Latest Resources from DDproperty https://www.ddproperty.com/resources-rss Latest Resources in DDproperty en-us Copyright (c) DDproperty All rights reserved. 5 ฤกษ์ดีเมษายน 2565 วันดีปี 2565 ขึ้นบ้านใหม่ วันไหนดี เสริมสิริมงคล https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/เช็กฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่-วันไหนฤกษ์ดี-ฤกษ์มงคล-39565?locale=th www.ddproperty.com:resources:39565 Thu, 31 Mar 2022 16:35:19 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/01/Check-good-day-in-2021-150x150.jpg"/></p> ฤกษ์ดีเมษายน 2565 วันดีปี 2565 ขึ้นบ้านใหม่ วันไหนดี เสริมสิริมงคล ฤกษ์ดีเมษายน 2565 วันดีปี 2565 ตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม มีวันฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล ที่เหมาะกับการเป็นฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 หรือประกอบพิธีมงคลต่าง ๆ อาทิ การทำบุญบ้าน ปลูกบ้าน หรือสร้างบ้าน อยู่หลายวัน วันดีปี 2565 มีวันไหนเหมาะสมบ้าง มาดูไปพร้อม ๆ กัน ฤกษ์ดีเมษายน 2565 มีหลายวัน เลือกเอาตามความสะดวกและเหมาะสมของเจ้าของบ้านได้เลย

ฮวงจุ้ยบ้านที่ดี จัดห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว อย่างไร? อยู่แล้วโชคดี ร่ำรวย

 

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

 

ความหมายของฤกษ์แต่ละแบบ

ก่อนจะไปดูฤกษ์ดีเมษายน 2565 มาดูความหมายของฤกษ์แต่ละแบบกันก่อน

ฤกษ์ หมายถึง คราวหรือเวลา ความปลอดภัยหรือความสำเร็จสมประสงค์ อำนวยความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ประกอบการนั้น ทางโหราศาสตร์ใด้กำหนดฤกษ์ไว้ 9 ฤกษ์ แต่ฤกษ์ที่เป็นบูรณะฤกษ์ หรือฤกษ์ที่ดีเหมาะแก่งานมงคล ได้แก่

1. มหัทธโณฤกษ์ แปลว่า คนมั่งมี ผู้รุ่งเรือง เศรษฐี เป็นฤกษ์ที่เหมาะสำหรับงานมงคลต่าง ๆ เช่น ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน ปลูกสร้างอาคาร ธุรกิจการเงิน การค้าอุตสาหกรรม เปิดห้างร้าน ลาสิกขาบท และสะเดาะเคราะห์

2. ภูมิปาโลฤกษ์ แปลว่า ผู้รักษาแผ่นดิน เป็นฤกษ์ที่เหมาะสำหรับงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานที่ต้องการความมั่นคงถาวร งานเกี่ยวกับที่ดิน การเกษตร การเช่าซื้อ ก่อสร้าง ปลูกเรือน ยกศาลพระภูมิ แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ลาสิกขาบท และเปิดอาคารห้างร้าน

3. เทวีฤกษ์ แปลว่า นางพญา ความงามหรูหรา ความมีเสน่ห์ โชคลาภ และการสมความปรารถนา เป็นฤกษ์ที่เหมาะสำหรับการเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ การหมั้นหมายและสมรส การส่งตัวเจ้าสาวและเข้าห้องหอ การทำกิจการที่ต้องการชื่อเสียงและมีเสน่ห์ งานมีเกียรติ งานเชิงศิลปะตกแต่งชั้นสูง เปิดร้านค้าอัญมณีเครื่องประดับ ร้านเสริมสวย ตัดเย็บเสื้อผ้า การประชาสัมพันธ์ ลาสิกขาบท ขึ้นบ้านใหม่ ขอความรัก งานเพื่อความสงบเรียบร้อย และ งานมงคลต่าง ๆ

4. ราชาฤกษ์ แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีอำนาจวาสนา พระเจ้าแผ่นดิน เป็นฤกษ์ที่เหมาะสำหรับงานราชพิธี งานราชการงานเมือง งานที่ต้องการชักจูงให้ผู้อื่นดำเนินตาม การเข้ารับตำแหน่งงาน การแสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศ การเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ งานมงคลสมรสที่หรูหรามีเกียรติ ลาสิกขาบท การขึ้นบ้านใหม่ และงานมงคลต่าง ๆ

 

สรุปฤกษ์แต่ละแบบเหมาะกับงานอะไร ฤกษ์ดีเมษายน 2565 วันไหนดี

 

ฤกษ์

เหมาะกับงาน

มหัทธโณฤกษ์

ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน ปลูกสร้างอาคาร ธุรกิจการเงิน การค้าอุตสาหกรรม เปิดห้างร้าน ลาสิกขาบท และสะเดาะเคราะห์

ภูมิปาโลฤกษ์

งานที่ต้องการความมั่นคงถาวร งานเกี่ยวกับที่ดิน การเกษตร การเช่าซื้อ ก่อสร้าง ปลูกเรือน ยกศาลพระภูมิ แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ลาสิกขาบท และเปิดอาคารห้างร้าน

เทวีฤกษ์

งานมงคลต่าง ๆ

ราชาฤกษ์

งานมงคลต่าง ๆ

 

ความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีทำบุญขึ้นบ้านใหม่จากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม

 

วันดีปี 2565 ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนมกราคม

1. วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2565

  • เวลา 15.45-16.39 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 17.09-18.02 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันพุธกลางคืน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2. วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2565

  • เวลา 08.09-08.59 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 09.45-10.40 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 12.24-13.20 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 14.40-15.35 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 16.39-17.34 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 19.07-19.52 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3. วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565

  • เวลา 08.11-09.01 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 09.42-10.38 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 12.26-13.18 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 14.42-15.32 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 16.36-17.26 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

4. วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2565

  • เวลา 08.12-09.02 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 09.43-10.39 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 12.27-13.19 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 14.34-15.33 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 16.37-17.27 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

ตำแหน่งหิ้งพระ หันหน้าพระไปทางทิศไหนเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับบ้าน

 

5. วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2565

  • เวลา 08.14-09.04 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 09.46-10.42 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 12.30-13.22 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 14.46-15.36 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 16.40-17.30 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันพุธกลางคืน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

6. วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม 2565

  • เวลา 08.16-09.06 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 09.47-10.43 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 12.31-13.23 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 14.47-15.37 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 16.41-17.31 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

วันดีปี 2565 ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนกุมภาพันธ์

1. วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565

  • เวลา 09.04-09.54 น. เป็นราชาฤกษ์  
  • เวลา 11.41-12.31 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.21-14.11 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์  
  • เวลา 15.01-15.51 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 16.42-17.32 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2. วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565

  • เวลา 09.05-09.55 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 11.42-12.31 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.22-14.13 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 15.03-15.53 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 16.42-17.33 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันพุธกลางคืน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3. วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565

  • เวลา 09.06-09.56 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 11.43-12.32 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.23-14.14 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 15.04-15.54 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 16.42-17.33 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันพุธกลางคืน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

4. วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565

  • เวลา 09.07-09.57 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 11.44-12.33 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.24-14.15 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 15.05-15.55 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 16.43-17.34 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

5. วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565

  • เวลา 09.08-09.58 น. เป็นราชาฤกษ์ 
  • เวลา 11.45-12.34 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.24-14.15 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 15.05-15.59 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 16.43-17.35 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

6. วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565

  • เวลา 09.10-10.00 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 11.45-12.35 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.25-14.16 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 15.06-15.56 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 16.45-17.36 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

7. วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565

  • เวลา 09.12-10.02 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 11.47-12.37 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.27-14.16 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 15.08-15.58 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 16.47-17.37 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

7. วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565

  • เวลา 09.13-10.03 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 11.46-12.38 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.28-14.17 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 15.09-15.59 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 16.48-17.38 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอังคารและวันพฤหัสบดี ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

วันดีปี 2565 ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนมีนาคม

1. วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2565

  • เวลา 15.56-16.46 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 17.36-18.26 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2. วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565

  • เวลา 06.35-07.25 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 09.19-10.09 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 10.59-11.49 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 12.39-13.29 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 15.36-16.27 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอังคารและวันพฤหัสบดี ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3. วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2565

  • เวลา 09.06-09.56 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 10.46-11.36 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 13.09-13.59 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 15.52-16.42 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 17.22-18.12 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันพุธกลางคืน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

4. วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2565

  • เวลา 09.39-10.29 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 11.19-12.09 น. เป็นเทวีฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันพุธกลางคืน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 มีให้เลือกหลายเดือน

วันดีปี 2565 ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนเมษายน

1. วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565

  • เวลา 07.50-08.40 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 09.30-10.20 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น คนที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2. วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2565

  • เวลา 07.42-08.32 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 09.22-10.21 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3. วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2565

  • เวลา 07.20-08.30 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 10.15-11.05 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 12.59-13.54 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

วันดีปี 2565 ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนพฤษภาคม

1. วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565

  • เวลา 11.43-12.38 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.43-14.38 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2. วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565

  • เวลา 08.39-09.34 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 11.28-12.23 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.46-14.41 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3. วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม 2565

  • เวลา 08.16-09.11 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 11.05-12.00 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.22-14.17 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

4. วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565

  • เวลา 08.04-08.59 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 10.52-11.47 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.10-14.05 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

วันดีปี 2565 ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนมิถุนายน

1. วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565

  • เวลา 07.51-08.46 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 10.40-11.35 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 12.58-13.53 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 15.53-16.28 น. เป็นเทวีฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2. วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565

  • เวลา 07.24-08.19 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 10.13-11.08 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 12.30-13.25 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 14.47-15.42 น. เป็นเทวีฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3. วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน 2565

  • เวลา 07.06-08.01 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 09.56-10.51 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 11.46-12.41 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 14.36-15.31 น. เป็นเทวีฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และพุธกลางคืน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

4. วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2565

  • เวลา 09.40-10.35 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 12.30-13.25 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 14.23-15.18 น. เป็นเทวีฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

5. วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565

  • เวลา 06.43-07.38 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 09.32-10.27 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 12.17-13.12 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

6. วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565

  • เวลา 06.41-07.36 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 08.29-09.24 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 11.19-12.14 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 14.09-15.04 น. เป็นเทวีฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

วันดีปี 2565 ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนกรกฎาคม

1. วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2565

  • เวลา 06.35-07.30 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 09.23-10.18 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 11.33-12.08 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 13.03-13.58 น. เป็นเทวีฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2. วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565

  • เวลา 06.22-07.17 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 09.11-10.06 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 11.01-11.56 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 13.51-14.46 น. เป็นเทวีฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3. วันพุธที่ 13 กรกฎาคม 2565

  • เวลา 06.14-07.09 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 09.02-09.57 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 10.52-11.47 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 13.37-14.32 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 16.15-17.10 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

ฤกษ์ย้ายเข้าบ้านใหม่ 2565 พิธีการขึ้นบ้านใหม่และข้อห้าม

 

4. วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม 2565

  • เวลา 06.06-07.01 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 08.56-09.51 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

5. วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2565

  • เวลา 06.01-06.56 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 08.29-09.24 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 10.19-11.14 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 13.37-14.32 น. เป็นเทวีฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

6. วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565

  • เวลา 08.25-09.20 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 10.15-11.10 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 13.05-14.00 น. เป็นเทวีฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอังคารและวันพฤหัสบดี ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

7. วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2565

  • เวลา 08.19-09.14 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 10.09-11.04 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 13.01-13.56 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 15.32-16.27 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

8. วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565

  • เวลา 05.22-06.17 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 08.11-09.06 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 10.01-10.56 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 12.56-13.51 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 15.24-16.19 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

9. วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2565

  • เวลา 05.51-06.26 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 08.07-09.02 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

เช็กฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ด้วยตัวเอง

 

วันดีปี 2565 ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนสิงหาคม

1. วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565

  • เวลา 07.15-08.10 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 09.05-10.00 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 14.22-15.17 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอังคารและวันพฤหัสบดี ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2. วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2565

  • เวลา 06.42-07.37 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 09.32-10.27 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 13.49-14.44 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

วันดีปี 2565 ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนกันยายน

1. วันอังคารที่ 6 กันยายน 2565

  • เวลา 05.32-06.27 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 08.22-09.17 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 12.45-13.40 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 15.54-16.49 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2. วันพุธที่ 7 กันยายน 2565

  • เวลา 12.40-13.35 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 15.50-16.45 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3. วันเสาร์ที่ 10 กันยายน 2565

  • เวลา 05.14-06.09 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 07.59-08.54 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

4. วันพุธที่ 14 กันยายน 2565

  • เวลา 08.25-09.20 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 12.08-13.05 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 15.17-16.12 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

5. วันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2565

  • เวลา 06.23-07.18 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 11.44-12.39 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 14.53-15.48 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอังคารและวันพฤหัสบดี ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

6. วันพุธที่ 21 กันยายน 2565

  • เวลา 06.20-07.15 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 11.34-12.29 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 14.43-15.38 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

7. วันเสาร์ที่ 24 กันยายน 2565

  • เวลา 06.45-07.40 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 09.30-10.25 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 11.19-12.14 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 14.26-15.21 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

วันดีปี 2565 ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนตุลาคม 

1. วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2565

  • เวลา 10.23-11.28 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 13.32-14.27 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 15.22-16.17 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2. วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2565

  • เวลา 07.26-08.21 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 10.11-11.06 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 12.26-13.21 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 15.16-16.11 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3. วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2565

  • เวลา 09.24-10.18 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 12.32-13.27 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 14.17-15.12 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

4. วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2565

  • เวลา 09.16-10.11 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 12.27-13.22 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

5. วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2565

  • เวลา 08.24-09.15 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 11.33-12.26 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 13.23-14.18 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

6. วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2565

  • เวลา 11.12-12.05 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 12.56-13.51 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 15.09-16.04 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

7. วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2565

  • เวลา 05.59-06.54 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 07.49-08.44 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอังคารและวันพฤหัสบดี ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

วันดีปี 2565 ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนพฤศจิกายน

1. วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน 2565

  • เวลา 07.09-08.04 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 10.20-11.19 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 12.14-13.09 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2. วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565

  • เวลา 09.33-10.28 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 11.23-12.18 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 13.31-14.26 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 16.19-17.14 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3. วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2565

  • เวลา 09.20-10.15 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 11.10-12.05 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 13.19-14.14 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 16.07-17.02 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

วันดีปี 2565 ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เดือนธันวาคม 

1. วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565

  • เวลา 08.19-09.14 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 10.09-11.04 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 12.19-13.14 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 15.06-16.01 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอังคารและวันพฤหัสบดี ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2. วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565

  • เวลา 05.19-06.14 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 08.19-09.10 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3. วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565

  • เวลา 08.02-08.57 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 09.52-10.47 น. เป็นเทวีฤกษ์
  • เวลา 11.12-12.07 น. เป็นราชาฤกษ์
  • เวลา 14.00-14.56 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

4. วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565

  • เวลา 07.14-08.09 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
  • เวลา 09.04-09.59 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
  • เวลา 11.12-12.07 น. เป็นราชาฤกษ์

ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

 

เมื่อรู้ว่าวันไหนฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เป็นฤกษ์เหมาะกับการเป็นฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 กันแล้ว ก็สามารถตระเตรียมงานกันแต่เนิ่น ๆ ฤกษ์ดีเมษายน 2565 มีอยู่หลายวัน แต่สำหรับใครที่กำลังจะย้ายเข้าบ้านใหม่ลองดูธรรมเนียมการย้ายเข้าบ้านใหม่แบบไทยได้ที่นี่

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
วิธีกําจัดหนู 10 วิธีไล่หนูออกจากบ้าน แบบได้ผลชะงัด สกัดหนูเข้าบ้าน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/กำจัดหนูแบบได้ผลเร็วและชัวร์-20629?locale=th www.ddproperty.com:resources:20629 Fri, 01 Apr 2022 04:00:29 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/11/Nature_Animal_Rat-Targeter-150x150.jpg"/></p> วิธีกําจัดหนู 10 วิธีไล่หนูออกจากบ้าน แบบได้ผลชะงัด สกัดหนูเข้าบ้าน วิธีกำจัดหนู ไล่หนู สัตว์ที่หลายคนรู้สึกเข็ดขยาด เพราะหนูไม่เพียงเป็นพาหะนำโรคฉี่หนูและสารพัดเชื้อโรคจากท่อน้ำสกปรกเท่านัั้น แต่ยังทำลายข้าวของในบ้านอย่างเช่น แทะรองเท้า เจาะเฟอร์นิเจอร์หรือพื้นไม้ในบ้านให้เป็นรูเพื่อทำเป็นรังหรือทางเดิน รวมถึงกัดสายไฟซึ่งอาจก่ออันตรายได้อีกด้วย การไล่หนู วิธีกำจัดหนูจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างเลี่ยงไม่ได้เพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของคนในบ้าน ว่าแล้วมาดูวิธีไล่หนู วิธีกำจัดหนูในบ้านแบบได้ผลชะงัดกันเลย

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

วิธีกำจัดหนู วิธีไล่หนูออกจากบ้าน

1. ใช้กลิ่นไล่หนู

วิธีกำจัดหนู ไล่หนู ที่ง่ายและได้ผลดี คือ การใช้กลิ่นที่หนูไม่พึงประสงค์เพื่อทำให้พวกมันย้ายออกจากบ้านไปเอง เริ่มต้นปฏิบัติการกำจัดหนูในบ้านด้วยกลิ่นโดยเลือกของที่มีกลิ่นฉุนต่อไปนี้ แล้วนำไปวางตามบริเวณแนวกำแพง ซอกหลีบ มุมอับ ฝ้าเพดาน ฝาท่อน้ำ และ/หรือถังขยะ

2. สมุนไพรกลิ่นฉุน

ให้นำกิ่งยี่โถหรือกานพลูไปวางไว้ตามเส้นทางและทางเข้ารังของหนู แต่ระวัง อย่าสัมผัสน้ำยางจากส่วนต่าง ๆ ของต้นยี่โถ รวมถึงน้ำในเกสรดอกยี่โถ เพราะมีพิษ ส่วนกานพลูไม่มีพิษเหมือนยี่โถและมีสรรพคุณทางสมุนไพรหลายอย่าง แต่ก็ไม่ควรให้สตรีมีครรภ์สูดดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากกานพลู เพราะอาจเป็นอันตรายได้

สมุนไพรอื่น ๆ ที่ใช้ไล่หนู

ชื่อสมุนไพร

สรรพคุณ

ใบพลู

กลิ่นที่ฉุน คล้ายยา และมีกลิ่นคงทนอยู่นาน จึงเหมาะที่จะเอามาใช้ไล่หนูได้

ข่า

ใช้เป็นเครื่องเทศดับกลิ่นอาหาร ดับกลิ่นคาวเวลาทำอาหาร

กระเทียม

ระดับกลิ่นที่แรงและฉุนเด่นกว่าสมุนไพรประเภทอื่น ๆ 0สามารถไล่หนูได้

ใบสาระแหน่

สามารถไล่ยุงและแมลงต่าง ๆ หากไม่มีใบสาระแหน่ สามารถใช้กลิ่นใบสาระแหน่ จากน้ำมันหอมระเหยแทนกันได้

มะกรูด

มีกลิ่นในทั้งผลและใบ สามารถใช้กำจัดหนูได้ทั้งผลและใบในการกำจัดเลย

ลูกยอ

มีกลิ่นฉุนและแรง กว่าสมุนไพรทั่วไป  ความเหม็นไล่หนูจนทนไม่ได้เลย

3. น้ำมันหรือน้ำยาสมุนไพรกลิ่นฉุน

อีกวิธีการกำจัดหนู ไล่หนู ด้วยสมุนไพร ไล่หนูแนะนำให้วางภาชนะขนาดเล็กใส่น้ำมันสน น้ำมันหอมระเหยเปเปอร์มินต์ (สะระแหน่) หรือน้ำยาสมุนไพรไล่หนู แต่ไม่ค่อยแนะนำให้ใช้น้ำมันก๊าด เพราะมีกลิ่นที่ทำให้สมาชิกในบ้านมึนหัวได้ และยังมีคุณสมบัติติดไฟได้ดี ที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ด้วย

4. เม็ดไล่หนู

มีลักษณะเป็นเม็ดสีดำและให้กลิ่นฉุนของสมุนไพรธรรมชาติที่หนูไม่ชอบ ซึ่งทั้งปลอดภัย สะดวกใช้งาน และราคาย่อมเยา เพียงถุงละ 60 หรือไม่เกิน 200 บาทเท่านั้น ก็สามารถไล่หนูได้เห็นผล

5. ลูกเหม็น

จะห่อลูกเหม็นด้วยเศษผ้าหรือถุงผ้า หรือวางในภาชนะขนาดเล็กก็ได้ โดยไม่เพียงเป็นวิธีกำจัดหนูได้เท่านั้น แต่กลิ่นฉุนของลูกเหม็นยังสามารถไล่มด จิ้งจก ตุ๊กแก แมลงสาบ และแมลงรบกวนทั่วไปได้อีกด้วย เรียกว่า ยิงปืนนัดเดียว ได้นกถึง 5 ตัวเลย

6. เบกกิ้งโซดา

นอกเหนือจากการมีกลิ่นที่ไล่หนู ทำให้หนูต้องเตลิดหนีแล้ว ยังเป็นหนึ่งในส่วนประกอบการทำอาหารและขนม พร้อมสารพัดประโยชน์ครอบจักรวาลกว่า 50 รายการ เช่น ขัดผิว สปาเท้า ล้างสารพิษในผักและผลไม้

7. ก้อนไล่หนู

มีลักษณะเป็นก้อนขนาดเล็กที่ส่งกลิ่นสมุนไพรร้อนแรงได้รอบทิศทาง แนะนำให้เลือกแบบสมุนไพรธรรมชาติ ซึ่งมีกลิ่นฉุนแต่ไม่เป็นอันตราย ทนน้ำ วางไว้กลางแจ้งได้ และราคาไม่แพง แค่ประมาณ 100-300 บาทเท่านั้น

รู้จักสารเคมีกำจัดหนูจากศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา

8. ใช้เสียงดังไล่หนู

หนูเป็นสัตว์ขี้ตกใจ เพียงจุดประทัดใกล้บริเวณที่ซ่องสุมของหนู ก็จะพากันหนีกระเจิงออกจากบ้านไปอย่างแน่นอน แต่เพื่อความปลอดภัย ให้เปิดคลิปเสียงประทัดดังสนั่นแทนการจุดจริงก็ได้

9. ใช้กรงดักหนู

เป็นวิธีกำจัดหนูแบบคลาสสิกที่ได้ผลดี เพียงวางเศษอาหารโปรดของหนูเป็นเหยื่อล่อ วางกรงไว้บริเวณเส้นทางวิ่งหาอาหารของหนู เช่น ใกล้กำแพง ข้างถังขยะ แล้วก็เพียงรอหนูมาติดกับและนำไปปล่อยทิ้งไว้ที่ไกลบ้าน

วิธีกำจัดหนูในบ้านแบบธรรมชาติ ด้วยการเลี้ยงแมว

วิธีกำจัดหนูในบ้านแบบธรรมชาติ ด้วยการเลี้ยงแมว

 

10. เลี้ยงแมว

เป็นที่รู้กันดีว่า มีแมวอยู่ที่ใด ไม่มีหนูอยู่ที่นั่น เพราะหนูเป็นอาหารของน้องเหมียว ดังนั้น หากคุณเป็นคนรักสัตว์ขนปุกปุยและขี้อ้อน นี่เป็นวิธีการวิธีกำจัดหนู ไล่หนูที่ทั้งน่ารื่นรมย์และมีประสิทธิผลที่สุด

7 เคล็ดลับดูแลบ้านให้สะอาดง่าย ๆ สำหรับคนเลี้ยงหมา-แมว

 

วิธีกำจัดหนู ไล่หนู ป้องกันไม่ให้หนูเข้ามาในบ้าน

1. ปิดช่องทางเดินของหนู

หนูมักจากท่อน้ำ ซอกหรือช่องเล็ก ๆ ตามหลังคา ฝ้าเพดาน รูกำแพง เป็นต้น จึงแนะนำอย่างยิ่งให้ปิดทางเข้าออกเหล่านี้เพื่อป้องกันไม่ให้เล็ดลอดเข้ามาในบ้านได้

2. จัดบ้านให้โปร่งโล่งและเป็นระเบียบ

หนูมักอาศัยอยู่ตามบริเวณที่รก เช่น กองไม้ กองกระดาษ ตู้เก็บของที่รก จึงควรจัดบ้านเป็นระเบียบเพื่อไม่เป็นการอำนวยความสะดวกให้หนูใช้ทำรังได้

3. ดูแลบ้านให้สะอาดปราศจากอาหารหนู

ต้นเหตุสำคัญที่หนูอพยพมาอยู่ในบ้าน คือ อาหาร ฉะนั้นจึงควรหมั่นทำความสะอาดบ้าน ไม่ให้มีเศษอาหารเหลืออยู่หรือตกหล่นตามที่ต่าง ๆ เมื่อไม่มีอาหาร ก็จะไม่กลิ่นที่เชิญชวนหนูมาให้เยือน

 

วิธีกำจัดหนูในบ้านมีหลากหลายแบบให้เลือกตามความชอบและความเหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสมาชิกในบ้าน ที่สำคัญ การกำจัดหนูแบบยั่งยืนก็คือ การป้องกันไม่ให้เข้ามาในบ้าน ซึ่งแนะนำอย่างยิ่งให้ทุกบ้านต้องทำ

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากหนูแล้ว ยังมีสัตว์รบกวนประเภทอื่นอีก แต่ไม่ต้องกังวล ตามลิงก์ด้านล่างไปดูวิธีกำจัดสัตว์รบกวนประเภทต่าง ๆ เลย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
5 ไม้เลื้อย ช่วยบังแดด ลดอากาศร้อนภายในบ้าน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ไม้เลื้อย-ลดอากาศร้อนในบ้าน-62769?locale=th www.ddproperty.com:resources:62769 Mon, 28 Mar 2022 19:18:40 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2022/03/Bougainvillea-in-the-house-150x150.jpg"/></p> 5 ไม้เลื้อย ช่วยบังแดด ลดอากาศร้อนภายในบ้าน การปลูกไม้เลื้อยถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกช่วยประหยัดพลังงานและคลายร้อนในช่วงที่อากาศร้อนเช่นนี้อย่างได้ผล โดยเฉพาะในวันที่แสงแดดแผดเผา ร่มเงาของต้นไม้เขียวขจียังคงปกป้องคุณได้ ลองมาดู 5 ไม้เลื้อยที่นอกจากจะช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว ให้กลิ่นหอมสดชื่น และช่วยรับแสงแดดแทนผนัง ทำให้ห้องเย็นลง ลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศของคุณ

Subscription Banner for Article

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

วิธีการเตรียมตัวเพื่อปลูกไม้เลื้อยในบ้าน

ก่อนจะไปรู้จักพันธุ์ไม้เลื้อยที่เหมาะกับการปลูกในบ้าน มาดูวิธีการเตรียมตัวก่อนปลูกไม้เลื้อยกัน ซึ่งมีวิธีการไม่ยุ่งยาก ดังต่อไปนี้

1. เตรียมตัวก่อนปลูกไม้เลื้อย และการปรับปรุงดิน

ก่อนจะเริ่มต้นเลือกไม้เลื้อยที่ถูกใจ การปรับปรุงดินเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้ต้นไม้อยู่รอดและเติบโตได้แบบที่ต้องการ ซึ่งคุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองไม่ยาก

โดยนำดินถุงคลุกเคล้ากับปุ๋ยคอก เศษใบไม้แห้งชิ้นเล็ก เศษอาหารสด เช่น กากกาแฟ ผัก ผลไม้ หัวเชื้อจุลินทรีย์ และน้ำตาล

หลังจากนั้นเติมน้ำให้ชุ่มและทดลองกำดินที่ผสมแล้ว ถ้าจับกันเป็นก้อนไม่แตกและบีบจนไม่มีน้ำไหลออกมา นำใส่ถุงดินตั้งทิ้งไว้ในที่ร่มเพื่อเตรียมนำมาปลูกต้นไม้ต่อไป

2. เลือกพันธุ์ไม้ที่ใช่

ในปัจจุบันสามารถเลือกพันธุ์ไม้เลื้อยหลากหลายชนิดนำมาแต่งบ้านเป็นซุ้มบังแดด หรือแขวนประดับทั้งกระถาง ทั้งยังสามารถดัดแปลงทำเป็นซุ้มนั่งพักผ่อน ใช้กั้นสัดส่วนพื้นที่ และใช้เป็นที่บังสายตา เป็นต้น ซึ่งแต่ละพันธ์ุไม้เลื้อยก็มีจุดเด่น และความเหมาะสมแตกต่างกัน

ไม้มงคล 5 ชนิด ปลูกในบ้าน เสริมดวงรับทรัพย์

พันธุ์ไม้เลื้อยที่เหมาะกับการปลูกในบ้าน

ขอแนะนำพันธุ๋ไม้เลื้อย 5 ชนิด ที่เหมาะกับการปลูกในบ้าน ดังนี้

1. ชมนาด

ไม้เลี้อยใบเขียวสดที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวอมเขียว ช่อละประมาณ 10-15 ดอก สามารถบานทนได้นานเป็นสัปดาห์ให้กลิ่นหอมแรงและทนนาน โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำ ส่วนกลางวันก็ให้ร่มเงาจากเถาที่ปกคลุมทำซุ้มที่นั่ง ซึ่งการปลูกชมนาดทำได้ง่าย เพราะแข็งแรง ทนสภาพแห้งแล้งได้ดี

สามารถปลูกในดินได้ทุกชนิด โดยเฉพาะดินชื้นที่ระบายน้ำได้ดี ตัดแต่งได้ง่าย และมีอายุยืนนาน

นอกเหนือจากความสวยงามและร่มเงาที่ได้รับ ชมนาดยังมีประโยชน์ทางสมุนไพรสามารถนำไปทำเป็นยารักษาบาดแผลภายนอก เพิ่มความดันเลือด รวมถึงการนำดอกชมนาดทำข้าวแช่ เครื่องหอม และเครื่องอบ เป็นต้น

2. พวงชมพู

ดอกไม้สีชมพูและสีขาวที่สามารถเลื้อยพันสิ่งต่าง ๆ ได้ไกลประมาณ 40 ฟุต สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิดที่มีความชื้น โดยออกดอกเป็นช่อหรือเป็นกระจุกตามแขนงช่อ ซึ่งช่อแขนงยาวประมาณ 1-5 เซนติเมตร ส่วนปลายช่อสุดจะเกาะเกี่ยวสิ่งอื่น ๆ เพื่อพยุงตัว

โดยสามารถนำมาปลูกลงกระถางตั้งที่มีหลักสำหรับเกาะยึดเลื้อยขึ้นไปหรือปลูกลงในกระถางและแขวนห้อยลง หรือปลูกคลุมซุ้มที่นั่งให้ร่มเงาได้ การปลูกพวงชมพูให้เน้นบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงเป็นหลัก รดน้ำให้ชุ่มประมาณวันละ 1-2 ครั้ง

พวงชมพูยังสามารถนำยอดอ่อนและช่อดอกที่ยังไม่บานเต็มที่ นำมาลวกให้สุกเพื่อรับประทานได้ ทั้งยังนำรากและเถาต้มน้ำทำเป็นยานอนหลับหรือยากล่อมประสาทได้

อัญชัน พันธุ์ไม้เลื้อยที่เหมาะกับปลูกในบ้าน

3. อัญชัน

พันธุ์ไม้เลื้อยล้มลุกขนาดเล็กที่สามารถเลื้อยได้ไกลถึง 20 ฟุต และออกดอกตลอดปี โดยมีหลายสีสันให้เลือก เช่น สีม่วง สีน้ำเงินอมม่วง สีฟ้า และสีขาว

วิธีการปลูกไม่ยุ่งยากซับซ้อน เพียงแค่นำเมล็ดแห้งของต้นอัญชันแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน และนำมาห่อผ้าทิ้งไว้ 2-3 วันให้รากงอก จากนั้นนำดินที่เตรียมไว้ใส่กระถางประมาณขอบล่าง โดยไม่ควรใส่ดินจนเต็มกระถาง เพื่อให้เหลือพื้นที่สำหรับรับน้ำเวลาปลูก หลังจากนั้น รดน้ำลงบนดินปกติ และขุดหลุมในกระถาง เพื่อวางเมล็ดอัญชันประมาณ 2-3 เมล็ด

หากต้องการให้อัญชันงอกเร็วขึ้น สามารถนำถุงพลาสติกคลุมให้ทั่วทั้งกระถาง เพื่อให้เกิดความชื้น หลังจากต้นงอกพ้นดินแล้วจึงนำถุงออกและนำกระถางรับแสงธรรมชาติ

4. เฟื่องฟ้า

ไม้ประดับที่ได้รับความนิยมปลูกเป็นซุ้มไม้เลื้อย ซุ้มนั่งเล่น ด้วยสีสันสดใสและสามารถตัดแต่งได้ง่าย ทั้งยังปลูกไม่ยาก ไม่ต้องดูแลเอาใจใส่มาก โรค แมลงศัตรูพืชน้อย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม และปลูกได้ในดินทั่วประเทศ

เฟื่องฟ้ามีหลายสายพันธุ์ให้เลือกปลูก เช่น ขาวน้ำผึ้ง, ม่วงประเสริฐ, ทัศมาลีดอกขาว, ชมพูนุช, ชมพูทิพย์, เหลืองไพล และแดงธงชัย

นอกจากนั้น เฟื่องฟ้ายังได้รับสมญานามว่า “ราชินีแห่งไม้ประดับ” และเกี่ยวข้องกับความเป็นสิริมงคลในเทศกาลตรุษจีน เนื่องจากดอกเฟื่องฟ้ามักบานสะพรั่งในช่วงเทศกาลตรุษจีน จนถูกเรียกว่าต้นตรุษจีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับความหมายเกี่ยวกับความเบิกบาน สว่างไสว และความรุ่งเรือง

โดยส่วนใหญ่มักปลูกต้นเฟื่องฟ้าไว้ทิศตะวันออกเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล

9 ต้นไม้ฟอกอากาศ ปลูกง่ายในบ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว ดักจับฝุ่น PM 2.5

5. ผักบุ้งรั้ว หรือผักบุ้งฝรั่ง มอร์นิ่งกลอรี่ (Morning Glory)

ผักบุ้งรั้ว หรือผักบุ้งฝรั่ง (Morning Glory) ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผักบุ้ง แต่แค่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกัน โดยผักบุ้งรั้วเป็นไม้เลื้อยอายุสั้นที่สามารถเลื้อยได้ไกล 10 เมตร

ใบเป็นรูปหัวใจโคนใบเว้าเข้าหาก้านใบ มีดอกรูปทรงแตรหลายสี ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอดประมาณ 1-5 ดอก โดยส่วนใหญ่เป็นสีฟ้าอมม่วง สีขาว และสีชมพู ก่อนจะได้รับการพัฒนาสายพันธุ์หลายสี เช่น สีชมพู ฟ้า ม่วง และดอกที่มีริ้วสีขาวกระจาย

สำหรับวิธีการปลูกให้เน้นบริเวณที่มีแสงแดดตลอดวัน รดน้ำวันละครั้ง และบำรุงปุ๋ยประมาณเดือนละครั้ง โดยควรตัดแต่งใบ ต้น และดอกสม่ำเสมอ เพื่อให้มีที่สำหรับต้นใหม่งอกขึ้นมาทอดเลื้อยทดแทนได้ และสามารถออกดอกตลอดปี

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
กำจัดแมงเม่า แมลงเม่า ด้วย 5 วิธีง่าย ๆ ก่อนเป็นปลวกร้ายทำลายบ้าน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/5-วิธีกำจัดแมลงเม่า-ก่อนเป็นปลวกร้ายทำลายบ้าน-22889?locale=th www.ddproperty.com:resources:22889 Fri, 01 Apr 2022 03:54:32 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/02/Mayfly_03-150x150.jpg"/></p> กำจัดแมงเม่า แมลงเม่า ด้วย 5 วิธีง่าย ๆ ก่อนเป็นปลวกร้ายทำลายบ้าน แมลงเม่า หรือแมงเม่าที่หลายคนเรียกกัน  เป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่มักมากันเป็นฝูงใหญ่ ตอมไฟ และสร้างความรำคาญใจให้กับผู้อยู่อาศัยทั้งบ้าน และคอนโด แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากจะมากวนจิตกวนใจแล้วแมลงเม่า ยังเป็นภัยร้ายที่สามารถบ่อนทำลายบ้านทั้งหลังได้โดยเราไม่รู้ตัว ลองมาดู 5 วิธีกำจัดแมงเม่า วิธีไล่แมลงเม่า เจ้าสัตว์ตัวเล็ก ๆ เหล่านี้แบบไม่ให้เป็นภัยได้ภายภาคหน้าได้ที่นี่

 

รวมวิธีป้องกัน สัตว์-แมลง ปลวก มด ภายในบ้าน

Guide

รวมวิธีป้องกัน สัตว์-แมลง ปลวก มด ภายในบ้าน

 

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

รู้จักแมลงเม่า แมงเม่า ทำไมต้องกำจัด

แมลงเม่า หรือแมงเม่ามักจะมากวนใจในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงของอากาศ เช่น จากฤดูฝนไปสู่ฤดูร้อน หรือพื้นที่ที่มีความชื้นมาก ๆ หรือความกดอากาศเปลี่ยนไป

แมลงเม่าจะออกมาจากรังช่วงพลบค่ำ โดยจะบินเข้าแสงไฟ โดยเฉพาะแสงสีเหลือง โดยพวกแมลงเม่าเหล่านี้จะเป็นตัวเต็มวัยของปลวกที่จะออกมาจากรังเพื่อจับคู่ผสมพันธุ์ เมื่อผสมพันธุ์เสร็จแล้วจะสลัดปีก แล้วมุดเข้าไปวางไข่ตามที่ต่าง ๆ เช่น ใต้ดิน ฝ้าเพดานบ้าน หรือบริเวณซอกหลืบต่าง ๆ ที่มีความชื้น อับทึบ หรือมีกระดาษมาก ๆ ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของแมลงเม่า สำหรับการสร้างรัง และวางไข่

ดังนั้น หากบริเวณไหน บ้าน หรือคอนโดใดมีแมลงเม่าเป็นจำนวนมาก จึงไม่แปลกที่เราอาจจะเจอรังปลวกอยู่ตามฝ้าเพดาน อยู่ในสมุดหนังสือที่ถูกวางไว้ในที่อับชื้น ไม่ถูกขยับเขยื้อนเป็นเวลานาน ๆ ได้ เพราะฉะนั้นถ้าบ้านไหน หรือพื้นที่ใดที่มีแมลงเม่าหรือแมงเม่าออกมาบินเยอะ ๆ ก็อาจจะต้องเป็นกังวลแล้วว่า ในบ้านอาจกลายเป็นที่อยู่ของปลวก ถูกปลวกยึดครองไปแล้วหรือไม่ หรือมีรังปลวกซุกซ่อนอยู่บริเวณไหนของบ้าน อาจจะต้องเข้าไปตรวจสอบดูตามซอกหลืบต่าง ๆ เพราะว่าในบ้านหรือคอนโดแห่งนั้นอาจจะมีรังปลวกซ่อนตัวอยู่ก็เป็นได้

 

รู้จักแมลงเม่า

รายละเอียด

ช่วงเวลาออกหากิน

พลบค่ำ มีการเปลี่ยนแปลงของอากาศ มีความชื้น ความกดอากาศเปลี่ยน

สถานที่ที่มักพบ

แสงไฟ โดยเฉพาะแสงสีเหลือง

จุดสร้างรังและวางไข่

ใต้ดิน ฝ้าเพดานบ้าน ซอกหลืบต่าง ๆ ที่มีความชื้น อับทึบ หรือมีกระดาษมาก ๆ

 

ตู้เสื้อผ้าไม้โดนปลวกแทะ ต้องทำอย่างไร

Guide

ตู้เสื้อผ้าไม้โดนปลวกแทะ ต้องทำอย่างไร

 

วิธีไล่แมลงเม่า ป้องกันแมงเม่าเข้าบ้าน

การป้องกันไม่ให้แมงเม่าหรือแมลงเม่าเข้ามาในบ้าน ทำได้ง่าย ๆ โดยปิดไฟ และปิดประตูหน้าต่างบริเวณบ้าน และบริเวณซอกหลืบต่าง ๆ ให้มิดชิด โดยส่วนมากแมลงเม่าจะมีช่วงเวลาที่ออกมาบินหาคู่ผสมพันธุ์แค่ 1-2 ชั่วโมง หรือแค่ช่วงหัวค่ำเท่านั้น หลังจากช่วงเวลานั้น จะสลัดปีก และกลับเข้ารังไปหมด

 

กะละมังใส่น้ำ อีกหนึ่งวิธีกำจัดแมงเม่า แมลงเม่า

 

วิธีกำจัดแมงเม่า แมลงเม่า

วิธีไล่แมลงเม่า วิธีกำจัดแมลงเม่ามีด้วยกันหลายวิธี เพื่อป้องกันและกำจัดแมงเม่าให้สิ้นซาก ก่อนที่จะเกิดวงจรชีวิตใหม่ แต่วิธีที่จะแนะนำต่อไปนี้จะเน้นใช้วิธีธรรมชาติเท่านั้น โดยมีวิธีดังต่อไปนี้

1. ถุงร้อนติดเทปใส วิธีนี้ทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ติดเทปใสที่ปากถุงร้อนแล้วนำไปติดกับหลอดไฟ เท่านี้แมลงเม่าที่เข้ามาตอมไฟ ก็จะตกลงสู่ถุงเอง

2. กะละมังใส่น้ำ นำกะละมังใส่น้ำเปล่ามาวางไว้ใต้หลอดไฟ แมลงเม่าจะตกลงไปในน้ำและบินขึ้นมาไม่ได้ สุดท้ายก็จะตายในที่สุด หรือจะเปลี่ยนเป็นใส่น้ำมันพืชแทนก็ได้ผลเช่นกัน

3. น้ำมันพืชทาใบตอง วิธีนี้จะค่อนข้างย้อนยุคสักนิด แต่ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน โดยนำใบตองสด ๆ ทาด้วยนำมันพืช ก่อนใช้เชือกมัดวางแขวนไว้ใกล้ ๆ กับหลอดไฟ แมลงเม่าก็จะบินมาติดใบตองนั้นเอง

4. เปิดหลอดไฟนอกบ้าน วิธีนี้ทำง่ายโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ แต่เป็นการไล่มากกว่าการกำจัด เพียงแค่ปิดไฟภายในบ้าน แล้วเปิดไฟภายนอกบ้าน เท่านี้แมลงเม่าก็จะบินย้ายจากภายในบ้านออกไปนอกบ้านแล้ว

5. น้ำฉีด น้ำในที่นี่ก็มีด้วยกันหลายอย่างที่สามารถกำจัดแมลงเม่าได้ เช่น น้ำสบู่ หรือน้ำยาล้างจานผสมกับน้ำ จะทำให้แมลงเม่าแห้งและขาดน้ำ หรือจะใช้น้ำมันสกัดจากเปลือกส้ม หรือน้ำมันสะระแหน่ก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน

 

อย่างไรก็ตาม วิธีไล่แมลงเม่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้ยาฆ่าแมลงฉีด หรือกำจัดแบบถอดรากถอนโคน เพราะโดยธรรมชาติแล้วแมลงเม่าก็มีประโยชน์หลายอย่างต่อระบบนิเวศเมื่อมันกลายเป็นปลวก อาทิ การย่อยสลายอินทรีย์วัตถุต่าง ๆ ได้แก่ เศษไม้ ท่อนไม้ กิ่งไม้ ใบไหม้ หรือส่วนต่าง ๆ ของพืช เปลี่ยนเป็นธาตุอาหารลงสู่ดิน ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ตัวปลวกยังเป็นแหล่งโปรตีนของสัตว์หลายชนิด เช่น ไก่ นก กบ คางคก และสัตว์เลี้อยคลานอื่น ๆ 

ด้วยเหตุนี้จึงไม่ควรตระหนกตกใจกับแมลงเม่าจนเกินไป แต่ให้สังเกตว่า หากบ้านหรือคอนโดของคุณมีแมลงเม่าบินออกมาเป็นจำนวนมาก อาจจะต้องตรวจสอบว่ามีรังปลวกซุกซ่อนอยู่หรือไม่ และควรปิดซอกหลืบในบ้านเพื่อปิดโอกาสที่ปลวกร้ายอาจกำลังทำรังกัดกินทำลายเนื้อไม้และสิ่งของต่าง ๆ ภายในบ้านหรือคอนโด ซึ่งหากเป็นกรณีหลังต้องวิธีไล่แมลงเม่านั้นหาทางแก้ไขที่เหมาะสมต่อไป อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารพัดวิธีกำจัดปลวกได้ที่นี่

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ขึ้นบ้านใหม่ต้องเตรียมอะไรบ้าง เตรียมของขึ้นบ้านใหม่ ย้ายบ้านใหม่ 2565 https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ฤกษ์ย้ายเข้าบ้านใหม่-และขั้นตอนพิธีการย้ายบ้านใหม่-24120?locale=th www.ddproperty.com:resources:24120 Fri, 01 Apr 2022 00:17:06 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/10/Good-day-to-move-in-150x150.jpg"/></p> ขึ้นบ้านใหม่ต้องเตรียมอะไรบ้าง เตรียมของขึ้นบ้านใหม่ ย้ายบ้านใหม่ 2565 ขึ้นบ้านใหม่ต้องเตรียมอะไรบ้าง เตรียมของขึ้นบ้านใหม่ การทำพิธีย้ายเข้าบ้านใหม่ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่มีมาตั้งแต่สมัยเก่าก่อน ซึ่งเป็นการเสริมสิริมงคลให้แก่เจ้าของบ้านรวมถึงผู้อยู่อาศัยทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขและมีความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนั้นยังถือเป็นเคล็ดมงคลที่ดีในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต

ทั้งนี้ วันดีหรือฤกษ์มงคลย้ายเข้าบ้านใหม่ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นเจ้าของบ้านจึงจะต้องทำการเลือกวันย้ายเข้าบ้านให้ดี ให้ถูกโฉลก และเป็นมงคล โดยสามารถหาฤกษ์ย้ายเข้าบ้านใหม่ได้ด้วยตัวเองง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ดังนี้

ทิปส์ขนของย้ายบ้านแบบมือโปร ประหยัดแรง ประหยัดเวลา

 

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

หาฤกษ์ย้ายเข้าบ้านใหม่ 2565 ด้วยตัวเองตามฤกษ์มงคลประจำวันเกิด

อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในแต่ละคนมีดวงวันเกิดที่มีทั้งวันมงคลและวันแห่งกาลกิณี คอยกำกับดวงชะตาคู่กันอยู่ โดยมีความเชื่อเกี่ยวกับวันดี-ไม่ดี ดังนี้

1. ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

ไม่ควรเลือกอังคารและวันศุกร์เป็นวันย้ายบ้านใหม่ เนื่องจากเป็นวันที่ร้อนแรง เพราะเป็นวันที่เหล่าเทพเจ้าแห่งสงครามและเหล่าอัศวินต่างพากันต่อสู้ หรือผจญภัยกันอย่างกล้าหาญ ไม่มีความเกรงกลัว จึงทำให้วันอังคารเป็นวันที่ควรหลีกเลี่ยงงานมงคล อีกทั้งยังควรหลีกเลี่ยงวันที่มีตัวเลข 6 เพราะเป็นตัวเลขกาลกิณีสำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

ดังนั้น ก่อนจะไปถึงการเตรียมของขึ้นบ้านใหม่ ขึ้นบ้านใหม่ต้องเตรียมอะไรบ้าง ควรหาฤกษ์ย้ายบ้านใหม่เสียก่อน โดยการหาฤกษ์ย้ายบ้านใหม่ของเจ้าของบ้านที่เกิดในวันนี้ คือ วันจันทร์และวันพฤหัสบดี เพราะวันจันทร์เป็นที่เหมาะแก่การเริ่มต้นอะไรดี ๆ ที่สวยงาม รวมถึงวันพฤหัสบดีเป็นวันดี ฤกษ์สวย เนื่องจากดาวพฤหัสที่เปรียบเสมือนกับเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมและสติปัญญา ช่วยเสริมในเรื่องเงินทอง โชคลาภ และดึงดูดความสุขเข้ามาในชีวิต และยิ่งมีตัวเลขเสริมมงคลอย่างเช่น 3, 4, 5 และ 8 เป็นเลขช่วยเกื้อหนุน จะยิ่งทำให้มีความเป็นสิริมงคลเพิ่มขึ้นไปอีกด้วย

2. ผู้ที่เกิดวันจันทร์

ควรหลีกเลี่ยงการย้ายบ้านใหม่ในวันอาทิตย์ รวมถึงวันที่มีตัวเลข 1 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่เป็นกาลกิณีของเจ้าของบ้านสำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ เนื่องจากเป็นวันคู่ตรงข้ามกับวันจันทร์ จึงไม่เหมาะสมใช้เป็นฤกษ์ย้ายบ้าน เพราะถือว่าเป็นวันที่ร้อนแรง เปรียบดังพระอาทิตย์ที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่าง

3. ผู้ที่เกิดวันอังคาร

ห้ามใช้ฤกษ์ที่เป็นอาทิตย์และวันจันทร์ เพราะเป็นวันคู่ศัตรู ทำให้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเกิดการชิงดี ชิงเด่นซึ่งกันและกัน จึงส่งผลในเชิงลบให้แก่ผู้ที่เกิดวันอังคารเป็นอย่างมาก ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงวันที่เป็นคู่ศัตรูและวันที่มีตัวเลข 2 เนื่องจากเป็นตัวเลขกาลกิณีที่ไม่เป็นมงคล

โดยเลือกใช้วันศุกร์ที่เป็นฤกษ์มงคลในการย้ายเข้าบ้านใหม่ เพราะเป็นวันคู่มิตรของผู้ที่เกิดวันอังคาร จึงทำให้วันทั้ง 2 มีความเหมาะสมราวกับ “หยิน-หยาง” ที่มีความสมดุลส่งเสริมกันได้อย่างลงตัว นอกจากนั้นวันศุกร์ที่เปรียบเสมือนกับ “ดาวศุกร์” ที่เต็มไปด้วยความสุขและความรักของผู้คน ทำให้คนในบ้านเกิดความร่วมมือและสามัคคี ไม่ทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันละกันของคนในครอบครัว

