“เลือกผ่อนแบบไหนดี?” เป็นหนึ่งในคำถามยอดฮิตสำหรับคนที่อยากขอกู้แบงก์เพื่อการลงทุน ซึ่งหากให้ตอบแบบเร็วๆ ก็ต้องตอบว่า “ผ่อนระยะสั้น” ย่อมดีกว่า “ผ่อนระยะยาว” อยู่แล้ว เพราะยิ่งผ่อนนาน เท่ากับว่าเรายิ่งเสียดอกเบี้ยมากขึ้น ดังนั้น ถ้าใช้ระยะเวลาในการผ่อนชำระน้อยลง ต้นทุนดอกเบี้ยที่จะเสียก็ต่ำลงไปด้วย
แต่หากให้อธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว คงต้องตอบคำถามนี้ว่า “ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการกู้” ซึ่งวัตถุประสงค์ในการขอกู้สินเชื่อเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ผู้ประกอบการ SME ต้องมีวัตถุประสงค์ในการขอกู้ที่ชัดเจนว่าต้องการนำไปลงทุนในเรื่องใด แล้วจึงสามารถเลือกระยะเวลาการขอกู้ได้เหมาะสม ดังนั้น การเลือกระยะเวลาในการผ่อนชำระ ควรเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการขอกู้ และความสามารถในการหารายได้
อ่าน 5 เคล็ดลับต้องรู้ก่อนเลือกสินเชื่อ SME
สำหรับวัตถุประสงค์ในการขอกู้นั้นมีความหลากหลาย และอัตราดอกเบี้ยก็จะแตกต่างกันด้วย เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ (MLR) อัตราดอกเบี้ยสำหรับการให้สินเชื่อเช่าซื้อ (MHR) อัตราดอกเบี้ยสำหรับการให้สินเชื่อลิสซิ่ง (MLSR) อัตราดอกเบี้ยและส่วนลดสินเชื่อเครดิตการค้า (MFR) อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อการส่งออก เป็นต้น
ขณะที่วิเคราะห์วัตถุประสงค์ในการขอกู้ตามรูปแบบในการลงทุน เริ่มด้วยหากเป็นการลงทุนระยะยาว เช่น การขอกู้เพื่อขยายโรงงาน ซื้อเครื่องจักร หรือสร้างสำนักงาน ซื้ออาคารพาณิชย์เพื่อเป็นสถานประกอบการ ซึ่งสามารถใช้ทรัพย์สินเหล่านี้ค้ำประกันเงินกู้ไปในตัวได้อยู่แล้ว วงเงินที่ขอกู้จะสูงกว่าขอกู้เป็นเงินหมุนเวียนทั่วไป และอัตราดอกเบี้ยจะถูกกว่า จึงควรเลือกการผ่อนชำระแบบระยะยาว
คำว่า “ผ่อนชำระระยะยาว” ก็มีตั้งแต่ 10 ปี จนถึงสูงสุด 30 ปี ขึ้นอยู่กับอายุของผู้กู้ ซึ่งผู้ประกอบการจะเลือกระยะเวลาเท่าไรนั้น ควรพิจารณาจากความสามารถในการหารายได้ และเงื่อนไขที่ได้ธนาคาร เช่น แบงก์ A ให้ผ่อนชำระได้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ซึ่งเงินงวดในการผ่อนชำระจะค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับการผ่อนนานกว่า 10 ปี ก็ต้องคำนวณว่า ผู้กู้สามารถหารายได้ที่จะนำมาผ่อนชำระเงินงวดแต่ละงวดได้หรือไม่ ถ้าหากไม่ได้ อาจจะต้องลองหาแบงก์ที่ให้ข้อเสนอเรื่องระยะเวลาการกู้ที่นานกว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่า อาจจะต้องจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่าเช่นกัน
ตัวอย่างที่ 1 ผ่อน 5 ปี: ต้องการกู้ 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยประมาณ 4% ต่อปี ผ่อนชำระ 5 ปี ก็จ่ายชำระเดือนละ 18,900 บาท ผู้กู้มีความสามารถในการหารายได้เพียงพอที่จะผ่อนชำระหรือไม่ ซึ่งรายได้ก่อนที่จะนำมาประเมินในส่วนนี้ต้องหลังจากที่หักต้นทุนในการดำเนินงานต่างๆ แล้วด้วย ส่วนการคำนวณเรื่องดอกเบี้ย ผ่อนชำระรวมทั้งหมด 5 ปี = 1,134,000 บาท สรุปว่า จ่ายดอกเบี้ย 5 ปีรวมเป็นเงิน 134,000 บาท หรือเฉลี่ยปีละ 26,800 บาท
