ท่ามกลางตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ธุรกิจอสังหาฯ ราคาที่ดิน หนี้ครัวเรือนเป็นอย่างไร พร้อมเปิดโผธุรกิจมาแรงในอนาคต DDproperty รวบรวมมาให้ที่นี่
1. ส่องราคาที่ดินภูเก็ตรอบ 17 ปี เพิ่ม 10.5% ต่อปี หาดป่าตองครองแชมป์
เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) ชี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเป็นลำดับ จากการสำรวจราคาที่ดินภูเก็ตและเกาะใกล้เคียงในรอบ 17 ปี ตั้งแต่ปี 2547-2564 พบว่า ราคาที่ดินบนเกาะภูเก็ตโดยเฉพาะทำเลริมหาดและเกาะ ใกล้เคียงในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่กลางปี 2563-ปัจจุบัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.9%
ทั้งนี้ ผลสำรวจรอบ 17 ปี ราคาที่ดินรอบเกาะภูเก็ตเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10.5% ต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 5.4 เท่า นับเป็นการเพิ่มขึ้นที่รวดเร็วมาก แม้ในช่วงธรณีพิบัติหรือวิกฤติสึนามิเมื่อ 26 ธันวาคม 2547 ราคาที่ดินในช่วง 1 ปี ตั้งแต่กลางปี 2547 ถึงกลางปี 2548 แทบไม่ปรับขึ้น
สำหรับหาดที่มีราคาที่ดินสูงสุด คือ หาดป่าตองอยู่ที่ 250 ล้านบาท/ไร่ 625,000 บาท/ตารางวา หรือ 468.3 ดอลลาร์/ตารางฟุต โดยในรอบ 17 ปี ราคาที่ดินหาดป่าตองเพิ่มเฉลี่ย 11.4% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งเกาะภูเก็ต เพราะเป็นทำเลที่ประกอบธุรกิจเชิงพาณิชย์ได้ดี
ทำเลเด่นอย่างหาดไม้ขาว-หาดราไวย์ แม้ในสถานการณ์โควิด-19 ปี 2563-2564 หาดไม้ขาวมีการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินสูงสุดอยู่ที่ 8% หรือ 87,500 บาท/ตารางวา เทียบกับปี 2547อยู่ที่ 12,500 บาท/ตารางวา แสดงว่าเพิ่มขึ้นถึง 12.1% ต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 7 เท่า
ขณะที่หาดหาดราไวย์ มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาสูงสุด ผลสำรวจ ณ กลางปี 2547 อยู่ที่ 12,500 บาท/ตารางวา ล่าสุดขยับเพิ่มเป็น 125,000 บาท/ตารางวา ณ กลางปี 2564 หรือเพิ่มขึ้น 14.5% ต่อปี คิดเป็น 10 เท่า เนื่องจากมีการลงทุนรีสอร์ตเป็นจำนวนมาก และนักท่องเที่ยวให้ความนิยม แม้ว่าตั้งแต่กลางปี 2563-กลางปี 2564 ราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.1% เพราะแทบไม่มีการลงทุน
อ่านเพิ่มเติม “ที่ดินภูเก็ต” พุ่งสวนกระแสโควิด
2. แนวโน้มหนี้ครัวเรือนยังพุ่ง รายได้ลด-สภาพคล่องทางการเงินต่ำ
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงแนวโน้มการก่อหนี้ของครัวเรือนในปี 2564 สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ยังคงอยู่ในระดับสูง จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ตลาดแรงงานได้รับผลกระทบ รายได้ขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อย
ดังจะเห็นได้จากเงินฝากต่อบัญชีหลังการระบาดของโควิด-19 ระลอกแรก เมื่อเดือนมีนาคม 2563 บัญชีที่มีมูลค่าต่ำกว่า 100,000 บาท ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สวนทางกับกลุ่มที่มีเงินฝากมากกว่า 100 ล้านบาท ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนรายได้น้อยอาจประสบปัญหาขาดสภาพคล่องเพิ่มขึ้น
ต่อเนื่องในปี 2564 ครัวเรือนระมัดระวังการใช้จ่าย ชะลอการซื้อในกลุ่มสินค้าคงทน ได้แก่ ที่อยู่อาศัยและรถยนต์ ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อชะลอตัวลง ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัญหาการขาดสภาพคล่อง และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
โดยหนี้สินครัวเรือนอยู่ที่ 89.3% ต่อจีดีพี ในไตรมาส 4 ปี 2563 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง ขณะที่มูลค่าหนี้ครัวเรือนกลับชะลอขยายตัว โดยในไตรมาส 4 ปี 2563 หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเพียง 3.9% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาหนี้ปัจจุบัน เป็นปัญหาในเรื่องรายได้ไม่ใช่ปัญหาก่อหนี้