 

ความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีทำบุญขึ้นบ้านใหม่จากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม

 

4. ผู้ที่เกิดวันพุธ

ถึงแม้จะมีความเป็นมิตรกับวันเสาร์ แต่กลับไม่ควรใช้เป็นฤกษ์ในการย้ายบ้านใหม่ เพราะถือว่าเป็นวันแห่งชัยชนะ จึงเหมาะกับการเจรจาต่อรองและยุติเรื่องต่าง ๆ มากกว่าจะใช้เป็นฤกษ์มงคล ที่ใช้จบเรื่องราว เช่น การขายรถ ขายบ้าน เพื่อทำให้เกิดความมั่งคั่ง ร่ำรวย

แต่ในปัจจุบันได้มีการนิยมย้ายบ้านใหม่ในวันเสาร์ เนื่องจากความสะดวกต่อเคลื่อนย้ายสิ่งของ ดังนั้นควรทำการสักการะเจ้าที่และอัญเชิญพระประธานประดิษฐานเข้ามาไว้ภายในบ้านก่อนทำการย้ายสิ่งของ ซึ่งถือว่าเป็นการแก้เคล็ด เสริมความเป็นสิริมงคลให้กับเจ้าของบ้าน

โดยวันที่ดีที่สุดในการย้ายบ้านของผู้ที่เกิดวันพุธนั้นได้แก่วันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่มีแต่ความสดใส สวยงาม ร่ำรวยทรัพย์สิน

5. ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี

ห้ามใช้ฤกษ์ในวันเสาร์ เพราะจะทำให้เกิดการชิงดีชิงเด่นต่อกัน เนื่องจากเป็นวันคู่ศัตรูที่ไร้ซึ่งการส่งเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี ดังนั้นควรทำการหลีกเลี่ยง และเปลี่ยนเป็นวันอื่นแทน เช่น วันอาทิตย์และวันจันทร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่ ช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลตั้งแต่วันแรกในการย้ายเข้าบ้าน นอกจากนั้นยังช่วยทำให้คนในบ้านอยู่อย่างมีความสุข นำโชคลาภและความสำเร็จมาให้

6. ผู้ที่เกิดวันศุกร์

ไม่ควรใช้วันพุธเป็นฤกษ์ในการย้ายบ้านใหม่ เนื่องจากดาวพุธมักจะถอยหลังอยู่เสมอ ทำให้รู้สึกถดถอย ทำอะไรไม่ค่อยมั่นคง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จึงไม่นิยมใช้เป็นฤกษ์สำหรับย้ายบ้าน เพราะอาจทำให้เกิดการย้ายบ้านบ่อย ๆ หรืออยู่อาศัยได้เพียงไม่ก็ต้องเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ ดังนั้นผู้ที่เกิดวันศุกร์ ควรใช้วันจันทร์เป็นฤกษ์ในการย้ายบ้านใหม่ เนื่องจากเป็นวันแรกของสัปดาห์ที่มีความเป็นสิริมงคล เสริมโชคลาภและสิ่งดี ๆ ให้กับผู้ที่เริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ

7. ผู้ที่เกิดวันเสาร์

ห้ามใช้ฤกษ์ที่เป็นวันพุธ เนื่องจากเป็นวันคู่ศัตรูที่ไม่ถูกโฉลกกันเป็นอย่างมาก ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงเป็นดีที่สุด เพราะเป็นวันแห่งความเคราะห์ร้าย จึงไม่ควรที่จะนำมาใช้เป็นวันมงคลของเจ้าของบ้านที่เกิดวันเสาร์

โอนมิเตอร์ไฟฟ้า เรื่องต้องรู้ก่อนย้ายบ้านใหม่

 

แอปเปิ้ลแดง หนึ่งสิ่งที่ต้องใช้ในการย้ายเข้าบ้านใหม่

แอปเปิ้ลแดง หนึ่งสิ่งที่ต้องใช้ในการย้ายเข้าบ้านใหม่

 

ขึ้นบ้านใหม่ต้องเตรียมอะไรบ้าง เตรียมของขึ้นบ้านใหม่ สิ่งที่ต้องใช้ในพิธีย้ายบ้านใหม่

หลังจากทำการดูฤกษ์ยามงามดีในการย้ายเข้าบ้านใหม่เรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปจะเป็นการจัดเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธีการทางศาสนา ซึ่งการเตรียมของขึ้นบ้านใหม่ ขึ้นบ้านใหม่ต้องเตรียมอะไรบ้าง จะประกอบไปด้วย

1. พระพุทธรูป

2. ดอกไม้ ธูป เทียน ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม

3. ผลไม้มงคล (สามารถเลือกได้ตามกำลัง) โดยตัวอย่างผลไม้มงคลและความหมายดี ๆ ทั้ง 9 อย่าง มีดังนี้

ชนิดผลไม้

ความหมาย

ส้มสีทอง

สีแห่งความเป็นสิริมงคล มั่งมีเงินทอง

องุ่นแดง

สีแห่งความโชคดี เจริญงอกงาม

สับปะรด

ผลไม้แห่งความโชคดี เรียกแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาหาตัว

กล้วย

ความมงคล ความเจริญงอกงาม

แอปเปิ้ลสีแดง

ปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ สุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์

ทับทิม

เสริมความโชคดี มั่งมีศรีสุข ไร้ความขัดแย้ง มีแต่ความปรองดอง

ลูกพลับ

ความหนักแน่น ไม่หวั่นไหว จิตใจมั่นคง

ลิ้นจี่

สิริมงคล เฮง ๆ ร่ำรวยเงินทอง

สาลี่ โดยเฉพาะสาลี่สีทอง

โชคลาภ เงินทองไหลมา เทมาไม่ขาดสาย

4. ขนมไทย เช่น ทองหยิบทองหยอด ฝอยทอง ทองพันชั่ง ขนมมงคลสีทอง เสริมความร่ำรวย

5. อาหารคาว เช่น ข้าวและสำรับกับข้าวต่าง ๆ แกง ผัด ทอด

6. ข้าวสารอาหารแห้ง

7. น้ำดื่มสะอาด

 

พระพุทธรูป สิ่งมงคลในการย้ายเข้าบ้านใหม่

พระพุทธรูป สิ่งมงคลในการย้ายเข้าบ้านใหม่

 

ขั้นตอนการทำพิธีย้ายเข้าบ้านใหม่

1. อัญเชิญพระพุทธรูปเข้ามาในบ้าน โดยให้ผู้ชายที่มีความอาวุโส เช่น คุณพ่อ คุณปู่ หรือคุณตาเป็นคนถือพระพุทธรูปเข้ามาไว้ภายในบ้านยังห้องพระที่จัดเตรียมไว้

2. เตรียมของขึ้นบ้านใหม่ โดยนำข้าวสาร อาหารแห้ง ที่จัดเตรียมไว้ นำมาวางไว้บริเวณกลางบ้าน เพื่อช่วยเสริมทำให้บ้านอุดมสมบูรณ์ เงินทองไหลมา เทมา และเจริญก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ ภายภาคหน้า

3. นำดอกไม้ ธูปเทียน จัดใส่แจกันโต๊ะหมู่บูชาคุณพระศรีรัตนตรัย หรือ พระพุทธรูปที่อัญเชิญเข้ามา

4. ถวายของมงคลต่าง ๆ ที่จัดเตรียมไว้เตรียมของขึ้นบ้านใหม่ ขึ้นบ้านใหม่ต้องเตรียมอะไรบ้าง เช่น ผลไม้มงคล สำรับคาว-หวาน และน้ำดื่ม

5. อธิฐานเพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับบ้านและคนในครอบครัวให้มีแต่ความสุข เจริญรุ่งเรือง และอยู่เย็นเป็นสุข

6. ขั้นตอนสุดท้าย ทำการจุดดอกไม้ ธูปเทียน ถวายสำรับอาหารคาว-หวาน ผลไม้มงคล และน้ำดื่มอีก 1 ชุด เพื่อบอกกล่าวเจ้าที่ว่าเราและคนในครอบครัวได้ทำการย้ายเข้ามาอยู่อาศัยแล้ว และขอให้ท่านช่วยดูแล ปกป้องรักษาทุกคนให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขทั้งกายและใจ

ดูฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ 2565 ด้วยตัวเอง

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
หิ้งพระควรหันหน้าไปทางไหน ตั้งหิ้งพระทิศไหนดี 3 ทิศเสริมสิริมงคล https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ตำแหน่งหิ้งพระ-เสริมสิริมงคลให้กับบ้าน-22349?locale=th www.ddproperty.com:resources:22349 Thu, 31 Mar 2022 22:44:02 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/01/Bhuda-Shelf_03-150x150.jpg"/></p> หิ้งพระควรหันหน้าไปทางไหน ตั้งหิ้งพระทิศไหนดี 3 ทิศเสริมสิริมงคล หิ้งพระควรหันหน้าไปทางไหน ตั้งหิ้งพระทิศไหนดี  รวมทั้งการจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ย โดยเฉพาะการเลือกรูปภาพซึ่งเป็นของประดับตกแต่งบ้านที่ได้รับความนิยม รูปภาพที่เลือกจะต้องสื่อความหมายที่ดี เป็นภาพมงคล โดยมีตำแหน่งติดรูปในบ้าน 7 ห้องที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ห้องรับแขก ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องทำงาน ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร และห้องพระ เพื่อช่วยเสริมสิริมงคล การงาน การเงิน โชคลาภ และสุขภาพ

sportlight

 

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

7 ตำแหน่ง ติดรูปในบ้าน

1. ห้องรับแขก

ห้องรับแขกเป็นตำแหน่งติดรูปในบ้าน ที่ได้รับความนิยม เหมาะสำหรับติดรูปวิวทิวทัศน์ รูปธรรมชาติ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แต่มีข้อควรระวัง ไม่ควรเลือกรูปพระอาทิตย์ตก หรือทะเลที่มีคลื่นลูกใหญ่ เนื่องจากตามหลักฮวงจุ้ย ถือว่าเป็นภาพที่ไม่เป็นมงคล นอกจากนี้ยังสามารถภาพครอบครัวที่แสดงถึงความรักความอบอุ่น หรือถ้าหากต้องการติดตั้งรูปพระบรมฉายาลักษณ์ ตำแหน่งติดรูปในบ้าน ที่ห้องรับแขกก็ถือว่าเหมาะสมช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลได้

ปรับฮวงจุ้ยห้องรับแขก เพิ่มความรวย

 

2. ห้องนอน

ได้ภาพดอกไม้สวย ๆ มา มองหาตำแหน่งติดรูปในบ้าน ห้องนอนสามารถติดได้ เหมาะกับการติดภาพดอกไม้หรือสวนดวกไม้ไว้บนผนังห้อง จะช่วยให้รู้สึกสงบ เหมาะแก่การพักผ่อน และตามหลักฮวงจุ้ยยังมีความเชื่อว่าจะช่วยเสริมพลังความรักและพลังบวกที่ดีแก่เจ้าของห้อง ไม่ควรเลือกภาพน้ำ หรือภาพวาดศิลปะแบบ Abstract เพราะจะรบกวนความสงบในการนอน และตามหลักฮวงจุ้ยยังมีความเชื่อว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายใจอีกด้วย

 

3. ห้องน้ำ

ตำแหน่งติดรูปในบ้าน ที่ห้องน้ำแนะนำให้ติดภาพต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ตามหลักฮวงจุ้ยมีความเชื่อว่า จะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคล และดูดซับความชื้นภายในห้องน้ำ

 

4. ห้องทำงาน

ห้องทำงานแนะนำให้ติดรูปภูเขาที่มีต้นไม้สีเขียวขจีบนผนัง ตำแหน่งติดรูปในบ้าน ควรอยู่ในระดับที่สายตามองเห็นบ่อยครั้ง เพราะนอกจากจะช่วยให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลายแล้ว ตามหลักฮวงจุ้ยจะช่วยเสริมความมั่นคงแก่ชีวิต ไม่ควรเลือกภาพภูเขาหัวโล้น ภาพน้ำตก หรือภาพม้าแข่งไว้ในห้องทำงาน เนื่องจากตามหลักฮวงจุ้ยเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อย

จัดบ้าน-จัดห้องคอนโด ให้เหมาะกับ Work From Home

 

5. ห้องครัว และห้องรับประทานอาหาร

ห้องครัวแนะนำให้ติดภาพต้นไม้ ภาพลำธาร ภาพอาหารมงคล ภาพผลไม้มงคล เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะช่วยให้รู้สึกถึงความสงบ มีพลังด้านดีเข้ามาสู่สมาชิกในบ้าน นอกจากเป็นตำแหน่งติดรูปในบ้าน ที่มีความเหมาะสมแล้ว สีสันของภาพยังสามารถช่วยกระตุ้นการเจริญอาหารได้ดีอีกด้วย

 

6. ห้องพระ

ตำแหน่งติดรูปในบ้าน อย่างห้องพระ นิยมติดภาพ ต้นโพธิ์ทอง เป็นต้นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์ของความร่มเย็น ซึ่งจะช่วยนำพลังงานดี ๆ เข้ามาในบ้าน หากต้องการติดภาพเกจิอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือองค์เทพในห้องพระ ไม่ควรจัดวางไว้ในตำแหน่งที่สูงกว่าองค์พระประธานในห้อง

 

หิ้งพระ ตามความเชื่อของชาวพุทธนั้นเปรียบเสมือนสิ่งของที่เสริมมงคลให้กับเจ้าของบ้าน และสมาชิกในบ้าน ดังนั้นใครที่เพิ่งซื้อบ้าน หรือสร้างบ้านใหม่ แล้วจะทำการอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นหิ้งพระ พร้อมจัดวางหิ้งพระในตำแหน่งต่าง ๆ ในบ้าน

ทางที่ดีควรคำนึงถึงสถานที่ในการจัดวาง รวมไปถึงตำแหน่งทิศทางของหิ้งพระ ตั้งหิ้งพระทิศไหนดี หิ้งพระควรหันหน้าไปทางไหน ต้องจัดวางอย่างถูกต้องเหมาะสม เพราะนอกจากจะเพิ่มความสิริมงคลให้กับเจ้าของบ้าน และสมาชิกในบ้านแล้ว ยังเป็นการแสดงความเคารพต่อสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจด้วย

 

ที่สำคัญควรศึกษาจุดอัปมงคลที่ไม่ควรตั้งหิ้งพระด้วย เพราะตามความเชื่อจะเป็นการนำพลังงานไม่ดีเข้าสู่ตัวบ้าน ส่งผลให้เจ้าของบ้านและสมาชิกในบ้านพบเจอแต่เรื่องไม่ดี อยู่อาศัยแล้วไม่มีความสุข

 

ตั้งแท่นบูชาเทพหรือหิ้งพระพุทธรูปถูกหลัก...ธุรกิจรุ่งเรือง

Guide

ตั้งแท่นบูชาเทพหรือหิ้งพระพุทธรูปถูกหลัก...ธุรกิจรุ่งเรือง

 

สถานที่จัดตั้งหิ้งพระ

หิ้งพระเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป ซึ่งเป็นวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในบ้าน ไม่ว่าจะทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ หรือย้ายเข้าบ้านใหม่ ก็มักจะมีพิธีเชิญพระพุทธรูปเข้าบ้านตามความเชื่อของแต่ละบุคคล ดังนั้นสถานที่จัดวางหิ้งพระหรือตั้งหิ้งพระจึงควรเลือกที่ตั้งอันเหมาะสม หิ้งพระควรหันหน้าไปทางไหน ตั้งหิ้งพระทิศไหนดี  มีหลักการเลือกที่ตั้งหิ้งพระอันเหมาะสม ดังต่อไปนี้

1. ตั้งอยู่บนที่สูง สะอาดสะอ้าน

สาเหตุที่ต้องเลือกตั้งหิ้งพระอยู่สูง หรือเหนือศีรษะ ในที่นี้อาจจะตั้งอยู่บนชั้น 2 ของบ้าน เนื่องจากเป็นวัตถุเสริมสิริมงคล จึงไม่ควรอยู่ในระดับต่ำ ให้คนในบ้านเหยียบย่ำ อีกทั้งการตั้งอยู่ในตำแหน่งดังกล่าว ยังเป็นการแสดงออกถึงความเคารพต่อพระพุทธรูปนั้นด้วย หากใครอยากติดหิ้งพระไว้บนฝาพนังบ้าน แนะนำว่าควรอยู่สูงจากพื้นอย่างน้อย 5 ฟุต ที่สำคัญบริเวณนั้นต้องไม่อยู่ในมุมอับ และมีไฟส่องสว่างเห็นชัดเจน

ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรพิจารณาความสูงของหิ้งพระจากความสะดวกของผู้ที่จะถวายเครื่องสักการะ หากเป็นผู้สูงอายุ ควรติดตั้งให้สูงในระดับที่เอื้อมถึง ไม่ควรต้องใช้เก้าอี้ปีนขึ้นไปวางดอกไม้ ธูป เทียน โดยควรอยู่ในระดับเหนือศีรษะที่เหมาะสม

2. สถานที่จัดตั้งหิ้งพระ ต้องไม่รกรุงรัง เปิดโล่ง

บริเวณที่ตั้งของหิ้งพระ ต้องอยู่ในตำแหน่งที่เปิดโล่ง ไม่รกรุงรัง มีกองขยะสิ่งอัปมงคลอยู่ใกล้ ๆ เพราะนอกจากจะบ่งบอกถึงความไม่เคารพแล้ว ยังอาจเป็นการเพิ่มพลังงานไม่ดี เข้ามาสู่ในบ้าน

3. เลือกตั้งหิ้งพระในตำแหน่งที่สงบ

หิ้งพระควรตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สงบ ไม่มีเสียงรบกวน หรือเสียงจอแจ ดังนั้นจึงไม่ควรตั้งหิ้งพระบริเวณประตูเข้า-ออก เนื่องจากเป็นจุดที่มีคนเข้า-ออกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในทางฮวงจุ้ยอาจส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยพบแต่ความวุ่นวาย หรือแม้แต่ใต้คาน ประตู หน้าต่างก็เช่นเดียวกัน

 

เลือกตั้งหิ้งพระในตำแหน่งที่สงบ

 

หิ้งพระควรหันหน้าไปทางไหน ตั้งหิ้งพระทิศไหนดี  

 

ทิศ

ลักษณะทิศ

เสริมสิริมงคล

ทิศตะวันออก

ทิศแห่งราชา

การงานดี เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ทิศของเศรษฐี

ร่ำรวย มั่งคั่ง ค้าขายเจริญรุ่งเรือง

ทิศเหนือ

ทิศมัชฌิมาปฏิปทา 

ไม่เจ็บ ไม่จน มีแต่ความสุข ความเจริญ

ตามคติความเชื่อของผู้เฒ่าผู้แก่ คนโบราณ หิ้งพระควรหันหน้าไปทางไหน ตั้งหิ้งพระทิศไหนดี จำเป็นต้องหันหิ้งพระไปทางทิศตะวันออก ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศเหนือ สืบเนื่องจากทิศเหล่านี้ เป็นอิริยาบถในการนั่งสมาธิของพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ยังมีความเชื่อว่าทิศทั้ง 3 จะนำความสิริมงคลมาให้ดังนี้

1. หิ้งพระหันหน้าไปทางทิศตะวันออก

เปรียบเหมือนทิศแห่งราชา มีความเชื่อว่า จะเกื้อหนุนเรื่องการงานให้กับเจ้าของบ้านและสมาชิกในบ้าน ทำอะไรก็จะปราศจากอุปสรรค ได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง

2. หิ้งพระหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

เปรียบเหมือนทิศของเศรษฐี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า จะดูดซับความร่ำรวย มั่งคั่ง มาให้เจ้าของบ้าน และสมาชิกในบ้าน ดังนั้นหากประกอบการงาน ทำมาค้าขายใด ๆ ก็จะเจริญร่ำรวย ยิ่ง ๆ ขึ้น

3. หิ้งพระหันไปทางทิศเหนือ

เปรียบเหมือนเป็นทิศมัชฌิมาปฏิปทา คืออยู่ในระดับปานกลาง ไม่จน ไม่เจ็บ พอเจอแต่ความสุข ความเจริญ

 

วิธีการจัดโต๊ะหมู่บูชาพระ ไหว้พระในบ้านและเคล็ดลับ

Guide

วิธีการจัดโต๊ะหมู่บูชาพระ ไหว้พระในบ้านและเคล็ดลับ

 

มีจุดอัปมงคล ที่ไม่ควรตั้งหิ้งพระโดยเด็ดขาด

 

จุดอัปมงคล ไม่ควรตั้งหิ้งพระ

เมื่อรู้ถึงสถานที่และตำแหน่งในการตั้งหิ้งพระ หิ้งพระควรหันหน้าไปทางไหน ตั้งหิ้งพระทิศไหนดี อันนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแล้ว ถึงเวลาที่เหล่าสมาชิกในบ้าน ต้องรีบศึกษาจุดอัปมงคล ที่ไม่ควรนำหิ้งพระมาตั้งเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีความเชื่อว่าจะนำพลังงานไม่ดีเข้าสู่ตัวบ้าน ส่งผลให้คนในบ้านพบเจอแต่เรื่องไม่ดี จะว่าไปมีตำแหน่งไหนบ้าง ต้องรีบไปเช็กด่วน

1. ห้องน้ำ

ห้องน้ำ เปรียบเสมือนสถานที่ปลดทุกข์ ดังนั้นจึงไม่ควรนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปตั้งในบริเวณดังกล่าว ประกอบกับของมงคลตามหลักฮวงจุ้ย ถือว่าเป็นธาตุไฟ ห้องน้ำ เป็นธาตุน้ำ หากอยู่ด้วยกัน จะนำความพินาศมาให้

2. เหนือประตู

แม้ว่าบริเวณประตูจะเป็นที่สูงก็ตาม แต่สาเหตุที่ไม่ควรวาง เนื่องจากตามหลักฮวงจุ้ยมีความเชื่อว่าจะทำให้พลังงานดีหลุดรอดออกไป

3. คานบันได

ขึ้นชื่อว่าคานบันได ก็บอกได้ว่าไม่ควรนำของที่เป็นมงคลไปตั้ง เพราะเป็นการกดทับสิ่งศักดิ์สิทธิ์

4. เสาลอย 

เสาลอย มีความเชื่อว่าบ่งบอกถึงสิ่งที่ไม่มั่นคง ถาวร ดังนั้นจึงไม่ควรนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปตั้ง

 

ใครที่เพิ่งซื้อบ้าน แนะนำควรศึกษาเรื่องตำแหน่งติดรูปในบ้าน และการตั้งหิ้งพระให้ถูก เหมาะสม เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่เจ้าของบ้านและสมาชิกในบ้าน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
บ้านสไตล์โคโลเนียล กับ 6 ลักษณะที่ผสมผสานความงามแบบคลาสสิก https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/บ้านสไตล์โคโลเนียล-61547?locale=th www.ddproperty.com:resources:61547 Mon, 21 Mar 2022 15:20:10 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2022/02/House-style-Colonial-cover-150x150.jpg"/></p> บ้านสไตล์โคโลเนียล กับ 6 ลักษณะที่ผสมผสานความงามแบบคลาสสิก บ้านสไตล์โคโลเนียลเป็นบ้านที่มีเอกลักษณ์บ่งบอกตัวตนของเจ้าของบ้าน หากคุณกำลังมองหาบ้านสวย ๆ  มีเอกลักษณ์น่าสนใจผสมผสานความงามระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและกลิ่นอายความดั้งเดิมของไทยอย่างลงตัว ลองมาดู 6 ลักษณะของบ้านสไตล์โคโลเนียลว่าน่าสนใจอย่างไร

Subscription Banner for Article

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

6 ลักษณะความงามที่โดดเด่นของบ้านสไตล์โคโลเนียล

บ้านสไตล์โคโลเนียลมีลักษณะเด่นเฉพาะตัวที่ผสานความงามของวัฒนธรรมตะวันตกกับความเป็นไทยได้อย่างลงตัว โดยบ้านสไตล์โคโลเนียลประกอบด้วยลักษณะเด่นดังนี้

1. รูปทรงอาคารของบ้านสไตล์โคโลเนียล

บ้านสไตล์โคโลเนียลแบบดั้งเดิมนิยมสร้างตัวอาคารเป็นสี่เหลี่ยมแบบสมมาตรที่มีลักษณะเหมือนกันทั้ง 2 ด้าน ซึ่งบางครั้งการแบ่งโซนของบ้านสไตล์โคโลเนียลจะถูกเรียกว่า "ปีกซ้าย" กับ "ปีกขวา" ของบ้าน เนื่องจากในแต่ละปีกของบ้านสไตล์โคโลเนียลมักออกแบบให้ห้องหรือการตกแต่งคล้ายกัน โครงสร้างของบ้านสไตล์โคโลเนียลจะมีความแข็งแรงและเน้นให้มีความโปร่ง ดูสบายตา

ในปัจจุบันบ้านสไตล์โคโลเนียลอาจไม่ได้มีรูปทรงเป็นแบบสมมาตรแต่ปรับรูปทรงให้ทันสมัยและตอบโจทย์กับการใช้งานมากขึ้น และทำการดึงลักษณะอื่น ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านสไตล์โคโลเนียลมาใส่ในตัวบ้านแทน เช่น หน้าต่าง ประตู หลังคา สีสัน การตกแต่งภายใน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงความเป็นกลิ่นอายของบ้านสไตล์โคโลเนียลอยู่เหมือนเดิม

บ้านสวย ๆ 50 แบบ ครบทุกสไตล์ โมเดิร์น ลอฟท์ วินเทจ เลือกสร้างได้ตามงบ

2. ประตูและหน้าต่างของบ้านสไตล์โคโลเนียล

ประตูและหน้าต่างของบ้านสไตล์โคโลเนียลถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นมาก เนื่องจากประตูทางเข้าของบ้านสไตล์โคโลเนียลมักถูกสร้างให้อยู่ตรงกึ่งกลางตัวบ้าน ทำให้สามารถวางเสาต้นถัดไปของตัวบ้านมีความสมดุลกัน

นอกจากนี้ ทั้งประตูและหน้าต่างของบ้านสไตล์โคโลเนียลมักถูกออกแบบให้มีลักษณะโค้งเป็นรูปเกือกม้าอาจมีการฉลุประตูหรือหน้าต่างเป็นลวดลายต่าง ๆ ใช้เส้นประดับลูกฟัก หรือตกแต่งด้วยบัวปูนปั้นเพื่อคงความสวยงามคลาสสิกตามแบบฉบับของบ้านสไตล์โคโลเนียล ในส่วนของการจัดวางประตูและหน้าต่างของบ้านสไตล์โคโลเนียลมักมีการจัดวางให้อยู่ในระนาบเดียวกันอีกด้วย

3. บ้านสไตล์โคโลเนียลกับระเบียง

สิ่งที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งของบ้านสไตล์โคโลเนียล คือ การมีระเบียงกว้างใหญ่ และมีเสามีรองรับชายคาเรียงต่อกันไป ซึ่งระเบียงของบ้านสไตล์โคโลเนียลอาจมีแค่ระเบียงด้านล่าง หรืออาจจะมีระเบียงของชั้นบนด้วยก็ได้

4. ผนังภายนอกและการตกแต่ง

บ้านสไตล์โคโลเนียลมักมีผนังส่วนใหญ่เป็นผนังไม้ตีซ้อนเกล็ดสลับไปกับโครงสร้างปูน หรือใช้เป็นโครงสร้างปูนแล้วตกแต่งด้วยไม้แบบต่าง ๆ การตกแต่งตัวบ้านสไตล์โคโลเนียลอาจใช้เป็นไม้ฉลุ บัวปูนปั้นรอบชายคา บัวหัวเสาหรือรอบกรอบหน้าต่าง ปูนปั้นตกแต่งเป็นรูปก้นหอย ใบไม้ หรือลวดลายที่อ่อนช้อยเพื่อลดเหลี่ยมคมของโครงสร้างบ้านสไตล์โคโลเนียลให้ดูอ่อนลง

5. โทนสีของบ้านสไตล์โคโลเนียล

ความนิยมในการทาสีของบ้านสไตล์โคโลเนียลมีค่อนข้างหลากหลาย แต่ที่มีให้เห็นโดยทั่วไปมักเป็นโทนสีอุ่นหรือสี Earth Tone ตัดกับสีขาว หรือบางครั้งก็ใช้เป็นสีโทนอ่อน หรือสีพาสเทล เป็นต้น

โทนสี

ส่งผลต่อความรู้สึกอย่างไร

สีเขียว

รู้สึกร่มรื่น สบายตา ผ่อนคลาย

สีน้ำเงิน

สุขุม เยือกเย็น สร้างแรงบันดาลใจ

สีฟ้า

อิสระ โปร่ง โล่ง สบาย

สีแดง

เร้าใจ ตื่นเต้น กระตือรือร้น

สีม่วง

ผ่อนคลาย สร้างแรงบันดาลใจ เกิดสมาธิ

สีส้ม

อบอุ่น สดใส บรรเทาอาการซึมเศร้า

สีเหลือง

สนุกสนาน สดใส ร่าเริง เพิ่มอารมณ์ขัน

เลือกสีบ้านตามหลักฮวงจุ้ย VS อารมณ์

6. การตกแต่งภายในบ้านและเฟอร์นิเจอร์

บ้านสไตล์โคโลเนียลมักนิยมตกแต่งภายในด้วยพื้นหินอ่อน กระเบื้องลายโบราณ หรือการปูกระเบื้องเป็นลายตารางหมากรุก การปูพรมลวดลายวินเทจ

ในส่วนเฟอร์นิเจอร์ของบ้านสไตล์โคโลเนียลมักเลือกที่มีความหรูหราแบบคลากสิก ดูวินเทจแบบตะวันตกผสมผสานกับความเป็นไทย อาจมีลวดลายดอกไม้ หรือลายฉลุ การใช้อ่างน้ำแบบอ่างลอยตัว ตู้เตียง ตู้ลิ้นชักจากไม้เนื้อแข็ง ชุดโซฟาบุผ้ากำมะหยี่ เป็นต้น

 

รูปแบบบ้านสไตล์โคโลเนียลมีความโดดเด่นมาก

 

3 รูปแบบบ้านสไตล์โคโลเนียลที่โดดเด่น

บ้านสไตล์โคโลเนียลในประเทศไทยถูกแบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

1. บ้านสไตล์โคโลเนียลแบบ “เรือนปั้นหยา”

เป็นบ้านสไตล์โคโลเนียลที่มีหลังคาแบบปั้นหยาที่มีหลังคาทุกด้านชนกันแบบก้นพีระมิด ไม่มีหน้าจั่ว มุงด้วยกระเบื้องว่าว บ้านสไตล์โคโลเนียลรูปแบบนี้อาจมีการตกแต่งภายนอกเรียบ ๆ หรือมีลายฉลุตกแต่งเล็กน้อย

2. บ้านสไตล์โคโลเนียลแบบ “เรือนมะนิลา”

เป็นบ้านสไตล์โคโลเนียลที่มีหลังคาบ้านสไตล์โคโลเนียลรูปทรงจั่วผสมปั้นหยาหรือทรงมะนิลา คือ หลังคาบ้านสไตล์โคโลเนียลที่มีลักษณะเหมือนทรงปั้นหยาแต่ส่วนบนจะมีปลายจั่ว มีความแข็งแรงรับแรงปะทะจากลม แดด ฝนได้ทุกด้าน ระบายความร้อนได้ดี อาจมีการตกแต่งภายนอกตัวบ้านอกเรียบๆ โดยใช้ ลายฉลุเล็ก ๆ น้อย ๆ ลายนูน หรือชายคาแบบขนมปังขิง เป็นต้น

3. บ้านสไตล์โคโลเนียลแบบ “เรือนขนมปังขิง”

เป็นบ้านสไตล์โคโลเนียลที่ถูกตกแต่งลวดลายภายนอกด้วยลายฉลุอย่างบรรจงงดงาม มีครีบ มีชายคาระบายแพรวพราว และมีหลังคาส่วนใหญ่เป็นแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว

บ้านสไตล์รีสอร์ท กับ 6 ลักษณะบ้านที่ให้มากกว่าการอยู่อาศัย

บ้านสไตล์โคโลเนียลเหมาะกับไลฟ์สไตล์แบบไหนกันนะ

 

บ้านสไตล์โคโลเนียลเหมาะกับไลฟ์สไตล์แบบไหน

1. บ้านสไตล์โคโลเนียลเป็นบ้านที่เหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบผสมผสานวัฒนธรรมหรือศิลปะระหว่างตะวันตกและความเป็นไทย

2. บ้านสไตล์โคโลเนียลเหมาะกับคนที่ชอบความหรูหราแบบคลาสสิก การตกแต่งแบบวินเทจ

3.บ้านสไตล์โคโลเนียลเหมาะกับคนที่ชอบศิลปะการตกแต่งที่เน้นลายเส้นอ่อนช้อย ลวดลายอ่อนหวาน ลวดลายฉลุ หรือลวดลายธรรมชาติ ผสมผสานศิลปะแบบกรีกโรมัน เป็นต้น

บ้านสไตล์โคโลเนียลถือว่าเป็นบ้านที่ผสมผสานศิลปะจาก 2 วัฒนธรรมไว้ได้อย่างลงตัว ซึ่งในความงามก็ยังแฝงไปด้วยประโยชน์ที่เหมาะกับการใช้งาน เพราะมีการออกแบบมาให้เหมาะสมกับสภาพอากาศของประเทศไทย บ้านสไตล์โคโลเนียลจึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านดี ๆ สักหลัง

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
บ้านอิฐมอญ 4 เรื่องน่ารู้เรื่องเสน่ห์ของบ้านที่คนชื่นชอบ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/บ้านอิฐมอญ-61543?locale=th www.ddproperty.com:resources:61543 Mon, 21 Mar 2022 14:32:59 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2022/02/Brick-House_05-150x150.jpg"/></p> บ้านอิฐมอญ 4 เรื่องน่ารู้เรื่องเสน่ห์ของบ้านที่คนชื่นชอบ บ้านอิฐมอญ หนึ่งในบ้านในฝันของใครหลายคน เนื่องจากความโดดเด่นของวัสดุหลักอย่างอิฐมอญ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ต้องไปด้วยมนต์เสน่ห์ของอดีตจนถึงปัจจุบันจากสีแดงของอิฐมอญ รวมไปถึงความแข็งแกร่ง

แต่การจะเลือกซื้อบ้านอิฐมอญสักหลัง นอกจากความสวยงามต้องตา ราคาต้องใจแล้ว สิ่งที่ต้องรู้ก็คือข้อดี ข้อด้อย และวิธีการรักษาบ้านอิฐมอญด้วย เพื่อให้บ้านอิฐมอญที่คุณได้เป็นเจ้าของนั้น ยังคงความสวยงาม คงทน คงสเน่ห์ของอิฐแดงที่ร้อนแรงสู้กาลเวลาได้นั่นเอง

Subscription Banner for Article

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

1. อิฐมอญ คืออิฐแบบไหน

สำหรับวัสดุหลักของบ้านอิฐมอญ ก็คือบล็อกอิฐสีแดง ๆ ที่ผลิตมาจากการนำดินเหนียวปนทราย ผสมแกลบและขี้เถ้า นำมาเผา จนกลายเป็นอิฐสีแดงที่มีความแข็งแรง คงทน เดิมอิฐมอญนั้น เป็นหนึ่งในวัสดุหลักที่มักจะในการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ เนื่องจากตัวอิฐมีน้ำหนักเบา เล็ก แต่แข็งแรง และสามารถนำมาประกอบเป็นโครงสร้างบ้านได้ง่าย

แต่ก่อนหน้านี้อาจจะไม่ค่อยเห็นบ้านที่โชว์ให้เห็นอิฐมอญมากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การโชว์อิฐมอญเปลือยกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะสีสันที่สดใสของตัวอิฐมอญเอง บ้านอิฐมอญเปลือย จึงให้ความรู้สึกกึ่งลอฟต์ (Loft) กึ่งวินเทจ แต่ไม่ดูร้าง หรือให้ความรู้สึกหม่นหมอง กลับกันมันเข้ากันได้ดีกับสีเขียวของพุ่มไม้ ไม้เลื้อย หรือวัสดุแบบไม้ที่ทาสีสันต่าง ๆ ให้สไตล์บ้านอิฐมอญในต่างประเทศไปอีกขั้น

ผนังสำเร็จรูป ผนังอิฐมวลเบา และผนังอิฐมอญ ผนัง 3 แบบแตกต่างกันอย่างไร

2. ข้อดี-ข้อด้อย ของบ้านอิฐมอญ

ข้อดีของบ้านอิฐมอญนั้น หลัก ๆ แล้วได้ประโยชน์มาจากตัววัสดุหลัก คือ อิฐมอญ ทั้งสิ้น กล่าวคือตัวอิฐมอญเอง นอกจากจะเบา คงทน มันยังเป็นวัสดุที่กันความความร้อนชื้น แบบที่เป็นสภาพอากาศหลักของประเทศไทยได้ดี จึงเหมาะสำหรับการนำมาสร้างบ้าน

นอกจากนี้ยังรองรับวัสดุกรุผนังที่มีน้ำหนักมากได้ รวมถึงช่วยในการยึดเกาะได้ดี หากมีการเจาะผนังเพื่อแขวนสิ่งของต่าง ๆ ทั้งนี้ข้อดีที่ช่างก่อสร้างชอบเกี่ยวกับอิฐมอญอีกประการ ก็คือการที่มันสามารถนำมาใช้เก็บรายละเอียดเล็ก ๆ ของบ้านอิฐมอญได้ เช่น ทำเป็นวงประตู หน้าต่าง หรือใช้ปิดช่องแคบได้โดยที่ไม่ต้องตัดอิฐให้เหลือเศษเยอะ

รวมถึงบ้านอิฐมอญเอง ยังง่ายต่อการต่อเติม ทุบ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เป็นรูปแบบบ้านอิฐมอญแบบใหม่ ๆ ได้ง่าย บ้านอิฐมอญยังอาจจะช่วยลดต้นทุนค่าอิฐได้สูง เนื่องจากอิฐมอญสามารถผลิตได้ง่าย มีแหล่งผลิตในประเทศไทย จึงทำให้ราคาถูก และอิฐมอญยังเป็นวัสดุที่ช่างก่อสร้างทั่วไปคุ้นเคยมากอีกด้วย

ส่วนข้อด้อยของการสร้างบ้านอิฐมอญ ถึงแม้อิฐมอญจะช่วยกันความร้อนชื้นได้ดี แต่อาจจะกักเก็บความร้อนไว้ในเนื้อของอิฐมอญได้มาก ดังนั้นหากวางโครงสร้างไม่ดีอาจจะทำให้บริเวณในบ้านอิฐมอญมีความร้อนมากกว่าบ้านแบบอื่น ๆ ได้

บ้านร้อนแก้ไม่ยากกับ 6 เทคนิคบ้านเย็นไม่ง้อแอร์

การก่อสร้างด้วยอิฐมอญมักจะไม่ค่อยช่วยเรื่องของการเก็บเสียง ดังนั้นจึงมักใช้การก่อสร้างแบบ 2 ชั้น และเว้นช่องว่างตรงกลาง หรือมีฉนวนตรงกลาง ก็จะช่วยให้บ้านอิฐมอญ นอกจากจะสามารถกันความร้อนได้ดีก็ยังช่วยในเรื่องของการเก็บเสียงได้ดีขึ้น

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างอิฐมอญ อิฐมวลเบา และผนังสำเร็จรูป

ปัจจัย ผนังอิฐมอญ ผนังอิฐมวลเบา ผนังสำเร็จรูป
ความแข็งแรง มากกว่าอิฐมวลเบา น้อยที่สุด มากที่สุด
การป้องกันความร้อน สะสมความร้อน แต่กันความร้อนดีกว่าอิฐมวลเบาหากก่ออิฐมอญ 2 ชั้น ดี สะสมความร้อน
การป้องกันเสียง ไม่ค่อยดี เว้นแต่จะก่ออิฐมอญ 2 ชั้น ดี ดีที่สุด
คุณภาพผนัง ขึ้นอยู่กับฝีมือของช่างที่ต้องมีประสบการณ์ ขึ้นอยู่กับคุณภาพปูนและฝีมือของช่าง ตามมาตรฐานคุณภาพของโรงงาน
การต่อเติมและดัดแปลง ง่าย ทำเองได้บ้างหากมีความรู้และประสบการณ์ ต้องอาศัยช่างที่ชำนาญ ทำไม่ได้หรือทำได้ยาก และต้องอาศัยวิศวกรและช่างที่ชำนาญโดยเฉพาะ
ต้นทุนในการก่อสร้าง ปานกลาง-สูง ต่ำ ต่ำ-ปานกลาง
ระยะเวลาในการสร้างผนัง ช้า ปานกลาง เร็ว

 

Selcetive,Brick,Wall,Texture,Red,Or,Orange,For,Background,,

3. วิธีการดูแลรักษาบ้านอิฐมอญ

สำหรับบ้านที่ก่อสร้างด้วยอิฐมอญนั้น มีวิธีการดูแลรักษาคล้ายกันกับวิธีการดูแลรักษาบ้านทั่วไป แต่สำหรับจุดที่มีการ “โชว์แนว” หรือการเปลือยให้เห็นแนวของอิฐมอญที่ยึดเกาะกัน อาจจะต้องหมั่นดูแลรักษากว่าแบบอื่น ๆ โดยบ้านอิฐมอญที่มีพื้นที่แบบโชว์แนวนั้น จะต้องระวังเรื่องของ

- เชื้อรา เชื้อราตัวร้ายเกิดจากการที่ผนังบ้านอิฐมอญ (รวมถึงอิฐแบบอื่น ๆ) มีการดูดซึมน้ำ ความชื้น และสิ่งสกปรกเข้าไปตามช่องว่างของเนื้ออิฐ ส่งผลให้ผนังบ้านอิฐมอญทรุดโทรมและเกิดเชื้อราได้ รวมถึงยังส่งผลมาถึงผู้อยู่อาศัย ที่อาจจะก่อให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้ด้วย

ส่วนทางแก้หรือแนวทางการป้องกันไม่ให้บ้านอิฐมอญของเราทรุดโทรมจากเชื้อรา ก็คือการเคลือบด้วยสีกันรั่ว หรือการการหมั่นทำความสะอาด ปัดฝุ่นผงบนผนังบ้านอิฐมอญบ่อย ๆ เพื่อกำจัดฝุ่นและความสกปรกส่วนเกินออกไป

- ตะไคร่ หากผนังบ้านอิฐมอญของเราอยู่ด้านนอก อาจจะเกิดตะไคร่น้ำเขียว ๆ เกาะให้รกหูรกตาได้ วิธีการแก้ไขเริ่มต้นจากการทำความสะอาดด้วยการใช้แปรงขัด

โดยอาจจะใช้แปรงขัด จุ่มน้ำยาล้างจากหรือสบู่เหลวผสมเกลือ แล้วนำไปขัดบนผนัง จากนั้นล้างคราบสกปรกออกด้วยน้ำสะอาด ใช้ฟองน้ำเช็ดน้ำออก แล้วทาน้ำยาฆ่าเชื้อราบนผนังบ้านอิฐมอญ ทิ้งไว้ให้แห้ง ก่อนจะเคลือบด้วยน้ำยาเคลือบผนังอีกครั้ง ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

- รอยแตก รอยร้าว ถึงแม้ข้อนี้จะเกิดขึ้นไม่บ่อย และไม่ได้เกิดเฉพาะกับบ้านอิฐมอญ แต่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เจ้าของบ้านอิฐมอญต้องใส่ใจ ในการตรวจเช็กสภาพบ้านอยู่เสมอ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุกับผู้อยู่อาศัย เช่น โดนเศษของอิฐขูด หรือไม่ตรวจสอบจนชำรุดเสียหาย

ดังนั้นไม่ว่าจะบ้านอิฐมอญ (หรือบ้านอิฐอื่น ๆ) การตรวจสอบสภาพบ้าน หารอยแตก รอยร้าว จุดที่ชำรุด เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่เสมอ

รอยร้าวบนผนังบ้าน แก้ได้ไม่ยากด้วยตัวเอง

4. การตกแต่งบ้านอิฐมอญที่น่าสนใจ

ปิดท้ายด้วยเรื่องของการแต่งบ้านอิฐมอญที่น่าสนใจ สำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของบ้านอิฐมอญ หรืออยากจะสร้างมุมบ้านอิฐมอญขึ้นมาสักจุด ลองดูไอเดียดังนี้

  • ตกแต่งบ้านอิฐมอญ ด้วยการทำทางเดินบล็อกอิฐมอญ: ช่วยให้มีลูกเล่นในสวน ตัดกับสีเขียวของสนามหญ้าหรือทางเดิน
  • ตกแต่งบ้านอิฐมอญ ด้วยการนำอิฐมอญบล็อกมาแซมด้วยต้นไม้เขียว: สดชื่นสบายตา และยังได้กลิ่นอายวินเทจเล็ก ๆ อีกด้วย
  • ตกแต่งบ้านอิฐมอญ ด้วยการทิ้งเสาเปลือยอิฐมอญ: แล้วติดไฟเหลืองนวลเพื่อช่วยสะท้อนสีธรรมชาติของอิฐมอญให้ดูเก่าแบบเก๋า ๆ สวยสไตล์ลอฟต์
  • ตกแต่งบ้านอิฐมอญ ด้วยการใช้อิฐมอญจัดเข้ามุมที่ต้องโดนความชื้น: เช่นห้องน้ำ มุมสวนสวย หรือพื้นที่ในบ้านจุดที่มักจะโดนความชื้น เนื่องจากตัวอิฐมอญเหมาะกับพื้นที่ที่ต้องโดนความชื้นสูง แบบไม่ต้องกังวลว่าสีจะด่างหรือลอก อีกทั้งยังทำให้จุดนั้นดูอบอุ่นขึ้นด้วย

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับบ้านอิฐมอญที่เราไม่อยากให้คุณพลาด เพื่อที่จะได้เลือกสรร เลือกสร้าง และเลือกซื้อบ้านอิฐมอญได้ตรงใจ มีความสุขกับบ้านอิฐมอญที่คุณได้อย่างเต็มที่นั่นเอง

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
คานบ้าน โครงสร้างส่วนสำคัญ รู้จัก 3 ประเภทคานบ้าน เลือกใช้แบบไหนดี https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/คานบ้าน-61678?locale=th www.ddproperty.com:resources:61678 Mon, 21 Mar 2022 11:19:50 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2022/03/House-beam-cover-150x150.jpg"/></p> คานบ้าน โครงสร้างส่วนสำคัญ รู้จัก 3 ประเภทคานบ้าน เลือกใช้แบบไหนดี ถ้าพูดถึงโครงสร้างบ้าน เป็นอีกเรื่องที่ต้องใส่ใจไม้แพ้เรื่องของแบบบ้านสวย ๆ ที่มองเห็นภายนอกเท่านั้น แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับโครงสร้างบ้านที่แข็งแรงเพราะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่รับน้ำหนักของบ้าน ผู้อยู่อาศัย และส่วนประกอบอื่น ๆ ของบ้าน โดยงานโครงสร้างมีทั้งส่วนใต้ดินและบนดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "คานบ้าน" โครงสร้างส่วนสำคัญที่ทุกคนควรรู้จัก

Subscription Banner for Article

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

คานบ้านคืออะไร มีหน้าที่อย่างไร

คานบ้าน คือ ส่วนประกอบหนึ่งของโครงสร้างบ้าน ซึ่งเชื่อมต่ออยู่กับเสาบ้าน มีหน้าที่ถ่ายเทน้ำหนักทั้งหมดของบ้านและส่งต่อไปยังเสาอีกต่อหนึ่ง หากจะให้เปรียบเทียบง่าย ๆ คานและเสาก็คือโครงกระดูกของบ้าน ซึ่งทำหน้าที่คอยซัปพอร์ตให้บ้านหรืออาคารมีความมั่นคงแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้เองการก่อสร้างคานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คนซื้อบ้านหรือปลูกบ้านเอง ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ ของตัวบ้านกันตั้งแต่แต่วัสดุที่จะนำมาสร้างคาน 

 

ประเภทคานบ้าน

หากแบ่งประเภทของคานบ้าน จะแบ่งตามวัสดุที่นิยมใช้ในการสร้างคาน วัสดุที่ใช้จะคล้าย ๆ กับวัสดุนำมาทำเสาบ้าน คือ ไม้ คอนกรีตเสริมเหล็ก และเหล็ก

1. คานไม้

คานไม้ เป็นคานบ้านแบบดั้งเดิมที่นิยมใช้สร้างบ้านในอดีต เพราะไม้เป็นวัสดุก่อสร้างที่หาได้ง่าย โดยใช้ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้เต็ง ไม้แดง ไม้รัง เพราะมีขนาดใหญ่ แข็งแรงและมั่นคง นอกจากคานไม้จะรับน้ำหนักได้ดีแล้ว ยังมีสีสันสวยงาม ให้ความรู้สึกอบอุ่น เป็นธรรมชาติ

แต่เนื่องจากปัจจุบันไม้จริงนั้นหายากมากยิ่งขึ้น และมีราคาสูงมาก อีกทั้งยังต้องบำรุงรักษาอยู่สม่ำเสมอ เพื่อป้องกันความเสียหาย ทำให้โครงสร้างคานไม้ลักษณะนี้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก

แบบบ้านไม้กึ่งปูน 10 ข้อดี ข้อด้อย และวิธีการดูแลรักษางานไม้และงานปูน

2. คานเหล็ก

คานเหล็ก คือ คานที่สร้างจากเหล็กรูปพรรณ ผลิตจากโรงงานมาพร้อมใช้งาน เมื่อมาถึงหน้างานก็สามารถนำมาเชื่อมประกอบกันได้เลย ช่วยประหยัดเวลาและค่าแรงได้เป็นอย่างดี

ถึงแม้ว่าคานเหล็กจะเหมาะกับอาคารขนาดเล็กอย่างบ้าน แต่ก็นิยมใช้กับตึกสูงมากกว่า เนื่องจากต้องอาศัยช่างก่อสร้างที่มีความชำนาญสูง อีกทั้งยังต้องทาสีกันสนิม หรือหุ้มวัสดุกันไฟก่อนใช้งานและต้องหมั่นบำรุงรักษาอยู่เสมอ จึงไม่สะดวกต่อการใช้งานในบ้านนัก เพราะจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามมาในภายหลัง

3. คานคอนกรีตเสริมเหล็ก

คานคอนกรีตเสริมเหล็ก คือ คานที่สร้างด้วยคอนกรีต ประกอบด้วยปูนซีเมนต์ น้ำ ทราย และหิน มีการเสริมความแข็งแกร่งด้วยเหล็กเส้น เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการรับแรงดึง

ปัจจุบันเป็นคานบ้านที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะแข็งแรง มั่นคง มีราคาไม่สูง และเป็นโครงสร้างที่สถาปนิก วิศวกร และช่างก่อสร้างชำนาญมาก ออกแบบและก่อสร้างได้รวดเร็ว แต่คานคอนกรีตเสริมเหล็กก็มีจุดอ่อนที่ต้องใส่ใจในขั้นตอนการเทปูนอย่างละเอียด เพราะไม่เช่นนั้นอาจเกิดการแตกร้าวขึ้นได้ง่าย

รอยร้าวบนผนังบ้าน แก้ได้ไม่ยากด้วยตัวเอง

 

ประเภทคานบ้าน

ข้อดี

ข้อเสีย

คานไม้

สีสันและลวดลายสวยงาม ให้ความอบอุ่น เป็นธรรมชาติ 

ราคาสูงมาก และต้องหมั่นบำรุงรักษาอยู่เป็นประจำ

คานเหล็ก

ผลิตจากโรงงานมาพร้อมใช้งาน ได้มาตรฐาน ติดตั้งง่าย รวดเร็ว และช่วยประหยัดงบก่อสร้างบ้าน

รับน้ำหนักได้น้อยกว่าคานคอนกรีตเสริมเหล็ก ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญสูง และต้องบำรุงรักษาอยู่เป็นประจำ

คานคอนกรีตเสริมเหล็ก

แข็งแรง ทนทาน ราคาถูกกว่าคานประเภทอื่น

ใช้เวลาก่อสร้างค่อนข้างนาน มีโอกาสแตกร้าว จึงต้องใช้ช่างมีความชำนาญสูง

 

คานบ้าน ส่วนสำคัญของบ้านที่ควรให้ความสำคัญ

 

คานบ้าน ควรเลือกใช้แบบไหน

ปัจจุบันคานบ้านนิยมเลือกใช้คานคอนกรีต ซึ่งแบ่งแยกย่อยออกได้เป็นคานบ้านแบบหล่อในที่ และคานบ้านสำเร็จรูป มาดูทีละสเต็ปของการก่อสร้างคานบ้านทั้ง 2 แบบนั้นแตกต่างกันอย่างไร เพื่อจะได้เลือกใช้คานบ้านให้เหมาะกับบ้าน มีความแข็งแรง ทนทาน ป้องกันปัญหาบ้านทรุด จากการรับน้ำหนักไม่ไหว หรือคานบ้าน เสาบ้านมีรอยแตกร้าวตามมาในภายหลัง

1. คานบ้านแบบหล่อในที่

  • วัดระดับและทาบเหล็ก วัดระดับเสาและคานทั้งแนวดิ่งและแนวนอน ผูกเหล็กและทาบเหล็กให้ถูกต้องตามมาตรฐาน ให้อยู่ในระยะที่คอนกรีตจะหุ้มเหล็กได้อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันเหล็กขึ้นสนิม
  • ประกอบแบบหล่อ ประกอบแบบหล่อให้แน่น และทาน้ำยาถอดแบบ เพื่อช่วยให้หลังเทคอนกรีตแล้ว ถอดแบบออกได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยควรเลือกน้ำยาถอดแบบที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมหน้างาน
  • เทคอนกรีต เทคอนกรีตที่ผสมแล้วลงในแบบที่ประกอบไว้ โดยเทอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันคอนกรีตแบ่งชั้น อาจใช้เครื่องจี้เขย่าเพื่อช่วยให้คอนกรีตอัดแน่นได้ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • ถอดแบบหล่อ หลังจากคอนกรีตแห้งตามระยะเวลาที่กำหนด ควรให้วิศวกรหน้างานเข้ามาตรวจสอบว่าเสาและคานได้ระดับ หรือมีร่องรอยแตกร้าวหรือไม่
  • บ่มคอนกรีต เพื่อให้คอนกรีตมีประสิทธิภาพสูงสุด และป้องกันน้ำในคอนกรีตระเหยเร็วเกินไป ควรใช้น้ำยาบ่มคอนกรีตทาหรือพ่นลงบนพื้นผิวคอนกรีต เพื่อช่วยลดปัญหาแตกร้าว

2. คานบ้านสำเร็จรูป

  • วางเสาและคานบนรากฐาน นำเสาและคานที่หล่อมาจากโรงงานและพร้อมติดตั้งหน้างานได้เลยทันที วางลงบนตอม่อ และโครงสร้างรากฐานของบ้าน
  • หล่อบริเวณรอยต่อ ทำแบบหล่อเฉพาะที่บริเวณรอยต่อของหัวคาน และทาน้ำยาถอดแบบก่อนเริ่มเทปูนเพื่อเชื่อมต่อรอยต่อต่าง ๆ เพื่อให้ถอดแบบได้สะดวกยิ่งขึ้น
  • เทปูนเชื่อมรอยต่อ เทปูนเกร้าท์ที่มีกำลังอัดสูง เพื่อเชื่อมต่อจุดต่าง ๆ ไม่ควรใช้ปูนซีเมนต์ทั่วไป เพราะมีค่ากำลังรับแรงอัดต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ทำให้โครงสร้างบ้านไม่แข็งแรง ทนทาน เท่าที่ควร
  • ทิ้งให้แห้งและถอดแบบหล่อ เมื่อทิ้งคอนกรีตให้แห้งตามเวลาที่กำหนดแล้ว ให้วิศวกรตรวจสอบว่ามีความเสียหายหรือรอยแตกร้าวหรือไม่

 

กว่าจะออกมาเป็นบ้าน 1 หลัง ต้องมีการคัดวัสดุก่อสร้างที่จะมาใช้กับบ้าน ซึ่งต้องได้คุณภาพมาตรฐาน และเหมาะกับการใช้งาน เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของตัวบ้านที่มีความแข็งแรงและมั่นคงเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความปลอดภัยของเจ้าของบ้านและสมาชิกในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้นในการซื้อบ้าน สร้างบ้าน คานบ้านจึงเป็นอีกหนึ่งในเช็กลิสต์ที่ต้องให้ความสำคัญ นอกจากนั้นยังต้องทำความเข้าใจกฎหมายพื้นฐาน พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522  ตลอดจนข้อกฎหมายควรรู้ก่อนสร้างบ้านใหม่บนที่ดินของตัวเอง ระยะร่นและที่เว้นว่าง ซึ่งต้องปฏิบัติตาม

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ขนาดเสาบ้าน และ 3 ประเภทเสา โครงสร้างส่วนสำคัญ สร้างบ้านต้องรู้ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ขนาดเสาบ้าน-61683?locale=th www.ddproperty.com:resources:61683 Mon, 21 Mar 2022 04:40:04 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2022/03/House-pillar-size-cover-150x150.jpg"/></p> ขนาดเสาบ้าน และ 3 ประเภทเสา โครงสร้างส่วนสำคัญ สร้างบ้านต้องรู้ ขนาดเสาบ้าน โครงสร้างส่วนสำคัญที่ทุกคนควรรู้จัก และเป็นโครงสร้างที่มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากต้องแบกรับน้ำหนักของอาคารทั้งหลัง เมื่อเสาเกิดการวิบัติหรือพังทลาย อาจส่งผลให้โครงสร้างทั้งหลังพังถล่มลงมาได้ ดังนั้นก่อนซื้อบ้าน หรือสร้างบ้านจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับขนาดเสา เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบ้าน และรู้จักประเภทเสาบ้านแต่ละแบบ รวมถึงการดูแลเสาบ้านเมื่อเกิดรอยร้าว

Subscription Banner for Article

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

เสาบ้านมีกี่ประเภท

หากแบ่งตามวัสดุที่ใช้งาน เสาบ้านจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

1. เสาไม้

เป็นวัสดุที่ทำมาจากไม้เนื้อแข็ง เช่น  เช่น ไม้ตะเคียน, ไม้ชิงชัน, ไม้เต็ง, ไม้มะม่วง หรือไม้เนื้อแกร่ง เช่น ไม้ประดู่, ไม้แดง, ไม้เกลือ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันไม้เหล่านี้หายากมาก และมีราคาแพง

ข้อดีของเสาไม้ คือ ถ้าต้องการบ้านไม้ให้มีความสวยงามแบบธรรมชาติ งานไม้จะสวยงามจากลายไม้ มากกว่าเสาประเภทอื่น แต่ก็ต้องระวังเรื่องปลวกที่อาจจะมีปัญหาภายหลังได้ รวมทั้งในปัจจุบันไม้ที่จะทำเป็นเสาได้ต้องมีขนาดใหญ่ อาจจะมีขนาดเสาที่ประมาณเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 นิ้ว มีน้ำหนักมาก ซึ่งจะมีราคาค่อนข้างแพง และขนย้ายยาก

แบบบ้านไม้กึ่งปูน 10 ข้อดี ข้อด้อย และวิธีการดูแลรักษางานไม้และงานปูน

2. เสาปูน หรือเสาคอนกรีต

ทำมาจากคอนกรีตที่ใส่เหล็กเสริม เพิ่มความสามารถในการรับแรงอัด แรงดัด และแรงดึง โดยปกติคอนกรีตจะรับแรงอัด ส่วนเหล็กจะรับแรงดัด และแรงดึง

เสาคอนกรีตเสริมเหล็ก จะแบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภท คือ 1) เสาคอนกรีตหล่อในที่ และ 2) เสาคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป จะมีความแตกต่างในเรื่องวิธีการก่อสร้าง การรับน้ำหนัก ตามโครงสร้างของแต่ละประเภท

นอกจากนั้น ยังมีเสาเหล็กผสมคอนกรีต โดยจะเป็นเสาที่ใช้เหล็กรูปพรรณ แล้วเทคอนกรีตหุ้มทับ ซึ่งมีหลายรูปแบบ แบ่งได้เป็นเสาปลอกเกลียวเสริมแกนเหล็ก, เสาเหล็กหุ้มด้วยคอนกรีต, เสาคอนกรีตหุ้มด้วยท่อเหล็ก เสาประเภทเหล็กผสมคอนกรีตนั้น ช่วยทำให้ตัวเสารับน้ำหนักได้มากขึ้น รวมทั้งทนไฟได้มากขึ้นด้วย

ลักษณะของเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก

แบ่งตามลักษณะของแรงที่มากระทำ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

  • เสาคอนกรีตเสริมเหล็กที่รับแรงตามแนวศูนย์กลางแกนเสา
  • เสาคอนกรีตเสริมเหล็กที่รับแรงเยื้องศูนย์

แบ่งตามขนาดเสา ขนาดความสูงของเสา สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

  • เสาสั้น คือ เสาที่มีอัตราส่วนความสูงต่อด้านแคบของเสา (เสาสี่เหลี่ยม) หรืออัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางเสา (เสากลม) น้อยกว่า 15
  • เสายาว คือ เสาที่มีอัตราส่วนความสูงต่อด้านแคบของเสา (เสาสี่เหลี่ยม) หรือ อัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่าศูนย์กลางเสา (เสากลม) มากกว่า 15 ซึ่งความสามารถในการรับน้ำหนักของเสาจะลดลง

ประเภท เสาคอนกรีตเสริมเหล็ก

1) เสาปลอกเดี่ยว เป็นเสาคอนกรีตที่เสริมเหล็ก โดยมีเหล็กยืน (ตั้งในแนวดิ่ง) รัดด้วยเหล็กปลอกเป็นวง ๆ ซึ่งเหล็กปลอกที่รัดอาจจะมีวงเดียว หรือหลายวงก็ได้ และการงอเหล็กปลอกจะงอเป็นฉาก

2) เสาปลอกเกลียว เป็นเสาคอนกรีตที่เสริมเหล็ก โดยมีเหล็กยืน (ตั้งในแนวดิ่ง) รัดด้วยเหล็กปลอกที่เป็นเกลียวรัดต่อเนื่อง เสาประเภทนี้ จะรับแรงได้ดีกว่าเสาปลอกเดี่ยวประมาณ 15% โดยปกติจะใช้กับเสากลม หรือเสาหลายเหลี่ยม

3) เสาปลอกเกลียวเสริมแกนเหล็ก จะมีลักษณะเหมือนกับเสาปลอกเกลียวธรรมดา แต่จะมีเหล็กรูปพรรณเสริมอยู่ตรงแกนกลาง ส่วนใหญ่ใช้เหล็กรูปตัวไอ (I) หรือเหล็กรูปตัวเฮช (H) พื้นที่หน้าตัดของแกนเหล็ก เมื่อเทียบกับพื้นที่หน้าตัดคอนกรีตจะไม่มากนัก โดยทั่วไปนิยมใช้กับเสาที่มีแป้นหูช้าง หรือใช้เมื่อต้องการลดขนาดเสาให้เข้ากับแบบสถาปัตยกรรม

6 แบบบ้านทรงยุโรปที่คุณเห็นแล้วต้องถูกใจ

4) เสาเหล็กหุ้มด้วยคอนกรีต คล้ายกับเสาปลอกเกลียวเสริมแกนเหล็ก แต่เหล็กที่ใช้ตรงแกน นิยมใช้เหล็กแผ่นหนา ๆ นำมาตัดเชื่อม หรือย้ำหมุดให้ได้รูปหน้าตัดเป็นตัว H ขนาดใหญ่ และหุ้มด้วยตะแกรงเหล็กเบอร์ 10 AS&W Gage และมีคอนกรีตหุ้มไม่น้อยกว่า 6 ซม. เสาชนิดนี้นิยมใช้ในกรณีที่ต้องการให้เสามีขนาดเล็ก แต่รับน้ำหนักได้มาก

5) เสาคอนกรีตหุ้มด้วยท่อเหล็ก เป็นเสาที่มีเปลือกนอกเป็นเหล็ก ภายในเป็นคอนกรีต จะไม่มีการเสริมเหล็กเพิ่มภายใน เสาประเภทนี้จะรับน้ำหนักไม่มาก และตรงปลายเสาต้องใช้แผ่นเหล็กหนา 3/8 นิ้ว หรือประมาณ 10 มม. เชื่อมติดท่อเหล็ก เพื่อช่วยในการกระจายน้ำหนัก

3. เสาเหล็ก

จะมีด้วยกันทั้งหมด 2 ประเภท คือ เสาเหล็กรูปพรรณ และเสาเหล็กโครงข้อแข็ง หากนำมาสร้างบ้าน มักจะนิยมเสาเหล็กรูปพรรณที่เป็นเหล็กรูปตัวไป (I) ตัวเฮช (H) หรือกล่อง (Tube) ข้อดีของเสาเหล็ก คือ สามารถสร้างเสร็จในระยะที่ค่อนข้างจะเร็ว ส่วนข้อเสียของเสาเหล็ก คือ ทนความร้อนได้ไม่ค่อยดี

แจกแบบบ้านเพื่อประชาชน แจกแบบบ้านฟรี จากกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย

 

ขนาดเสาบ้าน ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับตัวบ้าน

 

ขนาดเสาบ้าน ควรเลือกใช้แบบไหนดี

ขนาดเสาบ้าน มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ และหลายขนาด โดยขนาดเสาคอนกรีตสำเร็จรูปส่วนใหญ่จะมีขนาดหน้าตัดตั้งแต่ 4, 5, 6, 7 และ 8 นิ้ว ซึ่งเสาบ้านขนาดหน้าตัด 6 นิ้ว ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากในการนำมาสร้างบ้าน หรือเลือกหน้าตัดขนาด 4 หรือ 5 นิ้วก็ได้เช่นกัน โดยความสูงมาตรฐานจะอยู่ที่ 2.5-2.8 เมตร ซึ่งหากชอบความโปร่ง ก็อาจจะเลือกความสูงที่ขนาด 2.8-3.2 เมตร

ดังนั้น หากจะพิจารณาเลือกขนาดเสาบ้านชั้นเดียว ควรเลือกพื้นที่หน้าตัดตั้งแต่ 4-6 นิ้ว และความสูงในช่วงประมาณ 2.5-3.2 เมตร โดยพิจารณาตามความต้องการของผู้ใช้งานเป็นหลัก และการรับน้ำหนัก และเเรงต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม 

 

สัญญาณบ่งบอกอันตรายว่าเสาบ้านกำลังแย่

เสาบ้านเป็นจุดที่สำคัญไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ ของตัวบ้าน โดยมีสัญญาณอันตรายที่ควรระวังหากเสาบ้านเกิดรอยร้าว ซึ่งลักษณะของรอยร้าวที่พบจะมีอยู่ด้วยกันหลากหลายรูปแบบ ดังนี้

1. รอยร้าวแนวดิ่งที่เกิดขึ้นบริเวณโคนเสา เกิดจากการที่เสาไม่สามารถรับน้ำหนักได้ดีพอ หรือรับน้ำหนักมากเกินไป

2. รอยร้าวแนวเฉียง 45 องศา เกิดจากการรับแรงเฉือนตอนที่อาคารมีการทรุดตัวได้ไม่เท่ากัน

3. รอยร้าวบริเวณต้นเสาและโคนเสา เกิดจากการรับแรงบิดแรงเฉือน เนื่องมาจากคานยื่นออกจากเสามากเกินไป

4. รอยร้าวในเสา เกิดจากการที่เหล็กข้างในเสาเป็นสนิม เสามีเนื้อพรุนเป็นโพรง และเสามีความหนาหุ้มเหล็กน้อยเกินไป

รอยร้าว

สาเหตุ

แนวดิ่งบริเวณโคนเสา

เสารับน้ำหนักมากเกินไป

แนวเฉียง 45 องศา

เสารับแรงเฉือนขณะอาคารทรุดตัวได้ไม่เท่ากัน

ต้นเสาและโคนเสา

เสารับแรงบิดแรงเฉือนจากคานที่ยื่นออกจากเสามากเกินไป

ในเสา

เสาเป็นสนิม เสามีเนื้อพรุนเป็นโพรง เสามีความหนาหุ้มเหล็กน้อยเกินไป

 

ทั้งนี้ หากรอยร้าวบนเสาเกิดจากการเสื่อมสภาพตามเวลา ให้กะเทาะปูนด้านนอกและขัดเอาสนิมออก จากนั้นค่อยใช้ปูนเกราต์กำลังสูงฉาบปิดผิวเสีย แต่ถ้าเสาไม่สามารถรับน้ำหนักได้ไหวการเพิ่มเหล็กเสาขึ้นน่าจะช่วยได้อีกแรง

 

จะเห็นได้ว่าเสาบ้านนั้นมีหลากหลายประเภท มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันออกไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง รุนแรงถึงขั้นเกิดรอยร้าว บ้านพัง บ้านทรุด จึงควรเลือกประเภทเสา ขนาเสาให้เหมาะกับการใข้งาน สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบก่อสร้าง เช่น วิศวกร

เนื่องจากการเลือกวัสดุที่ต้องรับน้ำหนักนั้น ต้องผ่านการคำนวณมาอย่างถูกต้อง และถูกวัตถุประสงค์ของการใช้งาน จึงจะมั่นใจได้ว่ามีความแข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี และปลอดภัยต่อเจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัย

บ้านทรุด 3 สาเหตุและสัญญาณเตือนบ้านทรุด รุดแก้ก่อนบ้านพัง

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ห้องครัวที่ดี 8 ลักษณะห้องครัวและการจัดวางเตาไฟที่ถูกหลักฮวงจุ้ย https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย-ลักษณะห้องครัวที่ดีสำหรับที่อยู่อาศัย-15655?locale=th www.ddproperty.com:resources:15655 Thu, 17 Mar 2022 16:22:34 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/10/Fengshui-Kitchen-150x150.jpg"/></p> ห้องครัวที่ดี 8 ลักษณะห้องครัวและการจัดวางเตาไฟที่ถูกหลักฮวงจุ้ย ห้องครัว อีกห้องสำคัญสำหรับบ้าน นอกจากจะเป็นห้องที่ใช้สำหรับการประกอบอาหารแล้ว หากห้องครัวนั้นวางทิศทางหรือจัดให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยห้องครัวก็จะส่งผลดี แต่ในขณะเดียวกันหากตรงกันข้ามก็จะส่งผลเสียในหลักฮวงจุ้ย เพราะในครัวมีการใช้ทั้งน้ำและไฟซึ่งมีการความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ธาตุ คือ ธาตุน้ำ และธาตุไฟ ดังนั้น การจัดวางตำแหน่งของเตาไฟ และตำแหน่งของห้องครัว จึงต้องมีความสมดุลกันระหว่างธาตุทั้งสองนี้

 

Subscription Banner for Article

 

ในทางฮวงจุ้ยบ้านแล้ว ห้องครัวสื่อถึงความมั่งคั่งร่ำรวยหรือความอุดมสมบูรณ์ สำหรับคนจีนสมัยก่อน ห้องครัวจะให้ความหมายถึงปากท้องของคนในครอบครัว ถ้าห้องครัววางไม่ถูกที่ถูกตำแหน่ง คนในบ้านก็อดอยาก หรือเจ็บป่วยได้ นอกจากนี้ส่วนอื่น ๆ ในห้องครัว โดยเฉพาะตำแหน่งที่ตั้งของเตาไฟมีความสำคัญอย่างยิ่งตามหลักฮวงจุ้ยห้องครัว ถ้าตั้งในตำแหน่งที่ดีจะนำมาซึ่งความร่ำรวยและโชคดี ถ้าไม่เช่นนั้นอาจจะนำซึ่งการสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง และเจ็บป่วยได้

สำหรับข้อห้ามในการตั้งตำแหน่งเตาไฟและข้อควรพิจารณาที่เกี่ยวข้องกับการจัดฮวงจุ้ยห้องครัวมีดังนี้

 

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจได้เร็วขึ้น

 

 18 ข้อห้ามสำหรับการตั้งตำแหน่งเตาไฟ ตามหลักฮวงจุ้ยห้องครัว

1. ห้ามทำราวตากผ้าผ่านเตาไฟจะเป็นอัปมงคล

2. ไม่ควรหันหน้าเตาไปทางประตูหลัก ห้องน้ำและห้องนอนเจ้าของบ้าน

3. ไม่ควรตั้งเตาอยู่เหนือท่อระบายน้ำเสีย หรือใต้ขื่อคาน

4. ไม่ควรตั้งเตาไว้หลังหัวเตียง

5. ไม่ควรตั้งเตาติดหลังห้องน้ำ

6. หลีกเลี่ยงการตั้งเตาไว้บริเวณด้านหน้าของหน้าต่าง

7. ไม่ควรตั้งเตาไว้มุมห้องและไว้กลางบ้าน

8. ไม่ควรตั้งเตาไว้ระหว่างก๊อกน้ำ 2 ก๊อก

9. ไม่ควรตั้งเครื่องซักผ้าตรงกับเตา

10. ไม่ควรตั้งเตาติดกับก๊อกน้ำหรืออ่างล้างชาม

11. การตั้งเตาควรหันที่ปิด-เปิดให้ถูกโฉลกและเป็นมงคลกับเจ้าบ้าน *หัวเตาแก๊สควรมี 3, 5, 7 เตาดีที่สุด

12. ด้านหลังเตาห้ามมีบ่อน้ำ

13. ด้านหลังเตาอย่าให้ห่างผนังมากเกินไป

14. ห้องครัวและเตาไฟไม่ควรจัดไว้หน้าบ้าน จะทำให้ไม่มีทรัพย์สินเก็บ

15. ตัวเตาในบ้านอย่าให้คนนอกบ้านเห็นจะไม่เหลือเงินเก็บ

16. หน้าเตาไฟหันไปสู่ทิศตะวันออก หรือทิศตะวันออกเฉียงใต้จะดี จะเป็นมงคล แต่ถ้าจะให้ดีต้องถูกรหัสราศีทิศของเจ้าของบ้านด้วย

17. ไม่ควรตั้งเตาในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน แต่ควรหันหัวเตาให้ถูกโฉลกรหัสราศีของเจ้าของบ้าน

18. ท่อน้ำอยู่ใต้เตาไม่ดี เพราะน้ำกับไฟเป็นศัตรูกัน

 

ฮวงจุ้ยห้องครัวที่ดีสำหรับที่อยู่อาศัย

หลักฮวงจุ้ยห้องครัวที่ดีสำหรับที่อยู่อาศัย

 

8 ข้อที่ต้องพิจารณาถึงตำแหน่งห้องครัว ตามหลักฮวงจุ้ยห้องครัว

1. ห้องครัวที่ดีควรมีการระบายอากาศและแสงสว่างเพียงพอ

2. ห้องครัวไม่ควรตั้งอยู่เหนือบ่อน้ำเสียหรือบ่อเก็บน้ำ

3. ห้องครัวไม่ควรอยู่ในตำแหน่งที่ลมแรงพัดผ่าน

4. ห้องครัวไม่ควรตั้งตรงศูนย์กลางหรือจุดให้โชคของบ้าน

5. หากเป็นบ้าน 2 ชั้น ห้องครัวไม่ควรอยู่ใต้ห้องน้ำ และห้องนอน

6. ระดับพื้นครัวและห้องอาหารควรอยู่ในระดับเดียวกัน

7. หลังคาห้องครัวไม่ควรเปิด-ปิดได้

8. ปล่องระบายควันไม่ควรตั้งไว้ให้เด่น

อันตราย 9 ข้อควรระวัง ฮวงจุ้ยเตาไฟและห้องครัว

 

วิธีแก้ฮวงจุ้ยห้องครัว

การจัดวางตำแหน่งเตาไฟและตำแหน่งห้องครัว มีผลต่อเจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัยในบ้าน หากจัดวางได้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยห้องครัวก็ย่อมส่งผลให้มั่งคั่งร่ำรวยและโชคดี แต่ถ้าหากบ้านไหนมีข้อจำกัดในการจัดวางตำแหน่งเตาไฟและตำแหน่งห้องครัว ลองมาดูตัวอย่างวิธีแก้ฮวงจุ้ยห้องครัว สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม

1. ห้องครัวอยู่ติดห้องน้ำ ใกล้ห้องน้ำ

ปิดประตูห้องน้ำไว้เพื่อไม่ให้พลังงานดีไหลออก หมั่นรักษาความสะอาดเพื่อให้เป็นแหล่งพลังงานดี

2. ประตูห้องครัวและห้องน้ำหันหน้าชนกัน

ทาสีผนังของทั้งสองห้องให้แตกต่างกัน เพื่อเป็นการแบ่งแยกพื้นที่ของแต่ละส่วนให้ชัดเจน

3. ห้องครัวอยู่ใต้ห้องนอน

ติดตั้งฉนวนกันร้อนใต้ฝ้าเพดาน ระหว่างห้องครัวด้านล่าง และห้องนอนที่อยู่ชั้นบน เพราะหากตำแหน่งตรงกันจะทำให้เกิดความร้อนมากกว่าปกติจากพลังหยาง

4. ห้องครัวมีเนื้อที่จำกัดในการตั้งเตาไฟ

บ้านที่มีเนื้อที่จำกัด ตั้งเตาไฟติดกับก๊อกน้ำหรืออ่างล้างชาม ซึ่งผิดหลักฮวงจุ้ยห้องครัวที่ดี ให้นำธาตุไม้ ซึ่งเป็นธาตุที่อยู่กลางระหว่างธาตุน้ำและธาตุไฟมาคั่นไว้ เช่น นำต้นไม้ แจกันใส่ดอกไม้ มาจัดวางคั่นกลางระหว่างพื้นที่สองส่วนนี้ จะช่วยปรับสมดุล และลดพลังพิฆาตระหว่างสองธาตุได้

สรุปวิธีแก้ฮวงจุ้ยห้องครัว

ตำแหน่งห้องครัว

วิธีแก้ฮวงจุ้ยห้องครัว

ห้องครัวอยู่ติดห้องน้ำ ใกล้ห้องน้ำ

ปิดประตูห้องน้ำ หมั่นรักษาความสะอาด

ประตูห้องครัวและห้องน้ำหันหน้าชนกัน

ทาสีผนังของทั้งสองห้องให้แตกต่างกัน

ห้องครัวอยู่ใต้ห้องนอน

ติดตั้งฉนวนกันร้อนใต้ฝ้าเพดาน

ตั้งเตาไฟติดกับก๊อกน้ำหรืออ่างล้างชาม

นำต้นไม้ แจกันใส่ดอกไม้ มาคั่นกลาง

 

ทิปส์การเลือกใช้จานชามให้ดี ตามหลักฮวงจุ้ยห้องครัว

การเลือกจานชาม นอกจากเลือกแบบที่ใช้บ่อย โดยคำนึงถึงสีและรูปทรงที่ชอบแล้ว ควรเป็นจานชามที่ถูกหลักฮวงจุ้ยห้องครัว โดยเป็นรูปแบบทรงกลม สีขาว เนื่องจากตามฮวงจุ้ยแล้ว ทรงกลม สีขาว เป็นสัญลักษณ์ความเปี่ยมล้นอุดมสมบูรณ์ มีความสมดุลหยินหยาง พลังงานที่ดีหมุนเวียน และการใช้จานชามสีขาว ก็ยังช่วยให้เห็นสิ่งสกปรก ทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย

 

สุดท้ายนี้ไม่เพียงแค่ที่อยู่อาศัยเท่านั้นที่ต้องคำนึงถึงการจัดตั้งเตาและตำแหน่งห้องครัวให้ถูกหลัก สำหรับร้านค้า ก็ควรตั้งเตาให้ถูกรหัสราศีของเจ้าของร้านค้าด้วยเช่นกัน เนื่องจากฮวงจุ้ยห้องครัวเป็นหนึ่งใน 3 สิ่งที่ซินแสจำนวนมากให้ความสำคัญ คือ ประตู เตา เตียง ซึ่งเตาก็คือเรื่องในห้องครัวนั่นเอง

 

เพิ่มประตู-หน้าต่าง เสริมฮวงจุ้ยบ้าน

 

เรื่องข้างต้นเผยแพร่บนเว็บไซต์ บ้านกับฮวงจุ้ย.com

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
5 แบบบันไดหน้าบ้าน แบบบันไดที่ถูกกฎหมายต้องเป็นอย่างไร https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แบบบันไดหน้าบ้าน-ถูกกฎหมาย-48522?locale=th www.ddproperty.com:resources:48522 Thu, 17 Mar 2022 16:32:25 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/06/Stair-in-your-house-150x150.jpg"/></p> 5 แบบบันไดหน้าบ้าน แบบบันไดที่ถูกกฎหมายต้องเป็นอย่างไร การออกแบบบันไดหน้าบ้านนั้นมีความสำคัญอย่างมากทั้งในแง่ของการอยู่อาศัย และฮวงจุ้ย ซึ่งจริง ๆ แล้วแบบบันไดไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของบ้านนั้นมีกฎหมายรองรับอยู่ด้วย ลองมาดูว่าแบบบันไดหน้าบ้าน 5 แบบ และแบบบันไดที่ดีนั้นควรเป็นอย่างไร

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

บันไดบ้านมีกี่แบบ

แบบบันไดหน้าบ้าน หรือแบบบันไดนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 รูปแบบด้วยกัน ซึ่งจะมีลักษณะและความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้อาศัยรวมถึงขนาดของพื้นที่ตัวบ้านด้วย

 

บันไดบ้านช่วงเดียว

 

1. บันไดบ้านช่วงเดียว

เป็นบันไดที่มีลักษณะเป็นทางเส้นตรง แบบท่อนเดียว ไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง หรือรอยต่อทางเลี้ยวแต่อย่างใด เหมาะกับบ้านที่มีลักษณะประตูหน้าบ้านทรงยาว ประตูด้านหน้าของบ้านค่อนข้างแคบ สามารถออกแบบเพิ่มเติมได้ค่อนข้างหลากหลาย

นอกจากนี้ยังสามารถออกแบบพื้นที่ส่วนข้าง ๆ ของบันไดบ้านแบบช่วงเดียว ให้เป็นชั้นวางหนังสือ หรือชั้นใส่ของต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์นอกจากการขึ้นลงบันไดบ้านเพียงอย่างเดียว

 

บันไดบ้านแบบหักฉาก หรือ บันไดรูปตัว "L"

 

2. บันไดบ้านแบบหักฉาก หรือ บันไดรูปตัว "L"

บันไดบ้านลักษณะนี้จะเป็นบันไดบ้านแบบตั้งฉากคล้ายกับรูปตัวอักษร "L" ในภาษาอังกฤษ โดยบันไดบ้านลักษณะนี้จะเหมาะกับตัวบ้านที่มีลักษณะเล็กและต้องการประหยัดพื้นที่ในการใช้สอย โดยบันไดบ้านลักษณะนี้จะมีการแบ่งบันไดบ้านออกเป็นทั้งหมด 2 ช่วงด้วยกัน ช่วงแรกจะเป็นช่วงฐาน ก่อนจะเลี้ยวตั้งฉากขึ้นไปให้มีลักษณะเหมือนรูปตัวอักษร "L" ตรงช่วงบริเวณชานพักของบันได

 

White,Marble,Stairs,On,The,First,Floor,In,Luxury,Apartment

 

3. บันไดบ้านแบบหักกลับ หรือ บันไดบ้านแบบรูปตัว "U"

บันไดบ้านแบบนี้จะมีลักษณะคล้ายกับบันไดหนีไฟ ที่จะมีลักษณะจำนวนชั้นที่เท่า ๆ กัน แบบหักกลับเป็นมุม 180 องศา หรือ เป็นลักษณะของรูปตัวอักษร "U" ซึ่งบันไดบ้านลักษณะนี้จะมีในบ้านหรืออาคารที่มีความสูงเพดานของแต่ละชั้นในระยะที่เท่า ๆ กันหรือมีลักษณะที่ใกล้เคียงกันมาก

โดยปกติแล้วบ้านทั่วไปจะใช้บันไดบ้านที่มีลักษณะแบบนี้ ซึ่งบันไดบ้านแบบรูปตัว "U" นั้น จะมีลักษณะเป็นแบบทอดยาวไปจนถึงชั้นชานพักตรงกลางของช่วงบันไดบ้าน ก่อนจะวนกลับทิศทางเดิมจากชานพักบันได เหมาะกับบ้านที่มีขนาดเล็ก และมีเนื้อที่จำนวนจำกัด ซึ่งบันไดบ้านแบบรูปตัว "U" นี้ จะมีขนาดที่แตกต่างกันออกไปตามขนาดของตัวบ้าน

 

บันไดบ้านแบบโค้งวงกลม

 

4. บันไดบ้านแบบโค้งวงกลม

บันไดบ้านลักษณะนี้จะเป็นบันไดบ้านที่มีลักษณะโค้งมนเป็นวงกลม เน้นการแสดงให้เห็นทุกส่วนที่ครอบคลุมภายในตัวบ้าน โดยแบบบันไดหน้าบ้านลักษณะนี้จะออกแบบให้แต่ละชั้นเป็นวงกลมหมุนเวียนต่อกันไปเรื่อย ๆ เหมาะสำหรับบ้านที่หรูหรา มีพื้นที่ขนาดใหญ่ แบบบันไดหน้าบ้านลักษณะนี้ก็จะตอบโจทย์กับตัวบ้านเป็นอย่างมาก

 

Spiral,Stairs,And,Living,Room,In,Modern,Loft

 

5. บันไดบ้านแบบเกลียวหมุน

บันไดบ้านแบบเกลียวหมุน เป็นบันไดบ้านที่มีลักษณะเป็นทรงเกลียว ที่มีลักษณะวนไปทางด้านใดด้านหนึ่ง หมุนเวียนไปเรื่อย ๆ มีเนื้อที่ใช้สอยภายในบ้านน้อย บ้านที่มีขนาดเล็กและต้องการประหยัดพื้นที่ในการใช้สอย สามารถดัดแปลงบันไดบ้านแบบเกลียวหมุนให้มีหน้าตาที่สวยงาม แต่ข้อเสียของบันไดรูปแบบนี้คือไม่สะดวกต่อการใช้งาน โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กหรือผู้สูงวัยพักอาศัยอยู่ด้วย

 

ทั้งหมดนี้คือแบบบันไดหน้าบ้าน ที่มักนำมาใช้ตกแต่งบ้าน ซึ่งผู้ที่กำลังจะสร้างบ้านหรือรีโนเวทบ้านหลังเก่าสามารถนำมาใช้เป็นหลักการในการตกแต่งบ้านให้สวยงามในสไตล์ที่ชอบได้ แต่อย่าลืมคำนึงการสร้างให้ถูกตามหลักกฏหมายด้วย

 

แบบบันไดหน้าบ้านแบบไหนถูกกฏหมาย

 

แบบบันไดหน้าบ้านแบบไหนถูกกฎหมาย

การจะออกแบบสร้างบ้านสักหลังให้ถูกต้องตามหลักต้องมีกฎหมายควบคุมอาคารด้วย เพื่อให้ได้มาตรฐาน และเพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยและผู้คนในบริเวณใกล้เคียงนั่นเอง ซึ่งรวมถึงการออกแบบบันไดหน้าบ้านด้วยเช่นกัน โดยมีทั้งหมด 8 ข้อดังนี้

1. บันไดต้องมีความกว้างให้เดินขึ้นลงได้อย่างสะดวกไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร คือ ไม่แคบจนเกินไป ความกว้างสุทธิ หมายถึง ความกว้างที่ไม่รวมสิ่งกีดขวางที่อยู่กับบันได เช่น ราวกันตก ถ้าบ้านไหนมีคนตัวใหญ่มากกว่า 1 คน แล้วเดินสวนกันโดยไม่ต้องรอให้อีกคนหนึ่งเดินไปให้เสร็จก่อน ก็ควรจะมีบันไดกว้างกว่านี้

ความกว้างของบันไดยังส่งผลต่อความเป็นไปได้ในการขนของใหญ่ขึ้นลงอีกด้วย ดังนั้นก่อนจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ที่ถอดประกอบไม่ได้มาใช้ที่ชั้นบน ก็อย่าลืมตรวจเช็กขนาดของบันไดก่อนซื้อ

2. บันไดช่วงหนึ่งต้องสูงไม่เกิน 3 เมตร ในที่นี้หมายถึง ความสูงจากระดับพื้นก่อนบันไดขั้นแรก ไปยังระดับพื้นบ้านของชั้นถัดไป

3. ลูกตั้ง คือ ระยะความสูงระหว่างขั้นบันได ซึ่งต้องสูงไม่เกิน 20 เซนติเมตร เพื่อให้การก้าวขาขึ้นไม่ยากลำบากจนเกินไป และการเดินลงไม่รู้สึกชันจนเป็นอันตราย รวมถึงเพื่อให้ผู้สูงอายุเดินขึ้นลงได้สะดวกมากขึ้น

4. ลูกนอน หรือขั้นบันได เมื่อหักส่วนที่ขั้นบันไดเหลื่อมกันออกแล้วต้องเหลือระยะไม่น้อยกว่า 22 เซนติเมตร เพื่อให้มีระยะวางเท้าได้มากพอและปลอดภัยเวลาเหยียบลงไปแต่ละขั้น และเดินขึ้นลงได้อย่างไม่ลำบากนั่นเอง

5. พื้นหน้าบันไดต้องมีความกว้างและความยาว ไม่น้อยกว่าความกว้างบันได เพื่อให้ผู้ที่เดินขึ้นลงได้มีที่พักที่ปลายทาง และก่อนการเดินลงมีพื้นที่พอสำหรับการเตรียมตัวก้าวขาลงได้อย่างถนัด

6. หากแต่ละชั้นในบ้านมีความสูงต่างกันเกิน 3 เมตร จะต้องมีชานพัก เพื่อไม่ให้ช่วงบันไดมีความสูงเกิน 1 เมตร และชานพักต้องมีความกว้างและความยาวไม่น้อยกว่าความกว้างของบันได

7. ผู้ใช้บันไดต้องสามารถเดินขึ้นลงได้ โดยแต่ละขั้นที่เดินอยู่ ศีรษะของผู้ใช้ต้องไม่ชนกับส่วนหนึ่งส่วนใดของบ้านด้านบน โดยกฎหมายกำหนดความสูงบริเวณนี้ไว้ไม่น้อยกว่า 1.90 เมตร

8. แสงสว่างที่เพียงพอ บันไดสามารถอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ของบ้านได้อย่างหลากหลาย ตามแต่แนวทางการจัดวางและออกแบบ แต่ก็ต้องคำนึงถึงแสงสว่างที่ใช้อำนวยความสะดวกในการเดินขึ้นลงบันไดด้วย โดยสามารถเป็นได้ทั้งแสงจากโคมไฟ หรือแสงธรรมชาติที่ได้รับมาจากหน้าต่างกระจกที่มักจะมีอยู่ใกล้ ๆ กับบันได

 

เกร็ดความรู้เรื่องฮวงจุ้ยเกี่ยวกับบันได

Guide

เกร็ดความรู้เรื่องฮวงจุ้ยเกี่ยวกับบันได

 

แบบบันไดหน้าบ้านถูกใจสายมู

 

แบบบันไดหน้าบ้านถูกใจสายมู

นอกจากสร้างแบบบันไดหน้าบ้านให้ถูกกฏหมายแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สายมูไม่ควรมองข้ามคือการสร้างให้ถูกหลักฮวงจุ้ย เพราะบันไดเป็นตัวเชื่อมโยงของพลังชี่ ระหว่างพื้นบ้านในแต่ละชั้น และยังเป็นตัวสร้างความเคลื่อนไหว เกิดการเคลื่อนที่ของพลังงาน

ถ้าวางตำแหน่งฮวงจุ้ยบันไดผิดจะส่งผลเสียต่อผู้อยู่อาศัย แต่ถ้าวางตำแหน่งที่ถูกต้อง ก็จะช่วยเสริมโชคลาภได้ การจัดฮวงจุ้ยของแบบบันไดหน้าบ้านให้ถูกหลักมีดังนี้

1. บันไดไม่ควรวางอยู่ตรงกับประตูทางเข้าบ้าน เพราะจะทำให้กระแสชี่ไหลเข้าบ้านไม่สะดวก อีกทั้งยังทำให้กระแสชี่ไหลออกนอกบ้านได้ง่าย ลักษณะอย่างนี้ในทางฮวงจุ้ยหมายถึง “เก็บทรัพย์ไม่อยู่” หรือ “ขัดทรัพย์” เรียกได้ว่า หาเงินมาเท่าไหร่ ก็ไม่มีเหลือ

2. หากจำเป็นจะต้องทำบันไดบริเวณประตูทางเข้าบ้าน ควรทำเลี่ยงมาทางด้านข้างแทน เพื่อให้บริเวณหน้าประตูเป็นชานพัก แต่ไม่ควรทำบันได 2 ข้าง ในลักษณะเดินขึ้นข้างหนึ่ง แล้วไปลงอีกข้างหนึ่ง เพราะจะเหมือนบันไดเมรุเผาศพ ซึ่งคนโบราณถือว่าอัปมงคล

3. ห้ามวางตำแหน่งบันไดไว้ใจกลางของบ้าน ในทางฮวงจุ้ยจะถือว่าเป็นตำแหน่งหัวใจของบ้าน ซึ่งการออกแบบบันไดหน้าบ้านในตำแหน่งนี้ จะถือว่าเป็นข้อเสียและเป็นข้อห้ามในทางฮวงจุ้ย เพราะจะทำให้เจ้าของบ้านอยู่ไม่ติดบ้านหรือชีพจรลงเท้า เนื่องจากบันไดมีสภาพที่เคลื่อนไหว ไม่หยุดนิ่ง นอกจากนี้ อาจทำให้เจ้าของบ้านเป็นโรคหัวใจได้ง่าย เพราะตำแหน่งหัวใจจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

4. ควรมีชานพักคั่นกลางบันได เพื่อป้องกันการสภาพการไหลของกระแสอากาศที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาบริเวณบันได ไม่ให้มีอัตราเร่งของการไหลที่สูงจนเกินไปนัก การทำชานพักที่กลางระยะความสูงรวมของบันได ถือว่าจะเป็นตัวที่ช่วยในการชะลอการไหลของกระแสอากาศได้

โดยในหลักการข้อนี้จะสอดคล้องกับหลักการทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ต้องการชานพักบันได้ เพื่อช่วยให้คนใช้งานบันไดได้พักในขณะเดินได้ ในกรณีที่เป็นผู้สูงอายุ หรือถือของหนัก ๆ ดังนั้นบันไดเวียนจึงถือว่าเป็นบันไดที่ไม่ถูกต้องทั้งหลักฮวงจุ้ยและหลักสถาปัตยกรรมศาสตร์ ยกเว้นในกรณีที่มีพื้นที่จำกัด

5. บันไดบ้านควรมีจำนวนขั้นเป็นเลขคี่ ความเชื่อแต่โบราณนั้น เชื่อว่าบันไดเลขคู่ไม่ส่งผลดีต่อผู้อยู่อาศัยในบ้าน ซึ่งข้อนี้สอดคล้องกับหลักสถาปัตยกรรมศาสตร์ เพราะตามหลักความสมดุลในจังหวะการเดิน หากก้าวเท้าไหนขึ้นบันไดก่อน ต้องจบด้วยอีกเท้าเสมอ ซึ่งจะช่วยให้น้ำหนักการทรงตัวเป็นไปอย่างสมดุล และไม่เกิดอันตราย

6. บันไดไม่ควรตรงกับห้องนอนในบ้าน ระหว่างบันไดกับประตูห้องนอนควรอยู่ห่าง 1-2 เมตรเป็นอย่างน้อย เนื่องจากบันไดมีกระแสอากาศไหลเวียนอยู่ตลอด การที่ห้องนอนตรงกับบันไดและอยู่ในระยะน้อยกว่าที่ควร จะทำให้ห้องที่ได้รับกระแสพลังงานที่ดีนั้น ถูกพัดออกไปข้างนอกด้วยเช่นเดียวกัน ทำให้ผู้อยู่เกิดอาการเจ็บป่วย รวมถึงมีแต่รายจ่าย และมีเรื่องให้เสียทรัพย์อยู่ตลอด

7. บ้านที่มีบันไดนอกบ้าน คือ บันไดโจร ในทางฮวงจุ้ยการออกแบบบันไดหน้าบ้านไม่ควรอยู่นอกบ้าน แม้จะสวยงามแต่ถือว่าเป็นบันไดโจร นอกจากจะทำให้ผู้อาศัยมีเกณฑ์เสียเงินเสียทองแล้ว ยังเป็นการเปิดทางให้กับมิจฉาชีพเข้าสู่ตัวบ้านง่ายขึ้นด้วย

ห้องน้ำใต้บันได ถูกหลักฮวงจุ้ยหรือไม่ ตกแต่งอย่างไรให้ไม่แคบ

Guide

ห้องน้ำใต้บันได ถูกหลักฮวงจุ้ยหรือไม่ ตกแต่งอย่างไรให้ไม่แคบ

 

สำหรับผู้ที่มีแผนที่จะซื้อบ้าน สร้างบ้าน หรือรีโนเวทบ้านใหม่ การออกแบบบันไดหน้าบ้าน ให้ถูกใจ แถมถูกกฏหมาย และถูกหลักฮวงจุ้ยพร้อมกันไปด้วยจะต้องศึกษารายละเอียดมากพอสมควร แต่ถ้าสร้างได้ถูกหลักแล้ว บ้านสวยในฝันก็ไม่ไกลเกินเอื้อม

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ห้องนอนเล็ก ๆ ตกแต่งให้สวยและประหยัดงบได้ จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/5-ไอเดียแต่งห้องนอนเล็ก-ๆ-แบบประหยัด-ด้วยงบหลักหมื่น-23000?locale=th www.ddproperty.com:resources:23000 Thu, 17 Mar 2022 16:06:10 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/02/82360615_l-150x150.jpg"/></p> ห้องนอนเล็ก ๆ ตกแต่งให้สวยและประหยัดงบได้ จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท สำหรับผู้ที่ซื้อคอนโดแบบสตูดิโอ หรือซื้อบ้านที่มีห้องนอนขนาดเล็ก อาจจะอยากที่จะลุกขึ้นมาปฏิวัติตกแต่งห้องนอนให้สวยงาม แต่ก็คิดว่าจะต้องใช้งบประมาณมากมาย จนทำให้หลายคนล้มเลิกความคิดเหล่านี้ไป แต่ในความเป็นจริงแล้วการตกแต่งห้องนอน จัดห้องนอนเล็ก ๆ ให้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น และดูสวยงามนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมาย ลองมาดู 5 ไอเดียที่สามารถเปลี่ยนแต่งห้องนอนเล็ก ๆ ให้สวยงาม น่าอยู่ ด้วยงบประหยัด ไม่เกิน 30,000 บาท

 

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจได้เร็วขึ้น

 

1. จัดห้องนอนเล็ก ๆ แต่งห้องนอนเล็ก ให้เป็นสัดส่วนด้วยวิธีกั้นห้องจากผ้าม่านลายสวย

 

ใช้ผ้าม่านก็สามารถแต่งห้องนอนให้เป็นสัดส่วนได้

 

ใครว่าห้องนอนเล็ก ๆ จะไม่สามารถจัดวางให้เป็นสัดส่วนเหมือนกับห้องนอนระดับเพ้นท์เฮ้าส์ได้ และไม่ต้องใช้ค่ารีโนเวทมากมาย เพราะแท้จริงแล้วเพียงมีงบหลักหมื่น ก็สามารถสานฝันตกแต่งห้องนอน จัดห้องนอนเล็ก ๆ  ให้น่ารักในสไตล์ของตนเองได้แล้ว

วิธีการก็ง่ายแสนง่าย แถมยังประหยัด เพียงหาผ้าม่านตามร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่มีราคาอยู่ที่ 1,500-3,000 บาท ส่วนรางม่านราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 200 บาท

 

จากนั้นทำการติดตั้งเพื่อกั้นพื้นที่เตียงอย่างเป็นส่วนตัว โดยจัดวางเตียงเข้ามุมห้อง พร้อมเลือกผ้าปูที่นอนให้เข้ากับผ้าม่าน เสร็จแล้วมาถึงขั้นตอนตกแต่ง โดยอาจเลือกวอลเปเปอร์ลายวินเทจมาติดบริเวณเตียงนอน โดยมีราคาขายม้วนละประมาณ 100 กว่าบาท ปิดท้ายด้วยการนำสตูลวางข้างเตียงโทนสีน้ำตาล ราคาประมาณ 3,000 บาท พร้อมเพิ่มสีสันด้วยแจกันดอกไม้ เพียงเท่านี้ก็จัดห้องนอนเล็ก ๆ สร้างบรรยากาศน่ารัก ๆ ในห้องนอนได้แล้ว

งบที่ใช้ตกแต่งประมาณ:  20,000 บาท

วิธีกั้นห้องคอนโดแบบประหยัด และไม่ต้องต่อเติมผนังเพิ่ม

 

2. แต่งห้องนอนเก๋ ๆ ลาย Polka Dot ที่สามารถทำเองได้

 

แต่งห้องนอนให้สวยหวานด้วย Polka Dot

 

ถือเป็นการแต่งห้องนอนในฝันของสาวหลาย ๆ คน ที่อยากให้ทุกพื้นที่ในห้องนอนเล็ก ๆ เต็มไปด้วยลายจุดเก๋ไก๋ ไม่เหมือนใคร บางคนอาจจะคิดว่าจัดห้องนอนเล็ก ๆ ต้องลงทุนติดวอลเปเปอร์ที่มีราคาแพง แต่ความจริงแล้วเพียงลงทุนซื้อสีมา 1 กระป๋อง ประมาณ 200 กว่าบาท

จากนั้นนำสติกเกอร์ลายจุดมาติด หรืออาจเว้นเป็นช่องวงกลม แล้วเลือกทาสีตัดกับสีพื้นที่ทา เพียงเท่านี้ก็ได้วอลเปเปอร์ลาย Polka Dot ในราคาประหยัดและไม่เหมือนใครแล้ว

แต่ถ้าหากยังไม่สะใจ อาจหาปลอกหมอนหรือผ้าปูที่นอนลายดังกล่าวมาตกแต่งเพิ่มเติม ซึ่งมีหลายระดับราคา แต่ส่วนใหญ่เซ็ตละประมาณ 2,000-4,000 บาท พร้อมผ้านวม รับรองว่าถูกใจแน่นอน 

งบที่ใช้ตกแต่งประมาณ: 10,000 บาท

 

3. เลือกของแต่งห้องนอนเล็ก ๆ ด้วยโซฟาเบด

 

โซฟาเบดอีกหนึ่งวิธีแต่งห้องนอนให้มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น

 

โดยปกติปัญหาของห้องนอนเล็ก แคบ มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ใช้สอย มักเกิดจากรูปแบบห้องนอนภายในคอนโด ด้วยเหตุนี้เอง การจะตกแต่งห้องนอนให้น่าอยู่ จัดห้องนอนเล็ก ๆ ให้ดูกว้างขึ้น จึงควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เน้นฟังก์ชันเป็นอันดับแรก โดยตัวช่วยของการจัดวางห้องนอนที่เล็กมาก ๆ นั้น ส่วนใหญ่จะแก้ปัญหาด้วยเลือกติดตั้งโซฟาเบด

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการประหยัดพื้นที่ ไปพร้อมกับปรับพื้นที่ห้องนอนให้สามารถเป็นห้องนั่งเล่นได้อีกด้วย ซึ่งทุกวันนี้มีนักออกแบบหลายรายได้รังสรรค์โซฟาเบดที่เป็นได้มากกว่าโซฟาหรือเตียง ด้วยการเพิ่มช่องเก็บของไว้ด้านข้าง ทำให้มีพื้นที่เก็บของจิปาถะเพิ่มเติม

โซฟาเบดมีหลายระดับราคาเริ่มต้นประมาณ 6,000-30,000 บาท โดยขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้และแบบของโซฟาเบด เรียกได้ว่าเป็นการเลือกเฟอร์นิเจอร์อันสอดคล้องกับขนาดห้องนอนได้ดีทีเดียว แถมยังทำให้ห้องดูกว้าง และน่าอยู่ขึ้นอีกด้วย 

งบที่ใช้ตกแต่งประมาณ: 30,000 บาท

ขนาดห้องนอนมาตรฐาน ตามกฎหมาย และวิธีเลือก 3 ขนาดห้องนอนให้เหมาะกับคุณ

 

4. แทรกพื้นที่สีเขียวในห้องนอนเล็ก ๆ อย่างน่าอยู่

 

White and gray cozy bedroom

 

ห้องนอนเป็นพื้นที่พักผ่อน วิมานบนดินของใครหลายคน ดังนั้นการตกแต่งห้องนอนใหม่ ให้เหมือนกับแทรกตัวอยู่ในพื้นที่สีเขียว ดูเหมือนจะเป็นความฝันที่หลายคนอยากให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งสามารถทำได้โดยไม่ต้องจ้างนักตกแต่งภายในให้เปลืองเงิน เพียงเลือกซื้อพรมสีเขียวเพื่อให้ความรู้สึกเหมือนหญ้าเทียม มาปูที่พื้น โดยปัจจุบันตามร้านค้าชั้นนำทั่วไป มีหลายระดับราคาถูกสุดไม่ถึง 100 บาท จนถึงหลัก 1,300 บาท แต่ถ้าใครอยากคุมโทนสี อาจเลือกสีขาวมาตกแต่งได้

จากนั้นแต่งห้องโดยการนำโครงเตียงเก่าออก แล้วนำที่นอนวางลงบนพรม พร้อมตกแต่งด้วยต้นไม้ในร่ม ต้นไม้มงคล ได้แก่ ต้นหมากเหลือง ต้นลิ้นมังกร และต้นเศรษฐีเรือนใน ซึ่งรับประกันได้ว่าไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพผู้นอน แถมยังหาซื้อได้ทั่วไป ที่สำคัญไม่แพงอีกด้วย ราคาอยู่ที่ต้นละ 200-500 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของต้นไม้ แต่แนะนำว่าเลือกแบบกำลังดี ไม่ใหญ่มาก น่าจะเหมาะสมกับการจัดห้องนอนเล็ก ๆ มากกว่า สามารถเลือกซื้อต้นไม้ได้ที่ตลาดต้นไม้ เช่น ตลาดนัดจตุจักร หรือทางออนไลน์ก็มีกลุ่มขายต้นไม้ให้เลือกเพียบ

งบที่ใช้ตกแต่งประมาณ: 10,000 บาท

พันธุ์ไม้มงคลคู่บ้าน เสริมดวงรับทรัพย์

 

ต้นไม้

ประโยชน์

ต้นหมากเหลือง

มีความเชื่อว่าใบของหมากเหลืองที่มีสีเหลืองอมเขียว หรือสีเหลืองทองนั้น จะช่วยเสริมโชคลาภ ร่ำรวย ให้แก่ผู้ปลูกหรือสมาชิกในบ้าน และยังช่วยฟอกอากาศได้อย่างดี

ต้นลิ้นมังกร

มีความเชื่อกันว่า จะช่วยปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีให้ออกไปจากชีวิตของเรา และยังมีความสามารถช่วยดูดซับสารพิษและฟอกอากาศในบ้านได้

ต้นเศรษฐีเรือนใน

มีความเชื่อว่าช่วยเสริมสิริมงคล เสริมโชคลาภ จึงนิยมปลูกเพื่อความเป็นมงคล ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ และยังช่วยฟอกอากาศ ดูดซับสารพิษได้

 

5. เพิ่มกิมมิคให้ห้องนอน ด้วยไม้พาเลท

Bedroom with pallet bed

เป็นการตกแต่งห้องนอนเล็ก ๆ ที่เรียกว่าประหยัดที่สุดแล้ว เพราะไม้พาเลทนี้ สามารถขอซื้อได้จากตามโรงงานหรือโรงไม้ ที่มีจัดจำหน่าย โดยขายกันแผ่นละประมาณ 100-600 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของไม้ โดยสามารถนำมาทาสีสันสดใส พร้อมตกแต่งให้กลายเป็นเตียงนอน หรืออาจดัดแปลงเป็นโต๊ะ หรือตู้เสื้อผ้าได้เพิ่มเติม จะว่าไปการแต่งห้องนอนรูปแบบนี้ อาจจะราคาไม่ถึงหลักหมื่นด้วยซ้ำ

นำไม้พาเลทมือสองมาทำเฟอร์นิเจอร์คุ้มค่าหรือไม่?

