ดีเวลลอปเปอร์น้องใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้แจ้งเกิดกันง่าย ๆ บางรายมาโครงการเดียวแล้วจอดก็มีเยอะ บางรายเปิดโครงการเดียวแล้วซัคเซสก็มีให้เห็นถมเทไป แต่ประเด็นก็คือ ทำอย่างไรจะให้บริษัทโตแบบอย่างยั่งยืนและไปต่อได้ บนเส้นทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
และวันนี้ DDproperty.com รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เมื่อคุณโด่ง – พีระพงศ์ จรูญเอก ซีอีโอหนุ่มเนื้อหอมมาก ณ เวลานี้ จากค่าย ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดโอกาสให้ได้เข้าพูดคุยแชร์มุมมองประสบการณ์ที่ผ่านมา และอะไรกันที่ทำให้เขาก้าวเข้ามาสู่ความสำเร็จ ตลอดจนการเข้าซื้อกิจการของทายาทตระกูลลิปตพัลลภในครั้งนี้
ความสำเร็จของคุณโด่ง – พีระพงศ์ ในวันนี้ไม่ได้มาเล่น ๆ แต่เกิดจากความมุ่งมั่น เป็นคนรุ่นใหม่ที่มองมุมบวก และมีความคิดสร้างสรรค์พร้อมการสร้างผลงานมาอย่างต่อเนื่อง
“ผมเป็นคนต่างจังหวัดชีวิตเริ่มจากศูนย์มาก่อน หากวันนี้ ผมประสบความสำเร็จกว่าคนอื่น ๆ นั่นเป็นเพราะผมค้นหา DNA ของตัวเองเจอได้เร็วกว่าคนอื่น บวกกับความพยายามและตั้งใจใส่รายละเอียดตั้งแต่การเลือกทำเล ซื้อที่ดิน การดีไซน์ที่ดี ที่สำคัญราคาสินค้าที่ออกมาต้องเหมาะสมบาลานซ์กับรายได้ของลูกค้าด้วย”
แต่ทว่าปัจจุบันราคาที่ดินแพงหูฉี่ จะหยิบจับแปลงไหน นั่นหมายถึงต้นทุนการพัฒนาโครงการทั้งสิ้น เรามีวิธีการเลือกทำเลแบบไหนที่คิดว่า คุ้มค่า และเหมาะสมกับการลงทุนโครงการ
ผมมองว่า ทำเลที่จะสร้างความความสำเร็จในการพัฒนาโครงการนั้น แน่นอนว่าต้องใกล้รถไฟฟ้า ใกล้แหล่งชุมชน ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก แต่ประเด็นสำคัญ คือ ราคานั้นต้องเหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคในทำเลนั้นด้วย
อย่างทุกครั้งที่ออริจิ้นจะพัฒนาโครงการขึ้นมาสักโครงการหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่คำนึงถึงมาตลอดเวลา ก็คือ การทำราคาขายออกมานั้น ท้ายที่สุดแล้วผู้บริโภคต้องรับได้หรือซื้อไหวด้วย ไม่ใช่ทำราคาสูงแพงเกิน แต่กำลังซื้อไปไม่ไหว โครงการนั้นก็จอดเหมือนกัน
ส่วนราคาที่ดินที่ปัจจุบันราคาแพง โดยส่วนตัวมองว่าก็ไม่ใช่ประเด็นเสมอไป เพราะที่ดินบางแปลงราคาต่อตารางวาแค่หลักแสน แต่ทำเลนั้นไม่มีกำลังซื้อ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ผมก็ไม่ซื้อที่ดินแปลงนั้นนะ หากย้อนกลับไปดูพบว่า ทำเลที่เราจะลงทุนนั้น ถึงแม้จะไม่ใกล้รถไฟฟ้า แต่ย่านนั้น ต้องเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่แท้จริง
และทำไม? ถึงเลือกลงมาพัฒนาบนทำเลอย่างแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งบิ๊กเนมบางรายยังถอยยังชะลอแผนลงทุน แต่ออริจิ้นสวนกระแสมาเปิดโครงการ ถามว่าเราพกความมั่นใจมาจากไหน ?
จริง ๆ แล้ว ย่านรัตนาธิเบศร์ยังพอมีดีมานด์ แต่คราวทีนี้จะเข้ามาพัฒนาโครงการเราก็อยากทำสินค้าดีให้กับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในย่านนี้ หรือคนรุ่นใหม่ ใช้รถไฟฟ้าเป็นหลัก และต้องการหาซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองและมีกำลังซื้อในราคาล้านต้น ๆ เราก็เข้ามาสร้างมาตรฐานใหม่ให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกให้กับผู้บริโภคในกลุ่มนั้น
ที่ผ่านมา ออริจิ้นเคยเปิดโครงการมาแล้วก่อนหน้านี้ ใช้ชื่อว่า ไนท์บริดจ์ ติวานนท์ เปิดขายตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมียอดขายแล้ว 70 – 80% เป็นอะไรที่เซอร์ไพร์สตลาดมากในย่านนี้ เพราะมีบางรายก็ขายด้ไม่เท่ากับของเรา ซึ่งทางทีมก็ได้มานั่งวิเคราะห์กัน และพบว่า เราสามารถทำสินค้าได้ตรงใจกับผู้บริโภคมากกว่าคู่แข่ง
ส่วนยูนิตเหลือขายย่านแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่กลุ่มนักพัฒนาที่ดินหลายคนบอกกันว่าเยอะในย่านนี้ เป็นเพราะมีสินค้าที่เหมือนกัน ราคาค่อนข้างถูก คุณภาพอาจจะไม่ถึง ในขณะที่เราเข้ามาสร้างมาตรฐานใหม่ ด้วยราคาแบบนี้ สินค้า และคุณภาพแบบนี้ ตัวโปรดักส์สามารถขายได้ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ซึ่งจะขายเร็วหรือขายช้า มันมีความคุ้มค่าในอนาคตแน่นอน
พูดคุยถึงเป้าหมายกันบ้าง ? เชื่อว่าหลายบริษัทอสังหาฯ ต้องมีโมเดลธุรกิจของตัวเองทั้งระยะสั้น และ ระยะยาว ทางออริจิ้นวางเป้าไว้อย่างไรบ้าง
ลำดับแรกต้องการสร้างแบรนด์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และผมกับทีมงานมองมาสักระยะหนึ่งแล้ว ว่าถึงเวลาที่เราจะสร้างความชัดเจนให้กับตัวเอง เพื่อก้าวไปเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียม ระดับ Premium Mass
โดยล่าสุด ได้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ระดับซูเปอร์สตาร์ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” เรียกว่าเป็นการเปิดตัว Branding Campaign ภายใต้แนวคิด “My Life. My Origin” หรือ “ชีวิตในฝันแบบที่เป็นคุณ” พร้อมกับเปิดคอนโดฯใหม่อีก 4 โครงการ 3 แบรนด์ จำนวน 4,400 ยูนิตรวมมูลค่า 8,400 ล้านบาท ในครั้งนี้ด้วย
ผมต้องการเป็นแชมป์ตลาด Premium Mass เน้นลูกค้าที่ต้องการห้องระดับราคา 1.5-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั้นจำเป็นต้องหาคนดังมาช่วยผลักดัน และการดึง“ณเดชน์ คูกิมิยะ”มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อให้บริษัทฯมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจน สะท้อนตัวตนของแบรนด์โดดเด่นยิ่งขึ้น
ที่ผมเลือก “ณเดชน์” เพราะเขาเป็นคนธรรมดาที่มีสไตล์ เป็นคนที่นั่งกินส้มตำก็ยังหล่อ” ถือเป็นตัวแทนของคนทั่วไปที่มีทั้งมุมเนี๊ยบดูดี มุมเท่ มุมสบายๆไม่ต้องแต่งตัวหรูหรา เปรียบเทียบคอนโดฯแบรนด์เท่แบบเรียบอย่าง “ไนท์บริดจ์” แบรนด์ที่มีความทันสมัยหรือโมเดิร์นอย่าง “นอต-ติ้ง ฮิลล์” และแบรนด์เท่แบบลุยๆอย่าง “เคนซิงตัน” อีกทั้งยังเป็นคนที่ตั้งใจทำงานเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดและอ่อนน้อมถ่อมตนซึ่งก็ตรงกับวิธีการทำงานเหมือน “ออริจิ้น”
และภายหลังจากการเปิดตัวพรีเซนเตอร์ ที่สร้างแรงกระเพื่อมได้ไม่นาน ออริจิ้น ดังข้ามคืน เพราะ“ซื้อหุ้นพราว” หลังเมื่อแจ้งตลาดหลักทรัพย์อย่างเป็นทางการ โดยเป็นการผนึกกำลังกับตระกูลลิปตพัลลภ ซึ่งถือเป็นบิ๊กมูฟของวงการอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นการผนึกกำลังกันระหว่างผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งตลาดแมสและตลาดไฮเอนด์ ขณะเดียวกัน ยังตอบโจทย์การแข่งขันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันที่ต้องมีการพัฒนาให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ กระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งเป็นการรองรับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศด้วย
ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้ว 35 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 30,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก ขณะนี้เล็งที่ดินไว้แล้วย่านทองหล่อ คาดจะเปิดแผนรายละเอียดอย่างชัดเจนได้ในไตรมาส 3 ปีนี้ 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
แต่หากย้อนดูช่วงเวลาความสำเร็จที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า ออริจิ้น ไม่ธรรมดาทีเดียว การก้าวมายืนอยู่แถวหน้าในวงการอสังหาริมทรัพย์อย่างที่ฝันไว้จะได้หรือไม่นั้น คงต้องติดตามกันต่อไป…
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้าน คอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สิณีวรรณ เทศปัญ กองบรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sineewan@ddproperty.co