สรุปข่าวเด่นอสังหาฯ รอบสัปดาห์ 28 ก.พ.-4 มี.ค. 65

5 Mar 2022

ส่องตลาดบ้านแนวราบ 10 ล้านบาทขึ้นไปมาแรง

อสังหาฯ รอบสัปดาห์ หลากหลายประเด็นร้อน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดอสังหาฯ หนี้ครัวเรือนไทย การปรับตัวของผู้ประกอบการ จับตลาดบ้านแนวราบราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป และการโฟกัสกลุ่มลูกค้าใหม่ดันยอดขาย DDproperty รวบรวมมาให้อัปเดตที่นี่

Subscription Banner for Article

1. จับตาตลาดบ้านแนวราบ ราคา 10 ล้านขึ้นไปมาแรง

ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบที่มีระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปยังคงแข็งแกร่ง โดยนักพัฒนาหันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้นตลอดปี 2564 แต่ภาพรวมด้านอุปทานในกลุ่มนี้ยังมีไม่มากนัก

ขณะที่อุปสงค์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูง ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มสำคัญที่สามารถทำรายได้ให้กับผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการบ้านแนวนี้ในระยะที่ผ่านมา

แม้ความต้องการของบ้านกลุ่มระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปจะมีค่อนข้างจำกัด แต่พฤติกรรมการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตแบบ New Normal ที่เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบที่อยู่อาศัยจากเดิมให้มีพื้นที่มากขึ้น

สอดคล้องกับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่นำมาใช้กับบ้าน ทำเลโครงการอยู่ในโซนที่เดินทางง่าย สิ่งเหล่านี้อาจทำให้อุปสงค์ของตลาดกลุ่มนี้มีการขยายตัวมากขึ้นในอนาคต

ในปี 2564 พบว่า บ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปที่ยังมีหน่วยเหลือขายอยู่ในปัจจุบันประมาณ 197 โครงการ มีอุปทานสะสมจำนวนทั้งสิ้น 20,434 หน่วย และมีจำนวนหน่วยขายได้ไปทั้งสิ้น 14,766 หน่วย คิดเป็นอัตราการขาย 72% โดยอัตราการขายช่วงสิ้นปี 2564 มีอัตราการขายเพิ่มสูงขึ้นมา 11% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 61%

ขณะที่บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 10-20 ล้านบาท มีอุปสงค์สูงสุดเพิ่มมาอยู่ที่ 8,043 หน่วย รองลงมาคือ 21-30 ล้านบาท และ 31-40 ล้านบาท มีอุปสงค์อยู่ที่ 2,816 หน่วย และ 2,102 หน่วยตามลำดับ

ในส่วนของอัตราการขายสูงสุด คือ บ้านที่มีราคาสูงกว่า 100 ล้านบาท เพราะอุปทานในระดับราคานี้มีอยู่จำกัด ทำให้อัตราการขายสูงที่สุด ซึ่งอัตราการขายอยู่ที่ 90% รองลงมาได้แก่ บ้านราคา 51-60 ล้านบาท และ 31-40 ล้านบาท มีอัตราการขายอยู่ที่ 83% และ 82% ตามลำดับ ส่วนบ้านที่มีอุปสงค์ต่ำที่สุดและอัตราการขายต่ำที่สุด คือ บ้านราคา 61-70 ล้านบาท

ตลาดบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปในปี 2565 ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง อุปทานคาดว่าจะมีมากขึ้น เนื่องมาจากรัฐบาลออกประกาศกำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยไม่มีการลดหย่อนภาษี ส่งผลให้นักพัฒนาต้องวางแผนงานเพื่อทยอยพัฒนาที่ดินที่เก็บไว้ในมือออกมา

อีกทั้งภาวะการแข่งขันในตลาดจะมีมากขึ้น และความท้าทายของนักพัฒนาคือการพัฒนาโครงการด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงพนักงาน ค่าใช้จ่ายของมาตราการโรคระบาดให้แก่พนักงาน รวมถึงต้นทุนของค่าภาษีที่ดินที่ต้องจ่าย 100%