 

จะเห็นได้ว่าการแต่งห้องนอนเล็ก ๆ ให้กลายเป็นห้องที่มีพื้นที่ใช้สอย และน่าอยู่นั้น ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมากมาย ใครอยากแต่งห้องนอน จัดห้องนอนเล็ก ๆ ก็สามารถนำไอเดียแต่งห้องทั้ง 5 เบื้องต้นนี้ไปปรับใช้ได้

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
5 เทคนิค แต่งห้องน้ำตามหลักฮวงจุ้ย สุขภาพดีและรวยถ้วนหน้า https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/5-เทคนิค-แต่งห้องน้ำตามหลักฮวงจุ้ย-สุขภาพดี-รวย-15421?locale=th www.ddproperty.com:resources:15421 Thu, 17 Mar 2022 16:11:54 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/06/Feng-shui_bathroom-150x150.jpg"/></p> 5 เทคนิค แต่งห้องน้ำตามหลักฮวงจุ้ย สุขภาพดีและรวยถ้วนหน้า หากเอ่ยถึงฮวงจุ้ย มีความเชื่อว่าพื้นที่ของห้องน้ำในบ้าน นั้นเปรียบเสมือนจุดรวมพลังงานด้านลบ ดังนั้นหากแก้ได้ตรงจุด พร้อมเลือกให้อยู่ในตำแหน่งดี มีการตกแต่งห้องน้ำที่ถูกต้อง จะส่งเสริมให้สมาชิกครอบครัวมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แถมยังหนุนนำให้เงินทองไหลมาเทมาด้วย แต่ก่อนจะไปดีไซน์ห้องน้ำในรูปแบบสวยและถูกหลักตามฮวงจุ้ย มาเริ่มต้นกันที่การวางตำแหน่งของห้องน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญ อันช่วยเสริมบารมีเจ้าของบ้าน

 

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจได้เร็วขึ้น

 

ตำแหน่งของห้องน้ำเรียกบารมีเจ้าของบ้าน

White exclusive washroom

ขึ้นชื่อว่าห้องน้ำ หรือ ส้วม มักเป็นสิ่งไม่ดี เป็นของเสีย ไม่น่าพึงประสงค์ ดังนั้นจึงไม่ควรตั้งไว้หน้าบ้าน ตามที่คนโบราณมักกล่าวไว้ ซึ่งก็ไม่ค่อยพบเห็นเท่าไหร่นักในยุคสมัยปัจจุบัน แต่ดูเหมือนว่าบ้านสมัยใหม่ โดยเฉพาะทาวน์โฮมจะนิยมวางตำแหน่งห้องน้ำบริเวณใต้บันได ตามหลักฮวงจุ้ยถือว่าไม่เหมาะสม เพราะจะทำให้เจ้าของบ้านมีบุตรยาก วิธีแก้คือ หากฉากกั้นมาบังประตูห้องน้ำ

 

ห้องน้ำใต้บันได ถูกหลักฮวงจุ้ยหรือไม่ ตกแต่งอย่างไรให้ไม่แคบ

 

ส่วนบ้านไหนมีห้องน้ำอยู่ด้านหลัง ว่ากันว่าจะทำให้การงาน เงิน ไม่มั่นคง ที่สำคัญจะพบปัญหาสุขภาพ เหตุนี้จึงควรวางตำแหน่งห้องน้ำให้หันไปทางทิศเหนือหรือใต้ ซึ่งเป็นทิศมงคล พร้อมทั้งไม่อยู่ใกล้ประตูบ้าน ครัว หรือห้องนอน ประกอบกับจำเป็นต้องมีระดับพื้นต่ำกว่าห้องอื่น ๆ 5-10 เซนติเมตร โดยหากเป็นตำแหน่งดังกล่าวเชื่อกันว่าจะเสริมสร้างบารมี ช่วยให้เจ้าของบ้านมีชีวิตดีขึ้น

 

ตกแต่งห้องน้ำอย่างไร? ให้สุขภาพดี แถมเรียกเงินเข้าบ้าน

เมื่อรู้ตำแหน่งของห้องน้ำที่ถูกหลักฮวงจุ้ยแล้ว มาถึงขั้นตอนของการตกแต่งห้องน้ำกันบ้าง ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงมีคำถาม ความสงสัยอยู่ในใจว่าจะแต่งโทนสีไหน ใช้ของอะไรประดับ ถึงจะเสริมสร้างให้สมากชิกครอบครัวและตนเองนั้นมีสุขภาพที่ดี พร้อมส่งเสริมความร่ำรวย ทั้งนี้ตามความเชื่อของโหราศาสตร์จีนนี้ นั้นมีการตกแต่งห้องน้ำด้วย 5 เทคนิค ดังต่อไปนี้

 

1. โทนสีที่ใช้ในห้องน้ำ

Property_Bathroom

ห้องน้ำนั้นเป็นจุดรวมพลังงานด้านลบ สืบเนื่องจากมีความชื้นแฉะและรั่วไหลมากที่สุด ดังนั้นโทนสีที่ควรใช้จะเป็นสีของธาตุไม้ เนื่องจากมีความเชื่อว่าสามารถดูดซับพลังงานที่รั่วไหลได้ ได้แก่ สีขาว โทนสีเขียวทั้งหมด รวมถึงสีน้ำตาลไม้ และน้ำตาลอ่อน

นอกจากนี้ยังมีสีของธาตุดินที่ใช้ได้ ซึ่งจะเป็นโทนครีม ชมพูอ่อน เหลือง เทา ทั้งนี้เชื่อว่าพลังของสีธาตุนี้จะลดการปล่อยพลังอัปมงคลในห้องน้ำไปได้ ดังนั้นหากใครจะเลือกทาสีตกแต่งห้องน้ำ ก็ขอให้ในโทนดังกล่าวถึจะดีที่สุด ทั้งนี้มีข้อแม้ด้วยว่าไม่ควรใช้สีของธาตุไฟและธาตุน้ำ อันจะเป็นการเพิ่มพลังด้านลบ ทำให้เจ้าของบ้านเจ็บป่วยได้

 

ลักษณะห้องน้ำอัปมงคลที่ดึงดูดความโชคร้ายเข้าสู่บ้าน

 

2. การจัดวางสุขภัณฑ์

มาถึงขั้นตอนวางตำแหน่งของสุขภัณฑ์ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญในการตกแต่งห้องน้ำ โดยมีหัวใจหลักที่ชักโครก อันเป็นบ่อเกิดของพลังงานด้านลบ ดังนั้นจึงไม่ควรหันตรงกับประตู เพราะนอกจากจะทำให้นำเชื้อโรคออกจากห้องน้ำได้อย่างง่ายดายแล้ว ในแง่ของฮวงจุ้ยยังหมายถึงนำชื่อเสียงไม่ดี และปัญหาเข้าบ้านอีกด้วย แต่ถ้าโครงการหมู่บ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียมไหนติดตั้งลักษณะดังกล่าวให้แล้ว สามารถแก้ได้โดย นำม่านอาบน้ำมากั้น

 

3. เพิ่มช่องระบายอากาศในการตกแต่งห้องน้ำ

20112528 - modern interior  bathroom in house, apartment

ห้องน้ำเป็นสถานที่อับชื้น ดังนั้นควรท่องจำไว้ว่าในการตกแต่งห้องน้ำจำเป็นต้องเพิ่มช่องระบายอากาศ อย่างหน้าต่าง หรือพัดลมดูดอากาศ เพื่อไม่ให้ห้องน้ำนั้นมีความอับชื้น เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้อยู่อาศัยในบ้าน ดังนั้นทางที่ดี ควรเป็นห้องน้ำที่เมื่อเข้าไปแล้วสัมผัสได้ถึงความโปร่งโล่ง ไม่อึดอัด พร้อมทั้งมีแสงแดดลอดผ่าน

 

รวม 4 แบบห้องน้ำ แบบไหนเหมาะกับบ้านคุณ

 

4. คิดจะตกแต่งห้องน้ำด้วยอ่างอาบน้ำ ควรทำให้ถูกต้อง

สำหรับบ้านที่ต้องการมีอ่างอาบน้ำในห้องน้ำ นอกจากจำเป็นต้องมีขนาดห้องน้ำที่มากพอในการวางได้แล้ว ยังจำเป็นต้องเลือกแบบอ่างอาบน้ำ และการวางให้ถูกต้อง โดยตามหลักฮวงจุ้ย สำหรับรูปทรงของอ่างอาบน้ำนั้นต้องมีความโค้งมน และให้วางขนานไปกับพื้น หรือเป็นอ่างแบบฝัง ไม่ควรทำบันไดในลักษณะเดินลงอ่างอาบน้ำ เพราะมีความเชื่อว่าเปรียบเสมือนเจ้าของบ้านเหมือนนอนถูกน้ำท่วมตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้เจ็บป่วย

 

5. ตกแต่งห้องน้ำด้วยต้นไม้ สร้างความร่มรื่น เสริมพลัง

Minimalist bathroom

รู้ไหมว่าไอเดียในการนำต้นไม้มาตกแต่งห้องน้ำ นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี โดยควรเลือกประเภทไม้ใบ เพื่อดูดซับกลิ่นและพลังไม่ดีในห้องน้ำ

 

ประโยชน์ต้นไม้ในห้องน้ำ

รายละเอียด

ปรับคุณภาพอากาศในห้องน้ำ

ใบไม้จะดูดซับความชื้นในอากาศ และลดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากความอับชื้น

เพิ่มความหอมสดชื่น

ต้นไม้หลายชนิดทั้งไม้ใบและไม้ดอก มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ช่วยทำให้บรรยากาศภายในห้องน้ำหอมสดชื่น และไม่มีกลิ่นเหม็น

เพิ่มชีวิตชีวา

สีเขียวของใบไม้ นอกจากช่วยฟอกอากาศสดชื่นบริสุทธิ์ ยังช่วยสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับห้องน้ำ ดูสบายตา และช่วยลดความเครียดได้

 

9 ต้นไม้ฟอกอากาศ ปลูกง่ายในบ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว ดักจับฝุ่น PM 2.5

 

สำหรับใครที่กำลังคิดซื้อบ้าน หรือวางแผนตกแต่งบ้าน แล้วกำลังพิจารณาในการเลือกห้องน้ำที่ถูกหลักฮวงจุ้ย เพื่อเสริมสร้างความมั่งคั่งและสร้างเสริมสุขภาพที่ดีให้กับเจ้าของบ้าน เชื่อเหล่าเทคนิคทั้ง 5 ข้อ ในเบื้องต้นนั้นจะช่วยเป็นไอเดียที่ดีในการวางแผนตกแต่งห้องน้ำได้

ขอขอบคุณข้อมูล fengshuitown.com

 

หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการซื้อบ้าน อ่าน คู่มือซื้อขาย ที่สามารถเป็นตัวช่วยตอบได้ทุกคำถาม พร้อมบอกรายละเอียดการคำนวณสินเชื่อบ้าน ที่เหมาะสมกับคุณโดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน เพื่อให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

]]>
ศาลพระภูมิ เลือกอย่างไร 3 หัวใจสำคัญ ตั้งศาลพระภูมิที่ต้องมีให้ครบ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ตั้งศาลพระภูมิอย่างถูกหลัก-เป็นมงคลกับบ้าน-20933?locale=th www.ddproperty.com:resources:20933 Thu, 17 Mar 2022 16:16:09 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/12/Property_Other_Shrine-of-Household-God-150x150.jpg"/></p> ศาลพระภูมิ เลือกอย่างไร 3 หัวใจสำคัญ ตั้งศาลพระภูมิที่ต้องมีให้ครบ พบเห็นได้ทั่วไปว่า หลายบ้านตั้งศาลพระภูมิและสักการะบูชากันตามความเชื่อของพราหมณ์ฮินดูที่ว่า ศาลพระภูมิคือที่อยู่ของพระชัยมงคล เทพที่ปกปักรักษาคนในบ้านให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขและเจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง แต่การตั้งศาลพระภูมิผิดมีผลบั่นทอนพลังของพระภูมิได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องเข้าใจในรายละเอียดอย่างถูกต้อง และที่นี่มีข้อมูลที่จะตอบคำถามว่า ตั้งศาลพระภูมิใช้อะไรบ้าง และตั้งศาลพระภูมิวันไหนดี

ตำนานศาลพระภูมิ

 

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจได้เร็วขึ้น

 

การเลือกศาลพระภูมิ

ลักษณะของศาลพระภูมิ คือ มีเสาเพียงต้นเดียว โดยไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวในการเลือกขนาด สี และความสูง ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจและงบประมาณของเจ้าของบ้าน ตามตำราแล้ว ระดับชานชาลาของศาลพระภูมิควรอยู่เหนือระดับปากของเจ้าของบ้าน แต่บางตำราก็ว่า ควรอยู่เหนือระดับคิ้วของเจ้าของบ้าน ส่วนสีนั้น ไม่ควรใช้สีฟ้า สีน้ำเงิน และสีดำ ซึ่งเป็นสีของธาตุน้ำที่ไม่ถูกกับศาลพระภูมิที่เป็นธาตุไฟ

 

องค์ประกอบในการตั้งศาลพระภูมิ

องค์ประกอบในการตั้งศาลพระภูมิ

 

องค์ประกอบของศาลพระภูมิ

การตั้งศาลพระภูมิต้องเตรียมอะไรบ้าง หัวใจสำคัญของการตั้งศาลพระภูมิ คือ องค์ประกอบของศาลพระภูมิ ซึ่งมีดังนี้

เจว็ดศาลพระภูมิ

เจว็ดศาลพระภูมิ คือ แผ่นไม้รูปร่างคล้ายใบเสมาหรือแกะสลักเป็นรูปเทวดาถือพระขรรค์ โดยเมื่อทำพิธีปลุกเสกแล้ว จะเรียกว่า พระภูมิ ซึ่งเป็นประธานของศาลพระภูมิ

บริวารของพระภูมิ

  • ตุ๊กตาชาย-หญิง อย่างละ 1 คู่
  • ตุ๊กตาช้างม้า อย่างละ 1 คู่
  • ละครยก 2 โรง หรือละครรำ

เครื่องประดับตกแต่งศาลพระภูมิ

เครื่องประดับตกแต่ง จำนวน
ผ้าผูกเจว็ด 1 ผืน
แจกัน 1 คู่
เชิงเทียน 1 คู่
กระถางธูป 1 ใบ
ฉัตรเงิน-ฉัตรทอง 2 คู่
ผ้าแพร 3 สีสำหรับพันศาล 1 ชุด
ผ้าขาว 1 ผืน
ทองคำเปลว 1 ชุด
แป้งเจิม 1 ถ้วย

 

สถานที่ตั้งศาลพระภูมิ

  • ตั้งศาลพระภูมิบนพื้นดิน โดยห้ามตั้งศาลบนพื้นเดียวกันกับตัวบ้าน แต่หากไม่มีบริเวณพื้นดินจริง ๆ ให้ตั้งศาลพระภูมิที่ชั้นดาดฟ้าได้
  • ควรยกพื้นให้พื้นที่ตั้งศาลพระภูมิสูงขึ้นจากพื้นดินประมาณ 1 คืบ
  • ตั้งศาลพระภูมิให้ห่างจากตัวบ้าน โดยไม่ให้เงาของตัวบ้านทอดลงมาทับศาลพระภูมิได้
  • ห้ามหันหน้าศาลพระภูมิเข้าไปทางตัวบ้าน ห้องน้ำ และประตูของตัวบ้าน
  • ให้มีระยะห่างจากที่ตั้งศาลพระภูมิกับกำแพงบ้านอย่างน้อย 1 เมตร

 

 

ทิศทางของศาลพระภูมิ

ตามความเชื่อโดยทั่วไป ศาลพระภูมิควรหันหน้าไปทางทิศดังนี้

  • ทิศที่ดีเป็นอันดับ 1 คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
  • ทิศที่ดีเป็นอันดับ 2 คือ ทิศตะวันออก
  • ทิศที่ดีเป็นอันดับ 3 คือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้
  • ทิศต้องห้ามคือ ทิศตะวันตกและทิศใต้

 

หลังจากที่ได้ทิศทางแล้ว ต้องพูนดินบริเวณที่ตั้งศาลพระภูมิให้สูงจากพื้นประมาณ 1 คืบ จากนั้นให้ใช้มือเกลี่ยดินแล้วทุบให้แน่น ทั้งนี้ห้ามใช้เท้าโดยเด็ดขาด และเนื่องจากเป็นพื้นที่สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องขับไล่สิ่งชั่วร้ายก่อน โดยให้นำน้ำมนต์ธรณีสาร (น้ำที่พระสงฆ์ทำพิธีสวดพระพุทธมนต์โดยใส่ใบไม้ต้นธรณีสารลงในน้ำ) มาประพรมบริเวณที่ตั้งศาลพระภูมิ

 

การปักเสาตั้งศาลพระภูมิ

ก่อนวันทำพิธีตั้งศาลพระภูมิ จะต้องเตรียมหลุมสำหรับปักเสาศาลพระภูมิ โดยมีสิ่งของที่ต้องเตรียมในการปักเสา คือ พานครู 1 พาน สำหรับใส่ข้าว ธูป เทียนขาว ดอกไม้หรือพวงมาลัยสด เหล้า บุหรี่ ผ้าขาว เงิน 6 สลึงหรือ 99 บาท

นอกจากนี้ จะต้องใส่ของมงคลในหลุมเสาศาลพระภูมิด้วย โดยมีรายการดังนี้

  • เหรียญเงินและเหรียญทองอย่างละ 9 เหรียญ
  • ใบเงิน 9 ใบ
  • ใบทอง 9 ใบ
  • ใบนาค 9 ใบ
  • ใบมะยม 9 ใบ
  • ใบรัก 9 ใบ
  • ใบนางกวัก 9 ใบ
  • ใบนางคุ้ม 9 ใบ
  • ใบกาหลง 9 ใบ
  • ดอกบานไม่รู้โรย 9 ดอก
  • ดอกพุทธรักษา 9 ดอก
  • ไม้มงคล 9 ชนิด
  • แผ่นเงิน ทอง และนาค 1 ชุด
  • พลอยนพเก้า 1 ชุด

เช่นกัน ในการกลบหลุมเสาศาลพระภูมินั้น ต้องใช้มือกด ห้ามใช้เท้าโดยเด็ดขาด

 

ฤกษ์ยามในการทำพิธีตั้งศาลพระภูมิ

ฤกษ์ยามถือเป็นเรื่องซับซ้อนและละเอียดอ่อน เพราะแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ซึ่งทำให้วันเวลาที่เหมาะสมในการทำพิธีกรรมแตกต่างกันด้วย จึงขอแนะนำให้ปรึกษาพราหมณ์หรือโหรผู้มีความรู้เกี่ยวกับฤกษ์ยาม เพื่อดูวันเดือนปีเกิดของเจ้าบ้านและหาฤกษ์ที่เป็นสิริมงคลกับเจ้าบ้านโดยเฉพาะ แต่ทั้งนี้วันต้องห้ามโดยทั่วไปมีดังนี้

 

เดือน วันต้องห้าม
เดือนอ้าย (ธันวาคม) วันพฤหัสบดี และวันเสาร์
เดือนยี่ (มกราคม) วันพุธ และวันศุกร์
เดือน 3 (กุมภาพันธ์) วันอังคาร
เดือน 4 (มีนาคม) วันจันทร์
เดือน 5 (เมษายน) วันพฤหัสบดี และวันเสาร์
เดือน 6 (พฤษภาคม) วันพุธ และวันศุกร์
เดือน 7 (มิถุนายน) วันอังคาร
เดือน 8 (กรกฎาคม) วันจันทร์
เดือน 9 (สิงหาคม) วันพฤหัสบดี และวันเสาร์
เดือน 10 (กันยายน) วันพุธ และวันศุกร์
เดือน 11 (ตุลาคม) วันอังคาร
เดือน 12 (พฤศจิกายน) วันจันทร์

 

เมื่อทราบหลักสำคัญในข้างต้นว่าการตั้งศาลพระภูมิมีอะไรบ้างแล้ว ขั้นต่อไปก็คือ การประกอบพิธีกรรม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้คือ พราหมณ์และผู้สืบทอดการทำพิธีจากพราหมณ์ และเมื่อตั้งศาลพระภูมิและทำพิธีบวงสรวงอย่างถูกต้องแล้ว เชื่อกันว่าจะช่วยส่งเสริมให้พระภูมิมีพลังในการดูแลคนในบ้านให้ประสบความสุขและความเจริญได้อย่างเต็มที่

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ฮวงจุ้ยหน้าบ้านและประตู 2 จุดหลักเรียกทรัพย์เข้าบ้าน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/จัดบ้านถูกหลักฮวงจุ้ยหน้าบ้าน-รับสิ่งมงคลตลอดปี-15647?locale=th www.ddproperty.com:resources:15647 Thu, 17 Mar 2022 15:55:38 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/09/Front-door_02-150x150.jpg"/></p> ฮวงจุ้ยหน้าบ้านและประตู 2 จุดหลักเรียกทรัพย์เข้าบ้าน หลายคนคงเคยได้ยินมาแล้วว่าหน้าบ้าน เปรียบเสมือนจุดรวมพลังเข้าสู่บ้าน การจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยตามความเชื่อของศาสตร์ฮวงจุ้ย ว่ากันว่าหากเจ้าของบ้าน ต้องการนำความมงคล ร่ำรวยเข้าสู่บ้านเพียงลงมือตกแต่งบ้านโดยเฉพาะหน้าบ้านใหม่ให้ถูกตามหลักฮวงจุ้ย เท่านี้ก็ได้ของขวัญสุดพิเศษ เสริมความมงคล เฮง ๆ รวย ๆ ตลอดปี

 

Subscription Banner for Article

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจได้เร็วขึ้น

 

หน้าบ้าน จุดรับเงิน

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าหน้าบ้านเป็นส่วนสำคัญ อันดับแรกของการจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ย ฮวงจุ้ยบ้านที่เหมาะสำหรับการดึงดูดโชคลาภทางด้านเงินทอง ให้พยายามจัดหน้าบ้านให้เปิดโล่ง ไม่รกรุงรังหรือเต็มไปด้วยขยะสิ่งสกปรก เพราะจะทำให้พลังงานไม่ดี ความอัปมงคลเข้าสู่บ้าน ดังนั้นหากบ้านไหนต้องการให้หน้าบ้านเปรียบเสมือนเป็นจุดรับเงินจึงมักจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ย นิยมตกแต่งรับฮวงจุ้ยหน้าบ้านดังนี้

1. สะอาด ไม่ว่าจะจัดลานหน้าบ้านเป็นสนามหญ้าหรืออะไรก็ตาม ข้อคำนึงของการจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยหน้าบ้าน จำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของความสะอาดเป็นสำคัญ บ้านไหนที่ปลูกต้นไม้ต้องตัดแต่งกิ่งให้สวยงาม ดูสะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพราะถ้าปล่อยให้รก นอกจากจะเป็นที่พักพิงของสัตว์มีพิษ ที่ซ่อนตัวแล้ว ยังมีความเชื่อว่าจะส่งผลด้านสุขภาพแก่ญาติผู้ใหญ่หรือเด็กในบ้าน

นอกจากนี้ไม่ควรนำขยะมาวางไว้หน้าบ้าน เพราะการจัดบ้านตามศาสตร์ฮวงจุ้ย ขยะนั้นเปรียบเสมือนพลังงานด้านลบ หากบ้านไหนมีกองขยะหน้าบ้าน นอกจากจะส่งกลิ่นเหม็นแล้ว ยังเชื่อกันว่าจะพบแต่สิ่งไม่ดี ส่งผลร้ายต่อสุขภาพสมาชิกในครอบครัว รวมถึงสภาวะทางการเงินอีกด้วย

 

ถังขยะแยกประเภท 4 แบบ และวิธีแยกขยะในบ้านอย่างไรให้ปลอดภัย

 

2. แสงสว่าง ตามศาสตร์ฮวงจุ้ยหน้าบ้าน และการจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ย เชื่อกันว่าบริเวณหน้าบ้านจำเป็นต้องมีแสงสว่างส่องมาเพียงพอ ดังนั้นหากบ้านไหนต้องการต่อเติมหลังคาเพิ่มเติม อาจจะต้องเลือกที่ความสูงที่พอเหมาะ เพื่อไม่ให้บริเวณหน้าบ้านดูมืด

3. กระแสลม อีกหนึ่งข้อคิดของการจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยหน้าบ้าน นั่นคือเรื่องของกระแสลมที่พัดผ่าน แน่นอนว่าการเลือกบ้าน สิ่งที่ช่วยให้ตัดสินใจซื้อและย้ายเข้าไปอยู่คือ เมื่อเข้าไปแล้วสัมผัสได้ถึงความเย็นของลมที่พัดผ่าน แต่สำหรับฮวงจุ้ยหน้าบ้านอาจจะต้องเลือกหลังที่ลมไม่พัดแรงมากนัก เนื่องจากมีความเชื่อว่า แทนที่จะพัดเงินพัดทองเข้าบ้าน กลายเป็นพัดออกไปหมด

 

5 ฮวงจุ้ยหน้าบ้านไม่ดี เรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไขก่อนเกิดปัญหา

 

หน้าบ้านหันถูกทิศ อยู่แล้วรวย มีความสุข

 

หน้าบ้านควรหันไปทางทิศไหน? อยู่แล้วรวย มีความสุข

เรื่องของทิศหน้าบ้าน แน่นอนว่านอกจากจะต้องคำนึงเรื่องบ้านเย็น แสงแดดที่ส่องเข้าบ้านแล้ว การจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยหน้าบ้าน ยังเน้นเรื่องความมงคลเป็นสำคัญด้วย โดยคนไทยจะมีความเชื่อว่าบ้านที่หันไปทางทิศเหนือและตะวันออก จะทำให้พบแต่เรื่องดี ๆ สืบเนื่องจากพลังงานดีเข้าสู่บ้าน

ทั้งนี้เป็นเพราะแสงอาทิตย์ช่วงเช้าฝั่งทิศตะวันออกและเหนือไม่ค่อยร้อนมาก แสงแดดมักจะแผ่ความร้อนในช่วงกลางวันอ้อมไปทางทิศตะวันตก จึงทำให้คนที่อยู่อาศัยพบเจอแต่ความสบาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช่ว่าจะสามารถหาบ้านที่หันออกบริเวณทิศดังกล่าวได้ทุกหลัง ดังนั้นการจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยหน้าบ้านจึงมีวิธีแก้ไขดังนี้

1. ทิศใต้ เมื่อบ้านถูกหันไปทางทิศใต้ และพื้นที่หน้าบ้านตั้งอยู่ในทิศดังกล่าว การจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยหน้าบ้านให้แก้ไขโดยการใช้แสงไฟเข้ามาช่วย โดยอาจติดตั้งโคมไฟสนามหรือโคมไฟสวยงามมาติดตั้งในบริเวณดังกล่าว เพื่อเชื้อเชิญให้โชคลาภเข้ามาในบ้าน

2. ทิศตะวันออกเฉียงใต้ หากหน้าบ้านถูกหันอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ การจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยหน้าบ้านให้เสริมความมงคลด้วยไม้ดอกไม้ประดับ ตามความเชื่อของศาสตร์ว่ากันว่าต้นไม้จะเสริมความมงคลให้กับบ้านและเจ้าของบ้าน

3. ทิศตะวันตก แน่นอนว่าหากเอ่ยถึงบ้านที่อยู่ทิศตะวันตก หลายคนอาจมองว่าเป็นทิศไม่ดี นำความอัปมงคลเข้าสู่บ้าน แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป สามารถแก้ให้คนที่อยู่อาศัยในบ้านพบเจอความสุขได้ด้วยการนำระฆังลมที่ทำจากโลหะกลวง 6 และ 8 แท่งมาแขวนบริเวณหน้าบ้าน ทั้งนี้เจ้าระฆังดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นพลังงานดีเข้าสู่ภายในบ้านได้

ทิศหน้าบ้าน

วิธีแก้ไข

ทิศใต้

ติดตั้งโคมไฟ

ทิศตะวันออกเฉียงใต้ 

ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ

ทิศตะวันตก

แขวนระฆังลม

 

ประตูบ้าน ถูกหลักฮวงจุ้ยหน้าบ้าน

 

ประตูบ้าน ถูกหลักฮวงจุ้ยหน้าบ้าน

เมื่อพูดถึงหน้าบ้าน แน่นอนว่าประตูบ้านก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะเสริมความมงคลเข้ามาในบ้าน การจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยหน้าบ้านมีความเชื่อว่าประตูบ้านไม่ควรอยู่ตรงกัน เนื่องจากจะทำให้เงินทองรั่วไหล ด้วยเหตุนี้การเลือกประตูบ้านควรคำนึงถึงลักษณะดังต่อไปนี้

1. สีประตู ตามความเชื่อของศาสตร์ฮวงจุ้ย เชื่อว่าสีเขียวเป็นสีมงคลเรื่องการเงิน ดังนั้นหากทาสีดังกล่าวไว้บริเวณประตูทางเข้าบ้าน ก็จะสามารถเรียกและดูดซับเงินเข้าบ้านได้

2. สภาพประตู ประตูบ้านที่ถูกหลักฮวงจุ้ยจะต้องไม่ชำรุด ทรุดโทรม เนื่องจากเชื่อกันว่าพลังงานดีจะไหลเข้ามาในบ้านและออกทางหลังบ้านได้ง่าย

3. ดีไซน์ประตู เมื่อประตูบ้าน เปรียบเสมือนประตูเงินประตูทอง เปิดรับสิ่งดี ๆ เข้าสู่บ้าน ดังนั้นจึงควรปรับรูปโฉมของประตูอยู่ตลอด เพราะการตกแต่งประตูให้ดูสดใส จะช่วยกระตุ้นให้พลังงานไหลเวียนอย่างสะดวก ส่งเสริมความร่ำรวยยิ่ง ๆ ขึ้น

 

ใครที่กำลังเตรียมตัวจัดบ้าน หรือเพิ่งซื้อบ้าน ลองนำไอเดียการจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยหน้าบ้านไปปรับใช้  รับรองว่าเฮง ๆ รวย ๆ ตลอดปี และตลอดไป แน่นอน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ประตูบ้านสวย ๆ 5 แบบ เลือกอย่างไร เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียที่ควรรู้ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แบบประตูหน้าบ้าน-55843?locale=th www.ddproperty.com:resources:55843 Thu, 17 Mar 2022 15:56:36 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/10/Fence-gate-in-your-house-150x150.jpg"/></p> ประตูบ้านสวย ๆ 5 แบบ เลือกอย่างไร เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียที่ควรรู้ ก่อนจะตัดสินใจซื้อบ้านหรือทาวน์โฮมสักหลัง เราต้องพิจารณารายละเอียดมากมาย แต่อีกสิ่งหนี่งที่สำคัญไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ และไม่ควรมองข้ามคือ “แบบประตูบ้านสวย ๆ” หรือประตูรั้วบ้านนั่นเอง

นอกจากประตูหน้าบ้านจะมีไว้เพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวและป้องกันอันตรายจากบุคคลภายนอกให้กับผู้พักอาศัยในบ้านแล้ว การออกแบบประตูหน้าบ้านที่ดีจะต้องเหมาะสมกับขนาดหน้ากว้างและพื้นที่บริเวณหน้าบ้านด้วย ซึ่งมีผลต่อการใช้งานเมื่อต้องขับรถเข้าออก

นอกจากนี้ การออกแบบประตูบ้านสวย ๆ ยังสร้างความประทับใจเมื่อแรกเห็นแก่ผู้ที่ผ่านไปมาหรือแขกที่มาเยี่ยมเยียนบ้านได้ด้วย

Subscription Banner for Article

ปัจจุบันมีการออกแบบประตูบ้านสวย ๆ ไว้หลากหลายรูปแบบให้เหมาะกับการใช้งานและพื้นที่ของบ้านแต่ละประเภท โดยแต่ละแบบก็มีข้อดี ข้อเสีย และงบประมาณที่แตกต่างกันไป ไปดูกันว่าประตูบ้านสวย ๆ แบบไหนที่เหมาะกับบ้านของเรากันบ้าง ลองมาดู 5 แบบประตูบ้านสวย ๆ แบบไหนสไตล์คุณ

ก่อนต่อเติมหน้าบ้าน มี 4 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ก่อน

 

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจได้เร็วขึ้น

 

1. ประตูบ้านสวย ๆ แบบบานเปิด

แบบประตูหน้าบ้าน ประตูแบบบานเปิด

เป็นรูปแบบประตูหน้าบ้านที่เราคุ้นเคย เพราะนิยมใช้ในโครงการบ้านสมัยก่อน เป็นประตูที่สามารถเปิดได้แค่เพียงทางเดียว ใช้เนื้อที่ในการเปิดปิดประตู 90-180 องศา จึงเหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่หน้ากว้างมากกว่า 5 เมตรขึ้นไป ราคาประมาณ 1,200-4,000 บาท/ตารางเมตร

 

ข้อดี

ข้อด้อย

ให้ความรู้สึกภูมิฐาน

ใช้ขั้นตอนในการเปิดมาก

มีความปลอดภัย

หากใช้วัสดุที่มีน้ำหนักมากจะทำให้ออกแรงเปิดมากตามไปด้วย

มีทั้งแบบบานเดี่ยวและแบบบานคู่ ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ใช้สอย และความกว้างของทางเข้าที่เราต้องการ

ใช้เนื้อที่บริเวณรอบประตูค่อนข้างเยอะ ต้องเหลือพื้นที่เว้นว่างไว้สำหรับการเปิด-ปิดพอสมควรด้วย

 

2. ประตูแบบบานเฟี้ยม

แบบประตูหน้าบ้าน ประตูแบบบานเฟี้ยม

สำหรับโครงการบ้านยุคใหม่มักจะเลือกแบบประตูหน้าบ้านบานเฟี้ยม ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจากบานเปิดด้วยการนำประตูบานเล็ก ๆ มาต่อกันเป็นบานพับ เมื่อเปิดใช้งานก็จะซ้อนทบกันไปเรื่อย ๆ เหมาะสำหรับพื้นที่จำกัดที่ไม่สามารถทำรางเลื่อนออกด้านข้างได้ เช่น ทาวน์เฮ้าส์หรือทาวน์โฮม ที่มีหน้ากว้างประมาณ 3-5 เมตร ราคาประมาณ 1,200-4,000 บาท/ตารางเมตร

ข้อดี

ข้อด้อย

ประหยัดพื้นที่ในการใช้งาน ไม่ต้องใช้พื้นที่การเปิดปิดจำนวนมากเหมือนประตูบานเปิดและบานเลื่อน

เมื่อจำนวนบานพับมากขึ้นก็ทำให้มีจำนวนกลอนที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วย เพื่อช่วยยึดและล็อคให้ประตูมั่นคงอยู่กับที่ จึงทำให้ใช้งานลำบาก เพราะต้องก้ม ๆ เงย ๆ หลายครั้ง และใช้เวลาในการเปิด-ปิดพอสมควร นอกจากอาการปวดหลังปวดเอวแล้ว เราอาจต้องตากแดดตากฝนอีกด้วย

สวยงามและดูมีสไตล์

หากมีการซ้อนทับของประตูหลาย ๆ ชั้นมากเกินไป จะทำให้ประตูหนามากขึ้น จนกีดขวางการเข้า-ออกของรถยนต์ได้

 

3. ประตูบานเลื่อน

แบบประตูหน้าบ้าน ประตูบานเลื่อน

แบบประตูหน้าบ้านลักษณะนี้มักนิยมใช้กับบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดที่มีหน้ากว้างไม่น้อยกว่า 5 เมตร เพราะใช้งานง่าย เพียงแค่สไลด์หรือเลื่อนประตูไปด้านข้างเท่านั้น แต่อาจไม่เหมาะกับโครงการทาวน์โฮมเพราะมีขนาดพื้นที่หน้ากว้างไม่มากนัก ราคาประมาณ 1,500-5,000 บาท/ตารางเมตร

ข้อดี

ข้อด้อย

ใช้งานง่าย ด้วยการเลื่อนหรือผลักไปทางด้านข้าง

ไม่เหมาะกับบ้านหน้าแคบ เพราะต้องมีระยะในการเลื่อนเก็บประตู

ประหยัดพื้นที่ เพราะไม่ต้องมีวงสวิงการเปิดแบบประตูบานเลื่อน

หากใช้ไปนาน ๆ ล้ออาจฝืดได้

-

ถ้าใช้วัสดุที่มีน้ำหนักจะทำให้ใช้แรงในการเลื่อนเยอะ

 

4. ประตูม้วนแบบโรงจอดรถ

แบบประตูหน้าบ้าน ประตูม้วนแบบโรงจอดรถ

เป็นแบบประตูหน้าบ้านสวย ๆ ที่มักใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ แต่ในบ้านเรามักใช้กับอาคารพาณิชย์หรือตึกแถวที่มีพื้นที่จำกัดมาก ๆ ซึ่งปัจจุบันในโครงการบ้านหรูก็เริ่มมีการนำแบบประตูหน้าบ้านลักษณะนี้มาใช้บ้างแล้ว เพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านที่ไม่อยากจอดรถราคาแพงให้โดนแดดโดนฝนนั่นเอง บานประตูราคาประมาณ 3,000-4,000 บาท/ตารางเมตร ค่ามอเตอร์ไฟฟ้าราคาประมาณ 10,000-30,000 บาท

ข้อดี

ข้อด้อย

ให้ความรู้สึกปลอดภัยและเป็นส่วนตัว

มีความสูงของฝ้าเพดานที่จำกัด ไม่เหมาะกับรถที่มีหลังคาสูงหรือบรรทุกของบนหลังคาได้

มีพื้นที่ใช้สอยน้อย

ต้องใช้งานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อให้เป็นประตูแบบอัตโนมัติ

 

5. ประตูรั้วอัตโนมัติ

แบบประตูหน้าบ้าน ประตูรั้วอัตโนมัติ

ประตูบ้านสวย ๆ ทุกรูปแบบสามารถทำเป็นประตูอัตโนมัติได้ทั้งหมด เพียงแค่ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป ก็สามารถสั่งการหรือควบคุมด้วยรีโมทคอนโทรลได้แล้ว เฉพาะค่ามอเตอร์ไฟฟ้าประมาณ 10,000-30,000 บาท ไม่รวมค่าประตู

ข้อดี

ข้อด้อย

ใช้งานสะดวก เพราะไม่ต้องลงจากรถมาตากแดดตากฝนเพื่อเปิดประตูเอง

มีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่ามอเตอร์ ค่าประตู ค่าติดตั้ง

มีเซนเซอร์ซึ่งจะหยุดทำงานทันทีเมื่อมีสิ่งกีดขวาง จึงไม่ต้องกลัวประตูหนีบหรือทับ

มีค่าบำรุงรักษา

 

5 วัสดุยอดฮิตของแบบประดูหน้าบ้าน

นอกจากรูปแบบการใช้งานของประตูหน้าบ้านแล้ว “วัสดุ” ที่ใช้กับแบบประตูหน้าบ้านก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งไม่ได้ตอบโจทย์แค่เรื่องความสวยงาม แต่ยังรวมถึงน้ำหนัก อายุการใช้งาน และการดูแลรักษาที่ต่างกันด้วย

ประตูเหล็ก อีกหนึ่งแบบประตูหน้าบ้านที่นิยม

1. เหล็ก

เป็นวัสดุยอดนิยมที่นำมาใช้ประตูหน้าบ้านมากที่สุด เพราะแข็งแรง ทนทาน หากง่าย ราคาไม่แรง แต่ก็มีหลายเกรดหลายคุณภาพให้เลือกเช่นกัน หากมีคุณภาพดีมากราคาก็สูงตามไปด้วย ราคาประมาณ 2,000-4,000 บาท/ตารางวา

ข้อดี

ข้อด้อย

แข็งแรงทนทาน ราคาไม่แพง

เป็นสนิมได้ง่าย ควรหมั่นดูแลรักษาโดยการทาสีกันสนิมบ่อย ๆ

สามารถดัดหรือทำลวดลายได้หลากหลาย

มีค่าบำรุงรักษา

สามารถทาสีตกแต่งเพื่อความสวยงามได้

-

 

2. สเตนเลส

เป็นโลหะผสมที่มีปริมาณคาร์บอนน้อยกว่า 2% ของน้ำหนักและมีส่วนผสมของโครเมียมอย่างน้อย 10.5% ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ออกซิเจนในอากาศสัมผัสกับเหล็ก จึงทำให้ไม่เกิดสนิม และยังทนทานต่อการกัดกร่อนต่าง ๆ อีกด้วย ราคาประมาณ 4,500-6,000 บาท/ตารางเมตร

ข้อดี

ข้อด้อย

น้ำหนักเบากว่าเหล็ก

มีสีสันให้เลือกน้อย เนื่องจากมีฟิล์มโครเมียมออกไซด์เคลือบอยู่ที่พื้นผิว

ไม่เป็นสนิม และทนต่อการกัดกร่อนได้ดี

ไม่สามารถทา/พ่นสีให้เกาะติดได้เหมือนวัสดุประเภทอื่น

ดูแลรักษาได้ง่ายเพียงแค่ฉีดน้ำล้าง หรือนำผ้าหมาดๆมาเช็ดทำความสะอาด เหมาะกับบ้านที่อยู่ใกล้ทะเล

-

ความสวยงามอยู่ที่ความมันเงาและดูทันสมัยของตัวเหล็ก

-

 

3. อะลูมิเนียม

เป็นวัสดุธรรมชาติที่สกัดจากแร่อะลูมินา มีข้อดีที่หลากหลายจึงเหมาะสำหรับการทำประตูบ้านสวย ๆ และนำมาใช้ตกแต่งบ้านได้ด้วย ราคาประมาณ 5,000-7,000 บาท/ตารางเมตร

ข้อดี

ข้อด้อย

มีสีสันและลวดลายให้เลือกหลากหลาย

ราคาค่อนข้างสูง

น้ำหนักเบา ง่ายต่อการใช้งาน

ไม่เหมาะกับบ้านที่ต้องการความโปร่งโล่ง เพราะแบบประตูหน้าบ้านที่ทำจากอลูมิเนียมจะมีลักษณะทึบตัน และเน้นความเป็นส่วนตัวมากกว่า

ดูแลรักษาง่ายเพียงใช้น้ำล้างหรือผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาด

-

สามารถพ่นสีทำลวดลายใหม่ได้

-

 

4. อัลลอยด์

เป็นโลหะผสมตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ไม่เป็นสนิมง่ายเหมือนเหล็ก แต่ถ้าโดนแดดหรือกรดด่างมาก ๆ ก็สามารถผุกร่อนได้เหมือนกัน จึงควรทาสีเคลือบบ่อย ๆ และไม่ควรใช้กับบ้านที่อยู่ใกล้ทะเล ราคาประมาณ 7,000-8,000 บาท/ตารางเมตร

