รอบสัปดาห์นี้ ทิศทางเศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯ มีสัญญาณบวก ดัชนีความเชื่อมั่นฟื้น จากมาตรการคลายล็อกดาวน์ รอลุ้นคงอัตราดอกเบี้ยนโนบายหนุนเศรษฐกิจต่อเนื่อง ด้านผู้ประกอบการฮุกหมัดจัดโปรเร่งซื้อ DDproperty รวบรวมมาให้อัปเดตที่นี่
1. ผ่อนคลาย LTV ปลุกตลาดคอนโดฟื้น ทั้งซื้ออยู่จริง-ลงทุน
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า จากการปลดล็อกเกณฑ์มาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ล่าสุด ที่ผ่อนคลายมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมาเป็น 100% ในทุกระดับราคา ครอบคลุมสัญญาทุกหลัง โดยมีผลจนถึงสิ้นปี 2565 มองว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ในทุกระดับราคา จากเดิมช่วงปีที่ผ่านมา ที่ผู้ประกอบการเน้นเปิดตัวโครงการในระดับราคาที่เข้าถึงง่ายให้สอดรับกับกำลังซื้อของลูกค้าที่ชะลอตัว
ทั้งนี้ จากสัญญาณบวกเรื่องการเปิดประเทศและแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการปลดล็อกเกณฑ์ LTV เชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะค่อย ๆ ฟื้นตัว ทั้งที่อยู่อาศัยในกลุ่มราคาเข้าถึงง่าย รวมทั้งกลุ่มโครงการลักซ์ชัวรีระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไป จะได้รับอานิสงส์จากเกณฑ์ LTV ใหม่นี้ด้วย
จากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยครึ่งปีแรก 2564 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า คอนโดมิเนียม มีจำนวนอุปทานเปิดใหม่ทั้งสิ้น 10,018 ยูนิต ลดลง 38% จากครึ่งปีหลัง 2563 โดยจากจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ทั้งหมด ระดับราคา 40,000-90,000 บาท/ตารางเมตร ยังคงมีสัดส่วนมากที่สุดที่ 44%
ส่วนในรอบสำรวจนี้ พบว่า อุปทานใหม่ที่ระดับราคาต่ำกว่า 40,000 บาท/ตารางเมตร และระดับราคาสูงกว่า 150,000 บาท/ตารางเมตร เปิดตัวเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีหลัง 2563 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการเน้นจับกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้นในปีนี้
การปลดล็อกมาตรการ LTV ใหม่นี้ ส่งผลดีต่อที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคาทั้งโครงการมือหนึ่งและมือสองช่วยกระตุ้นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมทั้งกลุ่มนักลงทุนที่มีกำลังซื้อให้ตัดสินใจง่ายขึ้น โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียม เนื่องจากปัจจุบันมีราคาถูกจากโปรโมชั่นพิเศษ หากซื้อมาเก็บไว้เป็นสินทรัพย์จนตลาดกลับมาดีในอนาคต ราคาจะเพิ่มขึ้น ส่วนนักลงทุนปล่อยเช่า ราคาเช่าในทำเลดี ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ได้ผลตอบแทนในเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้น
อ่านเพิ่มเติม: เปิดผลสำรวจคอนโดมิเนียม-บ้าน-ทาวน์โฮมรับสัญญาณบวกปลดล็อก LTV
2. นิวไฮ! ดัชนีความเชื่อมั่นฟื้นในรอบ 5 เดือน
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่สำรวจจากประชาชนทั่วประเทศ 2,245 คน และดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ที่สำรวจจากหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ 369 ตัวอย่าง พบว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนตุลาคม 2564 ดีขึ้นทุกรายการ ซึ่งเป็นการดีขึ้นติดต่อกัน 2 เดือน และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน นับจากเดือนมิถุนายน 2564 โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 37.8 เพิ่มจาก 35.5 ในเดือนกันยายน 2564
สาเหตุมาจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ การลดเวลาเคอร์ฟิว ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานเริ่มกลับมา ประชาชนคลายกังวลในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 และการประกาศเปิดประเทศ รวมถึงการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาท ส่งผลทางจิตวิทยาในเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่คาดว่า จะทำให้การจับจ่ายใช้สอยของคนไทยและการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
อีกทั้งการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะมีมากขึ้นในช่วงปลายปี รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่จะเข้ามาหมุนเวียนเพิ่มเติมในระบบเศรษฐกิจกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทย และการจ้างงานดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นทั้งในปัจจุบันและอนาคตปรับตัวสูงขึ้นมาก
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ดีขึ้นทุกรายการเช่นกัน โดยดัชนีเดือนตุลาคม 2564 อยู่ที่ 19.9 เพิ่มจาก 19.4 ในเดือนกันยายน 2564 เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน นับจากเดือนเมษายน 2564 ดัชนีเชื่อมั่นในปัจจุบัน อยู่ที่ 8.6 เพิ่มจาก 8.3 และดัชนีเชื่อมั่นในอนาคต อยู่ที่ 31.2 เพิ่มจาก 30.4
แต่การที่ดัชนีในปัจจุบันยังต่ำมาก เพราะผู้ประกอบการยังกังวลการระบาดของโควิด น้ำท่วมหลายพื้นที่ เสถียรภาพและสถานการณ์การเมือง รวมถึงสภาพคล่องหลังเปิดกิจการ
อ่านเพิ่มเติม: คลายล็อกหนุน “ดัชนีความเชื่อมั่น” นิวไฮ 5 เดือน
3. คาด กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% หนุนเศรษฐกิจฟื้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 กนง. จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% หลังจากเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศและคลายล็อกดาวน์ ซึ่งส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น อีกทั้งยังส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาด ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจ้างงาน
ขณะที่การเร่งฉีดวัคซีน ส่งผลให้ความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ลดน้อยลง อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดทั้งในและต่างประเทศยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เห็นได้จากหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ จีน อังกฤษ และรัสเซีย ต่างเผชิญกับการกลับมาเพิ่มสูงขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง
ดังนั้น ในการประชุม กนง. ที่จะถึงนี้ คาดว่า กนง. น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่ยังคงมีอยู่
ด้านเงินเฟ้อของไทย แม้ว่าจะเร่งสูงขึ้นอย่างมากจากราคาพลังงาน แต่โดยรวมคาดว่าจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของ กนง. ที่ 1.0-3.0% แต่ยังมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะสูงขึ้นต่อเนื่อง หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขยับขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และไม่ย่อตัวลงมาอย่างที่คาด ทั้งนี้ คาดว่าทั้งปี 2564 อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 1.2%
หาก กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะยิ่งเป็นปัจจัยผลักดันให้เงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และในทางตรงกันข้าม การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายก็ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาเงินเฟ้ออย่างตรงจุดและจะยิ่งฉุดรั้งการฟื้นตัวเศรษฐกิจให้อ่อนแรงกว่าเดิม
อ่านเพิ่มเติม: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดประชุม กนง. 10 พ.ย. ยังคงดบ.ที่ 0.5%
4. อัปเดต BTS-MRT-รถประจำทาง หลังคลายล็อก
ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้ามหานคร (MRT) และรถโดยสารประจำทาง กลับมาให้บริการเป็นปกติ นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ตามนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาล
โดยหลังจากภาครัฐคลายล็อกดาวน์ ปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสเริ่มดีขึ้น ปัจจุบันมีผู้โดยสารใช้บริการราว 300,000 คนต่อวัน จากเดิมที่มีผู้โดยสารใช้บริการราว 800,000-900,000 คนต่อวัน โดยได้ปรับให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีทอง และรถด่วนพิเศษ (บีอาร์ที) ตามปกติทุกสถานี
ขณะที่รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) เปิดให้บริการเวลา 06.00-24.00 น. และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) เปิดให้บริการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.30-24.00 น. และวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 06.00-24.00 น. ส่วนอาคารและลานจอดแล้วจรของ รฟม. จะเปิดให้บริการเวลาตามปกติทุกแห่ง คือ 05.00-01.00 น.
ด้านรถโดยสารประจำทาง ออกวิ่งรถตามปกติ วันละ 2,886 คัน จำนวน 20,000 เที่ยวจัดเดินรถบริการตลอดคืน (รถกะสว่าง) 23 เส้นทาง เริ่มให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2564
รวมทั้งจัดเดินรถเชื่อมต่อท่าอากาศยาน จำนวน 6 เส้นทาง รวม 60 คัน ประกอบด้วย สาย A1 ท่าอากาศยานดอนเมือง-สถานีรถไฟฟ้า BTS จตุจักร วันละ 16 คัน, สาย A2 ท่าอากาศยานดอนเมือง-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วันละ 12 คัน, สาย A3 ท่าอากาศยานดอนเมือง-สวนลุมพินี วันละ 8 คัน, สาย A4 ท่าอากาศยานดอนเมือง-สนามหลวง วันละ 8 คัน, สาย S1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-สนามหลวง วันละ 6 คัน, สาย 555 รังสิต-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วันละ 10 คัน
อ่านเพิ่มเติม: เปิดประเทศคึกคัก ขนส่งสาธารณะ ให้บริการ เต็มพิกัด บีทีเอสคาดคนใช้เฉียดล้าน
สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า