จับสัญญาณภาวะฟองสบู่ อุปทานล้น โครงการเจ๊งเพิ่ม

29 Jan 2018

จับสัญญาณภาวะฟองสบู่ อุปทานล้น โครงการเจ๊งเพิ่ม

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลของไทยถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงต่างๆ ทั่วอาเซียน โดยมีจำนวนสูงถึง 1,949 โครงการ ทิ้งห่างอันดับสองอย่างกรุงจาการ์ตาที่มีโครงการกำลังขายอยู่เพียง 411 โครงการเท่านั้น แต่จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย หรือ AREA พบว่า จำนวนโครงการ ณ สิ้นปี 2560 เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2559 คือเพิ่มจาก 184,329 หน่วย เป็น 195,227 หน่วย แสดงให้เห็นว่าการขายเริ่มอืดลง มีสินค้ารอขายมากขึ้น ซึ่งส่งสัญญาณถึงภาวะฟองสบู่ที่อาจเกิดขึ้นได้

หน่วยขายเพิ่ม มูลค่าสูง
จำนวนโครงการเปิดใหม่ในปี 2560 เมื่อเทียบกับปี 2559 พบว่า มีจำนวนโครงการลดลง 11.3% แต่มีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 3.5% มูลค่าโครงการอยู่ที่ 441,661 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.6% ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 24 ปี รูปแบบที่อยู่อาศัยที่มีการเปิดมากที่สุดคือคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ตามลำดับ โดยราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วย 3.859 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.6% จากราคา 3.456 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2559

โครงการเจ๊งเพิ่ม มูลค่ากว่า 1.3 แสนล้าน
จากการสำรวจพบว่ามีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่หยุดการขายเพิ่มขึ้น ณ สิ้นปี 2560 มีจำนวน 189 โครงการ จำนวน 50,799 หน่วย มูลค่า 131,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกลางปี 2560 อยู่ที่ 6% ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าจำนวนโครงการที่จะ “เจ๊ง” เพิ่มขึ้นไม่น้อย หากไม่มีการควบคุมอุปทานอาจทำให้ตลาดเข้าสู่ขั้นวิกฤติได้

ทั้งนี้ สาเหตุของการหยุดการขาย มาจากไม่ผ่าน EIA 46 โครงการ (24%) สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ 45 โครงการ (24%) ขายไม่ออก/ไม่มีคนซื้อ/รูปแบบสินค้าไม่เหมาะ 36 โครงการ (19%) ทำเลที่ตั้งห่างไกลสิ่งอำนวยความสะดวก 21 โครงการ (11%) เปลี่ยนรูปแบบโครงการ 12 โครงการ (6%) รอปรับราคาขายใหม่ 10 โครงการ (5%) ยกเลิกการขายที่เหลือนำมาปล่อยเช่า 7 โครงการ (4%) กรรมสิทธิ์ที่ดินและทางเข้า-ออกโดยเวนคืน 5 โครงการ (3%) ผู้ประกอบการถูกอายัดทรัพย์ 5 โครงการ (3%) ขาดผู้รับเหมา และแรงงานก่อสร้าง 2 โครงการ (1%)

รวมประกาศโครงการบ้านและคอนโด ในเขตกรุงเทพฯ 

ทิศทางตลาดอสังหาฯ

ทิศทางตลาดอสังหาฯ

จับตาภาวะฟองสบู่
ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างมากในปี 2556 แต่ในปี 2557 อุปทานเริ่มคงที่โดยเฉพาะหน่วยขายที่เปิดใหม่ที่ยังคงเพิ่มขึ้นตามปกติปีละประมาณ 110,000 หน่วย แสดงว่าความต้องการที่อยู่อาศัยไม่ได้เพิ่มขึ้น จากนั้นในปี 2558 เกิดปรากฏการณ์ที่มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาแพงมากขึ้นแสดงให้เห็นว่าแม้ประชาชนในระดับล่างจะมีความสามารถในการซื้อลดลง แต่ระดับบนยังมีกำลังซื้ออยู่ โดยเฉพาะในปี 2560 ยิ่งแสดงให้เห็นชัดถึงการเติบโตของบ้านที่มีราคาเฉลี่ยสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในปี 2561 คาดว่า ตลาดยังคงไปในทิศทางเดิมคือ จำนวนหน่วยไม่เพิ่มขึ้น แต่มูลค่ายังเพิ่มสูงขึ้น เพราะตลาดระดับบนยังสามารถขายได้ ซึ่งจะทำให้เกิดฟองสบู่ต่อเนื่อง การที่ตลาดยังโตเนื่องจากไม่มีการควบคุมอุปทาน ผู้ประกอบการรายใหญ่อาศัยหุ้นกู้ที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำมาเปิดขายโครงการมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่สินค้าหรืออุปทานคงเหลือก็ยังเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน และหากไม่มีการดำเนินการใดๆ ก็อาจทำให้ตลาดเกิดภาวะฟองสบู่แตกในปี 2562-2563

ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจซื้อหรือขายหรือให้เช่าหรือเช่าอสังหาฯ ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งอีกหนึ่งแหล่งที่น่าสนใจคือ รายงานดัชนีอสังหาฯ DDproperty Property Index  และ
รายงานภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ DDproperty Property Market Outlook 

อัพเดท ข่าวอสังหาริมทรัพย์ สดใหม่ทุกวัน พร้อมส่งตรงถึงอีเมล์ของคุณฟรี สมัครได้ที่นี่ หรือหากคุณกำลังมองหาบ้านคอนโด ก็สามารถเลือกชม โครงการใหม่ พร้อม รีวิวโครงการคอนโดใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคาได้เช่นกัน

POST COMMENT

You may also like these articles