ข้อดี

ข้อด้อย

สามารถทาสีได้ตามต้องการ

มีราคาค่อนข้างสูง

มีลวดลายที่สวยงาม มักใช้กับบ้านที่ต้องการความหรูหราและโอ่โถง

เป็นโลหะผสม จึงไม่ทนทานเท่าเหล็ก

แข็งแรงทานทาน และไม่เป็นสนิมง่าย

มีน้ำหนักเยอะ ไม่เหมาะกับบ้านที่มีผู้สูงอายุที่ต้องเปิดประตูด้วยตัวเอง

 

5. ไม้

แบบประตูบ้านสวย ๆ ที่ทำจากไม้ควรเป็นไม้เนื้อแข็งที่ปลวกหรือแมลงไม่กิน เช่น ไม้แดง, ไม้เต็ง, ไม้มะค่า, ไม้สัก และไม้สนยุโรป ซึ่งไม้จริงเหล่านี้มีราคาที่ค่อนข้างสูง และต้องมีการบำรุงรักษาที่ดีอีกด้วย ข้อดีคือมีความสวยงามเฉพาะตัว หากเป็นไม้สักที่ยิ่งเก่า ลายยิ่งสวย ก็ยิ่งมีราคาแพง

สำหรับคนที่ชื่นชอบประตูบ้านสวย ๆ ลายไม้แต่ไม่อยากเสียค่าดูแลรักษาเยอะ ตอนนี้ก็มีวัสดุอื่นที่สามารถใช้ทดแทนกันได้ในราคาที่ถูกกว่า เช่น ประตูอะลูมิเนียมที่สามารถทำเป็นลายไม้ได้ หรือไม้เทียมและไม้สังเคราะห์ต่าง ๆ อย่าง Wood Plastic Composite และไม้สังเคราะห์ไฟเบอร์ซีเมนต์ ที่นอกจากมีสีสันและลวดลายเหมือนไม้จริงแล้วยังแข็งแรงทนทานต่อสภาพอากาศ และต้องไม่กลัวแมลงอีกด้วย ราคาประมาณ 1,000-3,000 บาท/ตารางเมตร

ข้อดี

ข้อด้อย

มีสีสันและลวดลายที่สวยงาม เป็นธรรมชาติ ทำให้บ้านมีบรรยากาศอบอุ่น

สำหรับไม้จริงจะต้องมีการดูแลและบำรุงรักษาที่ดี คอยทาสีย้อมไม้เพื่อเคลือบเงา

สำหรับไม้จริงที่ใช้จนเก่าซีด แค่ใช้กระดาษทรายขัดก็ทำให้เผยลวดลายเนื้อไม้ใหม่ด้านใน แล้วค่อยทาสีทับอีกครั้งก็เหมือนได้ประตูบานใหม่เลยทีเดียว

อาจมีปัญหาแมลงและเสื่อมสภาพจากมลภาวะต่าง ๆ

หากเป็นไม้เทียมก็สามารถทาสีใหม่ได้ตามต้องการ

สามารถบวมหรือแตกร้าวตามธรรมชาติได้

 

พื้นที่หน้าบ้าน-ลานรับโชค

Guide

พื้นที่หน้าบ้าน-ลานรับโชค

จะเห็นได้ว่าแบบประตูบ้านวสวย ๆแต่ละสไตล์ก็ตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน และที่สำคัญคือต้องเหมาะสมกับขนาดพื้นที่ในการใช้งานด้วย นอกจากนี้การออกแบบประตูบ้านวสวย ๆ ยังสะท้อนรสนิยมของผู้อยู่อาศัยและยังเพิ่มมูลค่าให้กับบ้านเมื่อยามที่ต้องขายต่อในอนาคตได้อีกด้วย

ดูกฎหมายควบคุมอาคารก่อนก่อสร้าง

 

 สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
แปลนบ้าน 5 ปัจจัยหลักที่ไม่ควรมองข้าม ก่อนสร้างบ้าน-ซื้อบ้าน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แปลนบ้านที่ใช่กับ-5-ปัจจัยหลักที่ไม่ควรมองข้าม-17161?locale=th www.ddproperty.com:resources:17161 Thu, 17 Mar 2022 15:59:05 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/08/Property_House_Plan_1-150x150.jpg"/></p> แปลนบ้าน 5 ปัจจัยหลักที่ไม่ควรมองข้าม ก่อนสร้างบ้าน-ซื้อบ้าน แปลนบ้าน วิธีดูแปลนบ้านง่าย ๆ ที่ใช่สำหรับคุณ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะปลูกบ้านเองหรือซื้อบ้านสำเร็จรูป เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า บ้านนั้นน่าอยู่และตอบโจทย์ในการอยู่อาศัยหรือไม่ และหากเลือกแปลนบ้านไม่ดี ก็มักยากที่แก้ไขได้เพราะเป็นเรื่องในระดับโครงสร้างของบ้านที่การรื้อหรือการเปลี่ยนแปลงอะไรนั้นต้องใช้เวลาและเงินจำนวนมาก อยากได้บ้านที่อยู่สบาย ลงตัว และไร้ปัญหา? ตามมาดูสิ่งสำคัญในการพิจารณาเลือกแปลนบ้านกันเลย ซึ่งใช้ได้กับแปลนบ้านชั้นเดียว แปลนบ้านสองชั้น หรือจะกี่ชั้นก็ได้

 

Subscription Banner for Article

 

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจได้เร็วขึ้น

 

1. ขนาดพื้นที่ดินและขนาดตัวบ้าน

ควรเลือกแปลนบ้าน ง่าย ๆ ที่มีขนาดพอเหมาะกับจำนวนคนในครอบครัวและกำลังทรัพย์ ที่สำคัญ กฎหมาย พ.ร.บ. ควบคุมอาคารกำหนดให้ต้องมีระยะห่างระหว่างตัวบ้านกับรั้วอย่างน้อย 2 เมตรสำหรับบ้าน 2 ชั้น และอย่างน้อย 3 เมตรสำหรับบ้าน 3 ชั้น

ดังนั้น ขนาดความกว้างของตัวบ้านจึงต้องน้อยกว่าความกว้างของที่ดินอย่างน้อย 4 เมตร และความยาวของตัวบ้านก็ต้องน้อยกว่าความยาวของที่ดินอย่างน้อย 4 เมตรเช่นกัน ไม่เพียงเท่านี้ แปลนบ้านควรสอดคล้องกับรูปทรงของที่ดิน เช่น ที่ดินเป็นทรงหน้ากว้าง แปลนบ้านก็ควรเป็นแบบหน้ากว้าง และที่ดินเป็นทรงลึก แปลนบ้านก็ควรเป็นแบบทรงลึกเช่นกัน

 

2. สภาพแวดล้อมในบ้าน

การจัดวางห้องต่าง ๆ ในแปลนบ้าน ง่าย ๆ นั้น ต้องคำนึงถึงการใช้สอยและสภาพแวดล้อม เช่น ห้องนอนและห้องทำงานที่ต้องการความสงบเงียบก็ควรอยู่ในด้านที่ไม่มีเสียงดังอย่างด้านที่ไม่ติดถนนหรือด้านที่ติดกับสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน

 

3. ทิศทางแดดและทิศทางลม

ควรให้ห้องที่มีความชื้นอย่างห้องน้ำและลานซักล้าง ห้องที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยอย่างห้องเก็บของ รวมทั้งบริเวณที่รับแดดแรงได้อย่างลานจอดรถ หันไปทางทิศตะวันตกที่รับแดดบ่าย เพื่อช่วยลดความร้อนของตัวบ้าน ควรปลูกต้นไม้หรือสร้างโครงสร้างยื่นหรือกันสาดบังแดด

ส่วนห้องที่ใช้งานประจำ เช่น ห้องรับแขก ห้องนอน และห้องนั่งเล่น ควรอยู่ในทิศที่รับลม ซึ่งก็คือทิศเหนือ (จากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) และทิศใต้ (จากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงมีนาคม-ตุลาคม) เพื่อให้บ้านเย็นสบายขึ้นและช่วยประหยัดค่าไฟจากการใช้เครื่องปรับอากาศ และถ้าเหมาะสมกับรูปทรงของที่ดิน

ควรวางตัวบ้านด้านที่แคบกว่าไว้ตามแนวทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเพื่อให้รับแดดน้อย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ด้านที่กว้างกว่าจะหันไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ซึ่งไม่รับแดดโดยตรงแต่รับลมโดยตรง แปลนบ้านแบบนี้จึงช่วยให้ได้รับความร้อนอบอ้าวจากแสงแดดน้อยลงและเย็นสบายขึ้นจากการรับลม

 

ทิศทางลมประจําฤดู เรื่องควรรู้ก่อนซื้อบ้าน-สร้างบ้าน

 

4. ประตูและหน้าต่าง

แปลนบ้านที่ดีควรวางประตูและหน้าต่างที่ไม่ตรงกันเพื่อมิให้ลมเข้าแล้วออกไปทันที ซึ่งทำให้บ้านไม่ได้รับความเย็นเท่าที่ควรและไม่เกิดการหมุนเวียนถ่ายเทอากาศภายในบ้าน

นอกจากนี้ ตำแหน่งของประตูและหน้าต่างยังต้องสอดคล้องกับทิศรับลมและการถ่ายเทอากาศภายในบ้านด้วย เช่น ควรมีประตูในด้านที่รับลมโดยอาจสร้างที่ห้องรับแขกหรือมุมนั่งเล่น และควรมีหน้าต่างในด้านที่รับลมมากกว่าด้านที่ไม่รับลม (ซึ่งมักเป็นด้านที่รับแดด)

รวมทั้งยังควรมีจำนวนหน้าต่างที่พอเหมาะในการรับลมและแสงสว่าง เช่น ห้องนอนไม่ควรมีหน้าต่างจำนวนมากหรือขนาดใหญ่ในทิศตะวันตกและทิศตะวันออก เพราะแสงแดดจากทิศเหล่านี้จะทำให้ห้องร้อน

 

5. ไลฟ์สไตล์กับประโยชน์ใช้สอยในแปลนบ้าน

ให้คำนึงถึงจำนวนคนและไลฟ์สไตล์ของคนในครอบครัว แล้วตัดสินใจว่า ต้องมีห้องอะไรบ้างโดยเฉพาะห้องนอนและห้องน้ำ ควรมีห้องอะไรเพิ่มเติมจากห้องทั่วไปที่ต้องมี เช่น ห้องทำงาน ห้องพระ ห้องแม่บ้าน ห้องนอนชั้นล่างสำหรับผู้สูงอายุ รวมทั้งควรมีห้องแต่ละประเภทจำนวนกี่ห้อง โดยลักษณะแบบแปลนบ้านมีการใช้แปลนห้อง 2 ประเภทดังนี้

 

แบบแปลนบ้านที่ผสมผสานระหว่างแปลนห้องแบบเปิดและปิด

แบบแปลนบ้านที่ผสมผสานระหว่างแปลนห้องแบบเปิดและปิด

 

- แปลนห้องแบบเปิด

แปลนห้องแบบเปิด คือ การจัดให้พื้นที่หนึ่งมีมุมใช้สอยหลายอย่าง เช่น ห้องโถงที่ประกอบด้วยบริเวณรับแขก บริเวณทานอาหาร และบริเวณเตรียมอาหาร และห้องนอนขนาดใหญ่ที่ผนวกเป็นห้องนั่งเล่นและห้องทำงานในตัว

แปลนห้องแบบนี้มีข้อดีคือ รับแสงสว่างจากธรรมชาติได้ทั่วถึงกว่าแปลนแบบมีพื้นที่ปิด ทำให้ดูมีพื้นที่กว้างขึ้นและสามารถดัดแปลงการใช้สอยสำหรับคนจำนวนมากขึ้นอย่างการจัดปาร์ตี้ได้ ตลอดจนสามารถออกแบบและตกแต่งให้เป็นธีมเดียวกันได้ ทำให้ง่ายและประหยัดงบกว่าการออกแบบและการตกแต่งทีละห้อง

แต่มีข้อเสียคือ บริเวณต่าง ๆ นี้มีการใช้สอยแตกต่างกันและการเชื่อมต่อบริเวณเหล่านี้อาจส่งผลกระทบในเรื่องความเป็นระเบียบ ความเป็นส่วนตัว และความสะอาด เช่น อาหารในบริเวณเตรียมอาหารอาจส่งกลิ่นรบกวนแขกในบริเวณรับแขก หรือสามียังเปิดไฟทำงานในบริเวณทำงานแต่รบกวนภรรยาที่ต้องการจะนอนหลับในบริเวณที่นอน เป็นต้น

 

ข้อดีแปลนบ้านแบบเปิด

ข้อเสียแปลนบ้านแบบเปิด

เปิดรับแสงสว่างจากธรรมชาติได้มากกว่า

หากจัดสรรไม่ดี อาจทำให้บ้านไม้เป็นระเบียบเรียบร้อย

พื้นที่ภายในบ้านดูกว้าง ปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ 

อาจมีปัญหากลิ่นรบกวน จากการเชื่อมต่อห้องครัว ห้องนั่งเล่น

พื้นที่เชื่อมต่อถึงกัน ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ง่าย

ขาดความเป็นสัดส่วน และความเป็นส่วนตัว

ง่ายต่อการการตกแต่ง ช่วยประหยัดงบประมาณ

หากอยู่อาศัยหลายคน อาจะเกิดปัญหาจากไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน

 

- แปลนห้องแบบปิด

แปลนห้องแบบปิด คือ การจัดให้ห้องหนึ่งมีพื้นที่ใช้สอยเฉพาะด้าน ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ชอบความเป็นส่วนตัวและความเป็นระเบียบ เนื่องจากช่วยจัดให้บ้านเป็นสัดเป็นส่วน ออกแบบธีมแต่ละห้องให้เหมาะกับการใช้สอยและสไตล์ของผู้ใช้ห้องนั้นได้ง่าย ใช้สอยได้ง่าย รวมทั้งดูแลรักษาง่ายได้เช่นกัน

ดังนั้นหลายคนจึงนิยมให้บริเวณที่ต้องการความเป็นส่วนตัว เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน ห้องครัว และห้องพระ เป็นแปลนห้องประเภทนี้

แต่ข้อเสียคือ ต้องใช้งบประมาณมากกว่าแปลนห้องที่เป็นพื้นที่เปิด และอาจไม่ได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติมากและทั่วถึงนัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการจัดวางหน้าต่างและทิศทางรับแดดด้วย

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยเป็นเมืองร้อนที่มีแสงแดดตลอดปี การรับแสงจึงไม่น่าจะมีผลอะไรมากนัก

 

ข้อดีแปลนบ้านแบบปิด

ข้อเสียแปลนบ้านแบบปิด

มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย

อาจรับแสงสว่างจากธรรมชาติได้ไม่ทั่วถึง 

แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนชัดเจน

 มีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและต่อเติมพื้นที่เพิ่มเติม

มีความเป็นส่วนตัว เหมาะกับครอบครัวใหญ่

ใช้งบประมาณในการตกแต่งมากกว่า

ออกแบบตกแต่งห้องแต่ละธีมได้ตามต้องการ

 พื้นที่ออกแบบและถูกกำหนดไว้ตายตัว ปรับเปลี่ยนยาก

 

การหาแปลนบ้านที่ถูกใจใช่สำหรับไลฟ์สไตล์ของครอบครัวนั้นต้องพิจารณาปัจจัยในข้างต้นประกอบกันโดยคำนึงถึงการใช้สอยจริงของคนในครอบครัวเป็นหลัก ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแปลนบ้านได้ฟรีจากสำนักการโยธา กรุงเทพมหานครได้ที่นี่

โดยสำหรับผู้ที่เชื่อเรื่องฮวงจุ้ย ให้อ่านคำแนะนำเกี่ยวกับฮวงจุ้ยบ้านที่ดีสำหรับการเลือกแปลนบ้านประกอบการพิจารณาด้วย และเมื่อรู้ว่าต้องการแปลนบ้านแบบไหนแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะเลือกแบบบ้าน ดูรวมแบบแปลนบ้าน ง่าย ๆ สวย ๆ หลากสไตล์และแบบแปลนบ้านฟรีเลย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ไม้มงคล 5 ชนิด ปลูกในบ้าน เสริมดวงรับทรัพย์ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/พันธุ์ไม้มงคลคู่บ้าน-เสริมดวงรับทรัพย์-24286?locale=th www.ddproperty.com:resources:24286 Fri, 04 Mar 2022 04:14:54 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/03/Feng-shui-plant-in-home-150x150.jpg"/></p> ไม้มงคล 5 ชนิด ปลูกในบ้าน เสริมดวงรับทรัพย์ ความเชื่อเกี่ยวกับความเป็นสิริมงคล โชคลาภ และฤกษ์งามยามดี ถือได้ว่าเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยการสร้างบ้าน ซื้อบ้าน และตกแต่งบ้าน แต่ละส่วนมีผลต่อโชคลาภภายในบ้านทั้งสิ้น ทั้งสิ้น "ไม้มงคล" ก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งนี้ ต้นไม้มงคลปลูกในบ้านที่เหมาะกับการช่วยเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับบ้านและผู้อยู่อาศัยมีอะไรบ้าง และมีวิธีการดูแลรักษาอย่างไร

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจได้เร็วขึ้น

 

ต้นไม้มงคลปลูกในบ้าน คือ อะไร?

ต้นไม้มงคลปลูกในบ้าน คือ พันธุ์ไม้ที่มีความหมายดี ๆ เป็นสิริมงคล เสริมโชคลาภให้กับบ้านที่อยู่อาศัยและผู้คนในครอบครัว

ต้นไม้ใดควรและไม่ควรปลูกในบริเวณบ้าน

ทำไมถึงนิยมปลูกต้นไม้มงคลปลูกในบ้าน

สืบเนื่องมาตั้งแต่โบร่ำโบราณที่เชื่อว่าการมีสิ่งมงคลอยู่รอบตัว (มีพันธุ์ไม้มงคลอยู่ภายในบริเวณบ้าน) จะช่วยเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต ส่งผลให้ได้พบเจอแต่กับเรื่องดี ๆ เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยทั้งเงินทอง มีสุขภาพและพลานามัยที่แข็งแรง

อยากได้บ้านพื้นที่กว้างไว้ปลูกต้นไม้ แต่ราคาไม่แพง ไม่เกิน 3 ล้าน

 

โดยในปัจจุบันต้นไม้มงคลปลูกในบ้าน นิยมปลูกไว้ทั้งภายในและภายนอกตัวบ้าน หรือนิยมปลูกไว้ตามทิศทางต่าง ๆ ทั้ง 8 ทิศ ดังนี้

1. ทิศเหนือ พันธุ์ไม้ตระกูลว่าน, มะเดื่ออุทุมพร, ส้มป่อย, ส้มซ่า
2. ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไผ่รวก, มะตูม, ทุเรียน
3. ทิศตะวันออก มะพร้าว, ไผ่สีสุก, ต้นกุ่ม
4. ทิศตะวันออกเฉียงใต้ กระถิน, ต้นยอ, สารภี
5. ทิศใต้ ต้นตะโก, มะม่วงสายพันธุ์ต่าง ๆ, มะพลับ
6. ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ราชพฤกษ์, ต้นขนุน, สะเดา, ดอกพิกุล
7. ทิศตะวันตก ต้นมะยม, มะขาม, พุทรา
8. ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ต้นมะกรูด, มะนาว, มะพูด

นอกจากความเป็นสิริมงคลแล้ว ต้นไม้มงคลปลูกในบ้านบางชนิดยังสามารถนำไปใช้ทำเป็นยาสมุนไพร เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บหรือป่วยไข้ประจำบ้านได้อีกด้วย

 

พันธุ์ไม้มงคลปลูกในบ้านช่วยเพิ่มสิริมงคล

 

ต้นไม้มงคลปลูกในบ้านแต่ละชนิดมีความหมายอย่างไร?

ในปัจจุบันต้นไม้มงคลปลูกในบ้านบางชนิดเริ่มห่างหายไป เนื่องจากเป็นพันธุ์ไม้หายาก นอกจากนั้นในบางพื้นที่ยังไม่เอื้ออำนวยต่อการปลูก ทำให้อาจพบเห็นต้นไม้มงคลเหล่านั้นลดน้อยลง แต่ก็ยังมีพันธุ์ไม้มงคลอีกหลายชนิดที่คนไทยนิยมนำมาปลูกไว้ภายในรั้วบ้าน ซึ่งแต่ละชนิดมีความหมายที่เป็นมงคลดังนี้

1. สักทอง

- สักทอง หมายถึง การมีศักดิ์ศรี มีเกียรติและยศถาบรรดาศักดิ์ ร่ำรวยเงินทองสมดั่งปรารถนา นอกจากนั้น คำว่า “สัก” หรือ “สักกะ” ยังหมายถึง พระอินทร์ผู้ซึ่งมีอำนวจบารมียิ่งใหญ่ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ จึงนิยมปลูกไว้เป็นพันธุ์ไม้มงคลคู่บ้าน เพื่อส่งเสริมให้เจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัยพบเจอแต่สิ่งดี ๆ และเจริญรุ่งเรืองดั่งความหมายของไม้สักทอง

- นิยมปลูกไม้สักทอง เพื่อความเป็นสิริมงคลไว้ทางทิศเหนือของบ้าน

วิธีการปลูกและดูแล

- เตรียมกล้าไม้สักทองความสูงไม่ต่ำกว่า 30 เซนติเมตร

- ปลูกในหลุมขนาด กว้าง 20 เซนติเมตร ยาว 20 เซนติเมตร และลึก 20 เซนติเมตร ระวังอย่างให้กระทบกระเทือนราก และโคนต้นมากจนเกินไป

- รดน้ำเป็นประจำหรือปลูกในช่วงที่มีฝนตกซุก

- เมื่อต้นโตขึ้นทำการตัดแต่งกิ่งให้สวยงาม โดยการใช้กรรไกรหรือเลื่อยตัดแต่งกิ่งให้ชิดขนาดไปกับลำต้น

 

2. ไผ่สีสุก

- ไผ่สีสุก หมายถึง การมีความสุข สดใส ดั่งไม้ไผ่ที่ร่มเย็นเป็นสุข และอายุยืนนาน

- นิยมปลูกต้นไม้มงคลปลูกในบ้านไว้ทางทิศตะวันออกของบ้าน เนื่องจากลำต้นและกิ่งก้านใบของไผ่สีสุกจะช่วยพรางแสงยามพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามายังตัวบ้าน นอกจากนั้น ยังช่วยกันลม พายุที่พัดผ่านให้กระทบตัวบ้านเบาลงอีกด้วย

วิธีการปลูกและดูแล

- ปลูกด้วยการชำลำต้น โดยใช้ลำไม้ไผ่ที่มีข้อปล้องหรือติดตา มาตัดเป็นท่อนๆ

- นำไปปักชำ โดยปักชำทำมุมเอียง 45 องศา

- เติมน้ำลงในกระบอกให้เต็มประมาณ 4 สัปดาห์ หน่อและรากจะค่อย ๆ แตกออกจากข้อปล้องตามลำไม้ไผ่

 

3. ว่านเศรษฐีเรือนใน

- ว่านเศรษฐีเรือนใน หมายถึง ความมั่งมี ศรีสุข ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง และมีผู้รักใคร่ เสริมบารมีและอำนาจวาสนา

- นิยมปลูกว่านเศรษฐีเรือนในไว้เป็นไม้ประดับทั้งภายในและภายนอกตัวบ้าน เนื่องจากเป็นว่านเมตตามหานิยม ที่เสริมโชคลาภให้กับเจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัย

วิธีการปลูกและดูแล

- สามารถเลือกปลูกได้ทั้ง 2 แบบ ทั้งการแยกเหง้าปลูกและการปลูกด้วยต้นอ่อนลงในกระถางหรือแปลงปลูก

- ปลูกในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เนื่องจากเป็นพืชที่ชอบแสง

- รดน้ำโดยใช้น้ำที่อุณหภูมิห้องเป็นประจำและสม่ำเสมอ แต่อย่างให้น้ำท่วมขังบริเวณแปลงปลูกหรือจานรองกระถาง

- ใส่ปุ๋ยเดือนละ 1 ครั้ง

- ใช้กรรไกรตัดแต่งใบที่แห้งเสียและตายทิ้ง

 

ต้นราชพฤกษ์ อีกหนึ่งพันธุ์ไม้มงคลปลูกในบ้านแล้วดี

ต้นราชพฤกษ์ อีกหนึ่งพันธุ์ไม้มงคลปลูกในบ้านแล้วดี

 

4. ราชพฤกษ์

- ราชพฤกษ์ หมายถึง ความรุ่งเรือง เป็นใหญ่ มีอำนาจวาสนา

- นิยมปลูกต้นราชพฤกษ์ไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวบ้าน เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะทำให้เจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัยมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นเท่าทวีคูน และนอกจาก “ต้นราชพฤกษ์จะเป็นต้นไม้ประจำชาติไทย” แล้วยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย

วิธีการปลูกและดูแล

- นำเมล็ดแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ประมาณ 1 คืน เมื่อพบว่ามีรากงอกออกมาก็สามารถนำเมล็ดไปปลูกยังบริเวณต้องการได้เลย หรือจะเพาะเมล็ดให้ต้นกล้าเจริญเติบโตประมาณ 30 เซนติเมตร แล้วค่อยย้ายต้นกล้าลงปลูก

- ปลูกไว้บริเวณกลางแจ้งและที่ที่มีแสงแดดจัด

- ต้นราชพฤกษ์จะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย หรือดินเหนียวปนทราย

- เป็นพืชที่ต้องการน้ำในปริมาณน้อย ดังนั้น ควรให้น้ำ 7-10 วัน ต่อ 1 ครั้ง และให้ปุ๋ย (ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก) ประมาณ 2-3 กิโลกรัม ปีละ 3-4 ครั้ง

ถือได้ว่าเป็นต้นไม้มงคลปลูกในบ้านที่เกือบจะไม่ต้องดูแลอะไรมากเป็นพิเศษเลย เพราะต้นราชพฤกษ์เป็นพันธุ์ไม้ที่เจริญเติบโตและสวยงามได้เองในทุก ๆ พื้นที่

 

5. โกสน

- โกสน หมายถึง การสร้างบุญบารมี สร้างคุณงามความดี สิ่งที่ดีงามอันเป็นกุศล

- นิยมปลูกมาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งภายในบ้าน วัด และพระราชวัง เนื่องจากมีความเชื่อว่าพันธุ์ไม้มงคลนี้จะทำให้เจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัยมีความร่มเย็นเป็นสุข ช่วยให้พบเจอแต่กับความสุขความเจริญ และปราศจากความขัดแย้ง

วิธีการปลูกและดูแล

- นำต้นกล้าที่ผ่านการปักชำ ตอนกิ่ง เสียบยอด ติดตา หรือเพาะเมล็ด ลงปลูกในดินหรือกระถางที่มีดินร่วนซุย หรือใช้สูตรผสมในอัตราส่วน 1 : 2 : 1 (แกลบดำ : ขุยมะพร้าว : ปุ๋ยคอก) และปลูกในบริเวณที่ที่มีอากาศ

- รดน้ำทุกวันในกรณีปักชำ และเมื่อมีการแตกยอดและใบใหม่ให้เปลี่ยนการรดน้ำมาเป็น 1-2 วัน ต่อ 1 ครั้ง หลังจากนั้น เมื่อต้นโกสนโตและแข็งแรงแล้ว สามารถทำการรดน้ำ 3-5 วัน ต่อ 1 ครั้ง ได้โดยขึ้นอยู่กับสภาพความชุ่มชื่นของน้ำบริเวณโคนต้น

- ใส่ปุ๋ยทุก ๆ 2-3 เดือน

ต้นโกสน เป็นต้นไม้ที่มีลักษณะรูปทรงของใบสวยงาม สดใส และหลากสี ดังนั้นหากต้องการให้ใบมีสีสันหลากสี สดใสให้ปลูกหรือวางกระถางไว้กลางแจ้งหรือที่ที่มีแสงแดด หากต้องการให้ใบของต้นโกสนมีสีเขียวมากขึ้น ควรปลูกหรือวางกระถางไว้ในร่มหรือที่ที่มีแสงแดดอ่อน ๆ รำไร

 

อยากให้บ้านมีแต่สิริมงคลดูเพิ่มเติมได้ที่ ฮวงจุ้ยบ้านที่ดี จัดห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว อย่างไร? อยู่แล้วโชคดี ร่ำรวย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
แปลนบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ แบบบ้านสวย ๆ แจกฟรี https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แบบบ้านชั้นเดียว-4-ห้องนอน-3-ห้องน้ำ-แจกฟรี-47857?locale=th www.ddproperty.com:resources:47857 Fri, 04 Mar 2022 04:03:43 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/05/Plan-house-with-4-bedroom-150x150.jpg"/></p> แปลนบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ แบบบ้านสวย ๆ แจกฟรี แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ เป็นแบบบ้านที่เหมาะกับกลุ่มครอบครัวที่มีสมาชิกภายในบ้านมากกว่า 4 คนขึ้นไป ซึ่งในสังคมไทยก็ยังมีกลุ่มครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกในบ้านมากกว่า 4 คนขึ้นไปไม่น้อย ดังนั้นในแง่ของการอยู่อาศัยกลุ่มครอบครัวที่มีสมาชิกน้อยไม่เกิน 3 คน อาจจะมองหาคอนโด 2 ห้องนอนในเมือง หรือซื้อบ้านขนาด 2 ห้องนอน

ส่วนกลุ่มครอบครัวที่มีสมาชิกเยอะขึ้นมาหน่อยที่ 4 คนขึ้นไปก็จำเป็นต้องมองหาบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ที่มีราคาแพงขึ้นจากพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้นตามขนาดครอบครัว ซึ่งครอบครัวไหนที่มีงบประมาณจำกัดก็มักจะมองหาที่ดินบริเวณชานเมืองหรือนำที่ดินที่ถือครองไว้มาปลูกบ้านชั้นเดียว

Subscription Banner for Article

สิ่งที่ตามมาก็คือเรื่องของแบบบ้าน แบบการสร้างที่ยุ่งยากและทำให้งบประมาณบานปลายพอสมควรจากการออกแบบ แต่สำหรับใครที่กำลังมองหาแบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องแปลนบ้านชั้นเดียวและงบประมาณในการออกแบบบ้านแล้ว ลองมาดูแบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ สำหรับครอบครัวบิ๊กไซส์ทั้งหมด 3 แบบ 3 สไตล์ให้เลือกนำไปใช้ปลูกบ้านกันแบบฟรี ๆ ไม่เสียเงิน ซึ่งจะมีแปลนบ้านชั้นเดียว พร้อมแบบบ้านชั้นเดียว ฟรี ๆ แบบไหนกันบ้าง ลองตามมาดูกัน

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจได้เร็วขึ้น

 

1. แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน Contemporary Style 

แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน Contemporary Style

ภาพ via naibann.com

 

แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน Contemporary Style เป็นแบบบ้านร่วมสมัย มีการออกแบบที่เรียบง่าย ๆ เป็นแบบบ้านชั้นเดียวที่เน้นการพักผ่อนอย่างแท้จริง รายละเอียดในการตกแต่งตัวบ้านภายนอกจึงไม่เยอะมาก และเหมาะสำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัดในการก่อสร้างจริง ๆ โดยจากภาพแบบบ้านชั้นเดียวฟรีแบบนี้ จะเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านให้สอดคล้องกับพื้นที่นอกบ้านด้วยฟังก์ชันของชานบ้านยกระดับสองขั้นบันไดตามภาพ

รวมแบบบ้านสวย ๆ แบบบ้านสไตล์ไหนใช่สำหรับคุณ

แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน Contemporary Style

ภาพ via naibann.com

 

ตัวบ้านเป็นโครงสร้างคอนกรีต ออกแบบดีไซน์ให้มีความร่วมสมัย จึงทำให้มีช่องรับแสงหรือบานหน้าต่างรอบบ้าน และมีโรงจอดรถเป็นส่วนประกอบหนึ่งในตัวบ้านด้วย ส่วนหลังคาเป็นหลังคาทรงจั่วที่สามารถระบายความร้อนได้ดีกว่าบ้านแบบโมเดิร์นที่มีหลังคาราบแบน และยังช่วยเพิ่ม Space ความสูงในบ้านทำให้ไม่อึดอัดด้วย

 

แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน Contemporary Style

ภาพ via naibann.com

 

แปลนบ้านชั้นเดียว สำหรับแบบบ้านชั้นเดียวฟรีนี้ เป็นแบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และ 2 ส่วนรับประทานอาหาร 2 ส่วนรับแขก Layout ของห้องต่าง ๆ ถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วน และสามารถปรับเปลี่ยนห้องนั่งเล่น หรือส่วนรับประทานอาหารให้เป็นห้องนอนเพิ่มก็ยังได้ เรียกได้ว่าแบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน ที่เหมาะกับครอบครัว 4-8 คนขึ้นไปก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยมีงบประมาณเริ่มต้นในการก่อสร้างอยู่ที่ 2.5 ล้านบาท

 

2. แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน Modern Style 

แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน Modern Style

ภาพ via banidea.com

 

แบบบ้านชั้นเดียวฟรีแบบนี้ เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์น มีขนาดพื้นที่ใช้สอยกว่า 300 ตารางเมตร ตัวบ้านถูกยกขึ้นสูงจากพื้นเป็นสเต็ป 2 ขั้นบันได ด้านนอกตกแต่งด้วยสีโทนธรรมชาติ และวัสดุธรรมชาติ เน้นบานกระจกที่ให้แสงธรรมชาติส่งเข้าถึงตัวบ้านได้ ดีไซน์บ้านเรียบง่ายแต่ยังคงความหรูหราเอาไว้ตามสไตล์โมเดิร์น โดยจากภาพให้ไอเดียในการโรยหินกรวดแทนการปลูกสนามหญ้าเพื่อง่ายต่อการดูแลรักษา

 

แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน Modern Style

ภาพ via banidea.com

 

ด้านหลังของตัวบ้านจะเป็นระเบียงของบ้านแบบชั้นเดียว โดยมีการทำฟังก์ชันพื้นให้ขนาบไปกับขอบสระว่ายน้ำ เพื่อการใช้งานที่สะดวก แต่ทั้งนี้เองก็มีการกั้นกระจกนิรภัยแบ่งโซนบ้านกับโซนสระว่ายน้ำอย่างชัดเจน โดยรวมทั้งภายนอกและภายในที่ว่าจัดเต็มความเป็นโมเดิร์นได้อย่างลงตัว

 

แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน Modern Style

ภาพ via banidea.com

 

แปลนบ้านชั้นเดียว สำหรับแบบบ้านฟรีชั้นเดียวหลังนี้นั้น จะประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน ซึ่งจะมีขนาดเท่ากัน 3 ห้องนอน และมีห้องนอน Master Bedroom ที่มีห้องน้ำในตัวเพิ่มเข้ามา ส่วนห้องน้ำหลักกลางบ้านจะเป็นห้องน้ำขนาดใหญ่ที่ดีไซน์มาเพื่ออำนวยความสะดวกของทุกคนในบ้าน และมีการแยกส่วนอาบน้ำ และส่วนของโถสุขภัณฑ์ชัดเจน

โดยพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่ที่สุดจะเป็นบริเวณห้องนั่งเล่น ที่เชื่อมต่อกับครัวเปิดขนาดใหญ่ และห้องรับประทานอาหาร  นอกจากนั้นยังมีฟังก์ชันของห้องสมุด Home Theater ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องอื่น ๆ ได้ตามใจชอบ โดยทั้งหมดนี้จะมีราคาประเมินค่าก่อสร้างอยู่ที่ 3.5 ล้านบาท

 

3. แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน Country Style

แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน Country Style

ภาพ via babbaan.in

 

แบบบ้านฟรีชั้นเดียวแบบสุดท้ายนี้จะเป็นบ้านที่มีหลังคาทรงจั่วออกแบบสไตล์ยุโรป แต่ยังคงดีไซน์ที่มีกลิ่นอายของความเก๋าสไตล์คันทรีไว้ ด้วยการตกแต่งภายนอกที่เรียบง่าย

โดยใช้พื้นผิวของอิฐที่มีลวดลายคล้ายหินธรรมชาติมาใช้ พร้อมกับใช้ระแนงไม้สีพื้นกับบานหน้าต่างแบบคลาสสิกเป็นตัวช่วยให้บ้านดูมีกลิ่นอายของความเก่าในสไตล์คันทรีได้เป็นอย่างดี แถมยังลงตัวกับธรรมชาติที่รายล้อมตัวบ้านจากการยกพื้นตัวบ้านให้กลายเป็นชั้นลอยและมีระเบียงที่มีโครงเหล็กกั้นตามภาพ

 

แบบบ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน Country Style

ภาพ via babbaan.in

 

แปลนบ้านชั้นเดียว สำหรับแบบบ้านชั้นเดียวฟรีสไตล์นี้ จะเป็นบ้านที่ถูกออกแบบสำหรับครอบครัวใหญ่มี 4 ห้องนอน พร้อมโรงจอดรถส่วนตัวด้านข้างบ้าน ซึ่งหากใครที่ปลูกบนที่ดินที่มีพื้นที่หน้าบ้านพอสมควรก็สามารถดัดแปลงพื้นที่ใช้สอยลานจอดรถเป็นห้องนอนได้ถึง 2-4 ห้องนอนเลยทีเดียว

Layout ของห้องต่าง ๆ ดีไซน์ออกมาได้อย่างลงตัวโดยการวางตำแหน่งห้องนอนแต่ละห้องให้ชิดอยู่กับผนังด้านข้างของตัวบ้าน เพื่อให้ห้องนอนมีมุมหน้าต่างที่รับแสงธรรมชาติเข้ามาได้ อีกทั้งยังคงออกแบบฟังก์ชันพื้นที่ส่วนกลางของครอบครัวให้อยู่บริเวณกลางบ้าน และเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สามารถรวบรวมสมาชิก 6-8 คนภายในบ้านได้เลย โดยงบประมาณในการสร้างจะอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านบาท

ขนาด

สไตล์

งบก่อสร้าง

4 ห้องนอน

Contemporary Style

2.5 ล้านบาท

4 ห้องนอน

Modern Style

3.5 ล้านบาท

4 ห้องนอน

Country Style

4 ล้านบาท

 

นอกจากแปลนบ้านชั้นเดียวทั้ง 3 แบบแล้ว ยังมี แบบบ้านฟรี ธอส. แบบบ้านชั้นเดียว-แบบบ้านสองชั้น ที่เหมาะกับคนที่มีงบประมาณไม่เกิน 1,000,000 บาท และไม่เกิน 2,000,000 บาท ไว้เป็นไอเดีย

ดูแบบบ้านสวย ๆ แบบบ้านชั้นเดียว แบบบ้าน 2 ชั้น แบบบ้าน 3 ชั้น แบบบ้านฟรีเพิ่มเติม

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
แบบบ้านไม้ 3 แบบยอดนิยม ดีไซน์สวย ทันสมัย ตอบโจทย์คนรักธรรมชาติ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แบบบ้านไม้ทันสมัยสำหรับครอบครัวรักธรรมชาติ-47037?locale=th www.ddproperty.com:resources:47037 Thu, 17 Mar 2022 16:07:15 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/04/Modern-wooden-house-150x150.jpg"/></p> แบบบ้านไม้ 3 แบบยอดนิยม ดีไซน์สวย ทันสมัย ตอบโจทย์คนรักธรรมชาติ หากใครที่ฝันไว้ว่าอยากจะมีบ้านสวย ๆ ที่เน้นการใช้วัสดุธรรมชาติในการประกอบบ้าน ก็เริ่มมองหาที่ดินสำหรับการสร้างแบบบ้านไม้สวย ๆ ที่เน้นความเป็นธรรมชาติได้แล้ว หลายคนที่ได้ยินคำว่า แบบบ้านไม้ อาจจะนึกไปถึงบ้านทรงไทย บ้านที่มีใต้ถุนบ้านตามต่างจังหวัด หรือแบบบ้านธรรมดา ๆ ก็ขอให้ลืมภาพแบบบ้านไม้เหล่านั้นไปได้เลย เพราะยังมีแบบบ้านไม้สวย ๆ ดีไซน์ไม่ตกยุคหลายแบบหลายสไตล์เป็นไอเดียให้คนที่กำลังมองหาบ้านไม้สวย ๆ หรือไปประยุกต์ใช้ในการแต่งบ้านหรือสร้างบ้าน

รวมแบบบ้านสวย ๆ แบบบ้านสไตล์ไหนใช่สำหรับคุณ

 

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจได้เร็วขึ้น

 

แบบบ้านไม้ทำไมถึงเป็นที่นิยม

ปัจจุบันแบบบ้านไม้กำลังเป็นที่นิยม เนื่องจากการปลูกบ้านสไตล์นี้สามารถลดต้นทุนในการสร้างบ้านได้มาก รวมไปถึงเรื่องความร้อนในประเทศไทยด้วย โดยแบบบ้านที่ใช้ไม้เป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างบ้านก็จะสามารถคลายความร้อนได้มากดีกว่าวัสดุทั่วไปเลยทีเดียว

ลองมาดูว่าแบบบ้านไม้ชั้นเดียว บ้านไม้สวย ๆ มีแบบไหนบ้าง ได้ที่นี่

 

1. แบบบ้านไม้ชั้นเดียวสไตล์บ้านในสวนสวย

แบบบ้านไม้ชั้นเดียวสไตล์บ้านในสวนสวย

ภาพ via homedd4u.com

เริ่มต้นกันด้วยแบบบ้านไม้เล็ก ๆ สไตล์บ้านในสวน รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกะทัดรัดไม่ใหญ่มาก เน้นพื้นที่ใช้สอยด้านนอกตัวบ้าน ซึ่งแบบบ้านไม้สวย ๆ สไตล์นี้จะเหมาะกับคนที่รักธรรมชาติ และต้องการให้บ้านอยู่ท่ามกลางวิวสวย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แบบบ้านไม้สไตล์นี้มักจะเป็นที่ถูกใจของคนต่างจังหวัดที่ประกอบอาชีพทำสวนทำไร่

 

แบบบ้านไม้ชั้นเดียวสไตล์บ้านในสวนสวย

ภาพ via homedd4u.com

 

แบบบ้านไม้นี้ถูกออกแบบมาให้มีความเรียบง่ายบนพื้นที่ใช้สอยที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่มีฟังก์ชันของตัวบ้านครับครัน โดยจะแบ่งโซนรับประทานอาหารให้อยู่บนชานบ้าน และมีหลังคามุงกระเบื้องช่วยเสริมในเรื่องกันแดดกันฝนในส่วนนี้ด้วย

 

แบบบ้านไม้ชั้นเดียวสไตล์บ้านในสวนสวย

ภาพ via homedd4u.com

 

มาที่ภายในบ้าน ยังคงเน้นวัสดุที่เป็นไม้ ทั้งพื้น วงกบบานหน้าต่าง และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ โดยส่วนแรกภายในบ้านมีการจัดฟังก์ชันของห้องนั่งเล่นให้หันออกไปบริเวณชานบ้านที่อยู่ตำแหน่งของหน้าบ้าน และเน้นบานกระจกขนาดใหญ่ที่สามารถเปิดออกได้ เพื่อรับลมและชมวิวบรรยากาศสวนสวยรอบบ้าน

 

แบบบ้านไม้ชั้นเดียวสไตล์บ้านในสวนสวย

ภาพ via .homedd4u.com

 

ถัดมาด้านในสุดจากห้องนั่งเล่นจะเป็นห้องครัวที่มีฟังก์ชันของห้องรับประทานอาหารด้านในบ้าน ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่เป็นสี่เหลี่ยมพื้นผ้าภายในจึงสามารถจัดห้องครัวตามแนวความกว้างผนังได้ ทำให้ห้องครัวกว้างพอสมควรและใช้งานได้สะดวก

 

แบบบ้านไม้ชั้นเดียวสไตล์บ้านในสวนสวย

ภาพ via homedd4u.com

 

มาที่ส่วนของห้องนอน ภายในตกแต่งเป็นสีขาวไม่เน้นงานไม้ เพื่อให้ห้องไม่ดูแข็งเกินไปและสามารถพักผ่อนได้อย่างสบาย โดยสามารถจัดให้ห้องอยู่ในตำแหน่งที่มีมุมหน้าต่างหันออกไปทางหน้าบ้านก็ดี ทางด้านหลังบ้านก็ได้ ซึ่งวิวภายนอกจะเป็นสวนสวยทั้งหมดสำหรับแบบบ้านไม้ชั้นเดียว บ้านไม้สวย ๆ สไตล์บ้านในสวน

 

2. แบบบ้านไม้ หลังคาทรงจั่ว ดีไซน์ร่วมสมัย

แบบบ้านไม้ หลังคาทรงจั่ว ดีไซน์ร่วมสมัย

ภาพ via trendir.com

 

บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักฤดูร้อนในภาคใต้ของประเทศออสเตรีย ออกแบบโดย Judith Benzer Architektur จากเวียนนา เป็นแบบบ้านไม้สวย ๆ ที่ดีไซน์ขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในชนบท ดังนั้นจากภาพรูปทรงที่เห็นภายนอกจึงดูคลาสสิก และใช้ไม้ระแนงตกแต่งภายนอกเป็นส่วนใหญ่

 

แบบบ้านไม้ หลังคาทรงจั่ว ดีไซน์ร่วมสมัย

ภาพ via trendir.com

 

จากการตกแต่งที่เรียบง่ายประกอบกับหลังคาทรงจั่วที่สูงพอสมควรจนสามารถดูดซับความร้อนให้เข้ามาถึงตัวบ้านได้ยาก ถือว่าเป็นแบบบ้านไม้ที่เหมาะกับประเทศไทยมาก  เนื่องจากต้นทุนในการก่อสร้างที่ไม่แพงมากแล้ว ยังมีรูปแบบที่เข้ากับสภาพแวดล้อมประเทศไทย

 

หลังคาบ้านสวย ๆ 7 ประเภท เลือกแบบไหน เหมาะกับสภาพภูมิอากาศของไทย

 

แบบบ้านไม้ หลังคาทรงจั่ว ดีไซน์ร่วมสมัย

ภาพ via trendir.com

 

บานหน้าต่างของตัวบ้านถูกดีไซน์ให้มีฟังก์ชันของการบังแดดเข้าสู่ตัวบ้านด้วยไม้ระแนง รวมไปถึงอีกหนึ่งฟังก์ชันเมื่อเปิดบานหน้าต่างออกก็สามารถกลายเป็นที่บังแดดด้านนอกบ้านได้ตามภาพ ซึ่งนี้คือข้อดีของการปลูกสร้างแบบบ้านที่ใช้ไม้เป็นวัสดุหลัก

 

แบบบ้านไม้ หลังคาทรงจั่ว ดีไซน์ร่วมสมัย

ภาพ via trendir.com

 

มาที่ภายในแบบบ้านไม้หลังคาทรงจั่ว ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ ประกอบกับหลังคาที่มีระดับความสูงจากพื้นเยอะพอสมควร ด้านในของแบบบ้านไม้นี้จึงดีไซน์ให้เป็นเหมือนห้อง Duplex ของคอนโดมิเนียมที่มีชั้นลอย พื้นที่ใช้สอยแบบบ้านไม้นี้จึงเสมือนเป็นบ้านสองชั้นเลยก็ว่าได้

 

แบบบ้านไม้ หลังคาทรงจั่ว ดีไซน์ร่วมสมัย

ภาพ via trendir.com

 

ภายในห้องนอนยังคนเน้นวัสดุที่เป็นไม้เป็นหลัก ทั้งเตียง วงกบบานหน้าต่าง ผนัง เหมาะกับคนที่ต้องการห้องที่ดู Real ใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง โดยมีการเน้นบานหน้าต่างให้สามารถมองวิวภายนอกได้ด้วย

 

3. แบบบ้านไม้ สไตล์ Eco Modern House

แบบบ้านไม้ สไตล์ Eco Modern House

ภาพ via trendhunter.com

 

แบบบ้านไม้แบบสุดท้ายเป็นบ้านแนวคิดใหม่ หรือ บ้านแบบ Prefab ที่มีรูปทรงเป็นบล็อกเหลี่ยม ๆ สำเร็จรูป แต่ในภาพจะเป็นแบบบ้านที่ใช้ไม้เป็นวัสดุหลักในการประกอบและตกแต่ง ดีไซน์จึงออกมาเป็นบ้านไม้สวย ๆ ทันสมัยมีความเป็นโมเดิร์น

 

แบบบ้านไม้ สไตล์ Eco Modern House

ภาพ via trendhunter.com

 

นอกจากโครงเหล็กที่มีความแข็งแรงประกอบกับไม้จริงที่ช่วยประหยัดพลังงานในเรื่องของความร้อนแล้ว แบบบ้านไม้ชั้นเดียวนี้ยังออกแบบให้หลังคาสไตล์โมเดิร์นที่ชั้นบนเป็นเสมือนชั้นลอยและปลูกต้นไม้เพื่อช่วยลดความร้อนจากแสงแดด และลดปริมาณน้ำฝนที่ไหลบ่าลงมาสู่ตัวบ้าน ซึ่งสามารถลดทั้งความร้อนได้ และป้องกันน้ำฝนขังบนฝ้าเพดานบ้านได้

 

แบบบ้านไม้ สไตล์ Eco Modern House

ภาพ via trendhunter.com

 

ข้อดี-ข้อด้อยของแบบบ้านไม้  

ข้อดีของแบบบ้านไม้

ข้อด้อยของแบบบ้านไม้

ให้ความเป็นธรรมชาติ เข้ากับของตกแต่งแนวธรรมชาติได้ดี

ต้องใช้ช่างที่ชำนาญและมีความพิถีพิถันในการก่อสร้าง

เข้ากับสภาพอากาศแบบร้อนชื้นของประเทศไทย

ต้นทุนในการสร้างบ้านไม้สูง ขึ้นอยู่กับวัสดุและเนื้อไม้  

สวยงาม มีเอกลักษณ์ ด้วยลวดลายธรรมชาติของเนื้อไม้

เนื้อไม้ยืด-หด ตามสภาพอากาศ อาจเกิดปัญหาน้ำรั่วซึม ไม้บวมน้ำ ไม้ผุ

แข็งแรง คงทน ยืดหยุ่นสูง ทนต่อแผ่นดินไหว 

บ้านไม้มักจะมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด สร้างความรำคาญได้

รื้อถอนและปรับปรุงได้ง่ายมากกว่าบ้านแบบอื่น ๆ

อาจมีปลวกและแมลงมากัดกินเนื้อไม้ ต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษ

 

