จากสถิติที่น่าตกใจพบว่า คนไทยเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่สูงถึงปีละกว่า 50,000 คน และทำให้ประเทศสูญเสียงบประมาณไปกับการรักษาผู้ป่วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียที่เกิดจากการสูบบุหรี่สูงถึง 74,884 ล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการคลอดพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีหลักใหญ่ใจความที่จะช่วยป้องกันเยาวชนไม่ให้เข้าสู่วงจรร้ายของการติดบุหรี่อันเนื่องมาจากกลยุทธ์การตลาดบุหรี่ที่หลากหลายขึ้น และเป็นการคุ้มครองสิทธิของเยาวชนและสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่
พ.ร.บ.ยาสูบฉบับใหม่ หยุดวงจรร้ายของการติดบุหรี่
กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ขึ้น เพื่อเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่จะช่วยป้องกันเยาวชนไม่ให้เข้าสู่วงจรร้ายของการติดบุหรี่อันเนื่องมาจากกลยุทธ์การตลาดบุหรี่ที่หลากหลายขึ้น และเป็นการคุ้มครองสิทธิของเยาวชนและสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และที่สำคัญอีกประการคือ ประเทศไทยเข้าร่วมรัฐภาคีตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO-FCTC) จึงจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์เท่าทันกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทบุหรี่ และแนวปฏิบัติตามกรอบอนุสัญญาดังกล่าว
มาตรการสำคัญ 9 ข้อ รู้ไว้…ไม่โดนปรับ
ประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมการบริโภคยาสูบอยู่เดิม 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 ซึ่งบังคับใช้มานานกว่า 25 ปี สำหรับ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 มีมาตรการสำคัญที่ประชาชนต้องรับทราบเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่ถูกต้อง ดังนี้
1. กำหนดห้ามขายหรือให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบแก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี
2. ห้ามให้บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นผู้ขายผลิตภัณฑ์ยาสูบ
3. ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบใน 4 กลุ่มสถานที่ ได้แก่ วัดหรือสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา สถานพยาบาลและร้านขายยา สถานศึกษาทุกระดับ สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และสวนสนุก ซึ่งหากเจ้าของพื้นที่หรือผู้ดูแลไม่แจ้งความเพื่อดำเนินคดีก็จะมีความผิดปรับ 3,000 บาท
4. กำหนดห้ามโฆษณาสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์ยาสูบในทุกรูปแบบ อาทิ พริตตี้ส่งเสริมการขายในงานคอนเสิร์ต
5. ห้ามผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาสูบทำกิจกรรม CSR อุปถัมภ์สนับสนุนบุคคล หรือองค์กร ที่เป็นการสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ยาสูบ
6. ห้ามตั้งวางโชว์ผลิตภัณฑ์ยาสูบหรือซองบุหรี่ ณ จุดขายปลีกที่ทำให้ผู้บริโภคหรือประชาชนมองเห็น
7. ห้ามแบ่งซองขายบุหรี่เป็นรายมวน
8. เพิ่มโทษผู้ฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่เป็นปรับไม่เกิน 5,000 บาท (จากปรับไม่เกิน 2,000 บาท)
9. กำหนดหน้าที่ให้เจ้าของสถานที่สาธารณะที่เป็นเขตปลอดบุหรี่ มีหน้าที่ต้องประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือน ดูแลให้ไม่มีการฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ หากฝ่าฝืนไม่ดำเนินการ เจ้าของสถานที่มีโทษปรับไม่เกิน 3,000 บาท (จากเดิมไม่มีโทษปรับ)
การควบคุมมีผลลดนักสูบลงได้
จากการรณรงค์ การใช้นโยบายขึ้นภาษี และพ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ อย่างต่อเนื่องช่วยลดผู้สูบบุหรี่หน้าใหม่ และหน้าเก่าลงได้จริง สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจสถานการณ์การสูบบุหรี่ของคนไทยย้อนหลัง 23 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเมื่อปี 2534 คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีจำนวน 38.5 ล้านคน ในจำนวนนี้มีคนสูบบุหรี่ 12.3 ล้านคน ขณะที่ผลสำรวจปี 2558 คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีจำนวนเพิ่มเป็น 56.1ล้านคน แต่มีคนสูบบุหรี่ 10.9 ล้านคน นั่นคือ จำนวนคนไทยที่สูบบุหรี่ลดลง สวนทางกับจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 17.6 ล้านคน ในระหว่างปี 2534-2558 ขณะที่จำนวนคนที่สูบบุหรี่ไม่เพียงแต่ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่กลับลดลงเหลือ 10.9 ล้านคน นอกจากนี้ ปริมาณการสูบบุหรี่/ประชากร/ปี ในปี 2534 เท่ากับ 50.44 ซอง แต่ในปี 2558 ปริมาณการสูบบุหรี่ลดลงมาอยู่ที่ 39 ซอง/ประชากร/ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความพยายามควบคุมยาสูบที่ผ่านมา ส่งผลให้ทั้งจำนวนผู้สูบบุหรี่และจำนวนบุหรี่ที่สูบต่อหัวประชากรต่อปีลดลง
ต่างประเทศกับกฎหมายคุ้มครองคนไม่สูบบุหรี่
สมาชิกขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เริ่มกำหนดให้วันที่ 31 พฤษภาคม เป็นวันงดสูบบุหรี่โลกขึ้นมา ตั้งแต่ปี 2531 โดยได้มีการตั้งเป้าหมายว่าจะลดจำนวนการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ลงจำนวน 3.5 ล้านคน/ปี ซึ่งในหลายประเทศมีการเคลื่อนไหวโดยการประกาศห้ามการสูบบุหรี่ อาทิ อังกฤษลงมีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในรถที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีโดยสารอยู่ด้วย ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษปรับ 50 ปอนด์ หรือประมาณ 2,200 บาท รัฐแคลิฟอร์เนีย และอีกหลายรัฐในสรัฐอเมริกา หน่วยงานที่ดูแลที่พักอาศัยของรัฐกำหนดให้อาคารที่มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่มีกฎห้ามสูบบุหรี่ภายในห้องพักโดยเฉพาะรวมทั้งในหอพักและอพาร์ตเมนต์
สำหรับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้สูบบุหรี่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยมีร้านอาหารบางร้านสามารถนั่งสูบบุหรี่ในร้านได้ แม้ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นจะพยายามออกกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ภายในตัวอาคารทั้งหมด แต่ก็ยังอยู่ในระหว่างวางแผนเท่านั้น โดยคาดว่าจะประกาศใช้ให้ได้ภายในปี 2020 หรือก่อน Tokyo Olympic แต่ก็มีกระแสต่อต้านไม่น้อยจากสมาชิกรัฐสภาซึ่งเป็นผู้สูบบุหรี่และจากอุตสาหกรรมยาสูบ
สรุปแล้วกฎหมายฉบับนี้มุ่งคุ้มครองผู้ไม่สูบบุหรี่ และต้องการลดนักสูบหน้าใหม่ลง ซึ่งกฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนนั้นก็คงอยู่ที่ผู้บังคับใช้กฎหมายที่จะต้องเข้มงวดกวดขัน รวมถึงการให้ความร่วมมือและการมีจิตสาธารณะของนักสูบชาวไทยนั่นเอง
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน