“ฟรีแลนซ์เป็นได้ไม่ยาก แต่จะมั่นคงและประสบความสำเร็จได้ ต้องรู้จักบริหารจัดการเงินให้ดี ทั้งเตรียมเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน เพิ่มรายได้ด้วยการลงทุน วางแผนทำประกัน เก็บเงินใช้จ่ายยามเกษียณ และเตรียมตัวเมื่อต้องการขอสินเชื่อ”
เมื่อพูดถึงอาชีพฟรีแลนซ์ เรียกได้ว่า เป็นอาชีพยอดฮิตหรืออาชีพในฝันของคนยุคนี้ก็ว่าได้ ซึ่งมีหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะมีอิสระ เป็นเจ้านายตัวเอง ทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเผชิญกับรถติดกว่าจะเอาตัวเองไปถึงออฟฟิศที่ทำงาน เพียงแค่มีฝีมือ และมีวินัยในตัวเอง รับผิดชอบงาน ส่งให้ตรงเวลา ดูเป็นอาชีพที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งมองเพียงแค่ด้านดี เพราะการเป็นฟรีแลนซ์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และเป็นหนึ่งในอาชีพที่ต้องเคร่งครัดเรื่องการเงินอย่างมาก หากไม่บริหารจัดการให้ดี ชีวิตการเป็นฟรีแลนซ์อาจสะดุด หรือประสบปัญหาการเงินก็เป็นได้ ดังนั้น เรามาดูกันดีกว่าว่าปัญหาการเงินที่ฟรีแลนซ์มีโอกาสสัมผัสถึงมีอะไรบ้าง แล้วจะรับมืออย่างไร K-Expert มีคำตอบ
รายได้ไม่สม่ำเสมอ
หากเปรียบเทียบกับมนุษย์เงินเดือน ซึ่งเป็นอาชีพที่มีรายได้เข้ามาประจำทุกเดือน พอสิ้นเดือนปุ๊บ รับเงินเดือนปั๊บ ก็มีเงินให้ใช้จ่าย กินข้าว ซื้อของ ในขณะที่ฟรีแลนซ์ หากไม่มีงาน ก็ไม่มีเงิน หรือบางทีมีงานเข้ามา แต่เก็บเงินไม่ได้ หรือบางช่วงงานเยอะมาก จนทำไม่ทันก็กลายเป็นปัญหา เรียกว่า ความไม่แน่นอน ทั้งเรื่องงานและเรื่องเงิน เป็นของคู่กันกับฟรีแลนซ์
เมื่อรายได้ไม่แน่นอน ไม่มีวันเงินเดือนออกแบบมนุษย์เงินเดือน แต่รายจ่ายมีเข้ามาแน่นอน ก็ต้องจัดการกับชีวิตที่ไม่แน่นอนกันเสียหน่อย เริ่มจาก “ลิสต์รายการค่าใช้จ่าย” ในแต่ละเดือนออกมา ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ซึ่งมักจ่ายเท่ากันทุกเดือน เช่น ค่าเช่าบ้านหรือผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเบี้ยประกัน และค่าใช้จ่ายผันแปร ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมแต่ละคน สามารถเพิ่ม/ลดได้ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ รวมถึงค่าอุปกรณ์ ค่าอบรมเกี่ยวกับการทำงาน
พอรู้ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนแล้ว แนะนำ “กันเงินสำรอง” สำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ไว้ประมาณ 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เช่น มีค่าใช้จ่ายเดือนละ 10,000 บาท ควรมีเงินสำรองเอาไว้ 60,000 บาท แล้วจะเก็บไว้ที่ไหนดี แนะนำบัญชีเงินฝากค่ะ เผื่อฉุกเฉิน งานไม่มี เงินไม่เข้า รอรับเงินอยู่ จะได้มีเงินที่เก็บไว้มาใช้จ่ายซึ่งรอจ่ายไม่ได้แน่ๆ โดยไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ หรือหยิบยืมให้กลายเป็นหนี้เป็นสิน