ตัวอย่างที่ 2 ผ่อน 10 ปี: ต้องการกู้ 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยประมาณ 4% ต่อปี ผ่อนชำระ 10 ปี ก็จ่ายชำระเดือนละ 10,700 บาท ผ่อนชำระรวมทั้งหมด 10 ปี = 1,284,000 บาท สรุปว่า จ่ายดอกเบี้ย 10 ปีรวมเป็นเงิน 284,000 บาท หรือเฉลี่ยปีละ 28,400 บาท จะสังเกตว่า ดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ชำระต่อปีจะไม่แตกต่างกันมาก เพียงแต่ระยะเวลาที่นานขึ้นทำให้ผู้กู้ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น
ผู้กู้หลายรายเลือกระยะเวลาในการผ่อนยาวไว้ก่อน เช่น เลือกแบบผ่อน 10 ปี เพื่อให้เงินงวดไม่ตึงเกินไป และใช้วิธีโปะ หรือจ่ายสูงกว่าเงินงวดในช่วงที่มีรายได้เข้ามามากๆ ซึ่งจะทำให้ปิดบัญชีเงินกู้ได้เร็วกว่าสัญญาจริง แต่ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแบงก์ว่าให้จ่ายสูงกว่าเงินงวดได้หรือไม่ หรือแบงก์จะมีกำหนดระยะเวลาว่า ห้ามปิดบัญชีก่อนกี่ปี เช่น ห้ามปิดบัญชีก่อน 3 ปี หรือ 5 ปี โดยส่วนใหญ่ที่มีเงื่อนไขห้ามปิดบัญชีเร็ว เพราะแบงก์อาจจะมีแคมเปญให้ดอกเบี้ยต่ำ ถ้าปิดบัญชีเร็วกว่ากำหนดก็จะต้องจ่ายค่าปรับ เป็นต้น
กรณีที่ผู้ประกอบการ SME ต้องการเงินหมุนเวียนในการประกอบการควรเลือก “สินเชื่อระยะสั้น” ซึ่งมีระยะเวลาการผ่อนชำระก็มีตั้งแต่สั้นมาก คือตั้งแต่ 3-12 เดือนจนถึง 48 เดือน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแบงก์ โดยสินเชื่อระยะสั้นส่วนใหญ่จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าสินเชื่อระยะยาวมาก ซึ่งหากคำนวณดีๆ แล้ว ดอกเบี้ยรวมทั้งหมดของสินเชื่อระยะสั้นอาจจะสูงกว่าดอกเบี้ยรวมๆ ของสินเชื่อระยะยาวก็ได้
แต่ข้อดีของสินเชื่อระยะสั้น คือการอนุมัติวงเงินเร็วกว่า มีความคล่องตัวในการใช้วงเงินกู้มากกว่า ซึ่งในบางช่วงเวลาแบงก์แต่ละแบงก์จะมีแคมเปญโปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำ เช่น 0-9% ใน 3 เดือนแรก ปิดบัญชีได้ทุกเมื่อ ถ้าผู้ประกอบการ SME มีความคล่องตัวในการหมุนเงินสูง สามารถเลือกแพ็คเกจนี้ได้ เพราะต้นทุนดอกเบี้ยจะต่ำมาก
สรุปแล้ว การเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการกู้ และความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้ ซึ่งผู้ประกอบการ SME ควรเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระให้กับเหมะกับวัตถุประสงค์ในการกู้ และความสามารถในการหารายได้ เพื่อให้การผ่อนชำระไม่หยุดชะงักหรือติดขัดปัญหาผ่อนไม่ไหว จะเสียเครดิตทางการเงินในอนาคตได้
คิดต่อเติม ขยายกิจการ หรือเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ รวมถึงใช้ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ของกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ทดลองใช้เครื่องมือคำนวณสินเชื่อ http://www.ddproperty.com/bank/uob หรือ ติดต่อศูนย์ธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs ธนาคารยูโอบี โทร. 0-2343-3555