แบบบ้านไม้สวย ๆ หลังนี้ถือเป็นนสไตล์ที่มีความโมเดิร์นทันสมัย รวมถึงช่วยประหยัดพลังงานเหมือน Eco House แต่มีดีไซน์ที่สวยงามกว่า นอกจากนั้นจากโครงสร้างที่เป็น Prefab ที่มีแค่ชั้นเดียว ยังอยู่ในงบประมาณการก่อสร้างที่ไม่สูงมากด้วย ถือว่าน่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการปลูกบ้านที่มีไม้เป็นส่วนประกอบหลักบนที่ดินของตัวเอง และอยู่ในงบประมาณที่จำกัด ส่วนใครที่ยังไม่มีที่ดินของตัวเอง เมื่อได้เห็นแบบบ้านไม้สวยๆ แบบนี้แล้วก็คงต้องเริ่มมองหาที่ดินในราคาไม่แพงมากมาปลูกบ้านไม้สักหลังแล้ว

4 ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อบ้านไม้ ข้อดี-ข้อด้อย และการดูแลรักษา

นอกจากบ้านไม้สวย ๆ ยังมีแปลนบ้านชั้นเดียว บ้าน 2 ชั้น บ้าน 3 ชั้น แบบบ้านฟรี ธอส.และบ้านสวย ๆ กว่า 20 สไตล์ พร้อมขั้นตอนยื่นก่อสร้างที่สำนักงานเขตไว้เป็นไอเดีย  

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
โรงจอดรถหน้าบ้าน 3 รูปแบบ และข้อควรรู้ก่อนต่อเติมโรงจอดรถ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/สร้างโรงจอดรถให้เหมาะกับบ้านและรถ-20723?locale=th www.ddproperty.com:resources:20723 Thu, 17 Mar 2022 16:11:04 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/11/Property_House_Car-Port-150x150.jpg"/></p> โรงจอดรถหน้าบ้าน 3 รูปแบบ และข้อควรรู้ก่อนต่อเติมโรงจอดรถ โรงจอดรถนับว่าเป็นพื้นที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งของบ้าน โดยเฉพาะกับครอบครัวที่มีรถยนต์ส่วนตัว และเนื่องจากบ้านจัดสรรบางโครงการไม่ได้ทำโรงจอดรถให้ หรือบ้านบางหลังอาจมีรถเพิ่มจนต้องขยับขยายพื้นที่ เจ้าของบ้านจึงต้องสร้างเองโรงจอดรถหน้าบ้านก็มีหลายแบบแตกต่างกันไป ส่วนจะวางแผนสร้างโรงจอดรถหน้าบ้านแบบไหนนั้น ติดตามข้อมูลด้านล่างเพื่อพิจารณาเลือกให้เหมาะสมที่สุดกับตนเองเลย

 

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจได้เร็วขึ้น

 

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนจะทำโรงจอดรถหน้าบ้าน

เจ้าของบ้านต้องรู้จำนวนและขนาดของรถที่จะจอดเสียก่อน สำหรับบ้านที่มีรถ 1-2 คัน มักจะไม่เป็นปัญหา แต่ถ้ามีมากกว่านั้น ก็อาจต้องสร้างโรงจอดรถหน้าบ้านให้มีเสากลาง เพื่อรับน้ำหนักหลังคาที่ยาวขึ้น โดยโรงจอดรถหน้าบ้านควรมีขนาดอย่างน้อย 2.5 x 5.0 เมตรต่อคัน แต่ในกรณีที่ใช้รถกระบะหรือรถตู้ขนาดใหญ่ ก็ควรเพิ่มขนาดโรงจอดรถหน้าบ้านเป็น 3.0 x 6.0 เมตรต่อคัน

ส่วนความแข็งแรงของพื้นที่ที่ใช้สร้างโรงจอดรถหน้าบ้านก็เป็นเรื่องสำคัญ หากพื้นดินมีโอกาสทรุดตัว ก็ควรต้องตั้งเสาเข็มก่อนก่อสร้าง หากพื้นที่เทปูนอยู่แล้ว ก็อาจตั้งเสาเหล็กอย่างเดียวก็ได้ รวมถึงต้องมีการเดินปลั๊กไฟและก๊อกน้ำ เพื่อความสะดวกในการล้างรถ นอกจากนี้ เจ้าของบ้านควรศึกษาข้อกฎหมายในการต่อเติม ก่อนออกแบบและจ้างผู้รับเหมาด้วย

 

 

เลือกรูปแบบโรงจอดรถหน้าบ้าน

โรงจอดรถแบบตั้งเสาใหม่ทั้งหมด

เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมที่สุด แต่ก็มีราคาแพงที่สุด เพราะจะต้องตั้งเสารับน้ำหนักหลังคาโรงจอดรถใหม่ทั้งหมด โดยไม่ยุ่งกับตัวบ้าน หากพื้นที่มีโอกาสทรุดตัว ก็ต้องตอกเสาเข็มรับน้ำหนักด้วย โรงจอดรถแบบนี้จะเหมาะกับผู้ที่ไม่อยากยุ่งกับโครงสร้างบ้าน หรือต้องการทำโรงจอดรถแบบแยกต่างหาก และอาจมีประตูและผนังปิดทึบ เพื่อใช้เก็บรถราคาแพง

โรงจอดรถแบบยึดกับโครงสร้างบ้าน

โรงจอดรถแบบนี้จะต้องตั้งเสารับน้ำหนักด้านหน้า และยึดด้านหลังเข้ากับโครงสร้างบ้าน ซึ่งมีราคาถูกกว่าการตั้งเสาใหม่ทั้งหมด แต่ปัญหาของโรงจอดรถแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อโครงสร้างบ้านและพื้นที่จอดรถทรุดตัวไม่เท่ากัน จนฉุดรั้งให้โครงสร้างบ้านโครงสร้างบ้านและโรงจอดรถเสียหาย แต่ก็สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการใช้ตัวยึดแบบแกว่งตัวได้

โรงจอดรถแบบหลังคากันสาด

หากบ้านมีช่องสำหรับจอดรถอยู่แล้ว แต่ยังได้ร่มเงาไม่เต็มทั้งพื้นที่จอด เจ้าของบ้านก็สามารถต่อเติมหลังคาโรงจอดรถแบบกันสาดยื่นออกมาได้อีกเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ การทำกันสาดยื่นยาวเกินไป น้ำหนักของกันสาดก็อาจสร้างความเสียหายให้กับผนังและโครงสร้างบ้าน หรือเมื่อถูกพายุพัดกระชาก กันสาดก็อาจหลุดไปสร้างความเสียหายกับรถและพื้นที่ใกล้เคียงได้

เมทัลชีท วัสดุยอดนิยมสำหรับมุงหลังคาโรงจอดรถ

เมทัลชีท วัสดุยอดนิยมสำหรับมุงหลังคาโรงจอดรถ

 

เลือกหลังคาโรงจอดรถ

หลังคากระเบื้อง

กระเบื้องมุงหลังคานั้นมีความสวยงามและเข้ากันกับตัวบ้าน แต่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกระเบื้องคอนกรีตที่ควรใช้กับหลังคาโรงจอดรถแบบเสาปูนเท่านั้น หากโครงสร้างโรงจอดรถรับน้ำหนักได้น้อย ก็ควรใช้กระเบื้องลอนคู่หรือวัสดุอื่นที่น้ำหนักเบา

หลังคาเมทัลชีท

เมทัลชีทเป็นวัสดุมุงหลังคาโรงจอดรถยอดนิยม เนื่องจากมีน้ำหนักเบาและมีราคาไม่แพง เหมาะกับโรงจอดรถโครงสร้างเหล็กกล่องและการทำกันสาด แต่เมทัลชีทจะมีเสียงดังเวลาฝนตกใส่ และไม่ป้องกันความร้อน จึงควรติดฉนวนเสริมด้วย

หลังคาไวนิล

ไวนิลเป็นวัสดุแบบใหม่ที่ผลิตจากพีวีซีคุณภาพสูง มีน้ำหนักเบา มีความทนทาน ป้องกันความร้อน และเสียงเบากว่าเมทัลชีท แต่ก็มีราคาแพงกว่า หากเจ้าของบ้านงบถึง หรือทำหลังคาใกล้กับหน้าต่างห้องนอน ก็ควรใช้หลังคาไวนิลดีกว่า

 

หลังคาโรงจอดรถหน้าบ้าน

จุดเด่น

หลังคากระเบื้อง

สวยงามเข้ากับตัวบ้าน แต่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก

หลังคาเมทัลชีท

น้ำหนักเบาและมีราคาไม่แพง

หลังคาไวนิล

น้ำหนักเบา ทนทาน ป้องกันความร้อน  และมีราคาแพง

 

เลือกวัสดุปูพื้นโรงจอดรถ

อิฐบล็อก

อิฐบล็อกเป็นวัสดุที่ให้ความเป็นธรรมชาติ จัดวางได้หลากหลายลวดลาย อิฐบล็อกบางแบบยังปลูกหญ้าแซมได้ แต่เจ้าของบ้านจะต้องปรับพื้นที่ให้แน่นและแข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับน้ำหนักรถทั้งคัน

คอนกรีต

คอนกรีตเทพื้นเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงที่สุด และทำได้หลายแบบ ทั้งการเทปูนเสริมเหล็กแล้วฉาบให้เรียบเฉย ๆ หรือเพิ่มรายละเอียดและความสวยงาม ด้วยการผสมสีหรือพิมพ์ลายบนพื้นปูน

กระเบื้องปูพื้น

กระเบื้องปูพื้นเป็นวัสดุยอดนิยมในการปูพื้นโรงจอดรถหน้าบ้าน เพราะปูง่าย มีให้เลือกหลากหลายลวดลาย แต่ควรใช้กระเบื้องที่มีความหยาบเพื่อกันพื้นลื่น และมีความแข็งเพื่อป้องกันการแตกกะเทาะ

จากข้อมูลทั้งหมดนี้ เจ้าของบ้านก็สามารถเลือกรูปแบบและวัสดุในการสร้างโรงจอดรถหน้าบ้านให้เหมาะสมกับตัวเองได้ไม่ยาก และเป็นประโยชน์ในการพูดคุยความต้องการกับผู้รับเหมา เพื่อให้ได้โรงจอดรถหน้าบ้านที่เหมาะสมต่อการใช้งาน และคุ้มค่ากับเงินที่จะต้องจ่ายให้มากที่สุด โดยไม่มีปัญหาจุกจิกกวนใจตามมาในภายหลัง

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
แต่งห้องสไตล์มินิมอลอย่างไรให้ขายต่อได้ง่ายได้ราคาดี https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ห้องสไตล์มินิมอล-60188?locale=th www.ddproperty.com:resources:60188 Wed, 23 Feb 2022 02:17:50 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2022/01/Minimal-style-room-cover-150x150.jpg"/></p> แต่งห้องสไตล์มินิมอลอย่างไรให้ขายต่อได้ง่ายได้ราคาดี เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยหรือได้ยินเกี่ยวกับห้องสไตล์มินิมอลอยู่บ่อย ๆ ซึ่งในความจริงแล้วห้องสไตล์มินิมอลหมายถึงห้องที่มีของตกแต่งน้อยชิ้นเสมอไปหรือไม่ และเพราะเหตุใดจึงง่ายต่อการขายต่อหรือปล่อยเช่า วันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน

Subscription Banner for Article

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

ทำความรู้จักห้องสไตล์มินิมอล

ห้องสไตล์มินิมอลคือห้องที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น เน้นดีไซน์เรียบง่ายแต่ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายฟังก์ชัน เช่น โซฟาเบด เตียงที่มีลิ้นชักเก็บของ โต๊ะวางทีวีที่สามารถเก็บของได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บให้ห้องเป็นระเบียบ

โดยหลักการของการตกแต่งสไตล์มินิมอลคือไม่มีของที่ไม่จำเป็นหรือเกินความจำเป็นมาทำให้ห้องรก นั่นหมายความว่าของตกแต่ง เช่น กรอบรูปต่าง ๆ จะแทบไม่ค่อยมี ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นและอะไรที่ไม่จำเป็นให้ตัดออกไป

เลือกสีบ้านตามหลักฮวงจุ้ย VS อารมณ์

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ห้องสไตล์มินิมอลเป็นที่จดจำก็คือการใช้โทนสีอ่อนและโทนสีธรรมชาติ เช่น ขาว น้ำตาลอ่อน เทาอ่อน เทาเข้ม มาสร้าง Mood & Tone ให้ห้องมีความสมดุลและสบายตา แต่ในความเรียบง่ายของห้องสไตล์มินิมอลกลับมีเสน่ห์ดึงดูดให้ใครหลายคนหลงไหลการแต่งห้องสไตล์นี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

สี

ส่งผลอย่างไรต่อความรู้สึก

สีเขียว

สีแห่งความร่มรื่น สบายตา ผ่อนคลายและปลอดภัย

สีน้ำเงิน

สีแห่งความสุขุม เยือกเย็น ละเอียดรอบคอบและหนักแน่น

สีฟ้า

สีแห่งความเป็นอิสระ โปร่งโล่งสบาย ช่วยให้ผู้อยู่อารมณ์เย็นขึ้น ลดความกระวนกระวายใจได้ดี

สีเหลือง

สีแห่งความสนุกสนาน ความฉลาดรอบรู้ ความสดใสร่าเริงและเพิ่มอารมณ์ขัน ทั้งยังสามารถใช้เยียวยาอาการท้อแท้ หดหู่ หมดกำลังใจ

ตกแต่งห้องแบบไหนเรียกห้องสไตล์มินิมอล

เมื่อรู้หลักกการของห้องสไตล์มินิมอลแล้ว คนที่อยากเข้าวงการนี้คงอยากรู้ว่าแล้วว่าตกแต่งห้องแบบไหนถึงจะเรียกว่ามินิมอลลองมาดูกัน

1. มีพื้นที่เหลือใช้เยอะ

สิ่งสำคัญของห้องสไตล์มินิมอลคือการใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น โฟกัสสิ่งของที่จำเป็นเท่านั้น นอกจากนี้ต้องเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ดีไซน์เรียบง่าย ไม่หวือหวา ซึ่งจะทำให้ห้องสไตล์มินิมอลมีพื้นที่ว่างเหลืออยู่มากกว่าการตกแต่ง ในอัตราส่วนโดยประมาณ พื้นที่ว่าง 60% และพื้นที่ตกแต่ง 40%

2. ใช้โทนสีสว่างหรือสีโมโนโทนในการตกแต่ง

นอกจากของตกแต่งไม่เยอะแล้ว ห้องสไตล์มินิมอลมักจะใช้โทนสีอ่อนเพื่อเพิ่มความสว่างให้กับห้อง เช่น สีขาว เทาอ่อน เทาเข้ม น้ำตาลอ่อน

3. เฟอร์นิเจอร์ดีไซน์เรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์

จริงอยู่ที่การตกแต่งห้องสไตล์มินิมอลจะเน้นความเรียบง่ายและมีของตกแต่งน้อยชิ้น แต่ในทางกลับกัน เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ต้องมีความเรียบง่ายสไตล์โมเดิร์นหรือมีการออกแบบที่โดดเด่นน่าสนใจ เช่น โคมไฟเรียบ ๆ หรือดีไซน์บางเฉียบ เก้าอี้พื้น ๆ ที่ไม่มีลวดลาย แต่มีรูปทรงที่ดูมีคอนเซ็ปต์ ลดทอนความไม่จำเป็นให้เหลือแต่ความเรียบง่ายที่ดูโดดเด่นในแบบของตัวเอง

ซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านแบบไหนให้เหมาะกับบ้านคุณ

4. คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ

ด้วยการตกแต่งที่เน้นพื้นที่ว่างถึง 60% ของห้อง ห้องสไตล์มินิมอลจึงเน้นการจัดเก็บที่เป็นระเบียบ เพื่อให้ดูสะอาด สบายตามากที่สุด ทำให้พื้นที่จัดเก็บต่าง ๆ มักถูกออกแบบให้กลมกลืนไปกับตัวอาคารและเฟอร์นิเจอร์ เช่น การออกแบบผนังให้มีพื้นที่ใต้บันได หรือมุมต่าง ๆ ที่สามารถซ่อนตู้ หรือลิ้นชักเก็บของได้ โดยออกแบบหน้าบานต่าง ๆ ให้กลมกลืนไปกับผนังห้องนั่นเอง

แต่งห้องสไตล์มินิมอล มีข้อดีหลายด้าน

ข้อดีของห้องสไตล์มินิมอล

สิ่งที่เป็นข้อดีของห้องสไตล์มินิมอลไม่ใช่แค่ความเรียบง่าย แต่ยังแฝงด้วยอะไรหลายอย่าง

1. ช่วยคลายเครียด

การที่ห้องเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายจะทำให้รู้สึกอึดอัด เพราะการแต่งสไตล์มินิมอลจะทำให้ห้องดูโล่งโปร่งสบายตา เนื่องจากมีการจัดเก็บที่เป็นระเบียบและลดทอนความไม่จำเป็นต่าง ๆ ออกไป ที่สำคัญยังช่วยให้ตอนขนย้ายสิ่งของเมื่อต้องขายต่อหรือปล่อยเช่าได้สะดวกมากขึ้นเพราะไม่ต้องขนของเยอะอีกด้วย

2. สร้างเสน่ห์ให้น่าสนใจ

ในความเรียบง่ายของห้องสไตล์มินิมอลมักแฝงด้วยความสวยงามของการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ หรือจะมีต้นไม้สวย ๆ หรืองานศิลปะสักชิ้น ก็ทำให้ห้องสไตล์มินิมอลมีความน่าดึงดูดขึ้น

3. ง่ายต่อการทำความสะอาด

ยิ่งมีของตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นยิ่งทำให้การทำความสะอาดง่ายดายและรวดเร็วขึ้น เพราะไม่ต้องปัดกวาดเช็ดถูหลายอย่าง ยิ่งมีของในห้องเยอะก็ยิ่งเป็นตัวจับฝุ่นมากขึ้น ดังนั้นห้องสไตล์มินิมอลจึงตอบโจทย์ผู้รักสะอาดและชอบความเป็นระเบียบได้เป็นอย่างดี

 

ทำไมห้องสไตล์มินิมอลจึงปล่อยขาย-เช่า ได้ราคาดี

นอกจากการตกแต่งที่ถูกใจคนรักความเรียบง่ายแบบ Less is more แล้ว ห้องสไตล์มินิมอลยังมีข้อดีในเรื่องการลงทุนเพื่อปล่อยขายหรือเช่าอีกด้วย เนื่องจากคอนโดยุคใหม่มักจะมีขนาดห้องที่เล็กลง การตกแต่งที่โชว์ความว่างของพื้นที่ โดยเน้นฟังก์ชันการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์ที่หลากหลายจึงสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ต้องการอยู่คอนโดได้เป็นอย่างดี

ถ้ามองให้ลึกไปกว่านั้นในแง่ของการลงทุนคือห้องที่มีขนาดเล็กมักจะปล่อยขายได้ง่ายกว่าห้องขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนี้การตกแต่งห้องสไตล์มินิมอลจึงตอบโจทย์ เพราะทำให้ห้องดูกว้างขึ้น ใช้งบตกแต่งไม่เยอะเพื่อให้ขายต่อได้กำไรมากที่สุด จึงทำให้สามารถปล่อยขายหรือเช่าต่อได้ไม่ยาก เพราะนอกจากจะช่วยลดภาระการตกแต่งที่ไม่จำเป็นแล้ว การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ราคาสมเหตุสมผลจะช่วยลดปัญหาและค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ในอนาคตด้วย

7 เทคนิค ช่วยปล่อยเช่าบ้าน-คอนโดได้ในช่วงนี้

หากใครที่กำลังมองหาคอนโดหรือชอบการตกแต่งในสไตล์มินิมอลอยู่แล้ว นับว่าเป็นการตกแต่งที่คุ้มค่า เพราะนอกจากมีสไตล์ที่เรียบง่ายแล้วยังต่อยอดไปถึงการลงทุนทั้งขายและปล่อยเช่าในอนาคตได้ง่ายด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ห้องน้ำผู้สูงอายุกับ 11 เรื่องต้องรู้เพื่อรับสังคมผู้สูงอายุ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ห้องน้ำผู้สูงอายุ-60177?locale=th www.ddproperty.com:resources:60177 Tue, 22 Feb 2022 14:31:12 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2022/01/Elderly-toilet-cover-150x150.jpg"/></p> ห้องน้ำผู้สูงอายุกับ 11 เรื่องต้องรู้เพื่อรับสังคมผู้สูงอายุ ห้องน้ำผู้สูงอายุเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับบ้านที่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ เนื่องจากห้องน้ำธรรมดาภายในบ้านอาจไม่เอื้อต่อสุขภาพร่างกายของผู้สูงอายุได้ครบทุกด้านจนนำมาซึ่งอุบัติเหตุภายในห้องน้ำได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลากับบุคคลสูงอายุภายในครอบครัว ห้องน้ำผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรมีไว้ในบ้าน มาดูกันว่าเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับห้องน้ำผู้สูงอายุมีเรื่องใดบ้าง

Subscription Banner for Article

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับห้องน้ำผู้สูงอายุ

1. พื้นภายในและภายนอกห้องน้ำผู้สูงอายุ

ห้องน้ำผู้สูงอายุควรมีระดับพื้นภายในและภายนอกเป็นระดับเดียวกัน ไม่ลาดเอียง หรือต่างระดับ เพื่อป้องกันการสะดุดล้ม

2. ขนาดห้องน้ำผู้สูงอายุ

พื้นที่ภายในห้องน้ำควรมีความกว้างอย่างน้อย 1.5x2 เมตร เพื่อให้รถเข็นสามารถหมุนกลับตัวได้สะดวก แต่ควรระวังไม่ให้พื้นที่ภายในห้องน้ำผู้สูงอายุกว้างมากเกินไปเช่นกันเพราะอาจทำให้ผู้สูงอายุต้องเดินมากขึ้น

3. พื้นห้องน้ำผู้สูงอายุ

ห้องน้ำผู้สูงอายุควรมีการปูพื้นห้องน้ำด้วยกระเบื้องเนื้อหยาบหรือกระเบื้องกันลื่น ไม่ควรใช้กระเบื้องที่มันหรือลื่นเกินไป นอกจากนี้ควรหมั่นดูแลทำความสะอาดพื้นของห้องน้ำผู้สูงอายุอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและป้องกันการเกิดตะไคร่คราบหมักหมมที่ทำให้พื้นห้องน้ำผู้สูงอายุลื่นได้ อาจมีการเปลี่ยนสีหรือลายกระเบื้องที่แตกต่างกันเพื่อแยกโซนเปียกและโซนแห้งภายในห้องน้ำผู้สูงอายุ

นอกจากนี้ สีของกระเบื้องภายในห้องน้ำผู้สูงอายุควรมีความแตกต่างจากสีของผนังและสุขภัณฑ์อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการสะดุดสุขภัณฑ์ เป็นต้น

ค่ากันลื่น (ค่า R)

พื้นที่ที่เหมาะกับการติดตั้ง

R9

พื้นที่แห้ง เช่น ทางเข้า บันได ห้องรับประทานอาหาร ห้องรับแขก โถงทางเดิน

R10

บริเวณที่ต้องเปียกน้ำ เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว ที่จอดรถ

R11

พื้นที่ภายนอกบ้าน หรือพื้นที่ที่ต้องโดนน้ำบ่อย เช่น ห้องน้ำผู้สูงอายุ รอบสระว่ายน้ำ บันไดนอกบ้าน

R12

พื้นที่ที่มีความลาดชันสูง หรือมีการเปื้อนคราบน้ำมันหรือไขมัน รวมถึงสระว่ายน้ำ

R13

พื้นที่ที่มีความลาดชันสูง หรือมีการเปื้อนคราบน้ำมันหรือไขมัน

4. ประตูห้องน้ำผู้สูงอายุ

ประตูของห้องน้ำผู้สูงอายุควรเป็นบานพับแบบเปิดออกด้านนอกหรือบานเลื่อน เพื่อความสะดวกในการเปิดเข้าไปช่วยเหลือหากเกิดอุบัติเหตุบริเวณประตู ในส่วนของด้ามจับประตูควรเป็นแบบก้านโยกที่เปิดง่ายไม่ต้องออกแรงมากและมีการติดราวจับช่วยทรงตัวด้านข้าง ความกว้างของประตูห้องน้ำผู้สูงอายุควรกว้างอย่างน้อย 90 เซนติเมตร เผื่อกรณีที่ผู้สูงอายุต้องนั่งรถเข็นจะได้สามารถเข็นเข้าห้องน้ำผู้สูงอายุได้สะดวก

5. ไฟและแสงสว่าง

บริเวณหน้าห้องน้ำผู้สูงอายุและภายในห้องน้ำผู้สูงอายุควรมีแสงสว่างที่เพียงพอต่อการมองเห็นของผู้สูงอายุ และแสงไฟของห้องน้ำผู้สูงอายุควรเป็นแสงสีขาวเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถมองสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนเพื่อป้องกันการสะดุดล้มและสามารถหยิบจับสิ่งของภายในห้องน้ำผู้สูงอายุได้ง่าย

วิธีเปลี่ยนหลอดไฟด้วยตัวเอง และรู้จัก 5 ชนิดของหลอดไฟ

6. โถสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำผู้สูงอายุ

โถสุขภัณฑ์ในห้องน้ำผู้สูงอายุควรเป็นชักโครกที่มีที่นั่งสูงจากพื้น 43-45 เซนติเมตร ซึ่งเป็นระดับที่ผู้สูงอายุสามารถลุกนั่งได้อย่างสะดวก ตัวโถสุขภัณฑ์ควรมีความแข็งแรง รับน้ำหนักได้ตามมาตรฐานเพื่อป้องกันการโยกเอนหรือล้ม

บริเวณโถสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำผู้สูงอายุควรมีราวทรงตัวอยู่ด้านข้างซึ่งอาจมีฝั่งเดียวหรือทั้งสองฝั่งก็ได้ สายฉีดภายในห้องน้ำผู้สูงอายุควรติดตั้งไว้ด้านข้างโถสุขภัณฑ์เพื่อให้หยิบใช้ง่ายและสามารถปรับระดับแรงดันได้ นอกจากนี้ควรติดสัญญาณฉุกเฉินไว้ข้างชักโครกด้วย

อ่างล้างหน้าภายในห้องน้ำผู้สูงอายุ

7. อ่างล้างหน้าภายในห้องน้ำผู้สูงอายุ

การติดตั้งอ่างล้างหน้าภายในห้องน้ำผู้สูงอายุควรสูงจากพื้นประมาณ 70-80 เซนติเมตร และมีความแข็งแรงสามารถรองรับน้ำหนักได้ดี เนื่องจากผู้สูงอายุมักเท้าแขนและทิ้งน้ำหนักระหว่างการใช้อ่างล้างหน้า

ดังนั้นควรตรวจสอบความแข็งแรงของอ่างล้างหน้าภายในห้องน้ำผู้สูงอายุให้ดีเพื่อป้องกันการพังลงมาหรือการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงตามมา

นอกจากนี้ก๊อกน้ำที่ใช้ภายในห้องน้ำผู้สูงอายุควรใช้แบบก้านโยก ปัดด้านข้าง หรือแบบอัตโนมัติเพื่อความสะดวกต่อการใช้งาน ไม่ต้องออกแรงมาก ขอบมุมของอ่างล้างหน้าควรเป็นแบบมนเพื่อป้องกันการชนหรือล้มกระแทก

8. ฝักบัวอาบน้ำ

ภายในห้องน้ำผู้สูงอายุควรเลือกใช้ฝักบัวที่มีแรงดันน้ำต่ำหรือปรับระดับแรงดันน้ำได้ ตำแหน่งฝักบัวของห้องน้ำผู้สูงอายุถ้าสามารถปรับขึ้นลงได้จะสะดวกมากยิ่งขึ้นเพราะทุกคนภายในบ้านจะได้ใช้ร่วมกันได้ นอกจากนี้วาล์วเปิดฝักบัวควรเป็นแบบก้านยาวที่ไม่ต้องออกแรงในการเปิด-ปิดมาก

9. เก้าอี้นั่งอาบน้ำ

สิ่งที่จำเป็นอย่างมากอย่างประการหนึ่งในห้องน้ำผู้สูงอายุคือ เก้าอี้นั่งอาบน้ำ เพราะผู้สูงอายุไม่สามารถยืนได้นาน โดยเก้าอี้นั่งอาบน้ำในห้องน้ำผู้สูงอายุที่เหมาะสมต้องมีความสูงอยู่ที่ประมาณ 45-50 เซนติเมตร ขาเก้าอี้ควรมีความฝืด ไม่ลื่นไถลง่าย วัสดุแข็งแรงทนทาน นอกจากนี้การจัดวางเก้าอี้ในห้องน้ำผู้สูงอายุควรอยู่ใกล้กับฝักบัวและฝาผนังที่มีการติดตั้งราวจับเพื่อพยุงตัวไว้ด้วย

10. การแบ่งโซนเปียกโซนแห้งภายในห้องน้ำผู้สูงอายุ

ในการแบ่งโซนเปีกโซนแห้งของห้องน้ำผู้สูงอายุนอกจากจะใช้วิธีการเปลี่ยนสีพื้นแล้ว อาจใช้เป็นม่านกั้นระหว่างห้องสำหรับอาบน้ำไว้ก็ได้ แต่ไม่ควรใช้เป็นกระจกกั้นเพราะผู้สูงอายุอาจเดินชนจนทำให้เกิดอุบัติเหตุตามมาได้ และควรทำให้พื้นห้องน้ำผู้สู้งอายุในโซนแห้งแห้งอยู่เสมอ เมื่อพื้นเปียกควรเช็ดทำความสะอาดเพราะพื้นที่เปียกลื่นอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุภายในห้องน้ำผู้สูงอายุได้

สัญญาณฉุกเฉิน อีกหนึ่งสำคัญสำหรับห้องน้ำผู้สูงอายุ

11. การติดตั้งสัญญาณฉุกเฉิน

สิ่งที่ขาดไม่ได้ในห้องน้ำผู้สูงอายุ คือ สัญญาณฉุกเฉิน เพื่อให้คนภายนอกสามารถรับรู้สัญญาณและเข้าไปช่วยเหลือได้ทันท่วงที โดยการติดตั้งสัญญาณฉุกเฉินอาจติดไว้บริเวณโถสุขภัณฑ์ บริเวณที่อาบน้ำ หรือบริเวณที่ผู้สูงอายุสามารถใช้งานได้ง่าย

บ้านผู้สูงอายุกับ 4 เคล็ดลับปรับพื้นที่ในบ้านให้เหมาะกับการใช้ชีวิต

เพราะอุบัติเหตุเป็นเรื่องที่เราคาดไม่ถึง และอุบัติเหตุภายในห้องน้ำของผู้สูงอายุก็เป็นสิ่งที่มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นการใส่ใจในรายละเอียดเกี่ยวกับห้องน้ำผู้สูงอายุตามเนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้นจึงเป็นเหมือนการป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันไม่ให้เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุซึ่งเป็นบุคลลอันเป็นที่รักของเราได้เป็นอย่างดี

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
รีโนเวทบ้านไม้ 5 จุดที่ต้องตรวจเช็กให้ชัวร์ก่อนลงมือ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/รีโนเวทบ้านไม้-5-จุดที่ต้องตรวจเช็กให้ชัวร์ก่อนลงมือ-54562?locale=th www.ddproperty.com:resources:54562 Sun, 30 Jan 2022 18:26:46 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/08/shutterstock_673380751-150x150.jpg"/></p> รีโนเวทบ้านไม้ 5 จุดที่ต้องตรวจเช็กให้ชัวร์ก่อนลงมือ การรีโนเวทบ้านไม้ เป็นเรื่องที่เจ้าของบ้านหรือคนที่กำลังวางแผนจะสร้างบ้านไม้ต้องศึกษาไว้ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป บ้านไม้ที่สวยงาม ก็ย่อมต้องมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ซึ่งจะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา มาดูข้อดี-ข้อเสีย รวมทั้งการรีโนเวทบ้านไม้ จุดไหนที่มักเกิดปัญหา ต้องมีการซ่อมแซม เพื่อให้บ้านไม้สวยงาม คงทน แข็งแรง เหมือนใหม่อยู่เสมอ

Subscription Banner for Article

 

ข้อดีของบ้านไม้

"ไม้" เป็นวัสดุหลักที่นิยมนำมาใช้สร้างบ้านในอดีต เพราะสามารถหาได้ง่ายตามธรรมชาติ แต่นอกเหนือจากไม้แล้ว ในปัจจุบันมีการใช้วัสดุอื่น ๆ มาในการสร้างบ้าน นอกจากบ้านไม้ ยังมีบ้านดิน บ้านอิฐ และบ้านปูน ซึ่งเรียกตามวัสดุหลักที่นำมาใช้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้บ้านไม้ลดความนิยมลง ด้วยข้อดีต่าง ๆ เหล่านี้

1. สวยงาม

บ้านไม้มีความสวยงาม คลาสสิก ร่วมสมัย ไม่ตกยุค ดังจะเห็นได้ว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังคงมีการสร้างบ้านไม้ให้เห็นกันอยู่

 

2. แข็งแรง ทนทาน

ด้วยความที่ไม้มีความยืดหยุ่น เพราะฉะนั้นเวลาที่เกิดภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว บ้านไม้จึงมีความแข็งแนง ทนทาน เกิดรอยร้าวได้ยากกว่าเมื่อเทียบกับบ้านที่สร้างด้วยวัสดุอื่น ๆ

 

3. ถ่ายเทอากาศได้ดี

บ้านไม้จะอากาศถ่ายเทได้สะดวก เนื่องจากบ้านไม้จะมีช่องว่างตามรอยต่อของไม้ ผนังไม่ได้ทึบจนไม่มีช่องว่างให้อากาศถ่ายเท ทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่รู้สึกอบอ้าวเวลาอยู่ภายในบ้าน ช่วยประหยัดพลังงาน ไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา

 

4. ปรับแต่ง ต่อเติมได้

ด้วยความที่ไม้เป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง หากต้องการปรับแต่ง ต่อเติม หรือรีโนเวทบ้านไม้ ก็สามารถทำได้ง่าย อีกทั้งยังผสมผสานเข้ากับวัสดุอื่น ๆ ได้อย่างลงตัว ที่พบเห็นบ่อย ๆ คือ การนำไม้มาผสมกับปูน หรือโครงสร้างเหล็ก

3 แบบบ้านไม้ทันสมัยสำหรับครอบครัวรักธรรมชาติ

Guide

3 แบบบ้านไม้ทันสมัยสำหรับครอบครัวรักธรรมชาติ

5. รื้อถอน เคลื่อนย้ายสะดวก

ถ้าหากต้องการจะโยกย้าย ก็สามารถรื้อถอนบ้านไม้ และเคลื่อนย้ายไปสร้างบ้านใหม่บนที่ดินของตัวเอง ได้ ถือเป็นการรีโนเวทบ้านไม้ ปรับปรุงตกแต่งใหม่ให้สวยงามไปในตัว 

 

ข้อเสียของบ้านไม้

แม้บ้านไม้จะมีข้อดี แต่ถ้าพูดถึงข้อเสียแล้วก็มีเช่นเดียวกัน และอาจทำให้ต้องรีโนเวทบ้านไม้เร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้

1. ปลวก มด แมลงกัดแทะ

อาจจะต้องทำใจไว้ก่อนเลย เพราะบ้านไม้เสี่ยงต่อการถูกปลวก มด แมลง มากัดเนื้อไม้ ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลและบำรุงรักษาไม้เป็นพิเศษ เช่น ทาสีกันแมลง เพื่อป้องกันการผุกร่อนของเนื้อไม้

 

2. บ้านรั่วซึม

วัสดุไม้มีข้อดีในเรื่องของความยืดหยุ่นก็จริง แต่ก็มักจะยืดหรือหดตามสภาพอากาศ ในช่วงหน้าฝนจึงอาจเกิดปัญหาบ้านรั่วซึมระหว่างช่องไม้ได้ ควรตรวจเช็กก่อนรีโนเวทบ้าน ป้องกันได้ด้วยการทาน้ำยากันรั่วซึม 

 

3. ไม้ชื้น เสื่อมสภาพเร็ว

ไม้ชื้นเป็นอีกหนึ่งข้อเสียของบ้านไม้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ระเบียง หรือบันไดที่เสี่ยงโดนฝนเป็นประจำ ต้องมีการทาสีน้ำมันหรือสีพลาสติก เพื่อกันความชื้น ไม่ให้น้ำซึมลงเนื้อไม้ เสี่ยงไม้ผุพังได้ในอนาคต

 

4. มีเสียงดังเวลาเดิน

บ้านไม้มักมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเวลาเดินในบ้าน เป็นผลจากการยืดและหดตัวของเนื้อไม้ ทำให้ได้ยินเสียงรบกวนทั้งจากนอกบ้านและในบ้าน นอกจากนั้นยังมีเสียงที่ลอดผ่านช่องรอยต่อของไม้ เพื่อลดเสียงรบกวนที่สร้างความรำคาญใจ อาจจะต้องปูวัสดุตกแต่ง เช่น กระเบื้องยาง พื้นไม้ไวนิล พรมทับพื้นไม้เดิม เพื่อปิดร่องรอยต่อระหว่างพื้นไม้

 

5. ราคาสูง

ปัจจุบันไม้มีราคาสูง อาจทำให้เสียงบประมาณในการสร้างบ้านเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะไม้เนื้อดี เนื้อแข็ง ซึ่งมีความแข็งแรงทนทาน นิยมนำมาวางโครงสร้างบ้าน ก็จะมีราคาสูง อีกทั้งการสร้างบ้านไม้ต้องอาศัยช่างที่มีความชำนาญซึ่งหาได้ค่อนข้างยาก

 

สรุปข้อดี-ข้อเสียของบ้านไม้

ข้อดีของบ้านไม้

ข้อเสียของบ้านไม้

สวยงาม

ปลวก มด แมลงกัดแทะ

แข็งแรง ทนทาน

บ้านรั่วซึม

ถ่ายเทอากาศได้ดี

ไม้ชื้น เสื่อมสภาพเร็ว

ปรับแต่ง ต่อเติมได้

มีเสียงดังเวลาเดิน

รื้อถอนง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก

มีราคาสูง

 

5 จุดต้องตรวจเช็ก ก่อนรีโนเวทบ้านไม้

การรีโนเวท (Renovate) คือ การบูรณะ การซ่อมแซมให้กลับมามีสภาพดีเหมือนเดิม  เช่น การรีโนเวทบ้านคือการปรับปรุงบ้าน ซ่อมแซมบ้านให้กลับมามีสภาพดีหรืออาจปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ไปเลยก็ได้ โดยในการรีโนเวทบ้านไม้ มีหลายจุดที่ต้องตรวจเช็ก โดยเฉพาะ 5 จุดสำคัญเหล่านี้ เพื่อให้บ้านไม้สวยงาม ดูใหม่อยู่เสมอ และอยู่กับเราไปได้นาน ๆ

 

5 จุดต้องตรวจเช็ก ก่อนรีโนเวทบ้านไม้

 

1. ประตู หน้าต่าง

การรีโนเวทบ้านไม้ ควรให้ความสำคัญบริเวณ ประตู หน้าต่าง เพราะจุดดังกล่าวมีการใช้งานบ่อย มีการเปิด-ปิด อาจเกิดความเสียหาย หรือชำรุดได้ง่ายที่สุด ยิ่งถ้าหากโดนฝนบ่อบ ๆ จะเกิดการเปียกชื้น ก่อนรีโนเวทบ้านไม้ จึงเป็นจุดแรกที่ควรตรวจเช็ก

วิธีแก้ไข: หากพบว่าไม้บวมชื้น เกิดความเสียหาย ทำให้เปิด-ปิดประตู หน้าต่างได้ยาก ให้ไสบริเวณที่บวมออกไป และทาสีน้ำมันทาไม้ทับอีกชั้น ถ้ามีความเสียหายมาก ให้เอาออกและเปลี่ยนแผ่นใหม่เข้าไปแทน 

 

2. พื้น-ผนังบ้าน

แม้ว่าบริเวณพื้นบ้าน ผนังบ้าน จะไม่ค่อยได้ถูกแสงแดด ลม หรือฝน แต่ก็เกิดความเสียหายได้เช่นกัน เช่น รอยขีดข่วนต่าง ๆ จากการลากเฟอร์นิเจอร์ การที่มีกรวดหรือทรายบนพื้นไม้ และการขีดข่วนจากสัตว์เลี้ยง อาจทำให้พื้นบ้านหรือแม้แต่ผนังบ้านเกิดรอยได้ แม้จะหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งถ้าใครที่หลงรักงานไม้ก็อาจจะทำใจในข้อนี้ไม่ได้จริง ๆ

วิธีแก้ไข: การรีโนเวทบ้านไม้ในจุดนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มจากตรวจเช็กความลึกและขนาดของรอยขีดข่วนก่อน หากรอยไม่ลึกมาก สามารถซ่อมได้ด้วยปากเกอร์ย้อมสี รอยลึกปานกลาง ใช้แท่งขี้ผึ้งสีที่ใกล้เคียงกับพื้นไม้ของเรา รอยลึกมากซ่อมด้วยสีโป๊วไม้และปาดให้เรียบไปกับผิวหน้าพื้นไม้ หรือขัดพื้นและเคลือบผิวใหม่ ในกรณีที่มีรอยข่วนจำนวนมาก

 

3. ระเบียงบ้าน

โดยส่วนใหญ่แล้วระเบียงบ้านหรือชานบ้าน เป็นจุดที่เกิดความเสียหายได้บ่อย เพราะเป็นจุดที่ต้องโดนทั้งแดด ลม ฝน มากกว่าจุดอื่น ๆ อาจทำให้ไม้เกิดความเสียหาย เนื้อไม้ซีดหรือผุพังได้ เป็นอีกจุดที่ก่อนรีโนเวทบ้านไม้ต้องตรวจเช็กให้ดี 

วิธีแก้ไข: ทาสีน้ำมัน หรือสีพลาสติก เพื่อเป็นการดูแลเนื้อไม้ และยังทำให้เนื้อไม้มีสีที่เด่นชัด สวยงาม

 

4. เนื้อไม้

การรีโนเวทบ้านไม้ ควรดูแลรักษาเนื้อไม้ให้มีความแข็งแรง ทนทาน เพื่อให้มีอายุการใข้งานที่ยาวนาน โดยควรตรวจเช็กเนื้อไม้ทุก ๆ 4 เดือน เพราะหากมีปลวกมาทำลายเนื้อไม้จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที

วิธีแก้ไข: ใช้น้ำยาเคลือบเนื้อไม้ เพื่อให้อายุไม้ยาวนาน แถมยังลดปัญหาเนื้อไม่เสียหายมากขึ้น

 

5. เฟอร์นิเจอร์ไม้

ด้วยความที่เป็นบ้านไม้ เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้จึงเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้เพื่อให้ดูเข้ากัน และถึงแม้เฟอร์นิเจอร์ไม้เหล่านี้จะอยู่ในบ้าน ไม่ได้ออกมาโดนแดด โดนฝน แต่ก็อาจจะชำรุดเสียหายได้จากการโดนน้ำเวลาทำความสะอาดบ้าน ไม้เกิดความชื้นจากการที่น้ำซึมเข้าเนื้อไม้ รีโนเวทบ้านไม้ทั้งที จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่นำมาตกแต่งบ้านด้วย

วิธีแก้ไข: ควรเลือกใช้น้ำยาเคลือบผิวไม้ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าเนื้อไม้ หรือถ้าเฟอร์นิเจอร์ไม้ชิ้นไหนเกิดความเสียหายผุพังมาก อาจจะถือโอกาสนี้เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ จะได้เข้ากับบ้านไม้หลังงามที่รีโนเวทจนสวยเหมือนใหม่

หาช่างซ่อมอย่างไรให้ปลอดภัย ซ่อมได้ ไม่โดนโกง

Guide

หาช่างซ่อมอย่างไรให้ปลอดภัย ซ่อมได้ ไม่โดนโกง

บ้านไม้มีอายุใช้งานอยู่ได้นานเป็น 100 ปีก็จริง แต่ถ้าไม่ดูแลรักษา หรือรีโนเวทบ้านไม้ ก็อาจทำให้บ้านไม้ที่เคยสวยงามนั้น เกิดความเสียหายและเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ อยากให้บ้านสวยอยู่กับเราไปได้นาน ๆ สามารถตรวจเช็กและซ่อมแซมได้ในบางจุด แต่ในบางจุดต้องอาศัยช่างที่มีความชำนาญ

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ค่า Ft คืออะไร 3 ส่วนหลักที่ใช้ในการคิดค่าไฟ จากข้อมูลการไฟฟ้านครหลวง https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ทำความเข้าใจ-ค่า-Ft-คืออะไร-เกี่ยวกับค่าไฟอย่างไร-24113?locale=th www.ddproperty.com:resources:24113 Sat, 29 Jan 2022 12:44:52 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/03/Electric-bill-money-150x150.jpg"/></p> ค่า Ft คืออะไร 3 ส่วนหลักที่ใช้ในการคิดค่าไฟ จากข้อมูลการไฟฟ้านครหลวง เมื่อไหร่ก็ตามที่ค่า Ft (เอฟที) ปรับขึ้น ค่าไฟก็จะขยับขึ้น และเมื่อไหร่ที่ ค่า Ft ปรับลด ค่าไฟก็จะขยับลดลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ไฟฟ้าของเราด้วยเช่นกัน ลองมาทำความรู้จักกับค่า Ft คืออะไร และมีผลต่อค่าไฟที่เราเสียไปในแต่ละเดือนอย่างไร

 

ค่าไฟฟ้าประกอบด้วยอะไรบ้าง และค่า Ft คืออะไร

การคิดค่าไฟจะประกอบด้วยหลาย ๆ ส่วน ซึ่งค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือนประกอบด้วย 3 ส่วน คือ

1. ค่าไฟฟ้าฐาน 

ค่าการใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะคิดจากต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า โดยวิธีการคำนวณก็จะแบ่งตามประเภทผู้ใช้งาน ได้แก่

ประเภทที่ 1 บ้านอยู่อาศัย
ประเภทที่ 2 กิจการขนาดเล็ก
ประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง
ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่
ประเภทที่ 5 กิจการเฉพาะอย่าง
ประเภทที่ 6 องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร
ประเภทที่ 7 กิจการสูบน้ำเพื่อการเกษตร
ประเภทที่ 8 ไฟฟ้าชั่วคราว

*ทั้งนี้ ในแต่ละประเภท ก็จะแบ่งหน่วยการคิดค่าไฟฟ้าแยกย่อยตามแต่ละหน่วยที่แบ่งการคิดต้นทุนไว้

 

2. ค่า Ft

ค่า Ft คือ คำที่เรียกสั้น ๆ ของสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือค่าไฟฟ้าผันแปร ซึ่งเป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของการไฟฟ้า

สูตร Ft มีการปรับปรุงสูตรหลายครั้ง เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสภาวะการณ์ของต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ณ ขณะนั้น ๆ ล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2548 ได้มีการปรับปรุงสูตร Ft โดยให้คงเหลือเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าเท่านั้น

การปรับค่าไฟฟ้า Ft เดิมดำเนินการโดยคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าซึ่งเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการ ซึ่งต่อมา กพช. ได้ยกเลิกคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า และคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการ เพื่อทำหน้าที่พิจารณาและให้ความเห็นชอบค่าไฟฟ้า Ft

ทั้งนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ

**โดยค่า Ft มีการปรับปรุงทุก ๆ 4 เดือน

 

3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม 

นอกจากค่าไฟฟ้าฐาน และค่า Ft แล้ว ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) รวมกับค่าไฟฟ้าฐาน และค่า Ft ด้วย

โอนมิเตอร์ไฟฟ้า เรื่องต้องรู้ก่อนย้ายบ้านใหม่

 

ตัวอย่างค่า Ft คืออะไร ในบิลค่าไฟฟ้า

 

อัปเดตค่า Ft ล่าสุด

ล่าสุด คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติตรึงอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2564 โดยให้เรียกเก็บที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.61 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ต่อเนื่องไปถึงสิ้นปี 2564 เพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยสามารถติดตามอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ล่าสุดได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน กกพ.