สรุปข่าวจากกรุงเทพธุรกิจ: บ้านราคา 10 ล้านอัพ บูมสวนกระแสภาวะเงินเฟ้อ

 

2. แนวโน้มคนไทยยังก่อหนี้บ้าน-หนี้รถเพิ่ม ดันหนี้ครัวเรือนไทยสูง

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2564 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 14.35 ล้านล้านบาท ขยายตัว 4.2% ขยายตัวต่ำกว่าไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 5.1% ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี อยู่ที่ 89.3% อยู่ในระดับคงที่จากไตรมาสก่อน

โดยหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่ เป็นสินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 4.9 ล้านล้านบาท ขยายตัว 5.5% เพิ่มขึ้นในอัตราชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่อยู่ระดับ 6% เนื่องจากความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยหดตัวลง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม

ขณะที่สินเชื่อเพื่อยานยนต์อยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอยู่ที่ 4 ล้านล้านบาท ขยายตัว 4.6% ลดลงจาก 6.3% ในไตรมาสที่ผ่านมา ตามการหดตัวของสินเชื่อบัตรเครดิตและการปรับลดลงครั้งแรกของสินเชื่อส่วนบุคคลในรอบ 4 ไตรมาส

ทั้งนี้ แนวโน้มการก่อหนี้ในระยะถัดไป คาดว่าหนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุจากครัวเรือนที่รายได้สูงหรือที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตยังมีแนวโน้มก่อหนี้เพิ่ม โดยเฉพาะในสินเชื่อเพื่อยานยนต์

นอกจากนี้ สินเชื่อที่อยู่อาศัยก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากมาตรการผ่อนคลาย LTV และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 มีความต้องการสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภค เพื่อนำมาชดเชยสภาพคล่องจากรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัว

สรุปข่าวจากประชาชาติธุรกิจ: วิกฤตเศรษฐกิจ-สังคมไทย หนี้ครัวเรือนพุ่ง-เด็กจบใหม่เตะฝุ่นเพียบ

เผย 7 ปัจจัยกดดันตลาดอสังหาฯ ปี 65 กระทบซื้อบ้าน

3. เผย 7 ปัจจัยกดดันตลาดอสังหาฯ ปี 65 กระทบซื้อบ้าน

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย เจอแรงกดดันหลายด้านที่ส่งผลให้ความต้องการ (ดีมานด์) การซื้อที่อยู่อาศัยลดลง เป็นผลจาก 7 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1) โครงสร้างประชากรไทยเปลี่ยนแปลงไป “คนวัยทำงานลด โสดนาน ชราเพิ่ม” ทำให้นิยมบ้านพักขนาดพอเหมาะ เน้นความปลอดภัย และฟังก์ชันใช้งานง่าย คาดการณ์ว่า 10 ปีข้างหน้า ขนาดครอบครัวไทยมีแนวโน้มลดลงตามจำนวนประชากร โดยกลุ่มวัยทำงานลดลงมาก แต่จะเพิ่มขึ้นในเขตปริมณฑลและภาคตะวันออก ซึ่งเป็นที่น่าจับตามอง เพราะจะมีการเคลื่อนย้ายของประชากร ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น

2) พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป หันมาทำงานที่บ้าน (Work From Home) มากขึ้น จึงต้องการที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ส่วนตัว ในเขตชานเมือง/ต่างจังหวัด และมีฟังก์ชันตอบโจทย์ รวมถึงให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

3) ปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนไทยยังอยู่ในระดับสูง จะกลายเป็นแรงกดดันกำลังซื้อผู้บริโภค

4) มาตรการรัฐในปี 2565 ที่ออกมาช่วยภาคอสังหาริมทรัพย์ ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ครอบคลุมถึงที่อยู่อาศัยระดับปานกลาง และมีระยะเวลาจำกัดแค่ปี 2565 เท่านั้น การผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value: LTV) ช่วยฟื้นฟูดีมานด์ที่อยู่ในระดับต่ำ ส่วนมาตรการกระตุ้นต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ พบว่าสัดส่วนลดลงโดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นกำลังซื้อหลัก ลดลงมาตั้งแต่ปี 2561

