ไนท์แฟรงค์ เจาะลึก 4 เซ็กเตอร์ ตลาดอสังหาฯ ปี 67 ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง

12 Feb 2024

[PR News] ไนท์แฟรงค์ เปิดมุมมอง “Knight Frank Foresight 2024 Pivoting Towards Opportunities” เจาะลึกโอกาสและความท้าทาย 4 เซ็กเตอร์ ที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม โรงแรม อาคารสำนักงาน

ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง ปัจจัยฉุดรั้งการเติบโต ชี้คอนโดมิเนียม ต่ำกว่า 3 ล้านยังน่าห่วง การปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือ Reject rate กระทบกำลังซื้อชะลอตัว คาดเรียลดีมานด์ตัวช่วยผลักดันจำนวนแนวราบขายได้ประมาณ 4,000 ยูนิต

กลุ่มอุตสาหกรรมขยายตัวจากแรงหนุนตลาดรถ EV ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ จับตาตลาดอาคารสำนักงานซัพพลายล้น แต่อาคารสีเขียวมีแนวโน้มดี รับเทรนด์ ESG มาแรง

นายณัฏฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดเผยถึงการจัดงาน “Knight Frank Foresight 2024 Pivoting Towards Opportunities” ร่วมค้นหาโอกาสของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวว่า แนวโน้มในปี 2567 เป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงที่ถาโถมเข้ามามากมายทั้งในและนอกประเทศ

ปัจจัยในประเทศ อาทิ ปัญหาเงินเฟ้อต่ำ ที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังน่าเป็นห่วงและต้องจับตามองกันต่อไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยของต้นการผลิตที่สูงขึ้น ตลาดที่อยู่อาศัยเติบโตช้า เนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยสูง และปัญหา Reject Rate

ส่วนปัจจัยจากต่างประเทศ มาจากเศรษฐกิจและการค้าโลกมีความไม่แน่นอนสูงจากภาวะสงครามที่เกิดขึ้นอยู่ในหลายพื้นที่ ตลาดการเงินทั่วโลกมีความผันผวนมากขึ้นจากผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจ รวมถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ในปี 2567 มองเห็นถึงแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องจากการลงทุนเอกชนที่ขยายตัว และการบริโภคภาคเอกชนเติบโตจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงนโยบายภาครัฐที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ และกระตุ้นการใช้จ่าย ผ่านโครงการ Easy E-Receipt

การทำธุรกิจท่ามกลางความผันผวน ข้อมูลมีความสำคัญอย่างมากต่อการใช้วิเคราะห์แนวโน้ม และการวางแผน ใครที่มีข้อมูลในมือเยอะกว่า รวดเร็วกว่า และแม่นยำกว่าจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน

เชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ทางไนท์แฟรงค์ฯ ได้มาจาก End user โดยตรงนี้ มีส่วนทำให้เกิดการรับรู้ถึงโอกาสและความท้าทายที่เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม และเจาะลึกรายเซ็กเตอร์ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม โรมแรม และอาคารสำนักงาน

EV-ดาตาเซ็นเตอร์ ธุรกิจมาแรงดันกลุ่มอุตสาหกรรมขยายตัว

มร.มาร์คัส เบอร์เทนชอว์ กรรมการบริหาร-หัวหน้าฝ่าย, Occupier Strategy & Solutions เปิดเผยว่า ในปี 2567 นี้ ธุรกิจที่น่าจับตามองก็คือ ธุรกิจศูนย์ข้อมูล หรือ Data Center ที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีถึงดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม

ส่วนภาพรวมตลาดอุตสาหกรรม ปี 2566 ถือว่าเป็นปีที่มีผลประกอบที่ยอดเยี่ยม โดยมีที่ดินถูกขายออกไปมากถึง 8,867 ไร่ เป็นจำนวนเป็น 2 เท่าของปีที่แล้ว นำโดยธุรกิจ EV (Electric Vehicle) กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีสินค้ากลุ่มอิเลคโทรนิคที่ขยายตัวได้ดี โดยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) ยังเป็นพื้นที่เป้าหมายหลักที่นักลงทุนให้ความสนใจ คิดเป็นกว่า 80% ของธุรกรรมทั้งหมด 

