จับตาประเด็นร้อนรอบสัปดาห์ เกาะติดแนวโน้มอสังหาฯ ฟื้นตัวเร็ว คาดตลาดคอนโดยอดโอนทยอยกลับมา หลังปัจจัยบวกหนุน พร้อมมาตรการช่วยลูกหนี้ หวังชะลอหนี้ครัวเรือน และความคืบหน้าต้นแบบทางเท้าแห่งแรกในไทย DDproperty รวบรวมมาให้อัปเดตที่นี่
1. อสังหาฯ ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด ทยอยเปิดโครงการเพิ่ม
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ชั่วคราว เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงนโยบายเปิดประเทศ คาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์
ล่าสุด ศูนย์ข้อมูลฯ ปรับสมมติฐานในคาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาส 4/2564 และปี 2565 ใหม่ ดีมานด์-ซัพพลายจะกลับมาเป็นปกติภายในปลายปี 2566 จากเดิมคาดฟื้นตัวปี 2568-2570 ซึ่งหมายความว่า เทรนด์จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีเท่ากับค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนยุคโควิด (2558-2562) เร็วขึ้นถึง 4 ปี
ไตรมาส 4/2564 คาดว่าจำนวนหน่วยได้รับใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 21,039 หน่วย หรือ 99.6% และจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีจำนวน 35,231หน่วย เพิ่มขึ้น 53.4% เมื่อเทียบกับปี 2563 อย่างไรก็ตาม ภาพรวมทั้งปี 2564 ตลาดรวมยังคงติดลบถึง 22.1% และ 12.7% ตามลำดับ
ขณะที่การเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล คาดว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่ในไตรมาส 4/2564 จำนวน 20,050 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 39.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563
ทั้งนี้ นโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาลจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นดีมานด์ตลาดที่อยู่อาศัยให้เพิ่มขึ้นได้ สะท้อนจากหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์รวมทั่วประเทศ ไตรมาส 3/2564 มีจำนวน 60,174 หน่วย มูลค่ารวม 185,756 ล้านบาท แต่เมื่อมีมาตรการผ่อนคลาย LTV 100% คาดว่าในไตรมาส 4/64 จะมีการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นเป็น 95,221 หน่วย เพิ่มขึ้น 1.2% มูลค่ารวม 262,931 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1%
สรุปข่าวจากประชาชาติธุรกิจ: REIC recall อสังหาฯ ปรับเทรนด์ฟื้นตัวเร็วขึ้น 4 ปี
2. แนวโน้มตลาดคอนโด 6 เดือนข้างหน้า ยอดโอนต่างชาติพุ่ง
ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เผยผลสำรวจพบอุปทานตลาดคอนโดเปิดโครงการใหม่ช่วงไตรมาส 3/2564 มีจำนวน 2,312 หน่วย ลดลง 70.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 13.05% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนมากตั้งอยู่บริเวณชานเมือง 77% หรือ 1,608 หน่วย บริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) 30% ส่วนบริเวณศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ไม่พบการเปิดตัวโครงการใหม่
การเปิดโครงการใหม่ทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่จากบริษัทมหาชน อุปทานส่วนใหญ่เปิดขายในระดับราคา 34,000-120,000 บาทต่อตารางเมตร เฉลี่ยเปิดขายในราคาประมาณ 75,000 บาทต่อตารางเมตร หรือห้องละไม่เกิน 2.5 ล้านบาท จำนวนห้องในโครงการไม่เกิน 600 หน่วย
โดยอยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายที่เปิดให้บริการใหม่ รวมถึงที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เช่น สายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ สายสีส้มฝั่งตะวันออก สายสีแดงช่วงรังสิต-ธรรมศาสตร์ และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ พญาไท-สุวรรณภูมิ
ลักษณะโครงการจะมีจำนวนห้องไม่มาก ราคาจับต้องได้ง่าย โฟกัสกลุ่มตลาดกลาง-ล่าง ในทำเลที่กำลังจะเติบโต มีอนาคต ถือเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการทดสอบกำลังซื้อและความมั่นใจจากผู้บริโภค หากได้รับการตอบรับดีก็จะเป็นสัญญานที่ดีสำหรับการลงทุนในตลาดคอนโดต่อไป
อย่างไรก็ดี 6 เดือนต่อจากนี้ คาดว่าตลาดคอนโดจะมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอุปสงค์กลุ่มชาวต่างชาติที่จะทยอยเดินทางเข้ามาในประเทศ ภายหลังได้รับปัจจัยบวกทั้งจากการฉีดวัคซีนได้ทั่วถึงมากขึ้น และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ส่งผลเชิงบวกโดยตรงต่อกลุ่มชาวต่างชาติที่ถึงกำหนดโอนคอนโด แต่ยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาตรวจรับห้องได้ในช่วงก่อนหน้านี้
สรุปข่าวจากกรุงเทพธุรกิจ: อสังหาฯซุ่มเปิดตัวคอนโดชานเมืองยูนิตไม่เกิน 2.5 ลบ.ทดสอบกำลังซื้อ
3. รวมหนี้ข้ามแบงก์ช่วยลูกหนี้ ถึงสิ้นปี 66
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับปรุงมาตรการการรวมหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่น เพื่อช่วยให้ลูกหนี้ได้รับดอกเบี้ยลดลงจากเดิม ลดวงเงินค่างวดให้ผ่อนชำระในระหว่างฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วงโควิด-19
