ผ่อนบ้านไม่ไหว 5 วิธีขอประนอมหนี้ วิธีไหนดี ก่อนที่ประวัติจะเสีย

DDproperty Editorial Team
ผ่อนบ้านไม่ไหว 5 วิธีขอประนอมหนี้ วิธีไหนดี ก่อนที่ประวัติจะเสีย
ผ่อนบ้านไม่ไหว ขอประนอมหนี้แบบไหนดีที่สุด เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้ผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดไม่ไหว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการค้างชำระจนถูกยึดทรัพย์สินซึ่งเป็นน้ำพักน้ำแรงมูลค่าสูงนั้นไป ผู้กู้สามารถขอประนอมหนี้ได้
เมื่อเริ่มที่จะผ่อนบ้านไม่ไหว ต้องรีบประเมินสถานการณ์และกำลังทางการเงินของตนเองทันที แล้วเตรียมพร้อมเจรจาขอประนอมหนี้กับธนาคารก่อนที่ประวัติจะเสีย หรือติดเครดิตบูโร ซึ่งจะทำให้การแก้ไขสถานการณ์นั้นยากขึ้น
อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

ผ่อนบ้านไม่ไหว ขอประนอมหนี้ คืออะไร

ทางออกเมื่อผ่อนบ้านไม่ไหว คือ การประนอมหนี้ เป็นการขอเจรจาข้อตกลงเรื่องหนี้สินกับเจ้าหนี้ เช่น ลดหย่อน ผ่อนผัน และ/หรือปรับเปลี่ยนข้อตกลง เพื่อช่วยชะลอหรือหยุดการดำเนินการจากเจ้าหนี้อันเนื่องมาจากการผิดนัดชำระหนี้ เช่น ฟ้องร้องและยึดทรัพย์สิน และช่วยลดภาระในการชำระหนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ลูกหนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงิน ผ่อนคอนโดหรือผ่อนบ้านไม่ไหว

วิธีประนอมหนี้เมื่อผ่อนบ้านไม่ไหว

1. ขอลดอัตราดอกเบี้ย

มักเป็นไปได้ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อแรกกู้ ในกรณีอื่น ธนาคารอาจให้ชำระเป็นเงินก้อนซึ่งสูงกว่าค่าผ่อนต่อเดือน หรือให้ชำระหนี้ทั้งหมดภายในครั้งเดียว
เหมาะกับสถานการณ์ ดังนี้
  • ผู้กู้ยังคงมีรายได้เป็นประจำทุกเดือน แต่มีเหตุให้รายได้ต่อเดือนลดลงหรือมีรายได้เท่าเดิมแต่รายจ่ายสูงขึ้น ทำให้ผ่อนบ้านไม่ไหว
เหมาะกับผู้กู้ที่มีคุณสมบัติ ดังนี้
  • มีประวัติการชำระค่าผ่อนบ้านดี
  • เป็นไปได้ที่จะมีรายได้สูงพอสำหรับกรณีที่ต้องชำระเงินก้อนตามเงื่อนไขของธนาคาร

2. ขอชำระค่าผ่อนบ้านต่ำกว่าปรกติ

ผ่อนบ้านไม่ไหว จะใช้วิธีประนอมหนี้นี้ได้ก็ต่อเมื่อจำนวนยอดชำระต่อเดือนนั้นสูงกว่ายอดดอกเบี้ยต่อเดือนอย่างน้อย 500 บาท โดยสามารถขอประนอมหนี้แบบนี้ได้เพียงครั้งเดียว และระยะเวลาในการชำระค่าผ่อนที่ต่ำกว่าปรกตินั้นต้องไม่นานเกิน 2 ปี
เหมาะกับสถานการณ์ ดังนี้
  • ผู้กู้ยังคงมีรายได้เป็นประจำทุกเดือน แต่มีเหตุให้รายได้ต่อเดือนลดลงหรือมีรายได้เท่าเดิมแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น
เหมาะกับผู้กู้ที่มีคุณสมบัติ ดังนี้
  • มีประวัติการชำระค่าผ่อนบ้านดี
  • เป็นไปได้ที่จะสามารถจัดการกับรายจ่ายที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่อนบ้านในจำนวนเดิมได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด

3. ขอขยายเวลาชำระหนี้

วิธีประนอมหนี้ กรณีผ่อนบ้านไม่ไหวนี้จะทำให้ยอดค่าผ่อนต่อเดือนลดลงและขอขยายเวลากู้ได้จนอายุไม่เกิน 70 ปีเท่านั้น
เหมาะกับสถานการณ์ ดังนี้
  • ผู้กู้ยังคงมีรายได้เป็นประจำทุกเดือน แต่มีเหตุให้รายได้ต่อเดือนลดลงหรือมีรายได้เท่าเดิมแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น
เหมาะกับผู้กู้ที่มีคุณสมบัติ ดังนี้
  • อายุน้อยหรืออีกหลายปีกว่าจะอายุถึง 70 ปี
  • สัญญากู้ปัจจุบันมีระยะเวลากู้ไม่ถึง 30 ปี
  • มีรายได้ต่อเดือนเป็นประจำ เช่น รายได้จากการทำงานประจำหรือได้รับเงินปันผลทุกเดือน
วางแผนขอประนอมหนี้เพื่อแก้ไขสถานการณ์ผ่อนบ้านไม่ไหว

4. ขอผ่อนผันการค้างชำระ

วิธีนี้ช่วยให้ผู้กู้ที่ผ่อนบ้านไม่ไหว สามารถแก้ไขหรือจัดการปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่เกิน 36 เดือน จากนั้นจึงค่อยชำระเงินที่ค้างไว้ตามรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งดังนี้
4.1 ขอชำระเป็นเงินก้อนเล็กทุกเดือน
เหมาะกับสถานการณ์ ดังนี้
  • ผู้กู้ขาดรายได้ มีรายได้ไม่คงที่ ไม่เพียงพอกับค่าผ่อนในแต่ละเดือน หรือยังคงมีรายได้ประจำเท่าเดิมหรือใกล้เคียง แต่มีรายจ่ายสูงอย่างต่อเนื่องจนไม่อาจชำระค่าผ่อนได้
เหมาะกับผู้กู้ที่มีคุณสมบัติ ดังนี้
  • เป็นไปได้ที่จะแก้ไขสถานการณ์ขาดรายได้หรือรายได้ไม่พอรายจ่ายโดยการหางานประจำทำหรือสร้างอาชีพให้มีรายได้มั่นคงต่อเดือนภายในระยะเวลาที่กำหนด
4.2 ขอชำระเป็นเงินก้อนโดยแบ่งเป็นงวด ๆ
เหมาะกับสถานการณ์ ดังนี้
  • ผู้กู้ขาดรายได้ชั่วคราว มีรายได้ต่อเดือนไม่คงที่ หรือมีรายได้เป็นประจำแต่มีรายจ่ายสูงชั่วคราว
เหมาะกับผู้กู้ที่มีคุณสมบัติ ดังนี้
  • เป็นไปได้ที่จะชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ (ซึ่งส่งผลกระทบให้ไม่สามารถชำระค่าผ่อนบ้านได้) ในช่วงเวลาผ่อนผันการชำระเงิน และสามารถหารายได้มาชำระหนี้คงค้างได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
  • เป็นไปได้ที่จะมีรายได้จำนวนมากเป็นครั้งคราวหรือรายได้พิเศษสูง
4.3 ขอชำระเงินคงค้างทั้งหมดภายในระยะเวลาหนึ่ง
เหมาะกับสถานการณ์ ดังนี้
  • ผู้กู้ขาดรายได้ชั่วคราว มีรายได้ต่อเดือนไม่เพียงพอต่อค่าผ่อนบ้าน หรือยังคงมีรายได้ประจำเท่าเดิมหรือใกล้เคียงแต่มีรายจ่ายสูงอย่างต่อเนื่องจนไม่อาจชำระค่าผ่อนได้
  • จำนวนเงินค้างชำระต่ำหรือไม่สูงมาก
เหมาะกับผู้กู้ที่มีคุณสมบัติ ดังนี้
  • เป็นไปได้ที่จะชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ (ซึ่งส่งผลกระทบให้ไม่สามารถชำระค่าผ่อนบ้านได้) ในช่วงเวลาผ่อนผันการชำระเงิน และสามารถหารายได้มาชำระหนี้คงค้างได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
  • เป็นไปได้ที่จะมีรายได้สูงภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น โบนัส รายได้จากการขายหุ้น รายได้จากการขายสินทรัพย์มูลค่าสูงอย่างขายบ้าน คอนโด ที่ดิน รถ เป็นต้น

