สถาบันการเงินไทย เป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19) โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 แม้ผลประกอบการจะลดลงแต่ยังคงมั่นคง
ผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 พบว่า มีความมั่นคง ระดับเงินกองทุนและเงินสำรองอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับความต้องการสินเชื่อและความผันผวนของเศรษฐกิจในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้
ผลประกอบการของระบบธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลดลงจากการกันสำรองเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน การเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสินเชื่อของธุรกิจรายใหญ่ ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของเศรษฐกิจ
เกาะติดแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในช่วงโควิด-19
สินเชื่อโตเพิ่ม 4.1%
ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 1 ปี 2563 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.1% เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. สินเชื่อธุรกิจ (64.8% ของสินเชื่อรวม)
ขยายตัวที่ 3.3% ตามความต้องการใช้สินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ในหลายประเภทธุรกิจที่ส่วนหนึ่งกลับมาใช้สินเชื่อแทนการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ในภาวะที่ตลาดการเงินมีความผันผวน ส่งผลให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) ขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ 5.3% ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SME (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) หดตัวเล็กน้อยที่ 0.2%
2. สินเชื่ออุปโภคบริโภค (35.2% ของสินเชื่อรวม)
ขยายตัว 5.6% ชะลอลงจากไตรมาสก่อนในทุกประเภทสินเชื่อ ทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและรถยนต์ สอดคล้องกับการลดลงของยอดซื้อที่อยู่อาศัยและรถยนต์ ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตชะลอตัวลงมากตามการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลยังเติบโตได้ในอัตราที่ค่อนข้างสูง
อัปเดตอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้าน MRR MLR MOR
หนี้ด้อยคุณภาพสูงขึ้น
คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 ด้อยลงจากสิ้นปี 2562 จากผลกระทบทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การจัดชั้นตามมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 9 โดยยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing Loan: NPL) อยู่ที่ 496.8 พันล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 3.05% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 2.98% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม อยู่ที่ 7.70%
เช็กสินเชื่อธนาคารรัฐ-พาณิชย์ ช่วยลูกหนี้โดนผลกระทบโควิด-19
คาด กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก
ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งต่อไป ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 คณะกรรมการฯ โดยจะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 0.75% มาอยู่ที่ 0.50% ตามภาวะเศรษฐกิจที่เผชิญความเสี่ยงมากขึ้น
ทั้งนี้ยังคาดว่า กนง. น่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.5% ตลอดในช่วงที่เหลือของปี 2563 ภายใต้เงื่อนไขที่สถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีไม่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเรื่องการแพร่ระบาดของโรค
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันเริ่มมีทิศทางที่สามารถควบคุมได้ และหากไม่มีการระบาดซ้ำอีกระลอก คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวต่ำสุดในไตรมาสที่ 2 และน่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังของปี 2563
โดยอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 น่าจะพลิกกลับมาเป็นบวก ส่งผลให้ กนง. อาจจะยังไม่มีความจำเป็นที่จะปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มเข้าใกล้ศูนย์จะส่งผลให้ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy space) มีจำกัด รวมถึงประสิทธิผลของการดำเนินนโยบายที่ลดลง ขณะที่มาตรการทางการคลังที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานน่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาด และช่วยประคองเศรษฐกิจได้รวดเร็วกว่า
จับตานโยบายการเงินต่างชาติ
อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามทิศทางนโยบายการเงินและดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก โดยท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ธนาคารกลางต่าง ๆ อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางนโยบายการเงินที่เหนือความคาดหมาย หากเศรษฐกิจเผชิญความเสี่ยงที่สูงขึ้นกว่าเดิม ตัวอย่างเช่น
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แม้ว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ดอกเบี้ยนโยบายติดลบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทิศทางนโยบายการเงินของเฟดยังขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นหลัก ส่งผลให้มีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบหากมีความจำเป็นเพิ่มเติม
ในทำนองเดียวกัน สำหรับอียูและญี่ปุ่นที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับติดลบอยู่แล้ว อาจมีการปรับลดดอกเบี้ยและดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอื่น ๆ อีกเพิ่มเติม หากเศรษฐกิจเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามธนาคารแห่งประเทศไทยคงจะต้องคอยประเมินสถานการณ์ และชั่งน้ำหนักความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ในการพิจารณานโยบายการเงินในระยะข้างหน้า โดยยังมีทางเลือกในการดำเนินนโยบายทางการเงินที่เหนือความคาดหมายหากมีความจำเป็น เช่นเดียวกับธนาคารกลางหลักอื่น ๆ ซึ่งหากมีการปรับอัตราดอกเบี้นนโยบายลงอีก จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อบ้าน ที่ยิ่งเอื้อต่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์อีกทางหนึ่ง
อัปเดตแนวโน้มอสังหาฯ จากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ฉบับล่าสุด
ค้นหาคำตอบว่า ซื้อ-ขาย-เช่า บ้านหรือคอนโดฯ ในช่วงนี้ดีไหม? หรือเลือกรับบทความดีดี และอัปเดต ข่าวอสังหาฯ รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง หรือติดตามอีกหนึ่งช่องทางได้ที่ www.facebook.com/DDproperty