โดยขยายขอบเขตให้รวมหนี้ข้ามสถาบันการเงิน ข้ามไปยังผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงินได้ (นอนแบงก์) และธนาคารรัฐได้ จากเดิมที่รวมหนี้ได้เฉพาะหนี้สถาบันการเงินเดียวกัน คาดเริ่มใช้มาตรการได้สิ้นเดือนธันวาคม 2564-31 ธันวาคม 2566
นอกจากนั้น ยังได้ปรับปรุงวิธีการรวมหนี้ตามแนวทางใหม่ 3 แนวทาง ดังนี้
1) นำหนี้รายย่อยจากสถาบันการเงิน หรือนอนแบงก์อื่น มารวมกับหนี้ของสถาบันการเงินที่ลูกหนี้มีสินเชื่อบ้านอยู่ โดยรีไฟแนนซ์สินเชื่อรายย่อย ปิดยอดจากที่เดิม แล้วมารวมกับสินเชื่อบ้านที่มีอยู่
2) นำหนี้บ้านจากสถาบันการเงิน หรือนอนแบงก์ อื่นมารวมกับสินเชื่อรายย่อยที่มีอยู่ โดยให้รีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน ปิดยอดจากที่เดิมมารวมได้
3) รีไฟแนนซ์ทั้งสินเชื่อบ้านและสินเชื่อรายย่อยจากสถาบันการเงินเดิม มารวมในสถาบันการเงินใหม่ โดยหลักการรวมหนี้ วงเงินสินเชื่อใหม่ที่รวมกันต้องต่ำกว่าราคาบ้านที่ใช้เป็นหลักประกัน
ธปท.ยังกำหนดอัตราดอกเบี้ยหลังจากรวมหนี้ไว้ด้วย เพื่อให้ลูกหนี้ได้รับดอกเบี้ยที่ลดลงจากเดิม เพราะมีบ้านเป็นหลักประกันแล้ว โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้คิดดอกเบี้ยไม่เกินดอกเบี้ยตามสัญญาเดิม
ส่วนสินเชื่อรายย่อยที่นำมารวมหนี้ หากเคยคิดที่ 16-28% ให้กำหนดดอกเบี้ยใหม่ได้ไม่เกินดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย บวก 2% ต่อปี เช่น หากดอกเบี้ยบ้าน 6% ให้คิดได้ไม่เกิน 8% ส่วนกรณีรับโอนสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น ให้คิดดอกเบี้ยบ้านตามความเสี่ยงของลูกหนี้ และบวกเพิ่มไม่เกิน 2% สำหรับสินเชื่อรายย่อย
ทั้งนี้ เพื่อจูงใจให้สถาบันการเงินรวมหนี้ให้กับลูกหนี้ ธปท.ได้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์ การกำกับดูแลการจัดชั้นหนี้ การกันเงินสำรอง และการดำรงเงินกองทุน เพื่อลดต้นทุนให้กับสถาบันการเงิน รวมถึงออกประกาศห้ามเรียกเก็บค่าปรับจากการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนครบกำหนดสำหรับสินชื่อส่วนบุคคล ภายใต้การกำกับและสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ ภายใต้การกำกับเป็นการชั่วคราว มีผลถึง 31 ธันวาคม 2566
สรุปข่าวจากไทยรัฐ: ธปท.ปรับปรุงมาตรการรวมหนี้ และหลักประกันช่วยลูกหนี้
4. สกัดหนี้เสียบัตรเครดิต ชะลอหนี้ครัวเรือนไทย
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สถานการณ์หนี้สินครัวเรือนไตรมาส 2 ของปี 2564 มีมูลค่ากว่า 14.24 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน ที่อยู่ระดับ 4.7% หรือคิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อจีดีพี ลดลงจาก 90.6% ในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวเร็วกว่าหนี้สินครัวเรือน
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพี ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด ยังต้องเฝ้าระวังหนี้บัตรเครดิตที่มีหนี้เสีย (NPLs) เพิ่มขึ้น แม้ว่าสัดส่วน NPLs ของสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.92% ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
แต่สัดส่วน NPLs ของสินเชื่อบัตรเครดิตต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันจาก 3.04% ในไตรมาสก่อน มาเป็น 3.51% รวมทั้งลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เสียจากบัตรเครดิต 1 ใน 3 เป็นผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี
สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพี ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด สาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถขยายตัวได้ในระดับปกติ และผลกระทบของอุทกภัย ทำให้ครัวเรือนต้องก่อหนี้เพื่อนำมาซ่อมแซมบ้านเรือนและเครื่องใช้ที่ได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค
นอกจากนั้นยังมี 3 ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญในระยะถัดไป ดังนี้
1) หนี้เสียโดยเฉพาะบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งหากลูกหนี้ผิดนัดชำระจะต้องเสียดอกเบี้ยปรับในอัตราที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหนี้ประเภทอื่น
2) การส่งเสริมให้ลูกหนี้เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยเร่งประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระและเพิ่มสภาพคล่อง เพราะถึงแม้ว่าจะมีการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ลูกหนี้อาจไม่รับรู้ถึงมาตรการช่วยเหลือ
3) การก่อหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น จากข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในรอบครึ่งปี 2564 พบว่า มีมูลค่าหนี้นอกระบบรวม 8.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีเพียง 5.6 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 1.5 เท่าจากปี 2562
สรุปข่าวจากประชาชาติธุรกิจ: หนี้ครัวเรือนไทยทะลุ 14.24 ล้านล้าน สภาพัฒน์ห่วงหนี้เสียบัตรเครดิตพุ่ง
สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า