5) ซัพพลายส่วนเกิน (Excess Supply) ในภาคอสังหาริมทรัพย์ใน 3 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีการปรับสมดุล

6) แนวโน้มต้นทุนงานก่อสร้างเพิ่มขึ้น

7.แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่ม คาดการณ์ว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566 ซึ่งจะนำไปสู่การขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ตามมา

สรุปข่าวจากกรุงเทพธุรกิจ: 7 ปัจจัยเสี่ยงสะเทือน!อสังหาฯ เมื่อทุกอย่างไม่เหมือนเดิม

 

4. อสังหาฯ เบนเข็มโฟกัสกลุ่มลูกค้าไทย Gen Y, Gen Z แทนต่างชาติ

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ชี้ปี 2565 อาคารชุดจะค่อย ๆ ฟื้นตัว เนื่องจากสินค้าคงค้างที่ลดลง และราคาที่ดินที่แพงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องสร้างอาคารชุดเพื่อให้สอดคล้องกำลังซื้อ โดยจะยังคงมีโปรโมชันส่วนลดและของแถมเพื่อจูงใจให้คนซื้อ แต่ไม่ลดราคามากเท่ากับปี 2564 ตลาดยังเป็นของผู้ซื้อ จะมีการขยายตัวขึ้นในกลุ่มของการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง

สำหรับฐานลูกค้าชาวต่างชาติ จะไม่ใช่ฐานลูกค้าหลักของห้องชุด แต่ลูกค้าหลักจะเป็นคนไทยที่เป็นกลุ่ม Gen Y, Gen Z ลงมา โดยทั้ง 2 Gen เติบโตมากับโลกดิจิทัล ใช้ชีวิตอยู่กับสื่อออนไลน์เป็นหลัก ที่ประกอบอาชีพอิสระมากขึ้น อย่างไรก็ดี การเปิดโครงการที่มากขึ้นในปี 2565 ต้องมาพร้อมกับความสามารถในการขายและการโอนโครงการที่ได้ตามเป้า

คน Millennials หรือ Gen Y เลือกซื้อบ้านอย่างไร 4 ปัจจัยที่ควรรู้

ทั้งนี้ ได้มีการประเมินปี 2565 Base Case คาดว่า ตลาดคอนโดยังคงมีการเติบโตในอัตราที่ค่อยเป็นค่อยไป หน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดทั่วประเทศ 113,286 หน่วย อยู่ในระดับที่ใกล้กับปี 2563 อยู่ที่ 122,344 หน่วย มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศ 305,289 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2563 อยู่ที่ 311,464 ล้านบาท

ขณะที่ข้อมูลย้อนหลัง ในช่วงปี 2561-2564 มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจะอยู่ในช่วงมากกว่า 10 ล้านบาทมากที่สุด และเป็นที่น่าสังเกตว่าในปี 2565 หน่วยสร้างเสร็จจดทะเบียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาคารชุดประมาณ 50,626 หน่วย อยู่ในระดับที่ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงระหว่างปี 2561-2563

สรุปข่าวจากผู้จัดการ: อสังหาฯ มั่นใจเซนติเมนต์ลูกค้าฟื้น-ลุยขึ้นคอนโดฯ 9 บมจ.มูลค่า 1.3 แสนล้าน REIC แนะปรับโปรดักต์เจาะกลุ่ม Gen Y-Gen Z

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

POST COMMENT

You may also like these articles

สรุปข่าวเด่นอสังหาฯ รอบสัปดาห์ 14-18 ก.พ. 65

หลากหลายประเด็นที่ต้องน่าจับตา ทั้งอสังหาริมทรัพย์ทำเลเขาใหญ่ บ้านแล

Continue Reading19 Feb 2022