นิด้าโพลเผยปี 60 ครึ่งปีแรก คนไทยเงินออมน้อย-หนี้ท่วม

18 Jul 2017

นิด้าโพล เผยปี 60 ครึ่งปีแรก คนไทยเงินออมน้อย-หนี้ท่วม

 

จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ไตรมาสแรก 2560 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 78.6% ของจีดีพี หรือประมาณ 11.50 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 3.45 แสนล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งถือว่าสูงมาก สอดคล้องกับผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “พฤติกรรมการออมและภาวะหนี้สินของประชาชนในช่วงครึ่งปีแรก 2560” ของศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ซึ่งได้ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2-20 พฤษภาคม 2560 จากประชาชนที่มีรายได้ทั่วประเทศ กระจายทุกระดับการศึกษา และอาชีพ รวมทั้งสิ้น 2,000 หน่วยตัวอย่าง ซึ่งผลสำรวจที่บ่งชี้ว่าคนไทยมีเงินออมน้อย และมีหนี้สินจำนวนมาก

ส่วนใหญ่ รายได้เท่ากับ-น้อยกว่ารายจ่าย
จากการสำรวจพบว่า สัดส่วนรายได้กับรายจ่ายในแต่ละเดือนของประชาชนส่วนใหญ่ 45.15% มีรายได้ พอ ๆ กับรายจ่าย 31.50% มีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย มีเพียง 21.85% ที่มีรายได้มากกว่ารายจ่าย โดยรายจ่ายเฉลี่ยของประชาชนในแต่ละเดือนโดยประมาณ พบว่า มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือน 21,606.75 บาท ต่ำสุด 200 บาท และสูงสุด 900,000 บาท และเมื่อพิจารณาสัดส่วน พบว่า ประชาชน 38.45% มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท 25.55% มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 10,001-20,000 บาท 11.65% มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 20,001-30,000 บาท 4.20% มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 30,001-40,000 บาท 7.60% มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า 40,001 บาทขึ้นไป 

ผลสำรวจที่บ่งชี้ว่าคนไทยมีเงินออมน้อย และมีหนี้สินจำนวนมาก จากนิด้า

ผลสำรวจที่บ่งชี้ว่าคนไทยมีเงินออมน้อย และมีหนี้สินจำนวนมาก จากนิด้า

 

คนไทยเกือบครึ่งไร้เงินออม
พฤติกรรมการออมเงินไว้ใช้ของประชาชนในปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่ 51.65% มีเงินออม ขณะที่ 48.30% ไม่มีเงินออมไว้ใช้ โดยประชาชนที่มีเงินออมส่วนใหญ่ 50.05% คิดว่าเงินออมเพียงพอไว้ใช้ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนหรือความมั่นคงต่อชีวิต ขณะที่ 41.92% ระบุว่าไม่เพียงพอ

สำหรับวัตถุประสงค์ในการออมเงินของประชาชนที่มีเงินออม พบว่า ประชาชนที่มีเงินออมไว้ใช้นั้น ส่วนใหญ่ 48.79% เป็นการออมเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น เพื่อการรักษาพยาบาล การเจ็บป่วย อุบัติเหตุ รองลงมา 38.33% ออมเพื่อสำรองไว้ใช้ในอนาคต 26.91% ออมเพื่อไว้ให้บุตรหลาน รวมถึงการศึกษาของบุตรหลานด้วย 12.58% ออมเพื่อใช้ในระยะยาวช่วงหลังเกษียณอายุ 10.94% ออมเพื่อซื้อสินค้า การบริการ สินค้าอุปโภคบริโภค ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 9.87% ออมเพื่อการลงทุนในกองทุนรวม หุ้น สลากออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล ประกันชีวิต เป็นต้น 8.13% ออมเพื่อการลงทุนสำหรับประกอบอาชีพ การดำเนินธุรกิจ กิจการ การเกษตร การค้าขาย 3.29% ออมเพื่อชำระหนี้สิน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบ้าน ค่าผ่อนดอกเบี้ย จ่ายภาษี ฯลฯ 3.29% ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ออมเพื่อการศึกษาของตนเอง ออมเพื่อสร้าง ซ่อมแซม ปรับปรุงที่อยู่อาศัยและออมเพื่อไว้ทำบุญ

68.10% มีหนี้สิน ส่วนใหญ่หนี้ 1 แสนบาทขึ้นไป
ด้านภาวะการมีหนี้สินของประชาชนในปัจจุบัน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 68.10% มีหนี้สิน ขณะที่ 31.85% ไม่มีหนี้สิน ขณะที่หนี้สินโดยรวมของประชาชนที่มีหนี้สินในปัจจุบัน เฉลี่ยประมาณ 565,302.88 บาท ต่ำสุด 1,000 บาท และสูงสุด 500 ล้านบาท เมื่อพิจารณาสัดส่วน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 33.26% มีหนี้สินโดยรวมมากกว่า 100,000 บาทขึ้นไป รองลงมา 4.26% ประมาณไม่เกิน 10,000 บาท 4.19% ประมาณ 10,001-20,000 บาท 3.89% ประมาณ 40,001-50,000 บาท 2.94% ประมาณ 20,001-30,000 บาท ขณะที่ประชาชนบางส่วน 2.13% มีหนี้สินโดยรวมเป็นจำนวนหลักพัน 8.88% มีหนี้สินหลักหมื่น 16.45% มีหนี้สินหลักแสน และ 8.44% มีหนี้สินหลักล้าน