โรงแรม รอวันฟื้นจากยอดนักท่องเที่ยว

มร.คาร์ลอส มาร์ติเนซ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา เปิดเผยว่า ตลาดโรงแรมสถานการณ์ตอนนี้ถือว่าได้กลับไปอยู่ในจุดก่อนสถานการณ์โควิดแล้ว โดยราคาห้องพักต่อคืนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก แม้ปริมาณนักท่องเที่ยวจะยังไม่กลับมาเหมือนช่วงก่อนโควิดก็ตาม

ดังนั้น สิ่งที่เป็นความท้าทายสำคัญของตลาดโรงแรมในปี 2567 ก็คือจำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับก่อนสถานการณ์โควิดได้หรือไม่ พิจารณาจากอัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 75% เท่านั้น

ตลาดโรงแรมสถานการณ์ตอนนี้ถือว่าค่อนข้างสดใส ราคาห้องพักต่อคืนเพิ่มขึ้นสูงมาก สูงกว่าช่วงโควิดอีก แต่ในขณะเดียวกันค่าต้นทุนการดำเนินงาน (Operation Cost)  เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าไฟ ก็ปรับตัวสูงขึ้นกว่าสัดส่วนของกำไร

ดังนั้น ในปี 2567 ความท้าทายที่สำคัญจึงอยู่ที่จำนวนนักท่องเที่ยวว่าจะฟื้นตัวกลับมาเท่ากับช่วงก่อนสถานการณ์โควิดเมื่อไหร่ เพื่อทำให้ภาพรวมของธุรกิจโรงแรมกลับมามีผลกำไรอยู่ในจุดที่น่าพอใจ

ออฟฟิศซัพพลายล้น-อาคารสีเขียวโตรับเทรนด์ ESG

นายปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกอาคารสำนักงาน เปิดเผยว่า ตลาดอาคารสำนักงานเข้าสู่ช่วงที่ท้าทายอย่างมาก จากแนวโน้มการเข้าถือครองพื้นที่ลดลง โดยที่จำนวนซัพพลายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เริ่มเข้าสู่ภาวะซัพพลายล้นตลาด

แม้ว่าจะมีความต้องการใช้พื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมากภายในปี 2566 แต่ก็ยังไม่ทันกับจำนวนซัพพลายที่เข้าสู่ตลาด ส่งผลให้มีการแข่งขันของอาคารสำนักงานสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้เช่าที่มีตัวเลือกมากขึ้น

ทั้งนี้ ปี 2566 ต่อเนื่อง 2567 มีสัญญาณที่ดีจากบริษัทข้ามชาติที่ต้องการการย้ายฐานบริษัทเข้ามาดำเนินงานในไทย โดยเฉพาะบริษัทจากประเทศจีนในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับรถ EV เริ่มเข้ามาหาพื้นที่จัดตั้งสำนักงานในไทย โดยรัชดาภิเษกเป็นทำเลที่อยู่ในเป้าหมาย

ส่วนบริษัทคนไทยก็เริ่มขยับขยายใช้พื้นที่สำนักงานเพื่อประกอบกิจการมากขึ้น เพราะเป็นมีส่วนสำคัญต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในการดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถเข้าร่วมงาน

ด้าน นายอายุธพร บูรณะกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์พื้นที่สำนักงานบริการสำหรับโครงการ เปิดเผยว่า แนวโน้มความต้องการอาคารสำนักงานที่มีแนวคิดด้านความยั่งยืนมากขึ้น (ESG : Environment Social และ Governance) เช่น ตึก Green Building ที่กำลังได้รับความนิยม รวมถึง พื้นที่ออฟฟิศที่เน้น Work life balance มากขึ้น

นอกจากผู้เช่าจะมองหาอาคารที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนแล้ว ยังพบแนวโน้มของธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องการที่ปรึกษาด้านคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เพื่อสอดรับกับทิศทางของธุรกิจในอนาคต ซึ่งทางไนท์แฟรงค์ก็มีทีมงานที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้คอยให้คำปรึกษากับลูกค้าด้วย 

ที่อยู่อาศัย เติบโตแบบชะลอตัว 

มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่พักอาศัย เปิดเผยว่า ปี 2567 ตลาดที่อยู่อาศัยยังเผชิญกับปัญหา Reject rate และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบ ทำให้การพัฒนาโปรดักท์ระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาทอาจจะไม่ตอบโจทย์มากนัก ในขณะที่กลุ่มที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยเกิน 3 ล้านบาทขึ้นไป จะเป็นลูกค้ากลุ่มหลักที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจ

สิ่งที่น่าจับตามองก็คือ ในส่วนของตลาดบ้านนั้นเริ่มเข้าสู่ภาวะเติบโตแบบชะลอตัว  เพราะเป็นตลาดเรียลดีมานด์ (Real Demand) ซื้อเพื่ออยู่อาศัย ถึงแม้ความต้องการยังมีอยู่ แต่ความต้องการนั้นเริ่มตามไม่ทันกับซัพพลายที่ออกสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการขายบ้านในภาพรวมจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 หลังในปี 2567

ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2566 ในภาพรวมมีจำนวนเปิดขายที่ 745,335 ยูนิต ขายไป 527,067 ยูนิต คิดเป็น 70.7% โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 145,000 บาทต่อตารางเมตร 

หากดูยอดขายที่เปิดขายใหม่ในแต่ละไตรมาสนั้นจะพบว่าสามารถทำยอดขายไปได้กว่า 30% เท่านั้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยังไม่กลับไปแตะระดับ 40% เหมือนที่เคยทำได้ในช่วงต้นปี 2566

โดยเฉพาะอย่างตลาดที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการออกมาในระดับนี้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ตลาดระดับราคา 10-15 ล้านบาท ยังสามารถทำยอดขายได้ดี

จากข้อมูลพบว่า ผู้ซื้อในตลาดราคาระดับนี้ไม่ได้มีความรู้สึกว่าต้องรีบซื้อ แต่อย่างไรก็ตาม ยอดขายก็สามารถปิดอยู่ที่ประมาณ 80% ของที่เปิดขายอยู่ราว ๆ 7,000 ยูนิตได้ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมเพราะจำนวนเปิดขายใหม่ถือว่าค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับที่มีอยู่เดิมในตลาด

ไนท์แฟรงค์ เจาะลึก 4 เซ็กเตอร์ ตลาดอสังหาฯ ปี 67 ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง ไนท์แฟรงค์ เจาะลึก 4 เซ็กเตอร์ ตลาดอสังหาฯ ปี 67 ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง

คอนโดมิเนียม ไตรมาสที่ 4 ปี 2566

ภาพรวมตลาด (Market Overview)

โครงการเปิดใหม่คอนโดมิเนียมตั้งแต่ต้นปีจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 ภาพรวมตลาดมีสัดส่วนที่ลดลงกว่าปีที่แล้ว อีกทั้งความต้องการในตลาดที่ลดลงสวนทางกับโครงการที่มีเหลืออยู่ในตลาด สะท้อนให้เห็นว่าตลาดคอนโดมิเนียมกำลังอยู่ในสภาวะตึงตัว

โดยตั้งแต่ไตรมาสที่ 1-3 ของปี 2566 จะพบว่าโครงการที่มีระดับราคาขายเฉลี่ย 1.9-2.8 ล้านบาท มีการเปิดตัวโครงการใหม่เฉลี่ยอยู่ที่ 43% ของโครงการที่เปิดใหม่ในปีนี้ และโครงการที่มีระดับราคาดังกล่าวกลับพบว่ามีปัจจัยความเสี่ยงของตลาดในด้านกำลังซื้อที่ถดถอยค่อนข้างสูง

เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นทำให้ต้องถูกปฎิเสธในการปล่อยสินเชื่อจากธนาพาณิชย์ ผนวกกับโครงการเดิมที่ยังไม่ได้รับการระบายออกจากตลาด ส่งผลให้โครงการในระดับที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท เหลือค้างในประมาณ 50% ของโครงการที่เหลือขายทั้งหมด

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในภาวะปัจจุบันที่ปรับตัวลดลง 2.1% ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 4 นี้ ผู้ประกอบการต่างก็พยายามปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่โดยการชะลอการเปิดโครงการในระดับราคาที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาทน้อยลง

โดยเลือกเปิดขายโครงการในระดับราคากลาง-บนมากขึ้น (3.5 ล้านบาทขึ้นไป) เพื่อจับกลุ่มกำลังซื้อที่ไม่มีปัญหาในด้านสินเชื่อ โดยจะเน้นกลุ่มที่มีรายได้ระดับกลาง-บนขึ้นไป ทั้งยังปรับกลยุทธ์การขายเพื่อช่วยพยุงโครงการในระดับล่างให้สามารถระบายออกได้เร็วที่สุด

ไนท์แฟรงค์ เจาะลึก 4 เซ็กเตอร์ ตลาดอสังหาฯ ปี 67 ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง

อุปทาน (Supply)

