เปิดปมโมเดลธุรกิจ “ฮับบ้า”ผู้บุกเบิก Co-working Space

1 พ.ค. 2559

Startup  คือ บริษัทที่เริ่มเปิดใหม่จากคนเพียงไม่กี่คน เช่นกลุ่มนักลงทุน กลุ่มที่ทำงานอิสระ หรือ Freelance  หรือแม้กระทั่งบริษัทด้านไอทีชื่อดังหลายแห่ง เช่น Facebook ,  Instagram ก็เริ่มต้นจากการเป็น Startup แต่ปัญหาหลักของการเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่นั้น ก็คือ ปัญหาเรื่องของเงินทุนในการตั้งบริษัท

ซึ่งในการเป็นรูปแบบบริษัท หรือ สถานที่ทำงานจำเป็นต้องมีทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายใน ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุม พื้นที่เล็กๆ ในการพักผ่อนของพนักงาน และนี่จึงเป็นที่มาของธุรกิจอย่าง Co- working Space ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และรายแรกๆ ที่นำธุรกิจนี้มาใช้ ชื่อว่า “ฮับบา” (Hubba)

แต่ก่อนอื่นมาทำความ รู้จักกับ “ฮับบ้า”ผู้บุกเบิก Co-working Space ในไทยกันซะก่อนว่าคืออะไร

ชาร์ล เจริญพันธ์ หนึ่งในสองพี่น้องของผู้ก่อตั้งฮับบา เริ่มอธิบายให้ฟังว่า จริง ๆ แล้ว “ฮับบ้า” เป็นพื้นที่สำหรับคนบ้ามาร่วมตัวกัน คนบ้าในการคิดไอเดียใหม่ ๆ หลีกหนีการทำงานรูปแบบเดิมๆ ซ้ำซากจำเจ รวมทั้งเป็นสถานที่ทำงานสำหรับผู้ประกอบการในช่วงเริ่มต้นและผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ไม่ได้ให้แค่พื้นที่ในการทำงาน ห้องประชุม หรืออินเทอร์เน็ตเท่านั้น แต่ยังให้สภาพแวดล้อมของการทำงานที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ มีกลุ่มคนที่มีจิตวิญญาณในการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพได้รับความรู้ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากคอมมูนิตี้ อีเวนต์ต่างๆ ได้รับความสนุกสนาน ผ่อนคลาย และเป็นกันเองของพนักงาน และคนใน Coworking Space มีโอกาสในการเจอ Business Partner หรือ Co-Founderรวมทั้งยังได้เพื่อนใหม่ในสายงานอาชีพต่างๆ

แต่จริงๆ แล้ว ฮับบ้าเกิดขึ้นจากความรู้สึกของคนที่ชอบทำงานอาชีพอิสระ แต่ไม่ชอบการอยู่ที่บ้าน หรือต้องการสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน ปัจจุบันจึงมักจะเห็นกลุ่มคนลักษณะนี้ตามร้านกาแฟต่าง ๆ ประเด็นสำคัญก็คือ สถานที่เหล่านั้นอาจไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต wi-fi  ปลั๊กไฟไม่มีบ้างหรือแสงสว่างไม่เพียงพอ ล้วนแล้วแต่ปัญหาใยการทำงานทั้งสิ้น

และหน้าที่ของ “ฮับบ้า” คือช่วยสนับสนุนในเรื่องของสถานที่ทำงานของคนในวงการ Startup นั่นเอง”

ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันเทรนด์คนรุ่นใหม่เข้าสู่ยุค “Sharing Economy” เหตุต้องการใช้บริการด้านต่างๆ มากกว่าจะเป็นเจ้าของเอง  นายอมฤต เจริญพันธ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮับบ้า จำกัด ผู้นำด้าน Co-Working Space กล่าวว่า ช่วงระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาตลาด Co-Working Space ในประเทศไทยมีการเติบโตด้านปริมาณอย่างก้าวกระโดด

จากที่มีจำนวนเพียง 4 แห่งในปี 2555 เพิ่มเป็น 12 แห่งในปี 2556 และ 20 แห่งในปี 2557 ก่อนจะเพิ่มเป็นกว่า 60 แห่งในปี 2558 โดยคาดว่าในปี 2559 จะเติบโตขึ้นเป็นเท่าตัว หรืออย่างน้อย 120 แห่ง ปัจจัยที่ทำให้ตลาดมีการเติบโตสูงเนื่องจากนั้น เกิดจากไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงานของคนรุ่นใหม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดเป็นระบบเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน หรือ Sharing Economy เพราะมีความต้องการใช้บริการด้านต่างๆ ในปริมาณที่สูงมากกว่าที่จะเป็นเจ้าของเองทั้งในด้านรถจักรยาน รถยนต์ สถานที่ทำงาน ตลอดจนที่พักอาศัย “กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอิทธิพลต่อตลาด Co-Working Space คือ คนยุคมิลเลนเนียลอายุต่ำกว่า 35 ปี ซึ่งมีผลวิจัยว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือปี 2568 จะเป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่มีสัดส่วนสูงถึง 75% ของประชากรทั้งโลก

เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีความต้องการเป็นผู้ประกอบการส่วนตัวสูงทั้งในลักษณะธุรกิจ SME และ Startup รวมถึงการทำงานอิสระ หรือ Freelance โดยให้ความสำคัญในเรื่องความสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงาน หรือ Work Life Balance ทั้งยังมีความชื่นชอบเรื่องการเดินทางโดยไม่ยึดติดกับสถานที่ ตลอดจนมีพฤติกรรมการใช้งานสื่อดิจิตอลอยู่ตลอดเวลา
node 33

สำหรับเป้าหมายของ ฮับบ้า เราหวังว่าจะเป็นผู้นำตลาด Co-Working ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน จึงร่วมมือกับ บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด เจ้าของเว็บไซต์ prop2morrow  สื่ออสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม NODE เพื่อทำตลาดผ่านช่องทางเว็ปไซต์ www.findmynode.com

สำหรับ NODE แล้ว จุดเด่นคือ ราคาค่าบริการที่ต่ำกว่าการเช่าพื้นที่สำนักงานอาคารทั่วไปประมาณ 60% ขณะเดียวกันยังเป็นเสมือนตลาดนัดพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ว่าง ด้วยการเปิดโอกาสให้เจ้าของพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ว่างในรูปแบบต่างๆ ร่วมลงทะเบียนเป็นพันธมิตรธุรกิจเพื่อนำเสนอทางเลือกให้แก่ผู้สนใจใช้บริการ โดยบริษัทฯ จะคิดค่าธรรมเนียม 20% ส่วนที่เหลือ 80%เป็นรายได้ของเจ้าของพื้นที่

ช่วงแรกที่ทดลองทำการตลาดจนปัจจุบันปรากฏว่าได้รับการตอบรับเข้าร่วมจากเจ้าของพื้นที่ค่อนข้างมาก แบ่งสัดส่วนเป็นในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 50:50 มีผู้เข้าชมเว็บไซต์เฉลี่ยวันละ 100 คน ทั้งนี้ เตรียมขยายพื้นที่เพิ่มเดือนละ 50 แห่ง หรือมีอย่างน้อย 500 แห่งในปี 2559 พร้อมปรับสัดส่วนเป็นต่างจังหวัด 25% และกรุงเทพฯ 75% เน้นพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นหลักเนื่องจากการเดินทางได้ง่ายและสะดวกนั่นเอง

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมนำเสนอในการประชุมสมาคม Co-Working Space ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งบริษัทฯ จะเป็นผู้จัดขึ้นในช่วงเดือน ก.พ. 60 หลังจากนั้นจึงจะเริ่มเปิดตลาด NODE ในต่างประเทศ เริ่มจากประเทศลาว อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์มาเลเซียพม่าและฟิลิปปินส์
Node

ปัจจุบัน เปิดให้บริการ Co-Working Space จำนวน 8 แห่งทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ ได้แก่ ซ.เอกมัย 4 ซ.เอกมัย 23 จ.เชียงใหม่ และกรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ขณะที่ในปี 2559 มีแผนขยายเพิ่ม 10 แห่ง โดยเร็ว ๆ นี้ จะเปิดให้บริการสาขา“ฮาบิโตะ” โครงการมีพื้นที่รวมขนาด 10,000 ตารางเมตร  โครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ 4 ไร่ของที 77 (T77) ระหว่างซอย สุขุมวิท 71 กับสุขุมวิท 77  ซึ่งถือเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ “แสนสิริกรุ๊ป”หลังจากนั้นจะเปิดสาขาสยามดิสคัฟเวอรี่ต่อไปตามลำดับ  นอกจากนี้ ยังได้มีการพูดคุยกับทางแมกโนเลียและสยามพิวรรธน์ด้วยเช่น

อย่างไรก็ดี การให้บริการของ Co-Working Space ราคาค่าบริการถือได้ว่าต่ำกว่าการเช่าพื้นที่สำนักงานอาคารทั่วไปประมาณ 60% ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการผ่านแพลตฟอร์ม NODE ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิก แต่ถ้าต้องการใช้บริการในส่วนของบริษัทฯ ต้องชำระค่าสมาชิกเบื้องต้นวันละ 299 บาทต่อคนต่อวัน มีกาแฟให้บริการ โดยปัจจุบันมีสมาชิก 450 คน และเราก็คาดจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นรายภายในปี 2559

อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นีj

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สิณีวรรณ เทศปัญ กองบรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ sineewan@ddproperty.com

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