โดยหนี้สินส่วนใหญ่ 59.47% เกิดจากการซื้อ/ผ่อน/ชำระสินค้า การบริการ สินค้าอุปโภคบริโภค รองลงมา 35.46% เกิดจากการลงทุนในการประกอบอาชีพการดำเนินธุรกิจ กิจการ การเกษตร การค้าขาย 14.24% เกิดจากการเลี้ยงดูบุตรหลาน 11.89% เกิดจากการเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว (พ่อ แม่ บุตร หลาน ญาติ คู่สมรส) 6.17% เกิดจากการสร้าง ต่อเติม ปรับปรุง ที่อยู่อาศัย บ้าน คอนโดมิเนียม ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ 3.96% เกิดจากชำระหนี้สิน (กู้ยืมเพื่อมาชำระหนี้สิน) 2.94% เกิดจากการศึกษาของตนเอง 2.06% เกิดจากการรักษาพยาบาล 0.66% ระบุอื่น ๆ ได้แก่ หนี้สำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน การค้ำประกันให้กับผู้อื่น ค่าประกัน และค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องคดีความ

บริหารจัดการหนี้

บริหารจัดการหนี้

กว่า 61% บริหารจัดการหนี้ด้วยการชำระให้ตรงเวลา
ส่วนวิธีการบริหารจัดการหนี้สินของประชาชนที่มีหนี้สิน พบว่า ส่วนใหญ่ 61.01% จะบริหารจัดการหนี้สิน ด้วยการชำระยอดค้างให้ตรงต่อเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงอัตราดอกเบี้ย หรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ รองลงมา 19.46% ไม่สร้างหนี้สินเพิ่มเติม 14.17% ลดค่าใช้จ่าย 13.29% หาช่องทางการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น เช่น ทำอาชีพเสริม หารายได้พิเศษ ทำงานล่วงเวลา 10.50% เลือกแบ่งงวดจ่ายให้มากครั้ง แต่จ่ายจำนวนเงินต่อครั้งให้น้อย ๆ 7.27% ผลัดการชำระในงวดถัดไป 6.09% เลือกแบ่งงวดจ่ายให้น้อยครั้ง แต่จ่ายจำนวนเงินต่อครั้งให้มาก ๆ 5.80% ชำระยอดค้างให้มากกว่ายอดจ่ายขั้นต่ำ 4.26% ขาย จำนำ จำนอง ทรัพย์สิน หรือกู้เงินยืมเงินจากที่อื่นมาชำระ 9.10% ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ชำระล่วงหน้า ชำระรายปี ชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นก่อน หรือจ่ายเท่าที่มี ทั้งนี้ ความสามารถในการชำระหนี้สินของประชาชนที่มีหนี้สิน (จากคะแนนเต็ม 10) พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 7.72 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับมาก

ครู-Gen Y ครองแชมป์หนี้สูง
ปัจจุบันสังคมไทยกำลังเผชิญปัญหาการกู้ยืม และหนี้สินล้นพ้นตัวสูง ประกอบกับความสามารถในการออมอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศซึ่งพึ่งพาการจับจ่ายใช้สอยลดลง ซึ่งวิธีแก้ไม่ใช่การปฏิเสธการเป็นหนี้ แต่ต้องรู้จักสร้างสมดุลในการก่อหนี้ มีวินัยในการจับจ่ายใช้สอย โดยไม่ควรมีหนี้เกิน 40% ของรายได้

ทั้งนี้ กลุ่มคุณครูเป็นกลุ่มที่น่ากังวลมากที่สุด เนื่องจากมีการกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ จนปัจจุบันมีหนี้เฉลี่ยสูงกว่าครัวเรือนไทย 2-3 เท่า และอีกกลุ่มคือกลุ่มคน Gen Y ซึ่งจากข้อมูลของเครดิตบูโร พบว่า ประชาชนในช่วงอายุ 22-37 ปี มีหนี้เกินค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 150,000 บาท โดย 50% ของประชาชนอายุ 30 ปี มีหนี้เร็ว หนี้มาก และหนี้นาน โดยยอดของผู้ที่ค้างชำระในกลุ่มดังกล่าว จะมี 1 ใน 5 ที่เป็นหนี้เสีย

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางให้ความรู้ทางการการเงิน การบริหารจัดการหนี้ ทางเครดิตบูโร จึงได้เปิดเว็บไซต์ www.มันหนี้.com หรือ www.thaidebtmoney.com รวมทั้งเฟสบุ๊ค www.facebook.com/thaidebtmoney ด้วยแนวคิดง่าย ๆ คือ “หนี้เป็นได้ เรียนรู้ได้ ด้วยความเข้าใจ” เพื่อให้ข้อมูลกับกลุ่มประชาชนที่มีภาระหนี้ ทั้งเรื่องการฟื้นฟูสุขภพการเงิน กฎหมายคลายหนี้ โปรแกรมตรวจสุขภาพหนี้ และเรียนรู้เคล็ดลับเรื่องหนี้อย่างชาญฉลาดจากกูรู

อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน  

POST COMMENT

You may also like these articles

ครม. อนุมัติ วันหยุดปี 2560 เพิ่ม 3 วัน

 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกาศเพิ่มหยุดราชการ 2 วันมีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต

Continue Reading14 Jul 2017

ครม. ยันรถไฟความเร็วสูง ไทยไม่เสียเปรียบจีน

 หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอย่างเป็นทางการอนุมัติให้การรถไฟแห

Continue Reading17 Jul 2017