อุปทานสะสมสมทั้งตลาดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีจำนวนทั้งสิ้น ประมาณ 747,357 หน่วย โดยในปี 2566 มีอุปทานใหม่เปิดตัวอยู่ประมาณ 35,761 หน่วย ซึ่งน้อยกว่าปีที่ผ่านมาอยู่ 33.3% ในขณะในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 กลับพบว่ามีการเปิดตัวโครงการใหม่อยู่ที่ 11,316 หน่วย เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 52.6%

ทั้งนี้ การเปิดตัวโครงการใหม่จะกระจุกตัวอยู่บริเวณชานเมืองสูงถึง 70% แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่กลับเปิดขายโครงการในระดับเกรด B มากขึ้น ซึ่งมีสัดส่วนมากสุดในไตรมาสนี้อยู่ที่ 44% รองลงมาเป็นเกรด C อยู่ 32% ระดับซุปเปอร์ไพร์มและเกรด A อยู่ที่ 16% และ 8% ตามลำดับ

หากมองภาพรวมในการเปิดตัวของอุปทานทั้งหมดของไตรมาสนี้ จะพบว่าผู้ประกอบการได้ปรับกลยุทธ์ในการวางแผนโครงการที่มีระดับกลาง-บนขึ้นไป ซึ่งเป็นผลมาจากการที่กลุ่มผู้ซื้อในระดับกลาง-ล่างยังมีปัญหาในการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารที่ยังอยู่ในอัตราสูง ในขณะที่กลุ่มผู้ซื้อระดับกลาง-บนเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพมากที่สุดในตลาด ณ ช่วงเวลานี้

ไนท์แฟรงค์ เจาะลึก 4 เซ็กเตอร์ ตลาดอสังหาฯ ปี 67 ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง ไนท์แฟรงค์ เจาะลึก 4 เซ็กเตอร์ ตลาดอสังหาฯ ปี 67 ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง ไนท์แฟรงค์ เจาะลึก 4 เซ็กเตอร์ ตลาดอสังหาฯ ปี 67 ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง

อุปสงค์ (Demand)

จำนวนอุปสงค์สะสมในตลาดมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 529,089 หน่วย จากจำนวนหน่วยเปิดขายทั้งหมด 747,357 หน่วย โดยภาพรวมความต้องการของตลาดคอนโดมิเนียมในปีนี้ แม้ว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 7.6%

แต่จากจำนวนความต้องการสะท้อนให้เห็นว่าอุปสงค์ในภาพรวมมีการชะลอตัวลงและพยายามปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ยังคงตามไม่ทันอุปทานใหม่ที่มีเพิ่มขึ้นในตลาด

โดยจำนวนหน่วยเหลือขาย ณ ปัจจุบันมีประมาณ 200,000 กว่าหน่วย และด้วยสถานการณ์ตลาดที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้จำนวนหน่วยเหลือขายจะระบายออกได้ช้าลงไปอีกหรือประมาณ 2-3 ปี หากไม่มีอุปทานเกิดขึ้นใหม่

ในขณะที่อุปสงค์ของอุปทานใหม่ในไตรมาสนี้ มีจำนวนหน่วยขายได้หรือยอดจองอยู่ที่ประมาณ 3,134 หน่วย จากอุปทานจำนวน 11,316 หน่วย

โดยกลุ่มผู้ซื้อในไตรมาสนี้ที่เป็นกลุ่มคนไทยที่มีรายได้คงที่และไม่มีปัญหาด้านสินเชื่อ โดยจะซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัยหรือเก็บไว้ลงทุนปล่อยเช่า โดยจะเลือกทำเลที่มีศักยภาพที่สามารถทำกำไรได้ในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวต่างชาติอย่างสิงค์โปร ฮ่องกง และพม่า ที่หันเข้ามาลงทุน อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง จึงเป็นเหตุผลที่ชาวพม่าเริ่มซื้อคอนโดมิเนียมในไทยบางส่วนเพื่อเก็บไว้เป็นสินทรัพย์เพื่อกระจายความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

โดยระดับราคาที่กลุ่มผื้อชาวพม่าให้ความสนจะอยู่ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่มผุ้ซื้อชาวจีนที่ยังไม่เข้ามาลงทุนเยอะในช่วงนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจในจีนเองที่ยังคงชะลอตัวอยู่

ไนท์แฟรงค์ เจาะลึก 4 เซ็กเตอร์ ตลาดอสังหาฯ ปี 67 ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง ไนท์แฟรงค์ เจาะลึก 4 เซ็กเตอร์ ตลาดอสังหาฯ ปี 67 ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง

ราคาขาย (Asking Price)

ราคาเสนอขายคอนโดมิเนียมของไตรมาสมาสที่ 4 ปรับตัวลดลงทุกพื้นที่ โดยราคาเสนอขายคอนโดมิเนียมในบริเวณศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) อยู่ที่ประมาณ 246,000 บาทต่อตารางเมตร ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าประมาณ 0.61%

ราคาเสนอขายคอนโดมิเนียมในบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) อยู่ที่ประมาณ 120,200 บาทต่อตารางเมตร ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 0.66%

ในขณะที่ราคาเสนอขายของคอนโดมิเนียมในบริเวณชานเมืองกรุงเทพมหานครอยู่ที่ประมาณ 67,950 บาทต่อตารางเมตร ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 0.22% ราคาเสนอขายเฉลี่ยรวมทุกพื้นพบว่าลดลง 0.5%

เนื่องจากหลายโครงการที่ต้องการระบายห้องในโครงการเก่าที่สร้างเสร็จได้เร็วขึ้น ซึ่งยังสามารถลดราคาลงได้ เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีสร้างในช่วงที่ราคาต้นทุนของวัสดุก่อสร้างยังไม่ปรับตัวขึ้นเทียบเท่าปัจจุบัน รวมถึงการให้ส่วนลดเงินสดอยู่ที่ประมาณ 5-10% ในบางโครงการ

ไนท์แฟรงค์ เจาะลึก 4 เซ็กเตอร์ ตลาดอสังหาฯ ปี 67 ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง

แนวโน้มปี 2567

1. คอนโดมิเนียมที่อยู่ในระหว่างการขายหรือสร้างเสร็จคาดว่าจะยังคงไม่มีการปรับราคาขึ้นมากนัก ในขณะที่ราคาขายของคอนโดมิเนียมที่จะเปิดใหม่ในปีหน้ามีแนวโน้มว่าราคาขายจะสูงขึ้นในทุกระดับ

โดยปัจจัยที่จะทำให้เกิดการปรับราคาอาทิ ราคาที่ดิน ราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงงาน ค่าน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่ยังมีทิศทางอยู่ในระดับสูง

2. จำนวนหน่วยขายคอนโดมิเนียมซึ่งยังเติบโตต่อได้ในทำเลกรุงเทพฯและปริมณฑลและคาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 2566

3. ตลาดกลาง-ล่างคาดว่าจะฟื้นตัวได้ช้ากว่ากลุ่มอื่น จากปัจจัยความเสี่ยงในด้านกำลังซื้อที่อาจจะถดถอยเนื่องจากการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารที่ค่อนข้างสูงรวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่อาจทำให้การยื่นสินเชื่อได้วงเงินที่น้อยกว่าราคาซื้อ-ขาย

4. การประกาศใช้ผังเมืองฉบับใหม่ อาจจส่งผลให้เกิดการพัฒนามากขึ้นในด้านโครงข่ายคมนาคมในขยายตัวออกไปชานเมืองส่งผลให้มีที่ดินในการพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น

5. การสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในด้านการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ โดยพาะชาวจีนอาจจะช่วยกระตุ้นให้ตลาดคอนโดมิเนียมมีได้รับการระบาย stock ได้ดียิ่งขึ้น

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ส่วนแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ยังคงเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้มั่งคั่งในไทย โดยไนท์แฟรงค์สามารถกวาดยอดขายไปได้กว่า 1,000 ล้านบาท ในปี 2566 และในปี 2567 ก็ยังคงมีความต้องการจากมหาเศรษฐีไทยที่ต้องการเข้าไปซื้ออสังหาริมทรัพย์จากประเทศอังกฤษเพิ่มมากขึ้น

POST COMMENT

You may also like these articles

สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล จับมือ 2 ยักษ์ใหญ่อสังหาฯ เปิด 2 โครงการ รูปแบบ branded residences

[PR News] สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล (Standard International) จับมือ 2 ดีเวลลอปเปอร์ยักษ์ใหญ

Continue Reading7 Feb 2024

แอสเซทไวส์ เปิดแผนธุรกิจปี 2567 เตรียมลุย 12 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 25,920 ลบ.

[PR News] แอสเซทไวส์ เปิดเกมรุกสู้ศึกอสังหาฯ ปี 2567 ชูกลยุทธ์ “THE NEW FRONTIERS” ลุยเปิด 12

Continue Reading9 Feb 2024