เช็กสุขภาพการเงินผ่านคำถาม 2 ข้อ การเงินของคุณรุ่งหรือร่วง

12 ธ.ค. 2560

“สุขภาพการเงินที่ดีเริ่มจากการไม่มีหนี้มากจนเกินไป มีเงินใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน และมีวินัยทางการเงิน” 

หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงหาซื้อไม่ได้ หากอยากได้ต้องสร้างเอง ก็คงไม่ต่างกับการมีสุขภาพการเงินที่ดีที่หาซื้อไม่ได้เช่นกัน เพราะต้องเกิดจากการมีวินัยทางการเงินที่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีรายได้มากหรือน้อย เพราะแม้ว่าจะมีรายได้มากมายแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีวินัยในการใช้จ่ายเงิน ก็มีโอกาสประสบปัญหาทางการเงินได้ ในทางกลับกัน แม้ว่าจะมีรายได้ไม่สูงมาก แต่หากมีวินัยในการใช้จ่ายเงินที่ดี มีเป้าหมาย รู้จักวางแผน และไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย ก็สามารถมีสุขภาพการเงินที่ดีได้ ดังนั้น ลองมาเช็กสุขภาพการเงินของตัวเองง่ายๆ ด้วยการตอบคำถามเหล่านี้ดูว่า เรามีสุขภาพการเงินที่ดีแล้วหรือยัง

Businessman hands pulling red folder DEBT concept on brown walle

ข้อ 1 ทุกวันนี้มีเงินใช้สบายๆ แบบที่ไม่มีหนี้ท่วมหัว ใช่หรือไม่
หากตอบว่า “ใช่” ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แสดงว่าเรามีเงินใช้แบบไม่ขัดสน ไม่มีภาระหนี้สินมากมายที่จะต้องจ่ายในแต่ละเดือน ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลัง และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น มีความสุข
แต่หากตอบว่า “ไม่ใช่” แสดงว่าเรามีปัญหาสุขภาพการเงินแล้ว เช่น มีทั้งหนี้บ้าน และหนี้บัตรเครดิตที่ต้องผ่อนจ่ายในแต่ละเดือนจำนวนมาก จนไม่มีเงินเหลือใช้ หรือเหลือเก็บเลยในแต่ละเดือน ดังนั้น คำแนะนำในเบื้องต้นคือ ให้โปะเงินเพิ่มทุกครั้งที่มีโอกาส เช่น นำเงินโบนัส หรือเงินที่ได้จากการหารายได้พิเศษมาโปะเพิ่ม เพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยที่มีให้น้อยลง และยังช่วยให้ภาระหนี้สินของเราหมดเร็วขึ้นอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม : มีเงินทั้งที “โปะหนี้” หรือ “ลงทุน” 

หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีหนี้มากเกินไปหรือไม่ ให้เทียบสัดส่วนภาระผ่อนกับรายได้ โดยภาระผ่อนหนี้ในแต่ละเดือนไม่ควรเกิน 30% ของรายได้ต่อเดือน เช่น มีรายได้เดือนละ 15,000 บาท ก็ไม่ควรผ่อนหนี้เกิน 30% ของรายได้คือ 4,500 บาทต่อเดือน จึงจะถือว่ามีหนี้ไม่มากจนเกินไป สามารถผ่อนชำระไหวในแต่ละเดือน

สำหรับคนที่ผ่านข้อแรกมาอย่างสบายๆ ลองมาตอบคำถามข้อต่อไปกันเลย

ข้อ 2 เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินต้องใช้เงิน ก็มีเงินสำรองเพียงพอไว้ใช้จ่าย ใช่หรือไม่
หากตอบว่า “ใช่” ถือว่าเราได้ก้าวผ่านมาอีกหนึ่งขั้นแล้ว ซึ่งหมายความว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เช่น มีคนในครอบครัวเจ็บป่วย หรือได้รับอุบัติเหตุ จำเป็นต้องใช้เงินก้อนอย่างเร่งด่วน ก็มีเงินสำรองไว้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันเหล่านั้นทันที โดยไม่ต้องวิ่งไปยืมเงิน หรือกู้เงินคนอื่นมาใช้

แต่หากตอบว่า “ไม่ใช่” แสดงว่าสุขภาพการเงินเรายังไม่แข็งแรงดีพอ ชีวิตเรายังมีความเสี่ยงอยู่ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ดังนั้น คำแนะนำคือ ควรมีเงินสำรอง 6 เท่าของรายจ่ายในแต่ละเดือน เช่น เรามีรายจ่ายอยู่ที่ 5,000 บาทต่อเดือน ก็ควรมีเงินสำรองประมาณ 30,000 บาท เพื่อความอุ่นใจ หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น จะได้นำเงินส่วนนี้มาใช้ได้ทันท่วงที

สำหรับเงินสำรอง 6 เท่าของรายจ่ายนี้ สามารถเก็บออมในเงินฝาก หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ความน่าสนใจของกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น คือ เป็นกองทุนรวมที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ โดยผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 1-2% ต่อปี และมีสภาพคล่องสูง โดยเมื่อขายหน่วยลงทุน จะได้รับเงินค่าขายใน 1 วันทำการ

อ่าน 5 เรื่องน่ารู้ก่อนลงทุน RMF  

มาถึงตรงนี้คงพอจะรู้กันแล้วว่า สุขภาพการเงินของเราเป็นอย่างไร หากสุขภาพการเงินของใครอยู่ในเกณฑ์ดีก็ถือว่าโชคดีไป และพยายามรักษามาตรฐานที่ดีนี้ไว้ รวมถึงทำให้สุขภาพการเงินของเราแข็งแรงยิ่งขึ้นไป แต่หากใครตรวจพบว่าสุขภาพการเงินของตัวเองยังไม่ดีเท่าที่ควร ก็ให้รีบหาทางเยียวยาแก้ไขตามคำแนะนำที่ได้กล่าวไป ก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โต กลายเป็นเนื้อร้ายในอนาคต K-Expert ธนาคารกสิกรไทย เชื่อว่าทุกคนสามารถมีสุขภาพการเงินที่ดีได้ ขอเพียงแค่มีวินัยในการใช้จ่ายเงิน 

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ AFPT K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com

เขียนความเห็น

ข่าว-บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