มูลค่าหนี้ครัวเรือนไทยที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจ กระทบต่อความสามารถชำระหนี้ รวมถึงภาคอสังหาฯ ถึงเวลาภาครัฐต้องคุมเข้มด้วยมาตรการ DSR แล้วหรือยัง
สภาพัฒน์ เผยหนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส 2 ปี 2562 ทะลุ 13 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในรอบ 27 เดือน นับตั้งแต่ปี 2560 ทะยานสู่อันดับ 2 ของเอเชีย รองจากเกาหลีใต้ และสูงเป็นอันดับ 11 ของโลก ต่อเนื่องถึงไตรมาส 2 ปี 2562 พบหนี้เสียเพิ่ม 10% พร้อมจับตาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หลังภาครัฐออกมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ Loan to Value: LTV ลุ้นบังคับใช้มาตรการ DSR คุมซ้ำ
หนี้ครัวเรือนไทยพุ่งติดอันดับ 2 ของเอเชีย
จากการเปิดเผยของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) หรือสภาพัฒน์ ระบุว่า หนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส 2 ปี 2562 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากไตรมาส 1 ปี 2562 หนี้ครัวเรือนเท่ากับ 13 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% คิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีเท่ากับ 78.7% สูงสุดในรอบ 9 ไตรมาส หรือ 2 ปี 3 เดือน นับตั้งแต่ปี 2560 โดยหนี้ครัวเรือนไทยสูงเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย รองจากเกาหลีใต้ และอันดับ 11 ของโลก จาก 74 ประเทศ และหนี้ที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต และรถยนต์
หนี้สินเชื่อส่วนบุคคลสูงสุดในรอบ 4 ปี
สำหรับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากภาพรวมสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 9.2% โดยยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ขยายตัว 11.3% สูงสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2558 เป็นต้นมา ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ขยายตัว 7.8% ชะลอลงจาก 9.1% ในไตรมาสก่อน และรถยนต์ ขยายตัว 10.2% ชะลอลงจาก 11.4% ในไตรมาสก่อน
หนี้เสียไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 10%
ไตรมาส 2 ปี 2562 ยังต้องจับตาแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของหนี้สินครัวเรือน เพราะภาพรวมสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือหนี้เสียเพิ่มขึ้น เช่น ยอดคงค้างหนี้เสียเพื่อการอุปโภคบริโภคในไตรมาส 2 ปี 2562 กว่า 127,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบันยอดหนี้เสียมีสัดส่วน 2.74% ต่อสินเชื่อรวม
อีกทั้งยังมีหนี้เสียที่ต้องจับตามอง ได้แก่ ยอดคงค้างหนี้เสียสินเชื่อรถยนต์ เพิ่มขึ้น 32.3% และบัตรเครดิต เพิ่มขึ้น 12.5% รวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และสินเชื่อบัตรเครดิตที่มียอดค้างชำระเกิน 3 เดือนขึ้นไป ที่กลับมาขยายตัวอีกครั้ง
แบงก์คุมเข้มปล่อยกู้ ทำยอดสินเชื่อบ้านหดตัว
แนวโน้มหนี้สินในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 คาดว่าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวลง เนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มลดลง และความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยกู้ เนื่องจากในช่วงก่อนหน้ามีมาตรการ LTV ธนาคารพาณิชย์มีการแข่งขันปล่อยสินเชื่อในลักษณะที่ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การอนุมัติ ประกอบกับมีการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในวงเงินสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ทำให้ผู้กู้ได้เงินสดกลับมาใช้จ่ายมากขึ้น
จากตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่สูงนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางและการขาดภูมิคุ้มกันของภาคครัวเรือน ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา ครัวเรือนที่อ่อนไหวต่อปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ (income shock) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้
แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกมามาตรการมาเพื่อดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือนในช่วงก่อนหน้า เช่น มาตรการ LTV จะส่งผลดีทำให้การก่อหนี้ในหมวดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยชะลอลง แต่ยังคงต้องติดตามภาวะหนี้ครัวเรือนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความสามารถในการรองรับ income shock ของภาคครัวเรือนในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอลง
ธปท. คุมซ้ำหนี้ครัวเรือน แจงบังคับใช้ DSR
แม้ว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังไม่มีแผนที่จะนำมาตรการคุมภาระหนี้ต่อรายได้สูงสุด หรือ Debt Service Ratio: DSR มาบังคับใช้ในปีนี้ แต่ก็มีความคืบหน้าในส่วนนี้พอสมควร โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการร่วมกับสถาบันการเงินใน 2 เรื่อง ได้แก่
1. การกำหนดมาตรฐานกลางในการคำนวณ DSR ทั้งในส่วนภาระหนี้และรายได้ของผู้กู้ ซึ่งปัจจุบันสถาบันการเงิน แต่ละแห่งมีวิธีการคำนวณที่แตกต่างกัน โดยล่าสุดได้มีข้อตกลงมาตรฐานกลาง DSR ร่วมกันแล้ว คาดว่าจะเริ่มรายงานข้อมูล DSR ตามมาตรฐานกลางให้ ธปท. ได้ ภายในไตรมาส 4 ปีนี้
2. การผลักดันให้สถาบันการเงินนำหลักการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบไปใช้ โดยลูกหนี้ต้องมีเงินเพียงพอสำหรับดำรงชีพหลังชำระหนี้
ธอส. เบรก หวั่นกระทบอสังหาฯ บ้านล้านหลัง
อย่างไรก็ตาม ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แสดงความคิดเห็นว่า การที่ภาครัฐหรือ ธปท. ออกเกณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อมาคุมสินเชื่อโดยใช้เกณฑ์หนี้ต่อรายได้ หรือ DSR ออกมาในช่วงนี้ อาจไม่เป็นผลดีนัก เพราะหากออกมาในช่วงนี้เท่ากับเป็นการซ้ำเติมภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยช่วงที่เหมาะสมคือต้องให้ภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้นก่อน
หลังจากที่มีการคาดหวังว่าช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้นจากการคลายกฎมาตรการ LTV และหากเป็นเช่นนั้นก็จะส่งผลกระทบกับนโยบายบ้านล้านหลังได้ เพราะหากมีการใช้ DSR ที่นำค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาหักรายได้ จะทำให้ผู้ที่จะซื้อบ้านกลุ่มนี้ได้ต้องมีเงินเหลือไม่น้อยกว่าเดือนละ 4,800 บาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก
DDproperty เผยในระยะยาว DSR จะช่วยตลาดอสังหาฯ
ด้านนางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย DDproperty.com เปิดเผยว่า มาตรการ DSR จะส่งผลดีในระยะยาวเหมือนกับมาตรการ LTV แต่ในระยะสั้นตลาดคงต้องใช้เวลาในการปรับตัวสักระยะ โดยมาตรการ DSR จะเข้ามาช่วยป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำหนี้ครัวเรือนเปราะบางมากขึ้น หลักจากที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ยอดปล่อยกู้แก่ผู้ที่มีภาระหนี้ต่อรายได้เกินกว่า 70% ในทุกหมวดสินเชื่อ โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านแลกเงินที่มีสัดส่วนสูงสุดถึง 46% ถือเป็นการป้องปรามไม่ให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจในอนาคต
จะเห็นได้ว่าหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน ภาครัฐจึงได้ออกมาตรการมาสกัดหนี้ครัวเรือน แต่ก็คงได้แต่หวังว่าช่วงที่เหลือของปี 2562 ภาครัฐอาจจะมีมาตรการออกมากระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์บ้าง แต่จะมีหรือไม่ยังคงต้องติดตามกันต่อไป
สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า