อ่านเพิ่มเติม มาตรการช่วยเหลือระยะสั้น-ยาว ผู้มีรายได้น้อย
3. ปิดแคมป์ก่อสร้าง อุตสาหกรรมก่อสร้างสูญ 3.6 หมื่นล้าน
จากการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลายและพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ภาครัฐประกาศใช้มาตรการกึ่งล็อกดาวน์ ให้หยุดก่อสร้างเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 เดือน โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน-28 กรกฎาคม 2564 ในจังหวัดสีแดงเข้ม ได้แก่ กรุงเทพฯ ปริมณฑล และ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา ซึ่งมีมูลค่าการก่อสร้างคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 54% ของมูลค่าการก่อสร้างทั้งหมดในประเทศ หรือมีมูลค่าราว 7 แสนล้านบาท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง คิดเป็นเม็ดเงินราว 36,200 ล้านบาท โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และเป็นโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐเป็นหลัก ขณะที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นใน 4 จังหวัดภาคใต้อาจจะมีไม่มากนัก เนื่องจากโดยปกติแล้ว การลงทุนก่อสร้างในจังหวัดภาคใต้ดังกล่าวมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2% ของมูลค่าการก่อสร้างทั้งประเทศ
ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนอุตสาหกรรมก่อสร้างภาพรวมทั้งปี 2564 อาจหดตัวที่ -3.8% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ขยายตัว 1.2% หรือมีมูลค่าราว 1.27 ล้านล้านบาท
ปิดแคมป์คนงานกระทบอสังหาฯ หวั่นผู้ซื้อเลิกโอน
4. เปิดโผ 10 อุตสาหกรรมดาวเด่นครึ่งปีหลัง 2564
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยอุตสาหกรรมที่มีส่วนสำคัญให้การส่งออกปี 2564 เติบโต ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ระดับ 5-7% ได้แก่
- ยานยนต์
- อาหาร
- เครื่องมือแพทย์และสุขภาพ
- ยาและสมุนไพร
- ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
- เครื่องปรับอากาศและทำความเย็น
- เฟอร์นิเจอร์
- หัตถกรรมสร้างสรรค์
- เครื่องสำอาง
โดย 10 อุตสาหกรรมดังกล่าวมีการเติบโต 20.3% คิดเป็นสัดส่วน 60% ของการส่งออก ซึ่งแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรมออกได้เป็น 4 หมวด ดังนี้
1.อุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวตามตลาดโลก ได้แก่ ยานยนต์และอาหาร กลุ่มนี้จะฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้นตามการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมจำนวนประชากร
2.อุตสาหกรรมที่โดดเด่นต่อเนื่องจากเทรนด์สุขภาพ ได้แก่ เครื่องมือแพทย์และสุขภาพ (รวมถุงมือยาง) ยาและสมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยกลุ่มนี้ได้รับแรงหนุนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัญหามลพิษต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น
3.อุตสาหกรรมที่เติบโตในช่วง Work from Home ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศและทำความเย็น และเฟอร์นิเจอร์ โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น คอมพิวเตอร์ เตาอบไมโครเวฟ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ โทรศัพท์ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Home Device)
4.อุตสาหกรรมที่มีทิศทางเติบโตตามสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย ได้แก่ หัตถกรรมสร้างสรรค์ (แฟชั่น-ไลฟ์สไตล์) และเครื่องสำอาง เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ครัวเรือน และธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะโรงแรม ร้านอาหาร จะเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยในสินค้ากลุ่มสร้างสรรค์ และการตกแต่งอาคารสถานที่ต่าง ๆ จากความต้องการที่ถูกอั้นไว้ช่วงโควิด-19
สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า