 

หมายเหตุ: จะเห็นว่า ตัวเลข Ft เป็นค่าติดลบ ถ้าสรุปให้เข้าใจแบบง่าย ๆ คือเมื่อไหร่ก็ตามที่ ค่า Ft ซึ่งเป็นตัวเลขติดลบกลายเป็นตัวเลขที่น้อยลง ก็หมายถึง ตัวที่จะนำไปหักกับค่าไฟฐานลดลง ก็อาจจะต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ หากต้องการคำนวณค่าไฟ สามารถคำนวณค่าใช้ไฟฟ้าได้ที่นี่

- คำนวณค่าไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง

- คำนวณค่าไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

 

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่า Ft ยังมีโอกาสปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง และมีผลทำให้ค่าไฟขึ้นได้อีก ดังนั้น จึงควรหาวิธีประหยัดการใช้พลังงาน เพื่อลดทั้งค่าไฟฐาน ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลัก และค่า Ft ที่ผันผวนตามค่าไฟฐานด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
3 ขั้นตอนขอมิเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีเลขที่บ้าน จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ขอติดตั้งมิเตอร์ไฟการไฟฟ้าต้องทำอย่างไร-23323?locale=th www.ddproperty.com:resources:23323 Sat, 29 Jan 2022 11:48:47 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/02/Electric-Meter-150x150.jpg"/></p> 3 ขั้นตอนขอมิเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีเลขที่บ้าน จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เมื่อบ้านสร้างแล้วเสร็จก็ได้เวลาของการเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านหลังใหม่สักที แต่จะอยู่ได้อย่างไรถ้ายังไม่ติดตั้งไฟฟ้า ลองมาดูว่าขั้นตอนและวิธีการขอมิเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีเลขที่บ้าน จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีอะไรบ้าง รวมถึงการขอย้ายเสาไฟฟ้า สายไฟฟ้า และมิเตอร์ไฟฟ้า พร้อมมาตรการคืนเงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้าต้องทำอย่างไร หาคำตอบทั้งหมดได้ที่นี่

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

คุณสมบัติของผู้ที่จะขอมิเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีเลขที่บ้าน

ผู้ที่จะขอใช้ไฟฟ้ามีดังนี้

1. เจ้าของที่ดิน หรือเจ้าของสถานที่ใช้ไฟฟ้า

2. ผู้ขอใช้ไฟฟ้ามีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่ใช้ไฟฟ้า

3. ผู้เช่า หรือผู้เช่าซื้อสถานที่ใช้ไฟฟ้า

4. ผู้ประกอบการในสถานที่ใช้ไฟฟ้า

 

เอกสารที่ผู้ขอมิเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีเลขที่บ้าน ต้องนำมาแสดง

ผู้ขอใช้ไฟฟ้าเตรียมเอกสารดังนี้ เพื่อใช้ยื่นประกอบคำร้องขอใช้ไฟฟ้ากับการไฟฟ้า

 

หลักฐานการขอมิเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีเลขที่บ้าน

1. สำเนาทะเบียนบ้านที่ขอติดตั้งการใช้ไฟฟ้า และสำเนาทะเบียนบ้านที่อยู่ปัจจุบัน

2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน

3. สัญญาซื้อขาย (กรณีซื้อขายบ้าน), สัญญาเช่า (กรณีเช่าบ้าน)

4. หนังสือมอบอำนาจพร้อมติดอากรแสตมป์ 10 บาท (กรณีเจ้าของบ้านไม่มาดำเนินการ)

5. สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ

6. สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านผู้ให้เช่า

7. ใบยินยอมผ่านที่หรือใบยินยอมในกรณีต่างๆ (กรณีผ่านที่ดินผู้อื่น), สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านขอผู้ยินยอม

8. ใบเสร็จค่าไฟฟ้าข้างเคียงของเสาที่จะติดตั้งมิเตอร์ (ถ้ามี)

 

หลักฐานการขอมิเตอร์ไฟฟ้าชั่วคราว (สำหรับใช้ในการก่อสร้าง)

1. สำเนาทะเบียนบ้านที่ขอติดตั้งการใช้ไฟฟ้า

2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน

3. สำเนาใบอนุญาตก่อสร้าง (ถ้ายังไม่ได้ให้ถ่ายใบคำขอมาแทน)

4. โฉนดที่ดินสถานที่ขอใช้ไฟฟ้า

5. สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ

หมายเหตุ การขอมิเตอร์ไฟฟ้าชั่วคราวต้องเตรียมสายไฟฟ้าและคัทเอ้าท์หรือเบรกเกอร์ตามขนาดมิเตอร์มาในวันชำระเงินด้วย

 

เซอร์กิตเบรกเกอร์ อุปกรณ์ตัดวงจรไฟฟ้าเมื่อไฟฟ้าลัดวงจร

 

ขั้นตอนการขอมิเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีเลขที่บ้าน

1. หลังจากได้รับคำร้องขอใช้ไฟฟ้า พร้อมเอกสารประกอบครบถ้วนแล้ว เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าจะเข้าไปตรวจสอบการเดินสายไฟในอาคาร หากยังไม่เดินสายไฟฟ้าให้เดินสายให้เรียบร้อยแล้วแจ้งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ

2. เมื่อตรวจสอบการเดินสายไฟฟ้าแล้วพบว่ามีการเดินสายไฟที่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่จะแจ้งให้ผู้ขอใช้ไฟฟ้าชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แต่ถ้าการเดินสายไฟไม่ถูกต้อง ไม่ปลอดภัยก็จะแจ้งให้ดำเนินการแก้ไข และตรวจสอบอีกครั้ง โดยค่าธรรมเนียมนั้นการไฟฟ้าจะกำหนดไว้ตามประเภทและขนาดของมิเตอร์ที่ขอติดตั้ง

3. ผู้ขอใช้ไฟฟ้าชำระค่าธรรมเนียมและรับใบเสร็จไว้เป็นหลักฐาน

 

โอนย้ายมิเตอร์ไฟฟ้า เรื่องต้องรู้หลังย้ายบ้านใหม่

Guide

โอนย้ายมิเตอร์ไฟฟ้า เรื่องต้องรู้หลังย้ายบ้านใหม่

 

การขอย้ายเสา สาย และอุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า

การขอย้ายเสา สาย และอุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า จากข้อมูลการไฟฟ้านครหลวง มีหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข ในการยื่นคำขอ และในการพิจารณาอนุญาต ดังนี้

1. ปฏิบัติถูกต้องตามข้อบังคับการไฟฟ้านครหลวงว่าด้วยการใช้ไฟฟ้าและบริการ พ.ศ. 2535 และ พ.ศ. 2553 และข้อบังคับการไฟฟ้านครหลวงว่าด้วยอัตราค่าบริการการใช้ไฟฟ้า พ.ศ. 2536

2. ไม่มีปัญหาแนวเขตทางและการทำงาน รื้อถอนหรือปักเสาพาดสาย

3. ไม่เป็นการย้ายสายใต้ดิน

4. เสา สาย และอุปกรณ์ ที่ย้ายมีระยะรวมกันต้องไม่เกิน 25 ต้น

5. ไม่มีอุปสรรคจากสาธารณูปโภคอื่นที่ติดตั้งหรือพาดบนเสาไฟฟ้า

6. ถ้าเป็นการย้ายเสา สาย และอุปกรณ์ไฟฟ้า ของระบบสายส่ง ต้องไม่เกิน 2 ต้น

7. ผู้ขอย้ายชำระค่าใช้จ่ายครบถ้วนถูกต้อง

8. การปักเสาและ/หรือพาดสายไฟฟ้าและ/หรือย้ายเสาสายไฟฟ้าในที่ดินของผู้ยื่นคำขอ บุคคลอื่นหรือในที่ดินสาธารณะ หรือมีการพาดสายไฟฟ้าภายในของผู้ยื่นคำขอในที่ดินของบุคคลอื่น

ผู้ยื่นคำขอจะต้องนำเอกสารที่เกี่ยวกับการปักเสาพาดสายไฟฟ้ามาให้ก่อนการดำเนินการ ตามแบบฟอร์มที่การไฟฟ้านครหลวงกำหนด เช่น หนังสือรับรองการย้ายและติดตั้งอุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า สัญญาอนุญาตให้ติดตั้งอุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า หนังสือรับรองการปักเสาพาดสายไฟฟ้าในที่ดินสาธารณะ หนังสือยินยอมให้สายไฟฟ้าภายในผ่านที่

9. การไฟฟ้านครหลวงจะดำเนินการย้ายเสา สายไฟฟ้า ได้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด เมื่อได้รับเอกสารครบถ้วนถูกต้อง และไม่นับระยะเวลาระหว่างการรอดำเนินการของผู้ขอใช้ไฟฟ้า

 

ระยะเวลาในการดำเนินการขอย้ายเสา สาย และอุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า

ระยะเวลาในการดำเนินการขอย้ายเสา สาย และอุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า ระยะเวลาในการดำเนินการรวม 57 วันทำการ แบ่งเป็น

1. การตรวจสอบเอกสาร รับเรื่องขอย้ายเสา สาย และอุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า พร้อมรายละเอียดตรวจสอบเอกสาร ระยะเวลา 1 วันทำการ

2. การพิจารณา สำรวจสถานที่ ทำผัง ออกแบบ และประมาณราคา ระยะเวลา 18 วันทำการ

3. การพิจารณา รวบรวมค่าใช้จ่าย ออกหนังสือแจ้ง ระยะเวลา 5 วันทำการ

4. การพิจารณา รับชำระค่าใช้จ่าย ออกคำสั่งงาน ระยะเวลา 9 วันทำการ

5. ดำเนินการสายนอก ระยะเวลาทำการ 24 วันทำการ

 

เอกสาร และหลักฐานประกอบในการขอย้ายเสา สาย อุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า

1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ฉบับ

2. สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล 1 ฉบับ

3. สำเนาหนังสือเดินทาง 1 ฉบับ (กรณีคนต่างด้าว)

4. สำเนาทะเบียนบ้านาที่มีชื่อผู้ขอย้ายเสา สาย และอุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า 1 ฉบับ

5. สำเนาโฉนดที่ดินบริเวณที่ขอย้ายเสา สาย และอุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า 1 ฉบับ

6. แผนผังสถานที่ที่ขอย้ายเสา สาย โดยสังเขป ฉบับจริง 1 ฉบับ

7. หนังสือรับรองการย้ายและติดตั้งอุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า ฉบับจริง 2 ฉบับ (ตามแบบฟอร์มของการไฟฟ้านครหลวง)

8. หนังสือมอบอำนาจ กรณีที่มีการมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทน ต้องมีสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ ฉบับจริง 1 ฉบับ

9. สัญญาอนุญาตให้ติดตั้งอุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า (กรณีปักเสาพาดสายในที่ดินเอกชน) ฉบับจริง 2 ฉบับ (ตามแบบฟอร์มของการไฟฟ้านครหลวง)

10. หนังสือรับรองการปักเสาพาดสายไฟฟ้าในที่ดินสาธารณะ (กรณีปักเสาพาดสายในที่ดินสาธารณะ) ฉบับจริง 2 ฉบับ (ตามแบบฟอร์มของการไฟฟ้านครหลวง)

 

ทำเรื่องโอนมิเตอร์ไฟฟ้าได้ที่การไฟฟ้านครหลวง

 

สถานที่ติดต่อเพื่อขอมิเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีเลขที่บ้าน หรือขอย้ายเสา สาย และอุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้า

ผู้ขอใช้ไฟฟ้าสามารถติดต่อและยื่นคำร้องได้ที่สำนักงานการไฟฟ้าทุกแห่ง

- การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) โทร. 1130 หรือติดต่อสอบถามได้จากเว็บไซต์การไฟฟ้านครหลวง

- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โทร. 1129 หรือติดต่อสอบถามได้จากเว็บไซต์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

 

มาตรการคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

มาถึงขั้นตอนของการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า ซึ่งมาจากมาตรการพิเศษของรัฐที่ต้องการช่วยเหลือประชาชน สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นบ้านพักอาศัย และกิจการขนาดเล็ก ลองมาทำความเข้าใจรายละเอียดของมาตรการนี้กันก่อนว่า เงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้าคืออะไร มีขั้นตอนอย่างไร และใครจะเป็นผู้ได้เงิน

 

เงินประกันการใช้ไฟฟ้าคืออะไร

เงินประกันการใช้ไฟฟ้า หรือที่เรียกติดปากว่า เงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้า คือค่าธรรมเนียมในการขอใช้ไฟฟ้า โดยเงินก้อนนี้จะเสียครั้งแรกเมื่อยื่นขอใช้ไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้าจะเรียกเก็บเงินประกันการใช้ไฟฟ้า และจะคืนให้เมื่อมีการยกเลิกการใช้ไฟฟ้า

 

ทำไมต้องเก็บเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

เหตุผลที่ต้องมีการเก็บเงินประกันการใช้ไฟฟ้า เนื่องจากเป็นค่าธรรมเนียมในการเรียกเก็บเงินล่วงหน้า เพื่อเป็นเงินประกันการใช้ไฟฟ้า ยกตัวอย่างเช่น หากบ้านของเราไม่ยอมจ่ายค่าไฟฟ้า ทางการไฟฟ้าจะยึดเงินประกันการใช้ไฟฟ้านั้นแทน (ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย จะได้รับดอกเบี้ยออมทรัพย์ทุก 5 ปี โดยคิดในอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ของธนาคารกรุงไทย)

 

ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า

ขนาดมิเตอร์

 

เงินประกันการใช้ไฟฟ้าต้องเสียเท่าไหร่

ขนาดมิเตอร์ (แอมป์)

เงินประกันที่ได้คืน (บาท)

5(15)

300

15(45)

2,000

30(100)

4,000

15(45) เฟส 3

6,000

อัตราค่าธรรมเนียมเงินประกันการใช้ไฟฟ้าจะเสียตามขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. มิเตอร์ขนาด 5(15) เงินประกันการใช้ไฟฟ้า 300 บาท (บ้านพักขนาดเล็ก ที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มาก)

2. มิเตอร์ขนาด 15(45) เงินประกันการใช้ไฟฟ้า 2,000 บาท (เป็นขนาดมิเตอร์ที่ครัวเรือนส่วนใหญ่ใช้กัน)

3. มิเตอร์ขนาด 30(100) เงินประกันการใช้ไฟฟ้า 4,000 บาท (บ้านพักขนาดใหญ่ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด)

4. มิเตอร์ขนาด 15(45) เฟส 3 เงินประกันการใช้ไฟฟ้า 6,000 บาท (บ้านพักส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้)

 

ขั้นตอนการคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

หลักการคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าคือ จะคืนเงินหลักประกันเต็มจำนวน พร้อมดอกผล (หรือไม่รับคืนก็ได้ ก็ยังคงได้ดอกผลต่อไป) โดยต่อไปจะไม่มีการเรียกเก็บหลักประกันกับผู้ใช้รายใหม่ (เฉพาะประเภทที่ 1 บ้านอยู่อาศัย และประเภทที่ 2 กิจการขนาดเล็ก)

 

ขั้นตอนการคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

 

การไฟฟ้านครหลวง

สำหรับการคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง เจ้าของหลักประกันการใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 บ้านอยู่อาศัย และประเภทที่ 2 กิจการขนาดเล็ก สามารถขอรับเงินคืนประกันการใช้ไฟฟ้าที่วางไว้ตามขนาดเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าหรือตามจำนวนเงินที่วางไว้กับการไฟฟ้านครหลวง โดยลงทะเบียนตรวจสอบสิทธิและแจ้งความประสงค์การขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า ได้ดังนี้

1. ลงทะเบียนออนไลน์

สามารถลงทะเบียนออนไลน์ ได้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2563 ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านทาง

- แอปพลิเคชัน: MEA Smart Life

- เว็ปไซต์: www.mea.or.th

- Facebook: การไฟฟ้านครหลวง MEA 

- Twitter: @mea_news

- Line: @meathailand

- สแกน QR Code ในใบแจ้งค่าไฟฟ้า (ใบแจ้งค่าไฟฟ้าวันที่จดเลขอ่านตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป)

 

ขั้นตอนการลงทะเบียนออนไลน์

กรณีบุคคลธรรมดา

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

1. เลือก "บุคคลธรรมดา"

2. กรอกข้อมูล "เลขบัตรประชาชน 13 หลัก"

3. ยินยอมให้ตรวจสอบข้อมูล กรอกข้อมูล "ช่องทางติดต่อ"

4. เลือก "ช่องทางรับเงิน"

5. ลงทะเบียนใช้สิทธิ์เรียบร้อย

 

กรณีบุคคลธรรมดาที่ไม่พบเลขบัตรประชาชนในระบบ

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

1. เลือก "บุคคลธรรมดา"

2. กรอกข้อมูล "เลขบัตรประชาชน 13 หลัก"

3. ยอมรับเงื่อนไขการคืนเงินประกันและยินยอมให้ตรวจสอบข้อมูล กรอกข้อมูล "เลขบัญชีแสดงสัญญา 9 หลัก" โดยดูได้จากใบแจ้งค่าไฟฟ้า

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

4. เลือก "รายชื่อผู้วางหลักประกัน" (จะคืนเงินหลักประกันให้กับผู้ที่มีชื่อเดียวกับผู้วางเงินหลักประกันเท่านั้น)

5. กรอกข้อมูล "ช่องทางการติดต่อ"

6. เลือก "ช่องทางรับเงิน"

7. ลงทะเบียนใช้สิทธิ์เรียบร้อย

กรณีบุคคลธรรมดาที่ไม่พบเลขบัตรประชาชนในระบบ และไม่ทราบเลขบัญชีแสดงสัญญา

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

1. เลือก "บุคคลธรรมดา"

2. กรอกข้อมูล "เลขบัตรประชาชน 13 หลัก"

3. ยอมรับเงื่อนไขการคืนเงินประกันและยินยอมให้ตรวจสอบข้อมูล

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

4. กรอกข้อมูล "ลงทะเบียนบุคคลธรรมดา"

5. กรอกข้อมูล "ช่องทางการติดต่อ"

6. เลือก "ช่องทางรับเงิน"

7. ลงทะเบียนใช้สิทธิ์เรียบร้อย

กรณีนิติบุคคล

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

1. เลือกนิติบุคคล

2. กรอกข้อมูล "นิติบุคคล"

3. กรอกข้อมูล "ช่องทางการติดต่อ"

4. เลือก "ช่องทางการรับเงิน"

5. ลงทะเบียนใช้สิทธิ์เรียบร้อย

ขั้นตอนการตรวจสอบเรื่อง

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

1. เลือก "ตรวจสอบเรื่อง"

2. ค้นหาข้อมูล

- กรอกข้อมูล เลขรับเรื่อง 10 หลัก

- กรอกข้อมูล รหัสประจำตัวประชาชน รหัสประจำตัวผู้เสียภาษี

3. ตรวจสอบข้อมูลที่ได้ลงทะเบียนไว้

 

2. ลงทะเบียนผ่านทางโทรศัพท์

ลงทะเบียนผ่านทางโทรศัพท์ โทร. 0-2256-3333 จำนวน 50 คู่สาย ได้ตั้งแต่เวลา 8.00-15.30 น. โดยเจ้าหน้าที่จะขอข้อมูลชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน และหมายเลข CA (หมายเลขผู้ใช้ไฟฟ้า-ดูได้จากบิลเรียกเก็บค่าใช้ไฟฟ้า)

 

3. ลงทะเบียน ณ ที่ทำการของการไฟฟ้านครหลวง 18 เขต

เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 เดือนพฤษภาคม 2563 (เพื่อเลี่ยงภาวะเสี่ยงจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาด)

แนะนำให้ใช้บริการเฉพาะเจ้าของหลักประกันการใช้ไฟฟ้าที่มีปัญหาสิทธิต่าง ๆ เช่น เปลี่ยนชื่อ-นามสกุล เสียชีวิต หรือเป็นการวางหลักประกันการใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินสด ฯลฯ สำหรับเจ้าของหลักประกันที่ไม่มีปัญหาด้านสิทธิแนะนำให้ลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์จะได้รับความสะดวกกว่า

 

กฟน. เปิดให้รับเงินคืนผ่าน 3 ช่องทาง

ผู้ลงทะเบียนช่องทางออนไลน์จะได้รับเงินประกันการใช้ไฟฟ้าคืนตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป โดยสามารถเลือกช่องทางการคืนเงินได้ 3 ช่องทาง ดังนี้

ช่องทางที่ 1 คืนเงินเข้าบัญชีพร้อมเพย์ (Prompt Pay) เฉพาะที่ผูกกับหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลักเท่านั้น

ช่องทางที่ 2 คืนเงินเข้าบัญชีธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการเบื้องต้นมี 3 ธนาคาร ได้แก่ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ทั้งนี้ ต้องเป็นบัญชีของเจ้าของหลักประกันเท่านั้น ไม่สามารถใช้บัญชีเงินฝากของผู้อื่นได้

ช่องทางที่ 3 เคาน์เตอร์เซอร์วิส รับเงินสดผ่านร้าน 7-Eleven โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม (เงินประกันการใช้ไฟฟ้าต้องไม่เกิน 50,000 บาท) โดยใช้บัตรประชาชนยืนยัน 

 

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

 

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

ด้านการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เปิดให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถตรวจสอบสิทธิเพื่อขอรับเงินค่าประกันการใช้ไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ได้หลายช่องทาง ดังนี้

1. สแกน QR Code

สแกน QR Code ในใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือนมีนาคม เมื่อสแกนแล้วให้กรอกชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชนของผู้วางหลักประกันการใช้ไฟฟ้า จากนั้นระบบจะตรวจสอบให้ว่าตรงกับฐานข้อมูลของ กฟภ. หรือไม่ พร้อมบอกวงเงินที่จะได้รับคืน หากข้อมูลตรงกันจะได้รับเงินคืนภายในเวลารวดเร็ว

กรณีผู้วางเงินประกันเป็นคนอื่น แต่ผู้ใช้ไฟฟ้าเป็นอีกคนหนึ่ง สามารถอ่านคำแนะนำในแอปพลิเคชันเพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งก็จะมีกระบวนการตรวจสอบสิทธิ์ในแต่ละราย

2. ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์

สามารถคลิกลงทะเบียนได้ที่ http:///dmsxupload.pea.co.th/cdp โดยต้องกรอกรายละเอียดชื่อ-นามสกุล ผู้วางหลักประกันการใช้ไฟฟ้า, หมายเลขบัตรประชาชน, หมายเลขผู้ใช้ไฟฟ้า 12 หลัก หากลงทะเบียนสำเร็จจะมี SMS ยืนยันผลการลงทะเบียนและแจ้งผลการคืนเงินให้ทราบ

ขั้นตอนการลงทะเบียนออนไลน์

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

1. เตรียมข้อมูล ชื่อ-สกุล หมายเลขผู้ใช้ไฟฟ้า และหมายเลขบัตรประชาชน

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

2. เข้าเว็บไซต์ http:///dmsxupload.pea.co.th/cdp หรือสแกน QR Code

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

3. กรอกข้อมูล ชื่อ-นามสกุล หมายเลขผู้ใช้ไฟฟ้า หมายเลขบัตรประชาชน แล้วคลิก "ตรวจสอบข้อมูล"

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

4. ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องแล้วคลิก "ดำเนินการต่อ"

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

5. กรอกเบอร์โทรศัพท์ เลือกช่องทางการรับเงิน และคลิก "ดำเนินการต่อ"

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

6. กรอกหมายเลขบัญชี หรือหมายเลขพร้อมเพย์ที่เลือกไว้ แล้วคลิก "ยืนยัน"

7. จากนั้นจะมีข้อความว่า "ระบบได้ทำการลงทะเบียนให้ท่านแล้ว" พร้อมขึ้นหมายเลขอ้างอิง

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

8. รอรับ SMS ยืนยันผลการลงทะเบียนและแจ้งผลการคืนเงินให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทราบ

 

3. ติดต่อที่ทำการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

เพื่อเลี่ยงภาวะเสี่ยงจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาด แนะนำให้ไปติดต่อที่ทำการ เฉพาะกรณีวางหลักประกันการใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินสด หรือผู้ขอคืนเงินหลักประกันการใช้ไฟฟ้าประเภทเงินสดที่ติดปัญหา เช่น การโอนสิทธิ์ เปลี่ยนชื่อ-นามสกุล เสียชีวิต ฯลฯ

 

กฟภ. รับเงินคืนผ่าน 4 ช่องทาง

ในการลงทะเบียนผ่านออนไลน์ สามารถเลือกรับเงินคืนผ่าน 4 ช่องทาง ดังนี้

1. คืนเงินผ่านพร้อมเพย์ ต้องเป็นบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับหมายเลขบัตรประชาชนของผู้วางหลักประกันเท่านั้น

2. คืนเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

3. คืนเงินผ่านบัญชีธนาคาร

4. รับเงินสดที่สำนักงานการไฟฟ้า

โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะเริ่มจ่ายเงินค่าประกันการใช้ไฟฟ้าคืนตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป

 

เนื่องจากมีผู้ได้รับสิทธิคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจึงเปิดให้สามารถลงทะเบียนตรวจสอบสิทธิและแจ้งความประสงค์การขอคืนเงินประกันได้ไปจนกว่าจะคืนเงินประกันครบทุกราย โดยไม่มีกำหนดวันปิดลงทะเบียน

 

ขั้นตอนการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า

 

ชื่อไม่ตรงกันทำอย่างไร

คำถามที่หลาย ๆ คนสงสัย ชื่อผู้วางเงินประกันการใช้ไฟฟ้า กับผู้ขอรับเงินคืนไม่ตรงกันต้องทำอย่างไร

1. กรณีขายบ้านไปแล้ว หากผู้ที่วางเงินประกันการใช้ไฟฟ้าขายบ้านหลังนั้นไปแล้ว ยังถือว่าเป็นเจ้าของสิทธิ์ที่จะได้รับเงินประกันการใช้ไฟฟ้า (ยกเว้นบางกรณีที่มีการโอนมิเตอร์ไฟฟ้าแล้ว-อาจต้องดูเป็นรายกรณี)

2. กรณีเสียชีวิต หากผู้วางเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเสียชีวิต แบ่งได้เป็น 2 แบบคือ

- มีการตั้งผู้จัดการมรดก ผู้จัดการมรดกจะเป็นผู้ได้รับเงินประกันการใช้ไฟฟ้าไป โดยต้องนำคำสั่งศาลมายืนยัน

- ไม่มีการตั้งผู้จัดการมรดก ให้ทายาทมารับเงินประกันการใช้ไฟฟ้าแทนได้ ทั้งนี้ หากมีทายาทหลายคน ต้องนำหลักฐานทั้ง 5 คนมาแสดง พร้อมระบุว่าใครจะเป็นผู้ได้รับเงินประกันการใช้ไฟฟ้าไป

 

ไขข้อข้องใจมิเตอร์เสียต้องจ่ายเองไหม

จากประเด็นข่าวที่มีการเผยแพร่กรณีผู้ใช้ไฟฟ้าสอบถามเกี่ยวกับการคืนเงินค่าประกันการใช้ไฟฟ้าสิทธิ ประกันมิเตอร์จะถูกยกเลิกหรือไม่ และได้มีการส่งต่อข้อความดังกล่าวผ่านช่องทางออนไลน์นั้น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้

1. เงินที่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้ามาลงทะเบียนขอรับเงินคืนนั้นเป็นเงินค่าประกันการใช้ไฟฟ้าไม่เกี่ยวกับมิเตอร์

2. จากเดิม ประชาชน มาขอใช้ไฟฟ้า จะมีค่าใช้จ่าย 2 ส่วน คือ ค่าติดตั้งมิเตอร์ และค่าประกันการใช้ไฟฟ้าล่วงหน้าที่จะเรียกเก็บตามขนาดของมิเตอร์ เช่น มิเตอร์ขนาด 5 แอมป์ประเภทบ้านอยู่อาศัย จะมีการจ่ายค่าประกันการใช้ไฟฟ้าล่วงหน้า 300 บาท เพราะการที่จะเรียกเก็บเงินผู้ใช้ไฟฟ้าได้ต้องใช้ไฟให้ครบเดือนก่อน และเมื่อถึงกําหนดผู้ใช้ไฟฟ้าไม่จ่ายเงินค่าใช้ไฟฟ้าประจําเดือนก็จะหักเงินส่วนนี้ไป

3. กรณีที่ผู้ใช้ไฟฟ้าค้างชำระ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะมีกระบวนการและขั้นตอนการแจ้งเตือนเป็นระยะเวลา 28 วันเช่นเดิม หากไม่มีการชําระค่าใช้ไฟฟ้าประจําเดือนจึงจะเข้าสู่กระบวนการของการไฟฟ้า

4. แม้ว่าภายหลังที่คืนเงินค่าประกันการใช้ไฟฟ้าไปแล้วก็ตาม หากพบว่ามิเตอร์ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้านั้น ๆ มีปัญหา จากการใช้งานตามปกติ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะต้องไปดําเนินการแก้ไขหรือเปลี่ยนให้ใหม่เพราะมิเตอร์ไฟฟ้าเป็นทรัพย์สินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

5. อย่างไรก็ตามขณะนี้มีประชาชนเข้าไปใช้งานเว็บไซต์ของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อลงทะเบียนขอรับเงิน ค่าประกันการใช้ไฟฟ้าคืนเป็นจํานวนมากทําให้มีความหนาแน่นในการใช้งาน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ขอความร่วมมือให้ ประชาชนทยอยการเข้าไปลงทะเบียน โดยสามารถเข้าไปใช้งานได้โดยไม่มีกําหนดเวลาสิ้นสุดแต่อย่างใด

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
สัญญาก่อสร้าง 4 ข้อควรระวัง พร้อมตัวอย่างสัญญาจากสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/สัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง-ข้อควรระวังก่อนเสียรู้ผู้รับเหมา-26900?locale=th www.ddproperty.com:resources:26900 Sat, 29 Jan 2022 12:24:17 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/05/Should-know-before-sign-Build-contract-150x150.jpg"/></p> สัญญาก่อสร้าง 4 ข้อควรระวัง พร้อมตัวอย่างสัญญาจากสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน สัญญาก่อสร้าง หรือสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง เป็นสิ่งสำคัญหลังจากซื้อที่ดินมาแล้วต้องการจะก่อสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง ซึ่งก่อนจะทำการจ้างวานบริษัทรับสร้างบ้าน หรือผู้รับเหมาก่อสร้าง สัญญาก่อสร้าง หรือสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงและมีข้อที่ควรระวังเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับผู้รับเหมาระหว่างการก่อสร้าง

 

3 เทคนิคกู้เงินสร้างบ้าน เลือกกู้กับธนาคารไหนให้ผ่านง่าย

Guide

3 เทคนิคกู้เงินสร้างบ้าน เลือกกู้กับธนาคารไหนให้ผ่านง่าย

 

สัญญาก่อสร้าง หรือสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างคืออะไร

"สัญญาก่อสร้าง หรือสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง" คือ เอกสารสัญญาที่ระบุความตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างผู้ว่าจ้าง (เจ้าของบ้าน) ในการจ่ายค่าตอบแทนให้กับงานที่ดำเนินการก่อสร้างตามที่กำหนดตามข้อตกลง และผู้รับจ้าง (ผู้รับเหมาก่อสร้าง) ที่รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างตามรายละเอียดที่ตกลงก่อสร้างตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาว่าจ้างจนแล้วเสร็จ

โดยเนื้อหาสัญญาจะต้องมีการระบุข้อความชัดเจน ปฏิบัติได้จริง และเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย ดังนี้

 

รายละเอียดที่ควรมีในสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง

1. วันที่และสถานที่ทำสัญญา เพื่อระบุให้ทราบว่าสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่และมีอายุสัญญากี่ปี

2. ข้อมูลส่วนบุคคลคู่สัญญาระหว่างผู้ว่าจ้าง (เจ้าของบ้าน) และผู้รับจ้าง (ผู้รับเหมาก่อสร้าง) ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ที่อยู่ หน่วยงาน และข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถยืนยันตัวตนและตรวจสอบได้

3. ขอบเขตและลักษณะของเนื้องานที่รับผิดชอบ ผู้ว่าจ้างตกลงว่าจ้างผู้รับจ้างทำการก่อสร้างบ้านแบบไหนระบุลงในสัญญาให้ชัดเจนไม่ว่าจะเป็น ลักษณะของแบบบ้าน, สถานที่ที่ทำการก่อสร้าง

4. ราคา และรายละเอียดการจ่ายงวดงาน

- ค่าจ้างเหมาจ่ายทั้งหมด

- จ่ายชำระก่อนการเริ่มดำเนิดการกี่เปอร์เซ็นต์

- แบ่งงวดงานออกเป็นกี่งวดงาน มีรายละเอียดอะไรบ้าง

- จ่ายชำระเงินงวดงานแต่ละงวดงานกี่เปอร์เซ็นต์

5. ระยะเวลาของสัญญา ตั้งแต่เริ่มดำเนินการก่อสร้าง จนดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ ใช้ระยะเวลาการก่อสร้างโดยประมาณกี่เดือน

6. หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ว่าจ้าง (เจ้าของบ้าน) ควรมีรายละเอียดกำกับไว้อย่างชัดเจนในสัญญาว่าจ้าง เช่น

- สิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนแก้ไขเพิ่มเติมหรือปรับลดรายการและแบบก่อสร้างเดิม หรือปรับเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างภายในระยะเวลาที่กำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยไม่ต้องยกเลิกสัญญาว่าจ้าง แต่ควรทำการตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรและมีความตกลงยินยอมกันทั้ง 2 ฝ่าย

หากการเปลี่ยนแปลงวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างจนกระทบกับความแข็งแรงและมาตรฐานของโครงสร้างตามแบบแปลนเดิม ผู้รับจ้าง (ผู้รับเหมาก่อสร้าง) มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ

- ผู้ว่าจ้างมีสิทธิ์สั่งหยุดงาน หากเห็นว่ามีการดำเนินการไม่ถูกต้องตามแบบแปลน หรือมีสิทธิระงับและไม่จ่ายค่างวดงานในส่วนดังกล่าว หากผู้รับเหมาไม่ทำการแก้ไขหรือซ่อมแซมในส่วนที่เสียหายที่ไม่เป็นไปตามที่แจ้งให้แก้ไข

- ทำการตรวจรับงานแต่ละงวดงาน

7. หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้รับจ้าง (ผู้รับเหมาก่อสร้าง)

- ผู้รับจ้างจะต้องดำเนินการก่อสร้างให้ถูกต้องและแล้วเสร็จตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างในระยะเวลาที่กำหนด

- ผู้รับจ้างสามารถโอนงานให้ผู้อื่นได้ แต่ยังคงเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดตามระบุในสัญญา

- หากมีการเพิ่มเติมหรือลดงานส่วนใดส่วนหนึ่งที่ไม่เป็นไปตามแบบ ผู้รับจ้างจะต้องทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรแจ้งให้ผู้ว่าจ้างรับทราบ

- ผู้รับจ้างจะต้องทำการยินยอมให้ตัวแทนของเจ้าของบ้าน หรือ เจ้าของบ้านทำการตรวจสอบวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง สถานที่ และขั้นตอนในการก่อสร้าง เพื่อตรวจประเมินผลงานตรงตามแบบแปลนและ BOQ หรือไม่

หากพบว่าวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างไม่เป็นไปตามที่กำหนดในสัญญา ตัวแทนหรือเจ้าของบ้านมีสิทธิ์ที่จะระงับการดำเนินการก่อสร้างและปฏิเสธวัสดุที่ไม่ตรงตามรายละเอียดบัญชีก่อสร้างที่ระบุในสัญญาว่าจ้างได้ทันที

 

BOQ คืออะไร 4 ขั้นตอนคำนวณ BOQ ก่อนสร้างบ้าน ป้องกันถูกผู้รับเหมาโกง

Guide

BOQ คืออะไร 4 ขั้นตอนคำนวณ BOQ ก่อนสร้างบ้าน ป้องกันถูกผู้รับเหมาโกง

 

8. เครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง จะได้มีคุณภาพ เหมาะสมกับลักษณะงาน ควรมีเอกสารรายการระบุแนบท้ายเอกสาร เพื่อใช้ในการตรวจสอบ

9. การประกันคุณภาพผลงานหลังจากการับส่งมอบงาน โดยระยะเวลาประกันงานขึ้นอยู่กับประเภทงานและการเจรจา โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ 1-5 ปี ซึ่งหากเกิดความเสียหายเกิดขึ้นกับตัวบ้านในระยะเวลาเอาประกัน ไม่ว่าจะเป็นหลังคารั่ว บ้านมีรอยแตกร้าว หรือสาเหตุอื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับภัยธรรมชาติ ผู้รับจ้างตกลงทำการแก้ไข ซ่อมแซ่มให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานดังเดิม

- ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างหรือเจ้าของบ้านทำการต่อเติมบ้านจนผิดหลักทางวิศวกร เป็นเหตุให้ตัวบ้านเกิดการชำรุดเสียหาย จะถือว่า “การประกันคุณภาพงาน” สิ้นสุดลงทันที

10. การยกเลิกสัญญาว่าจ้างและสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหาย ควรทำการระบุให้ชัดเจน หากมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำผิดเงื่อนไข จนเกิดความเสียหาย ดังนั้นจึงต้องทำการระบุรายละเอียดเงื่อนไขเป็นลายลักษณ์อักษรแจ้งให้รับทราบและยินยอมรับผิดชอบหากเกิดกรณีดังกล่าว

11. การลงนามตกลงเซ็นสัญญาจ้างรับเหมาก่อสร้าง จะประกอบไปด้วย

- ผู้ว่าจ้าง (เจ้าของบ้าน)

- ผู้รับจ้าง (ผู้รับเหมาก่อสร้าง)

- พยาน 1

- พยาน 2

 

5 ยุทธวิธีเลือกบริษัทรับสร้างบ้านให้คุ้มทั้งคุณภาพและราคา

Guide

5 ยุทธวิธีเลือกบริษัทรับสร้างบ้านให้คุ้มทั้งคุณภาพและราคา

 

สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างที่ดีช่วยป้องกันปัญหาระหว่างก่อสร้างบ้าน

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้จ้างงานและผู้รับเหมาก่อสร้าง

ถึงแม้ว่าจะมีการตกลงทำสัญญาก่อสร้างรองรับเรียบร้อยแล้ว แต่ก็อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาหลังจากเซ็นสัญญาว่าจ้างและเริ่มต้นดำเนินการก่อสร้างได้ ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมักเป็น

ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้จ้างงานและผู้รับเหมาก่อสร้าง
1. ขอเบิกเงินเกินงวดงานหรือโกงเงินค่ามัดจำ
2. ขอเบิกเงินเกินงวดงานหรือโกงเงินค่ามัดจำ
3. ผลงานไม่น่าพึงพอใจ เนื่องจากผู้รับเหมาไม่มีคุณภาพ
4. ผลงานไม่น่าพึงพอใจ เนื่องจากผู้รับเหมาไม่มีคุณภาพ
5. ผู้รับเหมาเปลี่ยนทีมช่างผู้ชำนาญการ 
6. งบประมาณการก่อสร้างบานปลาย

1. การก่อสร้างล่าช้าไม่เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ในกรณีนี้อาจมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องที่ทำให้ไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามกำหนดระยะเวลา ซึ่งหากปัจจัยนั้นเกิดจากดิน ฟ้า อากาศ ที่ไม่สามารถควบคุมก็สามารถพูดคุยหรือยืดหยุ่นกันได้

แต่ถ้าหากเกิดจากการขาดความรับผิดชอบของผู้รับเหมา จากการที่ผู้รับเหมาไม่เข้าหน้างาน ทำงานล่าช้าในส่วนนี้ทางผู้รับเหมาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด

2. ขอเบิกเงินเกินงวดงานหรือโกงเงินค่ามัดจำ โดยเบิกค่ามัดจำครั้งแรกสูง ๆ แล้วเข้างานช้า ทิ้งงาน และหนีงานไปในที่สุด

3. เกิดข้อถกเถียงกันเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนวัสดุก่อสร้างหรือปรับเปลี่ยนแบบแปลนบ้านที่ใช้ก่อสร้าง

4. ผลงานไม่น่าพึงพอใจ เนื่องจากผู้รับเหมาไม่มีคุณภาพหรือไม่มีความชำนาญเฉพาะทาง

5. ผู้รับเหมาเปลี่ยนทีมช่างผู้ชำนาญการ โดยช่วงแรกใช้ทีมช่างที่มีประสบการณ์ทำงานรวดเร็ว ผลงานเป็นที่น่าพอใจ หลังจากนั้นเปลี่ยนทีมช่างหรือลดจำนวนช่างที่มีประสบการณ์ทำให้ผลงานที่ได้มีคุณภาพต่ำไม่เป็นที่น่าพอใจ และงานเกิดความล่าช้า

6. งบประมาณการก่อสร้างบานปลาย จากการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมบางส่วนจากแบบแปลนที่กำหนดไว้

 

ข้อควรระวังและข้อสังเกตก่อนทำสัญญาก่อสร้าง

1. สัญญาจ้างมีความคลุมเครือ ควรระบุเงื่อนไข รายละเอียดต่าง ๆ ในสัญญาจ้างให้ชัดเจนไม่คลุมเครือ เพื่อป้องกันกรณีเจอผู้รับเหมาที่ไม่ดี ไม่มีความซื่อตรงในวิชาชีพ อาจทำให้เราเสียเปรียบได้ เมื่อตกลงเซ็นสัญญาว่าจ้างเรียบร้อยแล้ว

2. เปอร์เซ็นการจ่ายเงินแต่ละงวดเหมาะสมกับปริมาณงานหรือไม่ โดยอ้างอิงจากบัญชีแสดงราคาและปริมาณวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง หรือ BOQ

3. ขั้นตอนการดำเนินการก่อสร้างกับระยะเวลาสมเหตุสมผลหรือไม่ ระบุวัน เวลา ที่ชัดเจนในการส่งงานในแต่ละงวดงานก่อนการจ่ายค่างวด

4. ระยะประกันงานหลังการก่อสร้าง กรณีเกิดความเสียหายหรือชำรุดหลังการส่งมอบงาน

5. สิทธิในการยกเลิกสัญญา กรณีผู้รับเหมาขาดความรับผิดชอบหรือไม่ดำเนินการตามที่ระบุในสัญญา

 

ตัวอย่างสัญญาก่อสร้าง หรือสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างดาวน์โหลดได้ที่นี่

ตัวอย่างหนังสือสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง

ตัวอย่างหนังสือสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง via: สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน

 

แม้ว่าการก่อสร้างบ้านโดยการจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง หรือบริษัทรับสร้างบ้าน จะมีโอกาสได้บ้านที่ตอบโจทย์ตรงใจมากกว่าซื้อบ้านจัดสรร แต่ก็ควรให้ความสำคัญกับการทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง หากยังสองจิตสองใจ ลองดูโครงการใหม่เพิ่มเติม

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
รู้จักบ้าน เข้าใจแบบ ดูแปลนให้ออก ก่อนคิดสร้างบ้าน (ตอนที่ 2) https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/รู้จักบ้าน-เข้าใจแบบ-ดูแปลนให้ออก-ก่อนคิดสร้างบ้าน-ตอนที่%202-6000?locale=th www.ddproperty.com:resources:6000 Sat, 29 Jan 2022 14:29:49 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/05/Plan-Starter50995294_xxl-001-300x200-150x150.jpg"/></p> รู้จักบ้าน เข้าใจแบบ ดูแปลนให้ออก ก่อนคิดสร้างบ้าน (ตอนที่ 2) HIGHLIGHTS
  • แบบแปลนในการสร้างบ้านประกอบไปด้วย 4 แบบแปลนหลักด้วยกัน คือ แบบสถาปัตยกรรม แบบวิศวกรรมโครงสร้าง แบบวิศวกรรมไฟฟ้า และ แบบสุขาภิบาล

  • แบบแปลนก่อสร้างที่ถูกต้องจะต้องมีรายชื่อ เลขประจำตัว และลายเซ็นของสถาปนิกและวิศวกร และมีใบอนุญาตก่อสร้างจากหน่วยงานราชการเสมอ

 

จากความเดิมตอนที่แล้ว รู้จักบ้าน เข้าใจแบบ ดูแปลนให้ออก ก่อนคิดสร้างบ้าน (ตอนที่ 1) ที่ว่าด้วยเรื่องส่วนประกอบหลักในการสร้างบ้านแล้ว

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของภายในแบบบ้าน โดยเบื้องต้นแบบก่อสร้างที่ถูกต้องจะต้องมีรายชื่อ เลขประจำตัว และลายเซ็นของสถาปนิกและวิศวกร และมีใบอนุญาตก่อสร้างจากหน่วยงานราชการ ซึ่งมีอายุ 1 ปี จึงควรให้ผู้รับเหมาต่ออายุใบอนุญาตก่อนหมดอายุเสมอ

โดยแต่ละบริษัทอาจมีการใช้ฟอร์มของแบบก่อสร้างแตกต่างกัน แต่มีหัวข้อสำคัญที่ควรมี คือ รูปแบบการก่อสร้าง, สถานที่ก่อสร้าง, เจ้าของ , สถาปนิก, วิศวกรโยธา, วิศวกรไฟฟ้า, วิศวกรสุขาภิบาล, เขียนแบบ, วันที่, แผ่นที่

พร้อมกับกำกับมาตราส่วนของแผนผัง และบอกรหัสและหมายเลขแบบแปลนว่าเป็นในส่วนของงานระบบอะไร โดยจะแบ่งออกเป็น

A แบบสถาปัตยกรรม
S แบบวิศวกรรมโครงสร้าง
EE แบบระบบไฟฟ้า
SN แบบประปา – สุขาภิบาล

 

 

ตัวอย่างการเขียนแบบบ้านเบื้องต้น

2016-12-13_15-13-25

ภาพ via scgbuildingmaterials.com

นอกจากรายละเอียดสำคัญที่อยู่ในหัวกระดาษแล้ว อีกหนึ่งส่วนประกอบก็คือองค์ประกอบต่าง ๆ ของบ้าน อาทิ คาน เสา โครงสร้างต่าง ๆ ซึ่งในส่วนนี้จะถูกจัดยู่ในส่วนของแบบสถาปัตยกรรม

 

แบบสถาปัตยกรรม

แบบสถาปัตยกรรมคือรายละเอียดที่สถาปนิคจะเป็นผู้จัดการในส่วนนี้ ซึ่งจะเป็นเรื่องของการออกแบบตัวบ้าน ขนาดจำนวนห้อง รวมถึงความสวยงามหน้าตาของบ้าน ซึ่งจะประกอบไปด้วย

  • แปลนพื้น บอกตำแหน่งและขนาดห้องต่างๆ ตำแหน่งประตู – หน้าต่าง ตำแหน่งบันได ฯลฯ
  • รูปด้าน แสดงภาพการมองบ้านจากภายนอกบ้านทั้ง 4 ด้าน ใช้ดูวัสดุและส่วนประกอบของบ้าน
  • รูปตัด แสดงภาพบ้านที่ถูกตัดให้เห็นโครงสร้าง ภายในบ้าน ใช้ดูระดับความสูงในชั้นต่างๆ
  • รายการประกอบแบบ บอกรายละเอียดวัสดุที่จะใช้ เช่น ผนัง ฝ้า พื้น หลังคา ประตู และหน้าต่าง
  • แบบขยาย เสมือนการ Zoom เข้าไปดูรายละเอียดเป็นส่วนๆ ไป เช่น ห้องน้ำ ส่วนบันได

 

ตัวอย่างแบบสถาปัตยกรรมแปลนพื้น

l_4922_14266567851295079114

ภาพ via forfur.com

 

ตัวอย่างแบบสถาปัตยกรรมรูปตัด พร้อมแบบขยาย

SCG_XP_GLOSSARY_แบบก่อสร้าง_1 (1)

ภาพ via scgbuildingmaterials.com

 

ตัวอย่างแบบสถาปัตยกรรมรูปด้าน

section1

ภาพ via haaksquare.com

 

ตัวอย่างรายการประกอบแบบ

17_รายการประกอบแบบก่อสร้อง แผ่นที่ 1

ภาพ via databkk.com

 

สามารถดาวน์โหลดตัวอย่างรายการประกอบแบบก่อสร้างจากกรมส่งเสริมการปกครองและท้องถิ่น ได้ที่นี่

 

จากแบบแปลนต่างๆ จะเห็นว่าภายในแบบบ้านจะมีสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันไปในแบบแปลน ดังนั้นผู้ว่าจ้างสร้างบ้านควรเข้าใจว่าสัญลักษณ์เหล่านั้นในแบบแปลนบ้านว่ามีความหมายถึงอะไร โดยสัญลักษณ์ที่มักปรากฎในแบบแปลนบ้านส่วนใหญ่จะประกอบอยู่ในแบบสถาปัตยกรรม ประกอบไปด้วย

 

สัญลักษณ์ที่ปรากฎในแบบสถาปัตยกรรมบ้าน

สัญลักษณ์พื้นผิว

 23214551 

 

สัญลักษณ์เส้นบอกระยะการเขียนแบบบ้าน

475747

 

สัญลักษณ์รูปตัดและแบบขยาย

6643634634

 

สัญลักษณ์รูปด้าน

3fdafaf

 

สัญลักษณ์ประตู

4asfsafaa

 

สัญลักษณ์ผนัง

5254362752

 

สัญลักษณ์ประกอบห้อง

74365473752

 

สัญลักษณ์หน้าต่าง

82353426

ขอบคุณภาพจาก: thaihomeplan.com

 

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แบบแปลนจะมีรหัส A, S, EE และ SN ซึ่งหมายความว่าการดูแบบแปลนไม่ได้มีแค่งานโครงสร้างสถาปัตยกรรมเท่านั้น

แต่ยังแบ่งออกเป็นการเขียนแบบบ้านทั้งหมดอีก 3  รูปแบบ คือแบบวิศวกรรมโครงสร้าง, แบบระบบไฟฟ้า และ แบบประปา – สุขาภิบาล ซึ่งการเขียนแบบบ้านแต่ละแบบจะแตกต่างกันไป และมีสัญลักษณ์ต่าง ๆ เพิ่มเติมเข้ามา

ดังนั้น ผู้ว่าจ้างสร้างบ้านจำเป็นต้องมีข้อมูลเบื้องต้นในการดูแบบแปลนอื่น ๆ เหล่านี้ด้วย

 

แบบวิศวกรรมโครงสร้าง

เมื่อทำความรู้จักกับส่วนประกอบของบ้านจากตอนที่แล้ว จะทำให้สามารถตรวจงานอย่างคร่าว ๆ ของแบบวิศวกรรมโครงสร้างได้ โดยแบบวิศวกรรมนี้จะเป็นรายละเอียดในส่วนของโครงสร้างความแข็งแรงของตัวบ้าน และมีวิศวกรโยธาเป็นผู้ออกแบบโครงสร้างเพื่อรองรับแบบสถาปัตยกรรมที่สถาปนิคได้ออกแบบมา

 

แบบวิศวกรรมโครงสร้างประกอบไปด้วย

  • แปลนฐานราก แสดงตำแหน่งฐานราก (ซึ่งฝังอยู่ใต้ดิน) และเสาเข็ม
  • แปลนเสา คาน พื้น แสดงตำแหน่งเสา แนวคาน และพื้นต่าง ๆ
  • แปลนโครงหลังคา แสดงแนวโครงหลังคาที่ใช้รองรับกระเบื้องมุงหลังคา
  • แบบขยายหน้าตัดเสา คาน พื้น แสดงการเสริมเหล็กเส้นในเสาคอนกรีต คานคอนกรีต แบะพื้นคอนกรีต
  • รายการประกอบแบบ แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชนิของคอนกรีต เหล็ก รวมถึงวิธีการทำงานและวิธีทดสอบต่าง ๆ

 

ตัวอย่างแบบวิศวกรรมโครงสร้าง

1312213164

ภาพ via bloggang.com

ทั้งนี้สัญลักษณ์ต่างๆ ของแต่ละบริษัทอาจจะแตกต่างกัน โดยในแปลนตัวอย่าง ใช้ B=คาน, C=เสา และ F=ฐานราก

 

แบบวิศวกรรมไฟฟ้า

แบบวิศวกรรมไฟฟ้า คือ แบบที่แสดงงานระบบไฟฟ้าทั้งหมด รวมไปถึงระบบแสงสว่าง สำหรับงานส่วนนี้สำหรับการเขียนแบบบ้านอยู่อาศัยทั่วไป อาจจะออกแบบโดยวิศวกรรมโครงสร้างได้ เนื่องจากไม่มีความซับซ้อนถึงระดับที่ต้องใช้วิศวกรไฟฟ้าแต่อย่างใด ซึ่งแบบวิศวกรรมไฟฟ้าจะประกอบไปด้วย

  • แปลนดวงโคมแสงสว่าง แสดงตำแหน่งดวงโคมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วทั้งบ้าน พร้อมระบุชนิดของดวงโคมและอุปกรณ์
  • แปลนเต้าเสียบ สวิตซ์ บอกตำแหน่งปลั๊กไฟ ปลัก๊กโทรทัศน์ ปลั๊กโทรศัพท์ ปลั๊กคอมพิวเตอร์ สวิซต์ไฟ พร้อมระบุชนิดของอุปกรณ์ทั้งหมด
  • รายการประกอบแบบ ระบุขนาดสาย ชนิด และขนาดของท่อร้อยสาย ตู้เมนไฟฟ้า และอุปกรณ์ในการทำงาน

