กระทรวงแรงงาน เยียวยาลูกจ้าง-นายจ้าง จากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ด้วยหลากหลายมาตรการ อาทิ ลดจ่ายเงินประกันสังคม จัดหาตำแหน่งงานว่าง พัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
โดยมาตรการสำคัญที่ช่วยเหลือทั้งฝั่งลูกจ้างและนายจ้างก็คือการลดจ่ายเงินประกันสังคม ซึ่งเงินประกันสังคมนั้นคือ การจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เป็นข้อบังคับตามพระราชบัญญัติประกันสังคม กำหนดให้ผู้ประกันตน มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม เพื่อรับผิดชอบในการเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาลที่ดี และมีรายได้อย่างต่อเนื่อง
ลดเงินสมทบประกันสังคมเหลือ 4%
ล่าสุด กระทรวงแรงงานกำหนดให้ปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคมในส่วนของนายจ้างและลูกจ้าง หรือผู้ประกันตนมาตรา 33 เหลือฝ่ายละ 4% จากเดิมที่กำหนดให้นำส่งฝ่ายละ 5% เป็นเวลา 6 เดือน
ระยะเวลาโครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคม-สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 เพื่อลดภาระ เป็นมาตรการเยียวยาทั้งลูกจ้างและนายจ้างจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19
หมายเหตุ: เงินสมทบ คือ เงินที่นายจ้าง ลูกจ้าง ต้องนำส่งกองทุนประกันสังคมทุกเดือน โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 คือ กลุ่มที่ทำงานประจำ พนักงานบริษัทเอกชนทั่วไป โดยปกติจะต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุน คิดเป็นสัดส่วนดังนี้
ลูกจ้าง 5% + นายจ้าง 5% + รัฐบาล 2.75% ของฐานเงินค่าจ้าง
ขั้นต่ำตั้งแต่เดือนละ 1,650 บาท แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 39 (ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ) จะต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคม 7% จากเดิม 9%
เงินที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบ คือ เดือนละ 4,800 บาทเท่ากันทุกคน โดยคิดจากอัตราเงินสมทบ 7% ดังนี้
4,800 x 7% = 336 บาทต่อเดือน (หากเสียในอัตรา 9% จะต้องเสีย 432 บาทต่อเดือน)
มนุษย์เงินเดือนกู้ซื้อบ้านได้มากแค่ไหน
อัปเดตเงินเหมาจ่ายรายหัวปี 2563
เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคมฯ ได้ให้ความเห็นชอบการปรับอัตราค่าบริการทางการแพทย์ ปี 2563 ให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญาในระบบประกันสังคม ในปี 2563 ซึ่งปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมมีสถานพยาบาลเข้าร่วมโครงการ จำนวน 242 แห่ง แบ่งเป็น
– สถานพยาบาลของรัฐ จำนวน 163 แห่ง
– สถานพยาบาลเอกชน จำนวน 79 แห่ง
เพื่อให้ผู้ประกันตนได้เกิดความมั่นใจในการรับบริการทางการแพทย์ ซึ่งในการปรับอัตราค่าบริการทางการแพทย์ ปี 2563 ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายกรณีค่าบริการทางการแพทย์ โดยเฉลี่ยอัตรา 3,959 บาท/คน/ปี ดังนี้
1. ค่าบริการทางการแพทย์ที่เหมาจ่ายให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญา
– กรณีเหมาจ่าย ให้แก่สถานพยาบาลตามจำนวนผู้ประกันตนที่ขึ้นทะเบียน อัตรา 1,640 บาท/คน/ปี
– กรณีผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (Adjusted Relative weight: AdjRW มากกว่าหรือเท่ากับ 2) อัตรา 746 บาท/คน/ปี
– กรณีผู้ป่วยนอก ที่สถานพยาบาลต้องมีภาระการรักษาผู้ประกันตนป่วยด้วยโรคเรื้อรังอัตรา 453 บาท/คน/ปี
รวมจ่ายให้สถานพยาบาลคู่สัญญา อัตรา 2,839 บาท/คน/ปี
2. ค่าบริการทางการแพทย์นอกเหนือเหมาจ่าย
แยกกรณีอุบัติเหตุ ฉุกเฉิน ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์บำบัดรักษาโรค การรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะทาง การบำบัดทดแทนไต ค่ายานอกบัญชียาหลัก จ(2) ค่ายาต้านไวรัส ค่ายามะเร็งและรังสีรักษา กรณีปลูกถ่ายไขกระดูก กรณีเปลี่ยนกระจกตา กรณีปลูกถ่ายอวัยวะ กรณีทันตกรรม (อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูด ฟันเทียม) กรณีส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ค่าบริการฝากครรภ์ กรณีค่ารักษาพยาบาลสูงเกิน 1 ล้านบาท ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้พิการที่เป็นผู้ประกันตน
ทั้งนี้ การปรับอัตราค่าบริการทางการแพทย์ในครั้งนี้ เหตุจากสำนักงานประกันสังคมมีผู้ประกันตนที่สูงอายุเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ภาวะเงินเฟ้อ อัตราค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีราคาสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนในการรักษาเพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้สถานพยาบาลคู่สัญญาต้องรับภาระค่าใช้จ่าย และให้การดูแลผู้ประกันตนที่มีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจในการรับบริการทางการแพทย์
เงินสมทบกองทุนประกันสังคม คุ้มครอง 7 กรณี
สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 จะได้รับความคุ้มครอง มีดังนี้
1. กรณีเจ็บป่วย/อุบัติเหตุ
2. กรณีทุพพลภาพ
3. กรณีเสียชีวิต
4. กรณีคลอดบุตร
5. กรณีสงเคราะห์บุตร
6. กรณีชราภาพ
7. กรณีว่างงาน (ผู้ประกันตนมาตรา 39 ไม่ได้รับการคุ้มครองกรณีนี้)
อัปเดตสิทธิประกันสังคมมนุษย์แม่ เงินเหลือใช้ ผ่อนบ้านสบาย
มาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ ช่วยเหลือลูกจ้าง
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานยังมีมาตรการอื่น ๆ ที่เตรียมไว้ช่วยเหลือ ได้แก่
1. ตรวจสอบสิทธิประโยชน์การเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ ให้แก่แรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาด หากเป็นสมาชิกฯ มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนเนื่องจากโรคระบาดที่ทางการของประเทศของประเทศนั้น ๆ ประกาศแล้ว จำนวน 15,000 บาท
2. จัดหางานตำแหน่งงานว่าง 81,562 อัตรา และจ้างบัณฑิตจบใหม่มาเป็นผู้ประสานงานโครงการของกระทรวงแรงงานในระดับพื้นที่
3. พัฒนาทักษะฝีมือให้แรงงานในระบบจากเดิม 70,000 คน ฝึกอบรมเพิ่มอีก 30,000 คน รวมฝึกได้ทั้งสิ้น 100,000 คน
4. พัฒนาทักษะฝีมือให้แรงงานนอกระบบจากเดิม 100,000 คน ฝึกอบรมเพิ่มอีก 20,000 คนรวมฝึกได้ทั้งสิ้น 120,000 คน
5. โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน ตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงานประกันสังคมและธนาคารพาณิชย์ โดยให้สถานประกอบกิจการยื่นขอสินเชื่อในดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด วงเงิน 30,000 ล้านบาท สิ้นสุดโครงการเดือนธันวาคม 2563
6. อยู่ระหว่างศึกษาและพิจารณาร่วมกัน 3 กองทุนสุขภาพ ได้แก่ สำนักงานประกันสังคม (สปส.), สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรมบัญชีกลาง สำหรับการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เพิ่มให้กับสถานพยาบาลที่ให้การรักษาผู้ประกันตนที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19 ให้ได้รับบริการอย่างทั่วถึงและเพียงพอ
7. แจ้งเวียน สปส.กรุงเทพฯ/จังหวัด/สาขา และสถานพยาบาลประกันสังคมทั่วประเทศ เพื่อซักซ้อมแนวปฏิบัติในการให้บริการรักษาพยาบาล กรณีผู้ประกันตนเข้ารับการรักษาโรคโควิด-19
8. ส่งเสริมให้สถานประกอบการพัฒนาฝีมือแรงงานพนักงาน ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เงินกู้และเงินอุดหนุนจากกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน
เช็กสินเชื่อธนาคารรัฐ-พาณิชย์ ช่วยลูกหนี้โดนผลกระทบโควิด-19
ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนราชการของภาครัฐที่ออกมาเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด เมื่อรวมกับมาตรการช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่น ๆ คาดว่าจะช่วยให้ประชาชนผ่านพ้นวิกฤตเหล่านี้ไปได้
สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า