นอกจากนี้ แนะนำให้ “สร้างรายได้ให้สม่ำเสมอด้วยการลงทุน” เมื่อรายได้จากการทำงานไม่มั่นคงแน่นอน จะทำอย่างไรให้มีรายได้อย่างสม่ำเสมอ การลงทุนเป็นช่องทางหนึ่ง ซึ่งการลงทุนมีหลายรูปแบบที่มีโอกาสจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หุ้นปันผล หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล รวมไปถึงคอนโดฯ ปล่อยเช่า ที่อาจต้องใช้เงินมากหน่อย แต่ถ้าคอนโดฯ อยู่ในทำเลดี ก็มีโอกาสปล่อยเช่าง่ายและได้ค่าเช่าสูง การลงทุนเป็นการเพิ่มรายได้ที่ไม่ต้องลงแรงกาย ใช้แต่แรงเงิน เพียงแต่ต้องศึกษาข้อมูลสินทรัพย์ลงทุนสักหน่อย ทั้งรูปแบบการจ่ายผลตอบแทน และระดับความเสี่ยงหรือโอกาสขาดทุน เพื่อเลือกประเภทการลงทุนที่เหมาะกับตัวเรา
สวัสดิการไม่มี
คนเป็นฟรีแลนซ์ สุขภาพสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้ามีแรงทำงาน ก็มีเงิน ไม่มีแรงทำงาน ก็ไม่มีเงิน หากงานเข้ามาเยอะ จนต้องอดหลับอดนอน ยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ ต่างจากมนุษย์เงินเดือนที่มีวันหยุด วันลา เดือนไหนที่แม้มีวันหยุดงาน ยังรับเงินเดือนไปเต็มๆ แถมฟรีแลนซ์เองไม่มีสวัสดิการรักษาพยาบาลของบริษัทที่ทำงานแบบมนุษย์เงินเดือน เมื่อเจ็บป่วย ต้องควักเงินตัวเองจ่ายเป็นค่ารักษาเต็มๆ
เมื่อไม่มีสวัสดิการแบบมนุษย์เงินเดือน ดังนั้น “ประกันสุขภาพ” จึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งจะช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้ พร้อมทำ “ประกันชดเชยรายได้” ไว้ด้วย ก็ช่วยเพิ่มความอุ่นใจ เพราะหากต้องนอนโรงพยาบาล ทำงานไม่ได้ เท่ากับว่า รายได้จะหายไป ประกันจะจ่ายเงินชดเชยให้ตามจำนวนวันที่นอนโรงพยาบาล อีกทางเลือกหนึ่ง คือ การใช้สวัสดิการรักษาพยาบาลจากภาครัฐ อย่างบัตรทอง หรือคนที่เคยเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อน ภายใน 6 เดือนหลังจากลาออก สามารถสมัครประกันสังคมมาตรา 39 โดยได้รับสิทธิรักษาพยาบาลแบบมนุษย์เงินเดือนเลย
นอกจากนี้ ยังมีสวัสดิการอีกตัวหนึ่งที่ฟรีแลนซ์ไม่มีแบบมนุษย์เงินเดือน นั่นคือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นกองทุนที่หักเงินเดือนของลูกจ้างทุกเดือน โดยบริษัทช่วยสมทบเงินให้ลูกจ้างอีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้ลูกจ้างมีเงินสำหรับใช้จ่ายยามเกษียณ
เมื่อฟรีแลนซ์ไม่มีสวัสดิการที่ช่วยในการออมเงินเพื่อเกษียณ สิ่งที่ควรทำคือ “ออมเงินเกษียณด้วยตัวเอง” จริงอยู่ว่า ฟรีแลนซ์ไม่มีอายุเกษียณแบบมนุษย์เงินเดือน โดยทั่วไปกำหนดไว้ที่ 55 หรือ 60 ปี หากยังมีแรงทำงาน ก็รับงานได้เรื่อยๆ แต่ต้องยอมรับว่า เมื่ออายุมากขึ้น เรี่ยวแรงเริ่มลดน้อยถอยลง จะรับงานเยอะๆ แบบสมัยหนุ่มๆ สาวๆ คงเป็นไปได้ยาก การเก็บเงินเพื่อใช้จ่ายในช่วงบั้นปลายชีวิตจึงเป็นเรื่องสำคัญ
สำหรับรูปแบบการออมเงินที่ขอแนะนำคือ กองทุนรวม ซึ่งมีผู้จัดการกองทุนบริหารเงินให้เรา และมีให้เลือกหลายประเภท ตั้งแต่กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมผสม กองทุนรวมหุ้น ไปจนถึงกองทุนประหยัดภาษี อย่างกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) โดยหากรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษี การลงทุนในกองทุน LTF/RMF จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านภาษีได้ด้วย
กู้เงินได้ยาก
เรื่องนี้เรียกว่าเป็นปัญหาใหญ่ของฟรีแลนซ์เลยก็ว่าได้ เพราะว่าอาชีพฟรีแลนซ์ รายได้ไม่แน่นอน เมื่อขอสินเชื่อ จึงมีโอกาสถูกปฏิเสธได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้เข้ามาทุกเดือนสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเล็กๆ อย่างบัตรเครดิต ไปจนถึงสินเชื่อใหญ่ๆ อย่าง รถ บ้าน
แบบนี้ถ้าฟรีแลนซ์อยากมีบัตรเครดิตไว้สะสมแต้ม ไม่ต้องพกเงินสดเยอะๆ เวลาซื้อของช้อปปิ้งก็ทำไม่ได้น่ะสิ หรืออยากมีบ้านสักหลัง รถสักคัน ต้องซื้อด้วยเงินสดเท่านั้นเลยมั้ย
จริงๆ แล้ว ฟรีแลนซ์ก็สามารถมีบัตรเครดิต กู้ซื้อรถ กู้ซื้อบ้านได้ เพียงแต่ต้องมีการเตรียมตัวกันสักหน่อย แสดงให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เราต้องการขอสินเชื่อเห็นว่า เราทำงานอะไร มีรายได้มากน้อยแค่ไหน โดยเตรียมเอกสารหลักฐานสำคัญๆ เช่น
– “หลักฐานแสดงการทำงาน” เช่น สัญญาว่าจ้างจากลูกค้า ซึ่งเป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยันที่มาของรายได้ว่าได้รับจากใคร หรือบริษัทอะไร
– “หลักฐานแสดงรายได้” เช่น ใบหักภาษี ณ ที่จ่าย ใบเสร็จรับเงิน เอกสารทวิ 50 แสดงการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เอกสารเหล่านี้ธนาคารสามารถใช้ประเมินรายได้ของเราทั้งในปัจจุบัน และที่ผ่านมา ยิ่งยอดรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ยิ่งช่วยยืนยันอาชีพการงานที่ทำอยู่ว่ามีความมั่นคงมากขึ้น นอกจากนี้ การเดินบัญชี (Statement) เป็นเอกสารหลักฐานสำคัญอีกตัวหนึ่งที่แสดงถึงความสม่ำเสมอของรายได้ โดยควรเดินบัญชีตลอด ให้มีเงินเข้ามากกว่าเงินออก ไม่ใช่เงินเข้าแล้วออกเลยตลอดเวลา และวันที่เงินเข้าบัญชีควรสอดคล้องกับวันที่รับเงินจากลูกค้า หรือวันจ่ายเงินที่ระบุในสัญญาว่าจ้าง
สำหรับบัตรเครดิต บางธนาคารมีเงื่อนไขว่า หากมีเงินในบัญชีตามยอดขั้นต่ำที่กำหนด ก็สามารถสมัครบัตรเครดิตได้ เช่น ยอดเงินฝากประจำ/ออมทรัพย์ ไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท เป็นเวลา 6 เดือน
เมื่อเอกสารหลักฐานของเราผ่านการพิจารณาจากธนาคาร ก็เตรียมตัวผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือมีบัตรเครดิตได้เลยแต่สิ่งสำคัญหลังจากขอสินเชื่อผ่านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือรถคือ ผ่อนชำระให้ตรงเวลาทุกงวด รักษาเครดิตหรือประวัติการชำระหนี้ให้ดี เพราะหากผิดนัดชำระหนี้ขึ้นมา ประวัติเสียจะติดตัวเราไปอีกอย่างน้อย 3 ปี หากต้องการขอสินเชื่อในอนาคต จะยิ่งยากขึ้นไปอีก สำหรับบัตรเครดิต จำง่ายๆ จ่ายครบและจ่ายตรง เพราะถ้าถึงกำหนดชำระ ไม่สามารถจ่ายเต็มจำนวน หรือจ่ายเพียงบางส่วน จะมีดอกเบี้ยเกิดขึ้นสูงถึง 20% ต่อปี
จะเห็นได้ว่า ฟรีแลนซ์แม้มีอิสระในการทำงาน หรือใช้ชีวิต แต่ก็มีเรื่องการเงินที่ต้องบริหารจัดการให้ดี เพื่อให้สามารถเป็นฟรีแลนซ์ที่มั่นคง และประสบความสำเร็จได้
อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้าน คอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย นิชฌานี ฉันทศาสตร์ CFP® K-Expert ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม สามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทย ได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com