวันครบกำหนดชำระเงิน จะมีเงินจ่ายแน่นอน และจำไว้ว่า ต้องจ่ายให้ครบเต็มจำนวน และจ่ายตรงเวลา เพราะถ้าจ่ายเพียงบางส่วน หรือจ่ายขั้นต่ำ จะทำให้มีดอกเบี้ยเกิดขึ้นจากยอดที่ค้างชำระนั้น สำหรับบัตรกดเงินสด ถ้าไม่จำเป็น ก็อย่ากดเงินจากบัตรกดเงินสด เพราะปกติดอกเบี้ยจะเดินทันทีที่เรากดเงินออกจากบัตร ดังนั้น การเก็บเงินสำรอไว้สักก้อนหนึ่งเพื่อใช้จ่ายยามฉุกเฉิน จะช่วยป้องกันการกดเงินจากบัตรกดเงินสดได้ โดยควรมีเงินสำรองไว้สัก 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน

สำหรับคนที่เป็น “หนี้ประเภทที่มีหลักประกัน พวกหนี้รถ หรือหนี้บ้าน”

"debt" wooden text and rows of coins with house model for finance and banking concept

อ่านเพิ่มเติม : มีเงินเหลือ…โปะบ้านหรือโปะรถก่อนดี

ถ้าเป็นหนี้กู้ซื้อรถ ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ โดยการคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นทั้งก้อน แล้วนำดอกเบี้ยทั้งก้อนมาทยอยผ่อนพร้อมกับเงินต้น ซึ่งแม้ว่าจะมีการผ่อนเงินต้นไปบางส่วนแล้วก็ตาม ดอกเบี้ยรวมก็ยังเท่าเดิม ถ้าเป็นหนี้ประเภทนี้ ในกรณีที่เรามีเงินก้อน เราควรแบ่งเงินบางส่วนมาแค่ผ่อนชำระตามค่างวดก็พอ เพราะไม่ว่าเราจะโปะหนี้เพิ่มเท่าไร หรือเร็วขึ้นแค่ไหน ก็ไม่ได้ช่วยให้ภาระหนี้โดยรวมลดลง แล้วนำเงินที่เหลือไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นจะดีกว่า ในกรณีนี้ควรลงทุนให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า 3% ต่อปี คือ มากกว่าอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปี เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว กองทุนรวมผสมที่มีการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ อย่างไรก็ตาม หากเงินก้อนที่มีเพียงพอปิดหนี้รถที่มีได้ทั้งหมด ก็สามารถนำเงินนั้นไปปิดหนี้ได้ เพราะการปิดหนี้รถ มักได้รับส่วนลดดอกเบี้ยบางส่วน ก็ช่วยประหยัดเงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยได้

กรณีที่เป็นหนี้บ้าน ซึ่งเป็นหนี้แบบลดต้นลดดอก โดยจะคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวด หมายความว่า ถ้าโปะหนี้มากขึ้น ดอกเบี้ยที่เหลือก็จะน้อยลง คราวนี้ก็ต้องมาพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ย ซึ่งปกติดอกเบี้ยบ้านเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-7% ต่อปี ดังนั้นการตัดสินใจว่าถ้ามีเงินจะนำมาโปะหนี้บ้านหรือนำไปลงทุนดี ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถหาช่องทางลงทุนและได้ผลตอบแทนมากกว่า 6-7% ต่อปีหรือไม่ ถ้าหาได้เราควรนำเงินส่วนที่เหลือจากการจ่ายค่างวดขั้นต่ำไปลงทุน แต่ผลตอบแทนระดับนี้ อาจต้องเป็นการลงทุนในหุ้น กองทุนรวมหุ้น หรือกองทุนรวมที่มีสัดส่วนลงทุนในหุ้นด้วย ก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ แต่ถ้าใครรับความเสี่ยงได้ต่ำ การนำเงินไปโปะหนี้เป็นทางเลือกที่ควรทำมากกว่า เพราะคงหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนได้ถึง 6-7% ต่อปีไม่ง่ายนัก และจากการคำนวณ ถ้าเราโปะหนี้เพิ่มขึ้น 10% จากยอดผ่อนขั้นต่ำ เราจะผ่อนบ้านหมดได้ภายใน 17 ปี จาก 20 ปี และประหยัดดอกเบี้ยไปได้พอๆ กับค่ารถยนต์คันหนึ่งเลยทีเดียว อ่านเพิ่มเติม : โปะหนี้บ้านให้หมดไวอย่างได้ผล

• คำถามสุดท้ายคือ ถ้ามีเงินก้อนและไม่สามารถนำไปหาผลตอบแทนได้มากกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ เราควรนำเงินทั้งหมดไปโปะหนี้เลยหรือไม่ คำตอบคือ ต้องดูว่าเรามีการกันเงินสำรองไว้สัก 6 เท่าของค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนเพียงพอแล้วหรือยัง หรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนั้นในการดำเนินชีวิตหรือเป้าหมายอื่นๆ อย่างไร เช่น ค่าเทอมลูก หรือค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ถ้ามี เราควรจะกันเงินส่วนนี้ออกมา แล้วนำไปออมในรูปแบบที่มีความเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูง เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน ซึ่งให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก แต่มีสภาพคล่องต่างกันแค่วันเดียว (รับเงินค่าขายคืนกองทุนรวมใน 1 วันทำการ) แล้วเงินที่เหลือค่อยนำไปโปะหนี้

การเป็นหนี้อาจไม่ใช่เรื่องผิด เพราะชีวิตเรามีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินเพื่อเป้าหมายหรือความสุขในชีวิต หากรอให้เก็บเงินได้ทั้งก้อนแล้วค่อยซื้อรถ หรือซื้อบ้าน อาจต้องใช้เวลานานมาก แต่ถ้าต้องเป็นหนี้ ก็ควรเป็นหนี้ด้วยความตระหนักรู้เรื่องดอกเบี้ย บริหารจัดการหนี้ได้อย่างเหมาะสม และไม่ทำให้ครอบครัวหรือคนรอบข้างเราต้องเดือดร้อนด้วย ถ้าเรารู้ตัวแบบนี้ จะช่วยให้เราเป็นหนี้แบบมีความสุขได้มากขึ้น

อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย นิชฌานี ฉันทศาสตร์ CFP® K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