5. ขอโอนหลักทรัพย์เป็นของธนาคารชั่วคราวและจะซื้อคืน

การประนอมหนี้ กรณีผ่อนบ้านไม่ไหวในลักษณะนี้คล้ายกับการขายฝากแล้วเช่าบ้านตัวเองอยู่ โดยค่าเช่าหลักทรัพย์คิดอยู่ที่ 0.4-0.6% ของมูลค่าหลักทรัพย์ และมักทำสัญญาเช่าเป็นรายปี ทั้งนี้หากจำนวนหนี้สูงกว่าราคาประเมินของหลักทรัพย์ ผู้กู้จำเป็นต้องชำระส่วนต่างภายในวันโอน
เหมาะกับสถานการณ์ ดังนี้
  • ผู้กู้ขาดรายได้และไม่น่าจะกลับมามีรายได้ภายใน 1 ปี หรือมีรายได้เป็นประจำหรือไม่คงที่ต่อเดือนแต่มีรายจ่ายสูงต่อเนื่องนานเกิน 1 ปี
เหมาะกับผู้กู้ที่มีคุณสมบัติ ดังนี้
  • มีเงินมากพอที่จะสามารถชำระส่วนต่างระหว่างหนี้และราคาประเมินหลักทรัพย์
  • มีกำลังที่จะสามารถจ่ายค่าเช่าต่อเดือนแก่ธนาคารได้
  • เป็นไปได้ที่จะมีรายได้สูงภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น โบนัส รายได้จากการขายหุ้น รายได้จากการขายสินทรัพย์มูลค่าสูงอย่างบ้าน คอนโด ที่ดิน รถ เป็นต้น

สรุป ผ่อนบ้านไม่ไหว ขอประนอมหนี้วิธีไหนได้บ้าง

วิธีประนอมหนี้รายละเอียด
ขอลดอัตราดอกเบี้ยชำระเป็นเงินก้อนตามเงื่อนไขของธนาคาร
ขอชำระค่าผ่อนบ้านต่ำกว่าปรกติระยะเวลาไม่นานเกิน 2 ปี
ขอขยายเวลาชำระหนี้ขยายเวลากู้ได้ถึง 70 ปี
ขอผ่อนผันการค้างชำระภายในระยะเวลาไม่เกิน 36 เดือน
ขอโอนหลักทรัพย์เป็นของธนาคารชั่วคราวมีค่าเช่าหลักทรัพย์ 0.4-0.6% ของมูลค่าหลักทรัพย์

โครงการ "คุณสู้ เราช่วย"

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, สมาคมธนาคารไทย, สมาคมธนาคารนานาชาติ, สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) บางแห่ง ออกมาตรการชั่วคราวเพิ่มเติม เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs เฉพาะกลุ่ม ภายใต้โครงการ "คุณสู้ เราช่วย"
โดยในช่วงเริ่มต้น การช่วยเหลือจะครอบคลุมลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์, สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งประกอบด้วย 2 มาตรการ ดังนี้

มาตรการที่ 1 จ่ายตรง คงทรัพย์

ช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน, รถ และ SMEs ขนาดเล็กที่มีวงเงินหนี้ไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน, รถ และสถานประกอบการไว้ได้ โดยเป็นการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและลดภาระดอกเบี้ย โดยค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดเงินต้น
1. รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ
1) ลดค่างวดเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยลูกหนี้ชำระค่างวดขั้นต่ำที่ 50%, 70% และ 90% ของค่างวดเดิม ในปีที่ 1, ปีที่ 2 และปีที่ 3 ตามลำดับ ซึ่งค่างวดทั้งหมดจะนำไปตัดเงินต้น
2) พักดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยดอกเบี้ยที่พักไว้จะได้รับยกเว้นทั้งหมด หากลูกหนี้ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขได้ตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีที่อยู่ภายใต้มาตรการ
ทั้งนี้ ลูกหนี้สามารถชำระมากกว่าค่างวดขั้นต่ำที่กำหนดไว้ได้ เพื่อตัดเงินต้นเพิ่มและปิดจบหนี้ได้ไวขึ้น
2. คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้
1) มีวงเงินสินเชื่อรวมต่อสถาบันการเงินไม่เกินที่กำหนด โดยพิจารณาแยกวงเงินตามประเภทสินเชื่อต่อสถาบันการเงิน ดังนี้
– สินเชื่อบ้าน/บ้านแลกเงิน วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท
– สินเชื่อเช่าซื้อ/จำนำทะเบียนรถยนต์ วงเงินไม่เกิน 8 แสนบาท
– สินเชื่อเช่าซื้อ/จำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ วงเงินไม่เกิน 5 หมื่นบาท
– สินเชื่อธุรกิจ SMEs วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท
– กรณีสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต หากมีหนี้บ้านหรือรถที่เข้าเงื่อนไขข้างต้น สามารถพิจารณาเข้ามาตรการรวมหนี้ได้ ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่สถาบันการเงินรับได้ โดยวงเงินเมื่อรวมแล้วไม่เกินเงื่อนไขที่กำหนด
2) เป็นสินเชื่อที่ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567
3) มีสถานะหนี้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
– เป็นหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน
– เป็นหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน และได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565
3. เงื่อนไขของการเข้าร่วมมาตรการ
1) ลูกหนี้ไม่ทำสัญญาสินเชื่อเพิ่มเติมในช่วง 12 เดือนแรกที่เข้าร่วมมาตรการ ยกเว้นกรณีสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่จำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง เจ้าหนี้สามารถให้สินเชื่อเพิ่มเติมได้โดยจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ตามความเหมาะสม
2) ลูกหนี้รับทราบว่า จะมีการรายงานข้อมูลต่อเครดิตบูโร (NCB) ถึงการเข้าร่วมมาตรการ
3) หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายชำระค่างวดขั้นต่ำได้ตามที่มาตรการกำหนด หรือไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่น ๆ ได้ เช่น ลูกหนี้ก่อหนี้ใหม่ก่อนระยะเวลา 12 เดือน ลูกหนี้จะต้องออกจากมาตรการและชำระดอกเบี้ยที่ได้รับการพักไว้ในระหว่างที่เข้ามาตรการ
4) หากสัญญาสินเชื่อมีผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันต้องให้ความยินยอมในการเข้าร่วมมาตรการและลงนามในสัญญาค้ำประกันใหม่

มาตรการที่ 2 จ่าย ปิด จบ

ช่วยลูกหนี้รายย่อยจากสินเชื่อทุกประเภท (ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน) ที่มีหนี้เสียและยอดหนี้ไม่สูง ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เพื่อเปลี่ยนสถานะจากหนี้เสียเป็นปิดจบหนี้ และให้ลูกหนี้สามารถเริ่มต้นใหม่ได้
1. รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ
ลูกหนี้จะได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน โดยลูกหนี้จะชำระหนี้บางส่วน เพื่อให้สามารถจ่ายและปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น
2. คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้
1) ลูกหนี้บุคคลธรรมดา ที่มีสถานะค้างชำระเกินกว่า 90 วัน (NPL) ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567
2) มีภาระหนี้ต่อบัญชี ไม่เกิน 5,000 บาท โดยไม่จำกัดประเภทสินเชื่อ (สามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากกว่า 1 บัญชี)
ในระยะต่อไป ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่ม Non-Bank อื่น ๆ จะมีความช่วยเหลือออกมาเพิ่มเติม ซึ่งอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างไป เพื่อร่วมกันผลักดันให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้างและครอบคลุมลูกหนี้ได้มากขึ้น
ศึกษารายละเอียดของมาตรการและสมัครเข้าร่วมได้ที่ www.bot.or.th/khunsoo
ขั้นตอนการลงทะเบียนเบื้องต้น
1. ตรวจสอบรายละเอียดมาตรการ, คุณสมบัติ และเงื่อนไขการเข้าร่วมก่อนลงทะเบียนจากนั้นกดยอมรับ
2. สมัครเข้าใช้ระบบด้วยอีเมล หรือ ThaiD โดยสแกน QR บนแอปพลิเคชัน ThaiD เพื่อยืนยันตัวตน
3. กรอกข้อมูลงทะเบียนให้ครบถ้วน ได้แก่ ชื่อ-สกุล, หมายเลขประจำตัวประชาชน, เบอร์โทรติดต่อ, อีเมล
4. ส่งคำขอแก้หนี้ โดยเลือก
– ผู้ให้บริการที่ต้องการเข้าร่วม
– ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเข้าร่วม
หากมีผู้ให้บริการหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเข้าร่วมมาตรการมากกว่า 1 แห่ง/ประเภท สามารถกดเลือกได้
5. ลงทะเบียนเสร็จสิ้น ลูกหนี้เก็บหมายเลขคำร้องไว้ เพื่อติดตามสถานะการลงทะเบียน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ BOT contact center ของ ธปท. โทร. 1213 หรือ call center ของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการและกดเบอร์ต่อ 99
อย่างไรก็ตาม ขอให้พิจารณาเลือกใช้วิธีประนอมหนี้ธนาคารที่คิดว่าน่าจะสามารถทำได้จริง เพราะการประนอมหนี้บ้านแล้วจ่ายไม่ไหวจะยิ่งทำให้มีโอกาสบ้านหรือคอนโดหลุดได้ ที่สำคัญ ยิ่งเริ่มการประนอมหนี้ได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลดี เนื่องจากประวัติการผ่อนชำระจะยังไม่เสียหาย การเจรจากับธนาคารก็จะง่ายขึ้น และโอกาสที่จะได้รับประโยชน์ก็จะมากขึ้นด้วย
หากปล่อยไว้เนิ่นนานบานปลายจนธนาคารยื่นฟ้องร้องแล้ว ก็จะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำเรื่องต่าง ๆ ทางกฎหมาย เช่น ขอชะลอการฟ้องร้อง ขอชะลอการยึดทรัพย์ ขอชะลอการขายทรัพย์สินทอดตลาด ขอถอนฟ้อง และขอยอมความ ขึ้นอยู่กับสถานภาพของคดี
อ่านวิธีการแก้ไขกรณีเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ผ่อนบ้านไม่ไหว…แก้ปัญหาด้วยการต่อรองกับเจ้าหนี้
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น DDproperty by PropertyGuru ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลพร็อพเพอร์ตี้ มีเดีย จำกัด ไม่สามารถรับรองหรือรับประกันเกี่ยวกับข้อมูล รวมทั้งไม่สามารถรับรองหรือรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ ของข้อมูล ตามขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายอนุญาต แม้ว่าเราได้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ถูกต้อง เชื่อถือได้ และครบถ้วน ณ เวลาที่เขียน แต่ข้อมูลที่ให้ไว้ในบทความนี้ไม่ควรนำไปใช้ในการตัดสินใจทางการเงิน, การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทางกฎหมายทันที ผู้อ่านไม่ควรใช้ข้อมูลในบทความ แทนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ส่วนตัวของคุณได้ ทั้งนี้ เราไม่สามารถรับผิดชอบใด ๆ หากคุณเลือกที่จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ

คำถามยอดนิยม

ผ่อนบ้านไม่ไหว สามารถขอประนอมหนี้ได้ 5 วิธี ได้แก่ ขอลดอัตราดอกเบี้ย, ขอชำระค่าผ่อนบ้านต่ำกว่าปรกติ, ขอขยายเวลาชำระหนี้, ขอผ่อนผันการค้างชำระ และขอโอนหลักทรัพย์เป็นของธนาคารชั่วคราวและจะซื้อคืน

หากขอชำระค่าผ่อนบ้านต่ำกว่าปรกติ สามารถขอประนอมหนี้แบบนี้ได้เพียงครั้งเดียว และระยะเวลาในการชำระค่าผ่อนที่ต่ำกว่าปรกตินั้นต้องไม่นานเกิน 2 ปี

หากค้างเกิน 90 วัน สถานะบัญชีจะกลายเป็นหนี้เสีย มีการส่งข้อมูลไปยังเครดิตบูโร และอาจถูกฟ้องยึดบ้าน เพื่อขายทอดตลาดนำเงินที่ได้มาชำระหนี้แทน

ผ่อนบ้านไม่ไหว ขายคืนธนาคาร ไม่สามารถทำได้ แต่สามารถขายต่อให้ผู้อื่นได้ โดยจะต้องนำเงินจากผู้ซื้อมาปิดบัญชีหนี้ ก่อนจะโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้ซื้อรายใหม่

ธนาคารส่วนใหญ่มักจะพิจารณาให้ขายได้หลังจากผ่อนมาแล้วอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี