คนธุรกิจรับสร้างบ้านพ้อมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ภาครัฐไม่เอื้อต่อธุรกิจแต่อย่างใด แต่ยังเชื่อว่าตลาดรับสร้างบ้านช่วงปลายปีน่าจะฟื้น หลังกำลังซื้ออั้นมานาน แนะรัฐออกมาตรการทางภาษีหรือลดหย่อนภาษีในการกระตุ้นธุรกิจ
นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้น่าจะมีแนวโน้มการปรับตัวที่ดีขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อผู้บริโภคอั้นมานาน ประกอบกับราคาวัสดุก่อสร้างที่ไม่มีการปรับขึ้น และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง รวมถึงการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ออกมา ทำให้เป็นจังหวะที่ดีและสอดรับกับกำลังซื้อที่เริ่มขยับฟื้นตัว
จากการสอบถามจากสมาชิกกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัดทั่วประเทศพบว่า ผู้บริโภคเริ่มสอบถามเกี่ยวกับเงื่อนไขและวงเงินให้กู้ยืมเพื่อปลูกสร้างบ้านตามมาตรการที่รัฐบาลประกาศออกมาอย่างคึกคัก อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคที่สนใจส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่สูงนัก และยังมีภาระหนี้สินอื่นที่ต้องผ่อนชำระกับสถาบันการเงิน แต่เมื่อรู้ว่ารัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น จึงมีความสนใจและคิดจะปลูกสร้างบ้านของตัวเอง
“ธุรกิจรับสร้างบ้านนั้น เกิดจากกลุ่มผู้ประกอบการหลักๆ ที่เรียกตัวเองว่า บริษัทรับสร้างบ้านหรือศูนย์รับสร้างบ้าน ซึ่งได้พัฒนาและยกระดับมาตรฐานธุรกิจของตัวเอง ให้มีความแตกต่างจากผู้รับเหมารายย่อยทั่วไป ด้วยการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจและเข้าสู่ระบบของรัฐ ด้วยการชำระภาษีถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเปิดดำเนินธุรกิจและมีสำนักงานตั้งอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทุกภูมิภาคกว่า 200 ราย โดยจำนวน 1 ใน 3เป็นสมาชิกของ 2 สมาคมไทยรับสร้างบ้านและสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน โดยที่ผ่านมามาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของทุกรัฐบาลนั้น ธุรกิจรับสร้างบ้านหรือผู้ประกอบการแทบไม่ได้รับอานิสงส์ใดๆ มาก่อน สาเหตุเป็นเพราะภาครัฐเองไม่เข้าใจว่าธุรกิจรับสร้างบ้านนั้น มีบทบาทไม่ต่างกับธุรกิจบ้านจัดสรร มาตรการครั้งนี้ก็เช่นกันที่รัฐบาลให้น้ำหนักไปที่บ้านจัดสรร” นายสิทธิพร กล่าว
อย่างไรก็ดี นายกฯ สมาคมไทยรับสร้างบ้านเชื่อว่า หากรัฐบาลมีความเข้าใจธุรกิจรับสร้างบ้าน และออกมาตรการมาช่วยกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคกลุ่มที่เลือกปลูกสร้างบ้านเอง กับผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่อยู่ในระบบน่าจะเป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นกัน
“ที่สำคัญคือจะไม่ก่อให้เกิดภาระหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้ กว่าร้อยละ 70 ใช้เงินออมที่สะสมไว้มาลงทุนสร้างบ้านหลังใหม่จึงเท่ากับว่าเป็นการกระตุ้นให้นำเงินออมที่อยู่นิ่งๆ มาก่อให้เกิดการลงทุนและใช้จ่าย แทนการดึงเงินในอนาคตมาใช้ล่วงหน้า นอกจากนี้ ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีที่ดินเปล่าเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้น เม็ดเงินที่ลงทุนหรือใช้จ่ายเรื่องบ้านจะเป็นค่าก่อสร้างหรือตกแต่งบ้านเกือบทั้งหมด โดยไม่มีค่าซื้อที่ดินเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น วัสดุก่อสร้างและตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ภายในบ้าน ฯลฯ ได้รับประโยชน์และก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในภาคธุรกิจต่อเนื่องร่วมกัน”
นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังมองว่าหากรัฐบาลมีแนวคิดจะกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อภายในประเทศ ก็ไม่ควรเลือกใช้มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เฉพาะกับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น โดยมาตรการทางภาษีหรือลดหย่อนภาษีน่าจะจูงใจมากที่สุดสำหรับผู้บริโภคที่เลือกสร้างบ้านเอง (ไม่ซื้อบ้านจัดสรร) เนื่องจากที่ผ่านมาผู้บริโภค มักจะมองว่าการเลือกผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่อยู่ในระบบจะทำให้มีภาระภาษีและต้องจ่ายค่าก่อสร้างบ้านแพงขึ้น จากภาษีมูลค่าเพิ่มที่แฝงอยู่ในราคาบ้าน ส่วนใหญ่จึงยังนิยมใช้บริการกับผู้รับจ้างรายย่อยๆ นอกระบบมากกว่า ดังนั้น หากภาครัฐมีมาตรการคืนภาษีให้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง นอกจากจะกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคและประชาชนแล้ว ยังเป็นการช่วยผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่อยู่ในระบบ ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถฝ่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวครั้งนี้ไปได้อีกด้วย
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kanchana@ddproperty.com
อัพเดทข่าวอสังหาริมทรัพย์ ทางอีเมลส่งตรงจากเว็บไซต์อสังหาฯ อันดับ 1 ของเมืองไทยฟรี สมัครได้ที่นี่