‘ภาษีน้ำหวาน’ หนทางสู่คนไทยสุขภาพดีจริงหรือ?

16 มิ.ย. 2560

การที่กระทรวงการคลังเดินหน้าจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานสุขภาพ หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีน้ำหวาน” นั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยเป็นกระแสมาแล้วตั้งแต่ปี 2559 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ราคาเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานมีราคาสูงขึ้น หรือปรับลดน้ำตาลลง ส่งผลต่อเนื่องให้ผู้บริโภคลดการบริโภคสินค้าดังกล่าวลง หรือลดปริมาณน้ำตาลที่ได้รับ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ที่สร้างภาระให้ประเทศต้องเสียค่าใช้จ่ายจากโรคเหล่านี้เป็นจำนวนมาก

‘น้ำหวาน’ เพิ่ม ‘เบาหวาน’ เพิ่ม ‘ภาระประเทศ’
ตลาดเครื่องดื่มในไทยมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งหลัก ๆ เป็นตลาดเครื่องดื่มที่มีรสหวาน โดยเครื่องดื่มในท้องตลาดเกือบทั้งหมดมีน้ำตาลมากกว่า 6 กรัม/มิลลิลิตร ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีความหวานมากเกินไป เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานในไทย

จากรายงานของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า อัตราเสียชีวิตด้วยโรคเบาหวานต่อประชากรแสนคน ในภาพรวมของไทยในปี 2556-2558 เท่ากับ 14.93, 17.53 และ 17.83 ตามลำดับ ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นทุกปี และจากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป เมื่อปี 2557 พบว่า ความชุกของโรคเบาหวาน เพิ่มสูงขึ้นเป็น 8.9% คิดเป็นจำนวนมากถึง 4.8 ล้านคน เทียบกับปี 2552 ซึ่งพบเพียง 6.9% หรือมีคนเป็นโรคเบาหวาน 3.3 ล้านคน รวมถึงจำนวนผู้มีภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นจาก 34.7% ในปี 2552 เป็น 37.5% ในปี 2557

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2551 พบว่า ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายผู้ป่วยนอกในการรักษาพยาบาลโรคเบาหวานเฉลี่ย 1,172 บาท/คน ส่วนผู้ป่วยในค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเฉลี่ย 10,217 บาท/คน รวมค่ารักษาพยาบาลทั้งสิ้น 3,984 ล้านบาท/ปี หากคนไทยป่วยด้วยโรคเบาหวาน 3 ล้านคน/ปี จะต้องเสียค่ารักษาพยาบาลทั้งสิ้นประมาณ 47,596 ล้านบาท/ปี

Sugar_02

เก็บภาษี 20-25% เครื่องดื่มทุกประเภทที่มีรสหวาน
การจัดเก็บภาษีความหวานของกรมสรรพสามิต จะจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานสุขภาพ อาทิ น้ำอัดลม ชาเขียว นมเปรี้ยว นมถั่วเหลือง กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังและเกลือแร่ น้ำผลไม้และน้ำพืชผัก รวมถึงเครื่องดื่มที่หวานตามธรรมชาติที่ไม่ได้ใส่น้ำตาลเพิ่มด้วย โดยจัดเก็บภาษี 2 อัตรา ตามความเข้มข้นของน้ำตาลคือ

– ปริมาณน้ำตาลมากกว่า 6-10 กรัม/100 มิลลิลิตร จัดเก็บภาษีไม่น้อยกว่า 20% ของราคาขายปลีก
– ปริมาณน้ำตาลมากกว่า 10 มิลลิกรัม/100 มิลลิลิตร จัดเก็บภาษีไม่น้อยกว่า 25% ของราคาขายปลีก

ส่วนแนวทางในการจัดเก็บภาษีความหวานนั้น จะให้ผู้ประกอบการเริ่มปรับเปลี่ยนส่วนผสมของน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ของตนเอง 2 ปี คือตั้งแต่ 16 กันยายน 2560-30 กันยายน 2562 ถ้าหากทำได้จะให้สิทธิผู้ประกอบการในการเสียภาษีเท่าเดิม แต่ถ้ารายใดไม่ปรับเปลี่ยนส่วนผสม หรือทำได้ช้ากว่านั้น จะเริ่มจัดเก็บภาษีแบบอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ยังได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ติดสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” เพื่อแสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่านการควบคุมปริมาณน้ำตาล ไขมัน และเกลือ ให้ลดลงอย่างเหมาะสมตามปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน เพื่อที่ผู้บริโภคจะได้ตัดสินใจง่ายขึ้น

แน่นอนว่าฝั่งที่ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ คือผู้ประกอบการเครื่องดื่มที่มีน้ำในตาลทั้งหมด โดยเฉพาะในตลาดชาเขียว และน้ำอัดลม ที่เตรียมปรับกลยุทธ์กันเต็มที่ แว่วว่ามองไว้ทั้ง 2 ด้าน คือ ลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มลง และการปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่ได้รับประโยชน์แน่ๆ คือผู้บริโภคที่มีตัวเลือกเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากขึ้น และประเทศที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 1 หมื่นล้านบาท/ปี

ขอบคุณภาพประกอบ : Pixbay

อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

“ธารารมณ์” จับตลาดบ้านหรูดึงดีมานด์ย่านรามคำแหง

อนาคตโซนฝั่งตะวันออกเป็นทั้งแหล่งเศรษฐกิจและการลงทุนด้านต่าง ๆ มากมา

อ่านต่อ16 มิ.ย. 2560