ภาคอสังหาริมทรัพย์เจอโจทย์หนักรับศักราชใหม่ ถึงเวลาผู้ประกอบการปรับตัวรับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และสอดรับกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ผ่าน 5 ปัจจัยรุกตลาดปี 63
เข้าสู่ศักราชใหม่ปี 2563 มีหลายเหตุการณ์สำคัญช่วงโค้งสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลต่อเนื่องถึงปีนี้ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีข่าวดีจากมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล ซึ่งน่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ฟื้นตัวดีขึ้นได้ รวมถึงผู้ประกอบการเองก็ได้มีการปรับตัวให้รับสภาพตลาด เน้นการขายโครงการเก่า หรือเปิดโครงการใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า
โดยกลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีการขยายตัวได้ดีก็คือแนวราบ ในขณะที่คอนโดมิเนียมชะลอตัว จากเกณฑ์การให้สินเชื่อของสถาบันการเงินที่เข้มงวด อันเนื่องมาจากมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย
จากข้อมูลของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ให้เห็นว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ จะเริ่มมีการขยับและเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค ดังนี้
1. E-Commerce ขายผ่านออนไลน์
จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ธุรกิจ จำเป็นจะต้องมีแพลตฟอร์มและโซลูชั่นที่หลากหลาย ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้เริ่มนำผลิตภัณฑ์ตัวเองเข้าไปอยู่ใน E-Commerce โดยมีการเปิดให้จองผ่านทางผู้ให้บริการ shopping online ต่าง ๆ บ้างแล้ว และปี 2020 ที่จะเข้ามา จะมีการใช้เทคโนโลยี 5G อย่างแพร่หลายทั่วโลก น่าจะได้เห็นแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเกิดขึ้น
2. เทคโนโลยีมีบทบาทมากขึ้นในการใช้ชีวิต
ผู้ประกอบการมีการพัฒนาและนำ Living Tech มาใช้ ตลอดจน Smart Home บ้านอัจฉริยะ ที่สั่งการระบบต่าง ๆ ได้ด้วยปลายนิ้วผ่านสมาร์ทโฟน รวมถึงการดูแลบริหารจัดการอาคารที่นำเทคโนโลยี IoT (Internet of Thing) มาเชื่อมต่อระบบอาคารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลโครงการ
3. ออกแบบโครงการรองรับคนทุกช่วงวัย
การใช้ชีวิตร่วมกันของกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย ส่งผลให้โครงการที่อยู่อาศัยต้องมีการออกแบบโครงการและพื้นที่ส่วนกลางให้รองรับการใช้ชีวิตของคนทุกช่วงวัย ทั้งเรื่องการทำงานและการใช้ชีวิต เช่น การทำราวจับและพื้นลาดเพื่อเป็นทางรถเข็นสำหรับผู้สูงอายุ ห้องนั่งเล่นบริเวณพื้นที่ส่วนกลางสำหรับวัยหนุ่มสาว รวมถึงการมี Co-working Space สำหรับวัยทำงานหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ ตลอดจนห้องครัวส่วนกลาง หรือ Co-kitchen สำหรับผู้ที่ชอบทำอาหาร
4. ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ Well-being
Well-being เข้ามามีบทบาทที่น่าสนใจในภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการรายใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการที่มีรูปแบบและสิ่งอำนวยความสะดวกที่สนับสนุนกิจกรรมและการใช้ชีวิตแบบ Well-being มากขึ้น เช่น เน้นพื้นที่ออกกำลังกาย เลนปั่นจักรยาน ลู่วิ่งกลางแจ้งรอบตัวอาคาร หรือการปลูกผักเพื่อบริโภคด้วยตัวเอง
5. การใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ
จะเห็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่มากขึ้น รวมถึงการลดใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น เช่น พัฒนาโครงการที่มีรถพลังงานไฟฟ้าสำหรับให้เช่าในโครงการ การออกแบบที่อยู่อาศัยและการบริหารจัดการที่ช่วยทำให้สภาพแวดล้อมและบรรยากาศในโครงการปลอดภัยจากมลภาวะฝุ่นละออง หรือการใช้และผลิตพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลล์ และการรณรงค์แยกขยะ จัดกิจกรรมที่สนับสนุนการใช้ชีวิตที่เป็นกับธรรมชาติให้ลูกบ้านในโครงการ
นอกจากการพัฒนาโครงการให้สอดรับไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยในยุคปัจจุบันมากขึ้น ยังพบอีกว่าความเป็นมืออาชีพของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เองก็มีความสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเช่นกัน โดยผู้ซื้อจะวัดความน่าเชื่อถือของบริษัทโดยให้ความสำคัญกับ 5 อันดับ ได้แก่
– คุณภาพงานก่อสร้างดี
– การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพเหมาะสมกับราคา
– ส่งมอบที่อยู่อาศัยตรงตามเวลาและตามคุณภาพที่ตกลงไว้
– ให้ข้อมูลที่เป็นจริงไม่โฆษณาเกินจริง
– มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ กับสินค้าและบริการ
แม้ว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสานเป็นส่วนหนึ่งของที่อยู่อาศัยจะยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ของตลาด อสังหาริมทรัพย์ แต่ถือเป็นสัญญาณที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้
จากปัจจัยข้างต้น ทำให้การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เปลี่ยนไปทั้งรูปแบบโครงการ และการบริหารจัดการที่อยู่อาศัยหลังการขายให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ซึ่งเป็นความท้าทายและผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทัน และเตรียมรับกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ
สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า