ในปีที่ผ่านมาจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ทำให้หลาย ๆ บริษัทผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องทำการบ้านกันอย่างหนักหน่วงเพื่อให้โครงการขายได้ แม้ว่าในช่วงปลายปีกำลังซื้อจะเริ่มกลับมาและตลาดมีการเติบโตเพิ่มขึ้น แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2561 ซึ่งเป็นปีที่มีปัจจัยท้าทายบริษัทผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายด้านเช่นเดียวกับในปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นภาพหลายๆ บริษัท เตรียมวางกลยุทธ์แก้เกมเพื่อแข่งขันกันตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด
จับตลาดใหม่-รุกต่างประเทศ
กลยุทธ์หนึ่งที่เห็นได้จากผู้ประกอบการหลาย ๆ บริษัท คือ การเจาะกลุ่มตลาดใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจหลังจากที่ตลาดเดิม ๆ มีภาวะซบเซา หรือมีผู้เล่นเป็นจำนวนมากแล้ว อาทิ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งเป้าจะเปิดโครงการใหม่อย่างน้อย 7 โครงการ มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยจะเป็นครั้งแรกของการบุกตลาดทั้งโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรีจับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์และชาวต่างชาติ โครงการแนวราบพัฒนาในรูปแบบทาวน์โฮม และโครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise เพื่อปรับตัวรับการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้น ด้วยการขยายสินค้าไปในทุกสินค้า ทุกระดับราคา สร้างความยืดหยุ่นและบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
เช่นเดียวกับ บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) ที่วางแผนว่าในปี 2561 จะเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท โดยกลยุทธ์หนึ่งคือการเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศ อาทิ จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการวางแผนทำการตลาดในระดับ International เพื่อสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน
แข่งขันด้วยนวัตกรรมที่อยู่อาศัย
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาให้ความสำคัญคือการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุค 4.0 ที่เปลี่ยนไป อาทิ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่วางแผนเปิดตัวโครงใหม่ 18 โครงการ มูลค่ากว่า 23,000 ล้านบาท เตรียมตอกย้ำภาพผู้นำด้านพลังงานทดแทนหลังจากที่ผ่านมาได้นำพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์มาติดตั้งในโครงการซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนกลาง โดยต่อยอดรับนวัตกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) ตั้งเป้าเป็น “The First EV ready” จับกลุ่มลูกค้าบ้าน Segment 5-10 ล้านบาทเจ้าแรกของไทย นำร่อง 2 โครงการ ประกอบด้วย เสนา พาร์คแกรนด์ รามอินทรา-วงแหวน และเสนา พาร์ค วิลล์ รามอินทรา-วงแหวน
ขณะที่ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 18 โครงการ มูลค่ารวม 36,300 ล้านบาท จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัยมากขึ้นด้วยระบบ PRO License Plate เทคโนโลยีกล้องสแกนป้ายทะเบียนรถ Visitor ทุกคันที่เข้า-ออก โครงการ สามารถตรวจสอบวัน เวลา และสถานที่ปลายทาง ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และระบบ Face Detection ระบบกล้องตรวจจับใบหน้า ใช้สำหรับคนงาน ที่เข้า-ออกภายในโครงการ โดยระบบสามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้รวดเร็วและแม่นยำ พร้อมตรวจสอบบุคคลภายนอกที่ไม่ได้ลงทะเบียนเป็นคนงาน ทำให้ลูกบ้านมั่นใจได้ ถึงความปลอดภัยภายในโครงการ
ปิดท้ายด้วย บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งปีนี้จะวางแผนจะเปิดโครงการใหม่ 35 โครงการ มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท จะนำระบบ Home automation ระบบ Home security เข้ามาใช้ในโครงการ รวมทั้งยังเดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัยให้เอื้ออำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้สูงอายุมากขึ้น
จะเห็นได้ว่าภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แต่ละบริษัทเริ่มปรับเปลี่ยนจากการใช้โปรโมชั่นเข้าห้ำหั่นกันเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่เป็นการใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมให้บริการดีขึ้น รวมทั้งการขยายตลาดไปสู่ตลาดใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น และได้รับผลประโยชน์ในท้ายที่สุด
ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจซื้อหรือขายหรือให้เช่าหรือเช่าอสังหาฯ ในโซนรถไฟฟ้าสายอนาคต ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งอีกหนึ่งแหล่งที่น่าสนใจคือรายงานดัชนีอสังหาฯ DDproperty Property Index และ
รายงานภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ DDproperty Property Market Outlook
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน