ไฮไลท์…
– เร่งเวนคืนที่ดินภายใน 1-2 ปี บริเวณแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู-ส้ม
– ครม. ไฟเขียวเดินหน้าเวนคืนที่ดิน บริเวณแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงและน้ำตาล
– มูลค่าของอสังหาฯ ที่ถูกเวนคืน จะถูกตีราคาเปรียบเทียบกับที่ดินในตลาด
[สกู๊ปพิเศษ] ท่ามกลางการพัฒนาพื้นที่โซนชานเมืองให้รองรับความเจริญของกรุงเทพฯ ด้วยแผนเร่งขยายเส้นทางให้บริการรถไฟฟ้าครอบคลุมทั่วประเทศ รวมไปถึงโซนต่างจังหวัดอันเป็นพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างทางฝั่งภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเป็นการเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงกับ 3 ท่าอากาศยาน ซึ่งล้วนแล้วอยู่ในโซนแผนเมกะโปรเจกต์ที่สำคัญ จึงทำให้ภาครัฐต้องอัดเม็ดเงินจำนวนมากเพื่อเวนคืนที่ดินและเร่งการก่อสร้างให้เสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ประชาชนถึงความคุ้มค่าของจำนวนเงินที่ได้รับจากการถูกเวนคืนที่ดินหรือสินทรัพย์เพื่อแลกกับความเจริญของพื้นที่บริเวณนั้นในอนาคต
ราชกิจจานุเบกษากำหนดเขตที่ดินแนวรถไฟฟ้าเหลือง-ชมพู-ส้ม โดนเวนคืน!
ช่วงปลายปี 2559 เชื่อว่าใครที่อยู่แนวการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู-ส้ม เป็นต้องหวาดหวั่นวิตกกังวลกับการประกาศด่วน เกี่ยวกับราชกิจจานุเบกษากำหนดเขตที่ดินถูกเวนคืน ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
– เวนคืน เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรง
กำหนดให้เวนคืนที่ดินบริเวณท้องที่ในเขตจตุจักร ห้วยขวาง วังทองหลาง บางกะปิ สวนหลวง ประเวศ บางนา กรุงเทพมหานคร บริเวณอำเภอบางพลี และอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า สถานที่จอดรถผู้โดยสาร และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรง โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดฉบับเต็มได้ที่นี่
– เวนคืน เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี
กำหนดให้เวนคืนที่ดินบริเวณท้องที่เขตหลักสี่ บึงกุ่ม คันนาบาว มีนบุรี กรุงเทพมหานคร อำเภอเมือง และอำเภอ ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า สถานที่จอดรถผู้โดยสาร และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดฉบับเต็มได้ที่นี่
– เวนคืน เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์)
กำหนดให้เวนคืนที่ดินบริเวณท้องที่เขตห้วยขวาง บางกะปิ สวนหลวง สะพานสูง มีนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า สถานที่จอดรถผู้โดยสาร และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดฉบับเต็มได้ที่นี่
ทั้งนี้การออกประกาศราชกิจจานุเบกษาแบบเร่งด่วน เพื่อให้กระบวนการขั้นตอนเวนคืนรวดเร็ว เอื้ออำนวยต่อการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 3 สาย ให้ตรงตามกำหนด โดยใช้ระยะเวลา 1-2 ปีในการเวนคืนแล้วเสร็จ โดยที่เจ้าของที่ดินหรือที่อยู่อาศัยที่โดนเวนคืน ต้องมาแจ้งกับรฟม. ภายใน 60 วัน
Next Station พื้นที่ต่อไปเตรียมตัวถูกเวนคืน
ด้วยแผนความต้องการเดินหน้าพัฒนาแผนคมนาคมของภาครัฐ จึงทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาหลายเขตพื้นที่พบกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความเจริญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือการถูกเวนคืน ล่าสุดในปี 2561 นี้ คณะรัฐมนตรีเปิดไฟเขียวเดินหน้าแผนเวนคืนที่ดินอีกครั้ง เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และสายสีน้ำตาลช่วงแคราย-ลำสาลี โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
– ที่ดินถูกเวนคืน เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ
กำหนดให้เวนคืนที่ดินบริเวณท้องที่เขตบางซื่อ ดุสิต พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ ธนบุรี คลองสาน จอมทอง ราษฎร์บูรณะ ทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า สถานที่จอดรถผู้โดยสาร และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงที่รฟม. รับฟังความคิดเห็นของประชาชน
– ที่ดินถูกเวนคืน เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลช่วงแคราย-ลำสาลี
กำหนดให้เวนคืนที่ดินบริเวณจุดขึ้น-ลงสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ซึ่งมีทั้งหมด 20 สถานี รวมไปถึงพื้นที่ที่ใช้เป็นศูนย์ซ่อมบำรุง นั้นคือบริเวณจุดตัดทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ รวมพื้นที่ 44.3 ไร่ ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีมูลค่าราคาที่ดินค่อนข้างสูง จึงทำให้รฟม. อาจจะต้องจ่ายค่าชดเชยเวนคืนที่ดินถึง 10,000 ล้านบาท
นอกจากมีการประกาศเดินหน้าเวนคืนที่ดินภายในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลแล้ว ยังมีโซนต่างจังหวัด ซึ่งตั้งอยู่ในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยตามแผนเมกะโปรเจกต์จะมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบินนั่นคือ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา จึงทำให้เกิดการเวนคืนที่ดินบริเวณทางเชื่อมเข้าสุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา โดยจะต้องศึกษาผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม (EIA) เพิ่มเติม ทั้งนี้มีการกำหนดให้บริเวณสถานีฉะเชิงเทรา เป็นศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าความเร็วสูง จึงจำเป็นต้องเวนคืนที่ดิน 400 ไร่
แน่นอนว่าการเวนคืนที่ดินต้องสูญเสียที่อยู่อาศัยของตนเองไป ซึ่งทางภาครัฐได้เข้าใจต่อปัญหาดังกล่าว จึงมีการจ่ายค่าทดแทนให้ตามมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ และจะกำหนดราคาด้วยการเปรียบเทียบที่ดินในตลาด โดยพิจารณาปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลกับราคาทรัพย์สิน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพ การใช้ประโยชน์ ทำเลที่ตั้ง และคุณภาพสิ่งแวดล้อม การคมนาคม สาธารณูปโภค และสาธารณูปการ ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมแก่ประชาชน
เรื่องข้างต้นเขียนโดย อารยา ศิริพยัคฆ์ Senior Digital Content Producer ประจำเว็บไซต์ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ araya@ddproperty.com
ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจซื้อหรือขายหรือให้เช่าหรือเช่าอสังหาฯ ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งอีกหนึ่งแหล่งที่น่าสนใจคือรายงานดัชนีอสังหาฯ DDproperty Property Index และ
รายงานภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ DDproperty Property Market Outlook
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน