ตอกเข็มสั้นๆมีค่าเท่ากับ"สูญ"

Kanchana Paha20 ม.ค. 2559

Temple of dawn

“พระปรางค์วัดอรุณที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ก็โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยเป็นผู้สร้าง ท่านให้ขุดพื้นดินลึกลงไป ปรับให้เสมอกันดีแล้วให้เอาซุงทั้งต้นมาวางเป็นตารางจนเต็ม ในช่องว่างสี่เหลี่ยมระหว่างซุงนั้นให้เอาตุ่มสามโคกใบใหญ่ ๆ คว่ำลง อัดลมไว้ในนั้น แล้วเริ่มก่อสร้างจากนั้นขึ้นมา ยังคงทนไม่ทรุดไม่เอนอยู่จนทุกวันนี้ ” จากหนังสือ “โครงกระดูกในตู้ ” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

ช่วงหลังปีใหม่มานี้มีลูกค้าโทรเข้ามาถามผมไม่น้อย เกี่ยวกับการสร้างอาคาร หรือบ้านระบบวอลรัส กับการเลือกระบบฐานราก มีคำถามว่า ควรเจาะเข็มเพื่อความแข็งแรง หรือป้องกันการทรุดตัวในภายหลังของอาคารหรือไม่ วันนี้ผมเลยอยากจะแชร์ความรู้เรื่องระบบฐานราก และการเจาะเข็มให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน

อย่างที่หลายๆ ท่านทราบครับว่า ชั้นดินกรุงเทพฯ (และปริมณฑล) ทุกพื้นที่เป็นชั้นตะกอนเกิดใหม่ ในการเจาะเข็มเพื่อทำฐานรากจึงต้องเจาะขุดลงไปลึกมากๆ จึงจะถึง “ชั้นดาน” ที่แข็งแรงพอจะรองรับน้ำหนักอาคารคอนกรีตได้ในระยะยาว ซึ่งการใช้ฐานรากแบบ “เข็มเจาะ – เข็มตอกจนถึงชั้นดาน” นั้นต้องแลกมาด้วยราคาแพงมากๆ เสมือนเราเอาเงินหลักแสนไปฝังดินทิ้งไว้ทีเดียว

เราไม่ปฏิเสธครับว่า คนรุ่นใหม่เกิดมาในยุคอาคารสูงขนาดใหญ่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการทำฐานแผ่ (Mat Foundation) สำหรับอาคารน้ำหนักมหาศาลนั้นค่อนข้างแพงกว่าฐานลงเข็ม (Pile Foundation) เราจึงใช้ความคุ้นชินว่า “เสาเข็มต้องดีกว่าฐานรากชนิดอื่นๆ” โดยไม่ได้พิจารณาความจำเป็นในการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับหน้างานของเราเอง

และทั้งหมดนี้ จึงเป็นที่มาของเสาเข็มต่อเติมบ้าน ที่ยาวเพียง 2 – 6 เมตร ที่ผู้รับเหมาในงานสร้างหรือต่อเติมขนาดเล็กๆ มักแนะนำเจ้าของบ้าน เพราะตัวเองทำงานง่ายและเจ้าของบ้านก็อยากประหยัดเงิน (ในส่วนฐานรากใต้ดินที่ตนเองมองไม่เห็น) โดยมากใช้วิธีขย่มด้วยน้ำหนักตัวคนงาน หรือรถแมคโครขนาดเล็กกดย้ำหัวลงไป

ซึ่งจริงๆ แล้วการใช้เสาเข็มสั้น ๆ ลักษณะนี้ หากจะให้เกิดผลดีที่สุด ต้องตอกเข็มถี่มากๆ เพื่อให้เกิดแรงเสียดทานที่ชั้นดินด้านบน (Fiction) มากพอที่จะเกิดการกระจายน้ำหนักมาช่วยรับน้ำหนักของโครงสร้างอาคารคอนกรีตด้านบนที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งก็แลกกับต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงมากอยู่ดี และไม่มีอะไรมารับประกันเจ้าของบ้านได้ว่า ชั้นดินด้านล่างจะหยุดการไหลอยู่ดี การทรุดตัวอาจเกิดช้ากว่าการตอกเป็นจุดๆ แต่อาจทรุดได้เช่นกัน

ที่ร้ายกว่านั้นคือ ในงานต่อเติมอาคารคอนกรีตโดยช่างรับเหมาทั่วๆ ไปที่ขาดความรู้ มักนำโครงสร้างอาคารที่ต่อเติมใหม่ไปยึดติดกับอาคารเดิม ทำให้เกิดการ “ฉีก” ของส่วนต่อเติมในระยะเวลาสั้นเพียง 2-3 ปีเท่านั้น และทางออกที่ดีที่สุดมักเป็นการ “รื้อส่วนต่อเติมนั้นทิ้ง” เพื่อรักษาสภาพของอาคารเดิมไว้

พระปรางค์โบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่าง “พระปรางค์วัดอรุณฯ” ซึ่งสร้างสำเร็จในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ก็ใช้ “ฐานแผ่” แบบช่างโบราณที่มีความเข้าใจลึกซึ้งถึงพฤติกรรมของชั้นดินในกรุงเทพฯ ก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทยถึงปัจจุบันนะครับ ตามจดหมายเหตุที่เล่าไว้โดยหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่กล่าวไว้ข้างต้น

นอกจากนั้นอาคารตึกแถวเก่าแก่เป็นร้อยปี อาทิ

• ตึกยาวสวนกุหลาบวิทยาลัย (สร้างเสร็จ พ.ศ. 2454 – 105 ปี) ฐานรากเป็นท่อนซุงขนาดใหญ่เรียงกันเป็นแพ
• ตึกแถวย่านเยาวราช (อาคาร 7-9 ชั้นส่วนมากมีอายุเกิน 70 ปี) ฐานรากเป็นท่อนซุงไม้สัก

จะสังเกตได้ว่าฐานแผ่มีความเหมาะสมในการรับแรงบนชั้นดินอ่อนนุ่มในกรุงเทพฯ (และปริมณฑล) มากกว่าสำหรับการสร้างอาคารขนาดเล็ก, อาคารชั้นเดียว, อาคารที่มีเทคโนโลยีการก่อสร้างที่มีน้ำหนักเบา และการต่อเติมอาคารทั่วๆ ไป โดยเฉพาะถ้าพิจารณาเรื่อง “ความคุ้มค่า – ความคงทนถาวร – ระยะเวลาการทรุดตัว”

หากจะสร้างอาคาร ลองพิจารณาทฤษฎีเรื่องการเจาะเข็มเพื่อความเสริมความแข็งแรงดูอีกครั้งนะครับ
ภาพ: วัดอรุณราชวราราม โดย Somphop Nithipaichit via commons.wikimedia.org


เกี่ยวกับผู้เขียน

พงษ์ธร ปัทมจินตธำรง กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งบริษัทวอลรัส โฮม จำกัด www.walrushome.net หากมีข้อสงสัยหรือคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ walrushome@gmail.com

อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่

 

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