 

ตัวอย่างแบบวิศวกรรมไฟฟ้า

U:ARTMODULESGINZA 167.34GINZA 167.34 Model (1)

ภาพ via daiibuy.com

จุดสำคัญของแบบระบบไฟฟ้าคือตำแหน่งของตู้เมนบอร์ดที่เป็นสัญลักษณ์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า คาดด้วยสีดำทะแยงมุมครึ่งหนึ่งสีขาวครึ่งหนึ่ง ส่วนเส้นโค้งๆ ที่ลากจากสัญลักษณ์ดาวน์ไลท์จากหนึ่งจุดไปถึงอีกจุดคือการแสดงการต่อสายไฟ เพื่อกำหนดจำนวนโคมไฟที่จะเปิดและปิดในสวิตซ์เดียวกัน

 

แบบวิศวกรรมสุขาภิบาล

แบบวิศวกรรมสุขาภิบาล เป็นรายละเอียดของส่วนงานด้านสุขาภิบาล เช่นระบบน้ำทิ้ง น้ำดี ระบบประปา และการเดินท่อน้ำประปาต่าง ๆ ซึ่งประกอบไปด้วย

  • แปลนท่อ แนวการเดินท่อน้ำ ท่อน้ำทิ้ง ท่อโสโครก ท่อระบายอากาศ ภายในตัวบ้าน และตำแหน่งบำบัดน้ำเสีย
  • แปลนท่อระบายน้ำ บ่อพักน้ำ บ่อดักขยะ และบ่อดักไขมัน แนวท่อระบายน้ำรอบเขตที่ดิน ตำแหน่งบ่อพักน้ำ บ่อดักขยะ บ่อดักไขมัน พร้อมตำแหน่งการเชื่อมต่อกับท่อระบายน้ำสาธารณะของทางราชการ
  • รายการประกอบแบบ ระบุชนิด ขนาดของท่อ และอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ข้อต่อ ข้องอ และวาล์วต่างๆ ตลอดจนวิธีการทำงานและวิธีการทดสอบ

 

ตัวอย่างแบบวิศวกรรมสุขาภิบาล

SN-01

ภาพ via jr-housedesign.com

จุดเส้นปะจะเป็นแนวเส้นของท่อระบายน้ำ หรือ ระบบสุขาภิบาลภายในบ้าน

 

ทีนี้พอเรามีความรู้เบื้องต้นในการดูแบบแปลนบ้าน ก็จะทำให้ขั้นตอนในการก่อสร้างหรือพูดคุยกับผู้รับเหมาง่ายขึ้น จากการตรวจเนื้องานเบื้องต้น และเป็นการป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นหลังจากสร้างบ้านด้วย

 

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย  กิตติคม พจนี Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kittikom@ddproperty.com 

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
7 ต้นไม้ในห้องน้ำ ปลูกง่าย ดูแลไม่ยาก ช่วยดับกลิ่น https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ต้นไม้ในห้องน้ำ-58950?locale=th www.ddproperty.com:resources:58950 Sun, 09 Jan 2022 13:53:55 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/12/Plant-in-bathroom-150x150.jpg"/></p> 7 ต้นไม้ในห้องน้ำ ปลูกง่าย ดูแลไม่ยาก ช่วยดับกลิ่น ห้องน้ำถือเป็นห้องสำคัญอีกห้องหนึ่งของบ้านที่ผู้อยู่อาศัยทุกคนต่างต้องใช้ การตกแต่งห้องน้ำให้น่าอยู่ น่าใช้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ การปลูกต้นไม้ในห้องน้ำก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นอกจากจะเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับบ้านแล้ว ยังทำให้ห้องน้ำดูสดชื่นเพิ่มขึ้นด้วย ลองมาดู 7 ต้นไม้ในห้องน้ำที่ปลูกง่าย และดูแลไม่ยาก

Subscription Banner for Article

ต้นไม้ในห้องน้ำมีประโยชน์อย่างไร

ห้องน้ำเป็นห้องที่มักมีอากาศถ่ายเทได้น้อยกว่าห้องอื่นของบ้านหรือคอนโด การปลูกต้นไม้ในห้องน้ำเป็นอีกวิธีที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย ลดกลิ่น ฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ ลดสารเคมีในอากาศ และยังช่วยดูดซับความชื้นโดยธรรมชาติด้วย

 

ต้นไม้แบบไหนเหมาะสำหรับการปลูกในห้องน้ำ

1. เติบโตได้ดีในที่แสงน้อย ในห้องน้ำมักมีแสงไมค่อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับห้องอื่น ๆ ภายในบ้านหรือคอนโด ดังนั้นต้นไม้ที่ควรนำมาปลูกในห้องน้ำ จะต้องเป็นต้นไม้ที่สามารถอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงน้อย หรือแสงแค่รำไรได้

2. ทนต่อความชื้นได้ดี แน่นอนว่าในห้องน้ำจะมีความชื้นสูงมาก ต้นไม้จึงควรทนต่อความชื้นได้ดี

3. ขนาดพอเหมาะ เนื่องจากห้องน้ำส่วนใหญ่มักมีพื้นที่ไม่มากนัก โดยเฉพาะห้องน้ำในคอนโด การเลือกต้นไม้จึงควรเลือกชนิดที่ไม่ต้องใช้พื้นที่มากมาย หรือไม่แผ่กิ่งก้านจนทำให้พื้นที่ใช้สอยหดหายไป

9 ต้นไม้ฟอกอากาศ ปลูกง่ายในบ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว ดักจับฝุ่น PM 2.5

Guide

9 ต้นไม้ฟอกอากาศ ปลูกง่ายในบ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว ดักจับฝุ่น PM 2.5

แนะนำต้นไม้ในห้องน้ำ 7 ชนิด

1. ต้นไผ่กวนอิม

เหตุผลที่ไผ่กวนอิมเหมาะกับการปลูกในห้องน้ำ เนื่องจากเป็นต้นไม้ขนาดกะทัดรัด เลี้ยงง่าย และไม่จำเป็นต้องออกแดดมาก ยังมีความเชื่อว่าไผ่กวนอิมมีส่วนช่วยในการเสริมฮวงจุ้ยบ้านอีกด้วย โดยเชื่อว่าตั้งไว้บนชั้นวางเหนือชักโครกจะช่วยเสริมฮวงจุ้ย วิธีดูแลก็ง่าย ๆ เพียงตั้งกระถางปลูกไว้ในที่ร่ม ให้โดนแสงบ้างเล็กน้อย เลี่ยงรับแดดโดยตรง เพราะต้นไม้จะโตเร็ว แต่หากใบเริ่มออกสีซีด ก็อาจนำออกไปตั้งรับแดดบ้างเป็นบางครั้ง

 

2. กล้วยไม้

ต้นไม้ในห้องน้ำอีกชนิดคือ กล้วยไม้ อีกหนึ่งไม้ประดับที่สามารถนำมาปลูกในห้องน้ำได้ เหมาะสำหรับตั้งหรือแขวนไว้ในพื้นที่มีแดดรำไร และรดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้งก็เพียงพอ โดยกล้วยไม้นอกจากจะให้ความสวยงามแล้ว ยังช่วยเรื่องการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถคายก๊าซออกซิเจนได้ในปริมาณมากในแต่ละวัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้วยไม้สกุลหวาย สามารถดูดไอระเหยจากสารเคมีจำพวกแอลกอฮอล์ อะซิโตน ฟอร์มาลดีไฮด์ และคลอโรฟอร์มจากอากาศได้ดีเป็นพิเศษด้วย

พลูด่าง หนึ่งในต้นไม้ในห้องน้ำ

3. พลูด่าง

ต้นไม้ในห้องน้ำยอดนิยมที่หลายคนชอบปลูกกัน เนื่องจากพลูด่างปลูกง่าย ปลูกได้ทั้งในดิน และในน้ำ เติบโตได้ดีแม้มีแสงน้อย วิธีการดูแลรักษาพลูด่างก็ง่าย ๆ หากปลูกในน้ำ ควรเปลี่ยนน้ำเดือนละครั้ง

นอกจากนี้ยังสามารถช่วยดับกลิ่นในห้องน้ำ และช่วยลดปริมาณสารพิษในอากาศอย่างเบนซิน และสารละลายไตรคลอโรเอธิลีนได้ รวมทั้งยังสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 75% และยังสามารถคายก๊าซออกซิเจนในเวลากลางวัน ได้ถึง 100%

 

4. เศรษฐีเรือนใน

เศรษฐีเรือนในเป็นต้นไม้ที่ชอบแสงแดดอ่อน ๆ ต้องการน้ำน้อย จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะเป็นต้นไม้ในห้องน้ำ นอกจากนี้ยังช่วยดูดสารพิษในอากาศได้ปานกลางถึงมาก เหมาะอย่างยิ่งกับการปลูกในห้องน้ำ ที่แสงแดดส่องเข้าไปได้น้อย

เศรษฐีเรือนในยังขึ้นชื่อเรื่องการเป็นต้นไม้ฟอกอากาศ โดยช่วยดูดสารพิษอย่างฟอร์มาลดีไฮด์ รวมถึงคาร์บอนมอนอกไซด์และไซลีน ซึ่งเป็นสารสำคัญในอุตสาหกรรมพลาสติกและใยสังเคราะห์ และพวกทินเนอร์ แลคเกอร์ กาว สีทาบ้าน ยาทาเล็บ และยาล้างเล็บ นอกจากนี้เชื่อว่าเป็นสิริมงคล เสริมโชคลาภและป้องกันภัยให้กับผู้อยู่อาศัยด้วย

12 ต้นไม้มงคลปลูกหน้าบ้านเพื่อเสริมดวงชะตาชีวิต

Guide

12 ต้นไม้มงคลปลูกหน้าบ้านเพื่อเสริมดวงชะตาชีวิต

5. กวักมรกต

กวักมรกต เป็นต้นไม้ที่เหมาะกับการปลูกในห้องน้ำ เนื่องจากดูแลง่าย ต้องการแสงแดดรำไร กักเก็บน้ำได้ดี ทำให้ไม่ต้องรดน้ำบ่อย ๆ ช่วยดูดกลิ่นและฟอกอากาศในห้องน้ำได้ดี นอกจากนี้ยังให้ความหมายที่ดีในเรื่องของฮวงจุ้ย โดยเชื่อว่าจะกวักเงินกวักทอง และโชคลาภเข้ามาสู่บ้าน

 

6. ลิ้นมังกร

ลิ้นมังกรเป็นอีกหนึ่งต้นไม้ในห้องน้ำที่เหมาะมาก เพราะขึ้นชื่อเรื่องความทรหดอดทน เติบโตได้ดีในที่ที่มีแสงน้อย ขยายพันธุ์ง่าย รดน้ำวันเว้นวันก็พอแล้ว ตรงกันข้ามหากรดน้ำมากไปอาจทำให้ลิ้นมังกรตายได้ เหมาะสำหรับคนที่หลงลืม โดยต้นไม้ชนิดนี้จะคายออกซิเจนในเวลากลางคืน เหมาะสำหรับคนที่ชอบใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำตอนกลางคืนนาน ๆ ช่วยดับกลิ่น และฟอกอากาศให้ปราศจากฝุ่นละอองได้ด้วย

 

7. เดหลี

เดหลีมีจุดเด่นในเรื่องของความสวยงาม และเป็นต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม เหมาะกับการนำมาปลูกในห้องน้ำ เนื่องจากชอบอยู่ในพื้นที่ที่แสงรำไร แต่อากาศไม่ควรร้อนมาก และควรรดน้ำเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเดหลีมีคุณสมบัติในการช่วยดูดซับสารพิษหลายจำพวก อาทิ สารพิษประเภทกาว อะซิโตนซึ่งมีอยู่ในเครื่องสำอาง น้ำยาทาเล็บ รวมทั้งเบนซินและฟอร์มาลดีไฮด์

 

ปลูกต้นไม้ในห้องน้ำมีให้เลือกหลายชนิด

 

ข้อควรระวังสำหรับการปลูกต้นไม้ในห้องน้ำ

1. ระวังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง การปลูกต้นไม้ในห้องน้ำ ควรจะต้องระวังเรื่องน้ำขัง ควรจะเทน้ำทิ้ง หรือเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง

2. ระวังเรื่องความสะอาด การปลูกต้นไม้ในห้องน้ำ โดยเฉพาะต้นไม้ที่ต้องใช้ดิน หากมีการรดน้ำต้นไม้ อาจทำให้ดินในกระถางกระจายเลอะเทอะตามอ่างล้างหน้า หรือตามพื้น หรือกิ่งก้านใบที่ผลัดจากต้นอาจทำให้ห้องน้ำดูสกปรกไม่น่ามองได้

3. ระวังกระถางตกหล่นเสียหาย การปลูกต้นไม้ในห้องน้ำบนกระถาง หากวางไม่เป็นระเบียบ หรือวางเกะกะ อาจทำพลัดตกได้ จึงควรวางในมุมที่ไม่ขัดขวางการใช้งานในห้องน้ำ หรือเลือกใช้กระถางที่เป็นพลาสติก หรือวัสดุที่ตกหล่นแล้วไม่แตก

4. ระวังเป็นอันตรายต่อเด็กและสัตว์เลี้ยง หากมีเด็กหรือสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้าน ต้นไม้บางชนิดมียางที่อาจระคายเคืองต่อเด็ก และสัตว์เลี้ยงได้

ประโยชน์

สิ่งที่ควรระวัง

ลดกลิ่น

แหล่งเพาะพันธุ์ยุง

ฟอกอากาศ

ความสะอาด

ลดเชื้อราและแบคทีเรีย

อันตรายต่อเด็กและสัตว์เลี้ยง

จะเห็นได้ว่าต้นไม้ในห้องน้ำมีประโยชน์มากกว่าการเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การช่วยลดกลิ่นอับภายในห้องน้ำ ซึ่งช่วยทำให้ห้องน้ำน่าอยู่ และน่าใช้มากขึ้น

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก 3 หน่วยงานรัฐ กทม., ธอส. และกรมโยธาฯ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แบบบ้านชั้นเดียว-งบ-1-ล้าน-59237?locale=th www.ddproperty.com:resources:59237 Sun, 09 Jan 2022 11:54:54 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/12/House-with-1-million-baht-150x150.jpg"/></p> แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก 3 หน่วยงานรัฐ กทม., ธอส. และกรมโยธาฯ แจกฟรีแบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้านบาท จาก 3 หน่วยงานรัฐ เหมาะกับคนที่มีงบประมาณจำกัดในการสร้างบ้าน อยากได้บ้านสวย ขนาดกะทัดรัด ตอบโจทย์การอยู่อาศัย เหมาะกับครอบครัว โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นผู้สูงอายุและเด็กเล็ก สามารถนำไปปลูกสร้างได้ ลดขั้นตอนและประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างออกแบบ

Subscription Banner for Article

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก กทม.

กรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมกับสำนักการโยธา มีแบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้านบาท หลากหลายสไตล์ เป็นแบบบ้านสวยงาม ทันสมัย ปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และถูกต้องตามที่กฎหมายควบคุมอาคาร กำหนดไว้ทุกประการ โดยสถาปนิกและวิศวกรได้ให้การรับรอง สามารถติดต่อขอรับแบบบ้านเพื่อนำไปก่อสร้างบนที่ดินขนาดเล็ก เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของตนเองได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการจ้างออกแบบ

 แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก กทม.

1. แบบบ้านชะมวง

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้านบาท ขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 120 ตารางเมตร ขนาดที่ดินอย่างน้อย กว้าง 16.50 เมตร ลึก 14.40 เมตร* ราคาก่อสร้างประมาณ 1,020,000 บาท**

 แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก กทม.

2. แบบบ้านชายผ้าสีดา

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้านบาท ขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 120 ตารางเมตร ขนาดที่ดินอย่างน้อย กว้าง 12.00 เมตร ลึก 18.00 เมตร* ราคาก่อสร้างประมาณ 1,020,000 บาท**

 แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก กทม.

3.แบบบ้านชำมะเลียง

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้านบาท ขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 125 ตารางเมตร ขนาดที่ดินอย่างน้อย กว้าง 14.10 เมตร ลึก 22.00 เมตร* ราคาก่อสร้างประมาณ 1,062,500 บาท**

*เป็นขนาดที่ดินคร่าว ๆ เพื่อประกอบการเลือกแบบบ้านโดยขนาดที่ดินที่สามารถก่อสร้างได้จริง อาจจะน้อยกว่า-มากกว่าขนาดดังที่ระบุ

โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบในการออกใบอนุญาตก่อสร้างของภาครัฐ จะพิจารณาจากข้อบัญญัติหรือกฎหมายอื่น ๆ ที่มีผลบังคับใช้ในแต่ละพื้นที่

**ราคาค่าสร้างข้างต้น ไม่รวมค่าวัสดุที่เจ้าของบ้านต้องจัดซื้อของได้แก่ วัสดุปูพื้น สุขภัณฑ์ ดวงโคม ปลั๊กไฟ หรือตามแต่เจ้าของบ้านกับผู้รับจ้างตกลงกันเอง

แจกฟรี แบบบ้าน กทม. 120 แบบ เหมาะสำหรับที่ดินขนาดเล็ก

 

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก ธอส.

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้านบาท แบบบ้านฟรี จากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดให้ประชาชนและผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแบบบ้านฟรี สามารถ นำไปใช้ในการยื่นขอกู้เพื่อปลูกสร้างแบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้านบาท ลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว ขนาดที่ดินไม่เกิน 40 ตารางวา

โดยเป็นแบบบ้านที่ออกแบบมาในแนวคิดรักษ์โลก สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม พฤติกรรมการอยู่อาศัย และประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ยังเหมาะกับครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้วัสดุก่อสร้างที่ประหยัดพลังงาน พร้อมทั้งรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต

 แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก ธอส.

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก ธอส.

1. แบบบ้าน GHB 101 - 9x9 House

แบบบ้านชั้นเดียว 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร ห้องรับแขก และที่จอดรถ 1 คัน การออกแบบเน้นความโปร่งโล่ง เปิดรับลมธรรมชาติ ระบายอากาศได้ดี หลังคาทรงหน้าจั่ว ตกแต่งด้วยกระจกใสบานใหญ่ เปิดรับแสงธรรมชาติแทนการใช้ไฟฟ้า มีเฉลียงบ้านด้านหน้าและด้านหลังสำหรับเป็นมุมพักผ่อนเหมาะกับการอยู่อาศัยของครอบครัวขนาดเล็ก

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก ธอส.

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก ธอส.

2. แบบบ้าน GHB 102 - บ้านสวนในเมือง

แบบบ้านชั้นเดียว แบบก่อสร้างบ้านพักอาศัยคอนกรีตเสริมเหล็ก 1 ชั้น 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่น เฉลียงข้างบ้าน และที่จอดรถ 1 คัน ออกแบบสไตล์โมเดิร์น ปูนเปลือย ตัวบ้านเน้นการใช้กระจกเพื่อให้บ้านดูโปร่งสบาย แฝงอารมณ์ความดิบและเท่แบบบ้านสไตล์ลอฟท์เป็นที่ชื่นชอบของคนรุ่นใหม่

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก ธอส.

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จาก ธอส.

3. แบบบ้าน GHB 103 - บ้านกลางลม

แบบบ้านชั้นเดียว แบบก่อสร้างบ้านพักอาศัยคอนกรีตเสริมเหล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่น ห้องซักรีด และที่จอดรถ 1 คัน มีเฉลียงด้านหน้าและด้านหลังสำหรับพักผ่อน เป็นบ้านหน้ากว้างออกแบบสไตล์บ้านพักตากอากาศ หลังคาทรงปั้นหยา เน้นกระจกใสหลายบานเพื่อถ่ายเทอากาศ ให้อารมณ์เหมือนอยู่รีสอร์ทธรรมชาติ

ทั้งนี้ ธอส. ได้จัดทำพิมพ์เขียวแบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนและผู้สนใจ นอกจากนี้ยังมีแบบบ้านงบไม่เกิน 2 ล้านบาท สามารถดาวน์โหลด แบบบ้านฟรี ธอส. นำไปใช้ในการยื่นขอกู้เพื่อปลูกสร้าง (ไม่รวมราคาค่ารับรองแบบบ้าน)

 

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จากกรมโยธาฯ

แบบบ้านไทยพอเพียง เป็นแบบบ้านที่กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย จัดทำขึ้นและแจกฟรี สามารถนำไปให้ช่างประเมินราคาค่าก่อสร้างได้ทันที ลักษณะเป็นบ้านไทยประยุกต์ ดีไซน์บ้านไม้กึ่งปูนแบบดั้งเดิมที่เน้นตัวบ้านยกสูง มีช่องทางระบายอากาศและพื้นที่ใช้งานใต้ถุน มีทั้งหมด 10 แบบ ราคาประหยัดเริ่มต้นที่ 5 แสน-1 ล้านบาท สำหรับแบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้านบาท มีทั้งหมด 3 แบบ ดังนี้

 แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จากกรมโยธาฯ

1. แบบบ้านไทยพอเพียง 3

แบบบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง 1 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก พื้นที่ใช้สอย 98 ตารางเมตร ขนาดที่ดินอย่างน้อย กว้าง 16.20 เมตร ยาว 13.20 เมตร งบประมาณค่าฐานรากเสาเข็ม 1,022,000 บาท งบประมาณค่าฐานรากแผ่ 958,000 บาท

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จากกรมโยธาฯ

2. แบบบ้านไทยพอเพียง 4

แบบบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ เหมาะกับครอบครัวขนาดกลาง พื้นที่ใช้สอย 112 ตารางเมตร ขนาดที่ดินอย่างน้อย กว้าง 16.20 เมตร ยาว 17.20 เมตร งบประมาณค่าฐานรากเสาเข็ม 1,189,000 บาท งบประมาณค่าฐานรากแผ่ 1,115,000 บาท

 แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 ล้าน จากกรมโยธาฯ

3. แบบบ้านไทยพอเพียง 5

แบบบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง แปลนตัวแอล 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ เหมาะกับครอบครัวขนาดกลาง ขนาดพื้นที่ใช้สอย 108 ตารางเมตร ขนาดที่ดินอย่างน้อย กว้าง 16.20 เมตร ยาว 17.20 เมตร งบประมาณค่าฐานรากเสาเข็ม 1,152,000 บาท งบประมาณค่าฐานรากแผ่ 1,083,000 บาท

ดาวน์โหลดฟรี 10 แบบบ้านไทยพอเพียง งบ 5 แสน-1 ล้าน จากกรมโยธาฯ

 

เมื่อได้แบบบ้านที่ตรงใจแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การเตรียมตัวสร้างบ้าน รู้ 7 ขั้นตอน รู้ก่อนหาผู้รับเหมา ขออนุญาตก่อสร้าง หรือถ้ายังไม่เจอแบบบ้านที่ถูกใจ ก็ยังมีแบบบ้านสวย ๆ 50 แบบบ้านโมเดิร์น ลอฟท์ วินเทจ ครบทุกสไตล์ เลือกสร้างได้ตามงบ สามารถดูเพิ่มเติมได้

 

ทำอย่างไรให้แบบบ้านแจกฟรี ใช้สร้างบ้านได้จริง

เมื่อได้แบบบ้านงบ 3 แสน แบบบ้านฟรีที่ถูกใจ และต้องการให้สามารถใช้แบบบ้านนี้สร้างบ้านได้จริง ต้องดำเนินการทำให้แบบบ้านนั้นถูกต้องตามกฎหมาย และเหมาะสมกับการสร้าง ดังนี้

ขั้นตอนในการก่อสร้างบ้าน

รายละเอียด

จัดหาสถาปนิก และวิศวกรวิชาชีพ

สำรวจพื้นที่จริง และออกแบบให้เป็นแบบบ้านมาตรฐาน พร้อมลงชื่ออนุมัติรับรอง เพื่อนำไปยื่นขออนุญาตก่อสร้าง

ขออนุญาตก่อสร้างบ้าน

ยื่นเรื่องขออนุญาตก่อสร้างกับหน่วยงานราชการ

ระบุว่าสถาปนิกผู้ออกแบบและวิศวกร ในแบบบ้านที่ยื่นขออนุญาต

แบบบ้านที่ยื่นขออนุญาต ต้องระบุว่าใครเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ และใครเป็นวิศวกรผู้คำนวณโครงสร้าง และรับรองรายการคำนวณ

จัดทำแบบขยายโดยละเอียด

เมื่อยื่นขออนุญาตก่อสร้างผ่านแล้ว ต้องนำแบบบ้านมาจัดทำแบบขยายโดยละเอียด ให้สามารถใช้ในการสร้างบ้านได้จริง

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
แบบบ้านงบ 3 แสน ของ กทม. และสำนักโยธา แจกฟรี ไม่ต้องเสียค่าออกแบบ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แบบบ้านงบ-3-แสน-59162?locale=th www.ddproperty.com:resources:59162 Sun, 09 Jan 2022 11:36:01 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/12/House-with-THB300000-150x150.jpg"/></p> แบบบ้านงบ 3 แสน ของ กทม. และสำนักโยธา แจกฟรี ไม่ต้องเสียค่าออกแบบ อยากมีบ้านแต่มีงบประมาณหลักแสน ก็สามารถสร้างบ้านราคาประหยัด มีแบบบ้านงบ 3 แสนบาท จากหน่วยงานราชการ แบบบ้านสำเร็จรูปที่คิดคำนวณค่าใช้จ่ายออกมาให้ไม่เกินงบ เน้นออกแบบเพื่อความสะดวกสบาย และยังตอบโจทย์การอยู่อาศัย รวบรวมแบบบ้านงบ 3 แสนบาทมาให้ดูเป็นไอเดีย รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ เมื่อเลือกใช้แบบบ้านแจกฟรีในการก่อสร้างบ้าน

Subscription Banner for Article

แบบบ้านกรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมกับสำนักโยธา

แบบบ้านงบ 3 แสนบาทที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมกับสำนักโยธา แบบบ้านสวยในโครงการแบบบ้านยิ้ม...เพื่อประชาชนระยะที่ 3" รวมบ้านสวย ดี มีมาตรฐาน ประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย พร้อมปลูกสร้างได้ทันที สามารถนำไปก่อสร้างในพื้นที่ขนาดเล็กได้อย่างมีความเหมาะสม จากทั้งหมด 120 แบบบ้าน ดังนี้

1. แบบบ้านกรมเขา

แบบบ้านงบ 3 แสน ที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมกับสำนักโยธา

บ้าน 1 ชั้น 1 ห้องนอน 1 ห้องนํ้า พื้นที่ใช้สอยประมาณ 44 ตารางเมตร ขนาดที่ดินอย่างน้อย กว้าง 8.50 เมตร ลึก 12.00 เมตร* ราคาก่อสร้างประมาณ 374,000 บาท**

2. แบบบ้านกระดุมทอง

แบบบ้านงบ 3 แสน ที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมกับสำนักโยธา

บ้าน 1 ชั้น 1 ห้องนอน 1 ห้องนํ้า พื้นที่ใช้สอยประมาณ 45 ตารางเมตร ขนาดที่ดินอย่างน้อย กว้าง 13.20 เมตร ลึก 7.60 เมตร* ราคาก่อสร้างประมาณ 382,500 บาท**

*เป็นขนาดที่ดินคร่าว ๆ เพื่อประกอบการเลือกแบบบ้านโดยขนาดที่ดินที่สามารถก่อสร้างได้จริง อาจจะน้อยกว่า-มากกว่าขนาดดังที่ระบุ โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบในการออกใบอนุญาตก่อสร้างของภาครัฐ จะพิจารณาจากข้อบัญญัติหรือกฎหมายอื่น ๆ ที่มีผลบังคับใช้ในแต่ละพื้นที่

**ราคาค่าสร้างข้างต้น ไม่รวมค่าวัสดุที่เจ้าของบ้านต้องจัดซื้อของได้แก่ วัสดุปูพื้น สุขภัณฑ์ ดวงโคม ปลั๊กไฟ หรือตามแต่เจ้าของบ้านกับผู้รับจ้างตกลงกันเอง

ทั้งนี้ สามารถขอรับแบบบ้านงบ 3 แสนบาท เพื่อนำไปก่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัยของตนเองได้อย่างสะดวก รวดเร็วโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการจ้างออกแบบ ถูกต้องตามที่กฎหมายควบคุมอาคารกำหนดไว้ทุกประการ โดยสามารถติดต่อขออนุญาตปลูกสร้างบ้าน ได้ที่ฝ่ายโยธาของสำนักงานเขต 50 เขต ตามที่อยู่ของพื้นที่ดินที่จะก่อสร้างบ้าน

ดาวน์โหลดเพิ่มเติม แบบบ้านสวย 120 แบบ

 

แบบบ้านแจกฟรี นำไปสร้างบ้านได้เลยหรือไม่

สำหรับคนที่อยากสร้างบ้าน มองหาแบบบ้านสวย ๆ ด้วยการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะเห็นว่ามีหลาย ๆ เว็บไซต์ที่แจกแบบบ้านฟรี แบบบ้านงบ 3 แสนบาท แต่รู้หรือไม่ว่าแบบบ้านแจกฟรีนั้น ๆ ยังไม่สามารถนำไปก่อสร้างได้ ด้วย 2 เหตุผล ดังนี้

1. แบบบ้านแจกฟรี ยังต้องยื่นขออนุญาต

แบบบ้านที่สามารถนำไปใช้สร้างได้จริงแบบถูกต้องตามกฎหมายนั้น จะต้องมีการยื่นขออนุญาตต่อหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบก่อน โดยในการยื่นขออนุญาต ก็จำเป็นจะต้องใช้แบบบ้านมาตรฐาน ที่แสดงรายละเอียดอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างพร้อมรายการคำนวณ แบบแสดงการติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัย แบบแสดงรายละเอียดการจัดแสงสว่าง การระบายอากาศ แบบแสดงระบบประปาและสุขาภิบาล เป็นต้น

นอกจากนั้นแล้วยังต้องผ่านการรับรองอนุมัติแบบจากวิศวกรและสถาปนิกผู้มีใบประกอบวิชาชีพ มิเช่นนั้นจะไม่สามารถยื่นขออนุญาตก่อสร้างบ้านได้ ดังนั้น แบบบ้านแจกฟรีจึงถือเป็นแบบบ้านที่ยังไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบ ยังไม่สามารถใช้สร้างบ้านได้ตามกฎหมาย

การเตรียมตัวสร้างบ้าน 7 ขั้นตอน รู้ก่อนหาผู้รับเหมา ขออนุญาตก่อสร้าง

Guide

การเตรียมตัวสร้างบ้าน 7 ขั้นตอน รู้ก่อนหาผู้รับเหมา ขออนุญาตก่อสร้าง

 

แบบบ้านงบ 3 แสน ยังคงต้องมีรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย

 

2. แบบบ้านแจกฟรี ยังมีรายละเอียดไม่เพียงพอต่อการสร้างบ้านให้สมบูรณ์แบบ

แม้จะนำแบบบ้านแจกฟรีนั้นไปให้วิศวกรและสถาปนิกตรวจสอบจนผ่านการขออนุญาตก่อสร้างบ้าน แต่แบบบ้านแจกฟรีก็ยังไม่มีแบบขยายโดยละเอียด รวมถึงแบบสถาปัตยกรรม ที่เหมาะกับการสร้างบ้านโดยสมบูรณ์

หากไม่ทำแบบขยายโดยละเอียดก่อนสร้างบ้าน อาจส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังได้ เช่น ไม่สามารถจัดทำรายการวัสดุและสั่งซื้อพร้อมประเมินราคาก่อสร้างได้ เนื่องจากไม่มีการระบุรายละเอียดวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างอย่างชัดเจน รูปแบบที่ดินของเรา อาจไม่เหมาะกับรูปแบบที่ดินที่เป็นไปตามแบบบ้านแจกฟรี เพราะแบบบ้านแจกฟรีเป็นการสมมติ ที่ไม่ได้ออกแบบจากพื้นที่จริง

หรือในรายละเอียดของงานระบบไฟฟ้า ประปา สุขาภิบาล การเดินสายไฟ ท่อประปา หรือแม้กระทั่งตำแหน่งการวางถังเก็บน้ำต่าง ๆ เมื่อถึงคราวก่อสร้างจริง ก็จะทำให้เกิดปัญหา เสียเวลา และเสียงบประมาณในการก่อสร้างมากขึ้น

ขอน้ำประปา ขอมิเตอร์น้ำ 3 ประเภท จากการประปา ต้องทำอย่างไร

Guide

ขอน้ำประปา ขอมิเตอร์น้ำ 3 ประเภท จากการประปา ต้องทำอย่างไร

ทำอย่างไรให้แบบบ้านแจกฟรี ใช้สร้างบ้านได้จริง

เมื่อได้แบบบ้านงบ 3 แสนบาท แบบบ้านฟรีที่ถูกใจ และต้องการให้สามารถใช้แบบบ้านนี้สร้างบ้านได้จริง ต้องดำเนินการทำให้แบบบ้านนั้นถูกต้องตามกฎหมาย และเหมาะสมกับการสร้าง ดังนี้

ขั้นตอนในการดำเนินการ

รายละเอียด

จัดหาสถาปนิก และวิศวกรวิชาชีพ

สำรวจพื้นที่จริง และออกแบบให้เป็นแบบบ้านมาตรฐาน พร้อมลงชื่ออนุมัติรับรอง เพื่อนำไปยื่นขออนุญาตก่อสร้าง

ขออนุญาตก่อสร้างบ้าน

ยื่นเรื่องขออนุญาตก่อสร้างกับหน่วยงานราชการ

ระบุว่าสถาปนิกผู้ออกแบบและวิศวกร ในแบบบ้านที่ยื่นขออนุญาต

แบบบ้านที่ยื่นขออนุญาต ต้องระบุว่าใครเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ และใครเป็นวิศวกรผู้คำนวณโครงสร้าง และรับรองรายการคำนวณ

จัดทำแบบขยายโดยละเอียด

เมื่อยื่นขออนุญาตก่อสร้างผ่านแล้ว ต้องนำแบบบ้านมาจัดทำแบบขยายโดยละเอียด ให้สามารถใช้ในการสร้างบ้านได้จริง

อย่างไรก็ดี แบบบ้านแจกฟรีที่สามารถใช้สร้างบ้านได้เลย ส่วนใหญ่จะเป็นแบบบ้านแจกฟรีของหน่วยงานราชการ เช่น 6 แบบบ้านฟรี ธอส. แบบบ้านชั้นเดียว-แบบบ้านสองชั้นแบบบ้านฟรี กทม. ค่าก่อสร้างเริ่มต้นไม่ถึง 4 แสน หรือแบบบ้านสองชั้น 5 แบบ 5 สไตล์ แบบบ้านฟรี จากสำนักการโยธา สามารถดูเพิ่มเติมได้

แบบบ้านแจกฟรีของหน่วยงานรัฐ จะมีค่าใช้จ่ายเพียงแค่ค่าเอกสารเท่านั้น และสามารถใช้สร้างบ้านได้เลยโดยไม่ต้องดำเนินการจัดจ้างสถาปนิกหรือวิศวกรมาอนุมัติแบบ ช่วยประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้านได้ ตอบโจทย์คนที่มีงบประมาณจำกัด มองหาแบบบ้านงบ 3 แสนบาท, แบบบ้านงบ 4 แสนบาท หรือแบบบ้านไม่เกินเล้าน ให้คุณสร้างบ้านสวยในฝันได้ตามงบประมาณที่มี

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
เช็กปีชง 2565 ปีนักษัตรไหนชงตรง-ชงร่วม พร้อมวิธีแก้ชง https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/เช็กปีชง-63-ปีนักษัตรไหนชงตรง-ชงร่วม-พร้อมวิธีแก้ชง-19579?locale=th www.ddproperty.com:resources:19579 Mon, 03 Jan 2022 16:23:59 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/10/Wat-Mangkon-Kamalawat-150x150.jpg"/></p> เช็กปีชง 2565 ปีนักษัตรไหนชงตรง-ชงร่วม พร้อมวิธีแก้ชง คำว่า ปีชง มาจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ของจีน โดยเกี่ยวข้องกับองค์เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย หรือ “เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา” ซึ่งเป็นเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ และมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในแต่ละปี ซึ่งหากปีนักษัตรใดปะทะหรือได้รับผลร้ายจากเทพเจ้า “ไท้ส่วยเอี๊ย” จะทำให้ปีนั้นจะเป็นปีที่ได้รับผลไม่ดี หรือที่เรียกว่า “ปีชง” นั่นเอง ลองมาดูว่าปีชง 2565 นั้นมีปีนักษัตรไหนชงตรง-ชงร่วมบ้าง

Subscription Banner for Article

 

ประเภทของปีชง 2565

สำหรับปีที่ได้รับผลไม่ดี จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ประเภท ได้แก่

  • ปีชง คือ ปีที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดหรือที่เราเรียกกันว่าชงโดยตรง
  • ปีคัก คือ ปีที่เป็นปีนักษัตรเดียวกับปีนั้น ๆ
  • ปีเฮ้ง คือ ปีที่ได้รับผลกระทบในเรื่องเคราะห์กรรม
  • ปีผั่ว คือ ปีที่ได้รับผลกระทบในเรื่องสุขภาพ

โดยปีชงคือปีที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนปีที่เหลือจะเรียกกันว่า ปีชงร่วม ซึ่งได้รับผลกระทบน้อยกว่า

 

ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย: เลือกสีบ้านให้เหมาะกับปีเกิด ช่วยเสริมฮวงจุ้ย

Guide

ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย: เลือกสีบ้านให้เหมาะกับปีเกิด ช่วยเสริมฮวงจุ้ย

 

เช็กปีชง 2565

ปี 2565 เป็นปีนักษัตร ขาล (เสือ) มีปีชงและชงร่วมดังนี้

ปีชง

ปีชง 2565 ตรง ๆ แบบ 100% ได้แก่ ปีนักษัตร วอก (ลิง) หรือผู้ที่เกิดตรงกับปี พ.ศ. 2475, พ.ศ. 2487, พ.ศ. 2499, พ.ศ. 2511, พ.ศ. 2523, พ.ศ. 2535, พ.ศ. 2547, พ.ศ. 2559

ปีชงร่วม

ปีชงร่วม ได้แก่ ปีนักษัตร ขาล, กุน, มะเส็ง หรือผู้ที่เกิดปี พ.ศ. 2466, พ.ศ. 2469, พ.ศ. 2472, พ.ศ.2478, พ.ศ. 2481, พ.ศ. 2484, พ.ศ. 2490, พ.ศ. 2493, พ.ศ. 2496, พ.ศ. 2502, พ.ศ. 2505, พ.ศ. 2508, พ.ศ. 2514, พ.ศ. 2517, พ.ศ. 2520, พ.ศ. 2526, พ.ศ. 2529, พ.ศ. 2532, พ.ศ. 2538, พ.ศ. 2541, พ.ศ. 2544, พ.ศ. 2550, พ.ศ. 2553, พ.ศ. 2556, พ.ศ. 2562

สรุปปีชง 2565

ลักษณะการชง

ปีนักษัตร

ปีชง

ปีวอก

ปีคัก

ปีขาล

ปีเฮ้ง

ปีมะเส็ง

ปีผั่ว

ปีกุน

 

วิธีแก้ปีชง 2565

1. ไหว้องค์เทพไท้ส่วย ตามความเชื่อของชาวจีน การไหว้องค์เทพไท้ส่วย สามารถที่จะช่วยบรรเทาเคราะห์กรรมในปีชงนี้ให้เบาบางลงได้ และควรที่จะต้องไปไหว้เป็นอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง

2. ทำบุญช่วยชีวิตสัตว์ต่าง ๆ เช่น การไถ่ชีวิตโค-กระบือ ปล่อยนก ปล่อยปลา การบริจาคโลหิต ฯลฯ

3. ไหว้พระ 9 วัด ช่วยเสริมสิริมงคลให้ชีวิต วัดจีนสำคัญ ๆ รวมถึงสถานที่ที่แนะนำให้เดินทางไปไหว้แก้ปีชง ได้แก่

  • วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) กรุงเทพฯ
  • วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ คณะสงฆ์จีนนิกายรังสรรค์ (วัดเล่งเน่ยยี่ 2) จ.นนทบุรี
  • วัดทิพยวารีวิหาร (วัดกัมโล่วยี่) กรุงเทพฯ
  • วัดโพธิ์แมนคุณาราม (วัดโพวมิ้งป่ออึงยี่) กรุงเทพฯ
  • วัดมังกรบุปผาราม (วัดเล่งฮัวยี่) จ.จันทบุรี
  • วิหารเทพสถิตพระกิติเฉลิม (ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ) จ.ชลบุรี
  • ศาลเจ้าพ่อเสือ เสาชิงช้า กรุงเทพ ฯ

 

เลือกเฟอร์นิเจอร์ให้ตรงราศีเกิด

Guide

เลือกเฟอร์นิเจอร์ให้ตรงราศีเกิด

 

ขั้นตอนแก้ปีชง 2565

ขอยกตัวอย่างขั้นตอนการแก้ปีชงจากวัดเล่งเน่ยยี่ ดังนี้

1. เริ่มจากไปทำบุญซื้อชุดสะเดาะเคราะห์แก้ปีชงก่อน จะไปทำเองหรือฝากคนอื่นทำแทนก็ได้

2. เขียนชื่อ-นามสกุล อายุ วัน เดือน ปีเกิด และเวลาตกฟาก ลงในใบฝากดวงแก้ปีชง (สีแดง) หากไม่ทราบข้อมูลส่วนไหนให้เขียนคำว่า "ดี" ลงไปแทน (ทางวัดจะมีตารางนับอายุแบบจีนให้เทียบดูด้วย)

3. นำชุดฝากดวงปีชง พร้อมกับหยิบธูป 3 ดอก ไหว้อธิษฐานต่อองค์เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยที่วิหารท้าวจตุโลกบาล ชั้น 2

4. อธิษฐานขอบารมีองค์เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย เพื่อช่วยคุ้มครองดวงชะตาให้แคล้วคลาดปลอดภัยตลอดทั้งปี

5. นำชุดฝากดวงปีชงปัดออกจากตัวเอง 12 ครั้ง (หากทำแทนคนอื่นไม่ต้องปัดตัว)

6. ปัดตัวเสร็จแล้ว นำชุดฝากดวงวางไว้หน้าองค์เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย เพื่อถือเป็นการฝากดวงชะตาให้คุ้มครองตลอดทั้งปี 

 

วิธีแก้ปีชง 2565

 

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

การเดินทางไปงานศพ ให้ละเว้นการไปส่งศพ การอยู่ในพิธีฝังศพ หรืออยู่ในพิธีที่นำหีบศพลงหลุม โดยเชื่อกันว่าใครที่ละเมิดไปร่วมงานศพ หรือร่วมในพิธีส่งศพกลับมา ดวงชะตาอาจได้รับผลกระทบทำให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่วย กิจการการค้าที่ตัวเองกำลังทำอยู่อาจประสบปัญหาต่าง ๆ ได้

 

แต่งบ้านเสริมดวงปีวอก

แม้จะเป็นปีชง แต่ยังมีวิธีแต่งบ้านเพื่อเสริมดวงสำหรับผู้ที่เกิดปีนักษัตรวอกด้วย โดยปีวอก ถือเป็นปีนักษัตรธาตุทอง การแต่งบ้านเพื่อเสริมฮวงจุ้ยนั้นทำได้ไม่ยาก ดังนี้

1. ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงบ้านอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดความสมดุลกับผู้อยู่อาศัย เช่น เปลี่ยนสีทาบ้าน เปลี่ยนผ้าม่านทุกปี หรือหาเฟอร์นิเจอร์ใหม่ ๆ มาทดแทนของเก่า เป็นต้น รวมทั้งหาต้นไม้มาปลูก ซึ่งหมายถึงการเจริญเติบโตตลอดเวลา

2. เลี้ยงปลาอะโรวานา หรือปลามังกร หรือหาภาพปลาอะโรวานามาประดับในบ้าน เสริมสิริมงคล และความมั่งคั่งให้กับผู้อยู่อาศัย

3. แต่งบ้านด้วยรูปปั้นมงคล เช่น รูปปั้นเต่า หรือเครื่องปั้นดินเผา ตั้งไว้หลังบ้าน เพื่อตั้งไว้เป็นหลักคุ้มครองให้กับบ้าน แคล้วคลาด ปลอดภัย และเกิดความมั่นคง

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ถมที่ดินให้ถูกกฎหมาย ตามพ.ร.บ.การขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ถมที่ดิน-เรื่องต้องรู้ก่อน-สร้างบ้าน-11654?locale=th www.ddproperty.com:resources:11654 Mon, 27 Dec 2021 14:08:08 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/02/Fill-land-before-build-house-150x150.jpg"/></p> ถมที่ดินให้ถูกกฎหมาย ตามพ.ร.บ.การขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 ถมที่ดิน สิ่งที่เจ้าของที่ดินต้องรู้เป็นอันดับต้น ๆ ก่อนจะสร้างบ้านใหม่ เนื่องจากเป็นรากฐานที่สร้างความมั่นคงให้กับบ้าน แต่การถมที่ดินถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะมีเรื่องกฎหมาย ประวัติที่ดิน และผู้รับเหมามาเกี่ยวข้อง หากใครคิดที่จะสร้างบ้านจึงจำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจก่อนที่จะทำการถมที่ดิน

 

ก่อนถมที่ดินใหม่ ระวังไว้เรื่องกฎหมาย

ก่อนคิดจะปลูกบ้านบนที่ดินของตนเอง สิ่งแรกที่จำเป็นจะต้องศึกษาก็คือเรื่องกฎหมายสำหรับการถมที่ดิน ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบหลักในการสร้างบ้าน หากไม่ทำการศึกษาอาจทำให้การถมที่ดินส่งผลกระทบไปสู่ที่ดินข้างเคียงของผู้อื่นให้เสียหายได้

ดังนั้น การถมที่ดินจึงมีข้อบังคับให้อยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 จะมีประเด็นหลักที่ต้องดูด้วยกัน 3 ข้อ คือ

1. หากเจ้าของที่ดินจำเป็นต้องทำการขุดดิน 

โดยมีความลึกจากระดับพื้นดินเกิน 3 เมตร จะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่พนักงานท้องถิ่น (ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร หรือ นายกเทศมนตรี สำหรับในเขตเทศบาล) และทำการขุดตามแบบที่เจ้าหน้าที่พนักงานท้องถิ่นกำหนด

2. หากพื้นที่ที่ขุดดินมีความลึกจากระดับพื้นดินไม่เกิน 3 เมตร 

แต่อยู่ใกล้แนวเขตที่ดินของผู้อื่นในระยะน้อยกว่าสองเท่าของความลึกของบ่อดินที่จะขุด ต้องจัดการป้องกันการพังทลายของดินตามวิสัยที่ควรกระทำ เพื่อป้องกันดินทลายลงสู่พื้นที่ข้างเคียง

3. การถมที่ดินสูงกว่าพื้นที่ใกล้เคียง 

หากจะทำการถมดินโดยมีความสูงของเนินดินเกินกว่าระดับที่ดินต่างเจ้าของที่อยู่ใกล้เคียง และมีพื้นที่ของเนินดินไม่เกิน 2,000 ตารางเมตร ต้องจัดให้มีการระบายน้ำเพียงพอที่จะไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่เจ้าของที่ดินที่อยู่ข้างเคียง

 

ระดับความลึก-ความสูง

ข้อควรระวังในการถมดิน

ลึกเกิน 3 เมตร

แจ้งเจ้าหน้าที่พนักงานท้องถิ่น  และขุดตามแบบที่กำหนด

ลึกไม่เกิน 3 เมตร

ป้องกันการพังทลายของดิน ไม่ให้ดินทลายลงสู่พื้นที่ข้างเคียง

สูงกว่าพื้นที่ใกล้เคียง

จัดการระบายน้ำไม่ให้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่พื้นที่ข้างเคียง

 

ข้อกฎหมายควรรู้ก่อนสร้างบ้านใหม่บนที่ดินของตัวเอง

Guide

ข้อกฎหมายควรรู้ก่อนสร้างบ้านใหม่บนที่ดินของตัวเอง

 

การถมที่ดิน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทราบไว้

 

ป้องกันปัญหาหลังการถมดิน ด้วยการเช็กประวัติที่ดิน

สิ่งต่อไปหลังจากรู้กฎหมายเบื้องต้นในการถมที่ดินแล้ว คือตรวจเช็กประวัติที่ดินที่ตัวเองกำลังสนใจหรือถือครองไว้อยู่ ซึ่งในแง่ของคนที่กำลังคิดจะซื้อที่ดินนั้น จำเป็นจะต้องตรวจเช็กประวัติที่ดินนั้น ๆ อยู่แล้วเป็นประเด็นสำคัญ

ราคาประเมินที่ดิน เคล็ดลับฉบับมือใหม่หัดซื้อที่ดิน

แต่บางคนมีที่ดินเก็บไว้เป็นเวลานานแล้ว ก็ต้องกลับมาตรวจเช็กที่ดินของตัวเองกันใหม่ก่อนจะถมที่ดินหรือสร้างบ้าน เนื่องจากการเอาที่ดินเก่าเก็บมาสร้างบ้านนั้นจะมีปัจจัยของระยะเวลามาเกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมาที่ดินของคุณอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม การพังทลายของดินมาก่อน ดังนั้นก่อนที่จะถมดินก็ต้องมาทำความรู้จักที่ดินของตัวเองใหม่

1. ตรวจสอบประวัติการเกิดอุทกภัย 

สิ่งแรกที่ควรจะตรวจสอบเลยก็คือประวัติน้ำท่วมบนพื้นที่โดยพิจารณาจากการย้อนไปดูข่าวเก่า หรือสอบถามจากคนพื้นที่ เพื่อเช็กระดับสูงสุดที่น้ำเคยท่วมถึง รวมไปถึงเช็กระดับน้ำในท่อระบายน้ำสาธารณะ โดยติดต่อหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบ เพื่อจะประมาณการถมดินให้สูงกว่าระดับดังกล่าว เพื่อป้องกันอุทกภัย และให้น้ำระบายออกมาจากพื้นที่ดินในบ้านได้

พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ต้องรู้ก่อนซื้อบ้าน

 

2. เช็กระดับดินพื้นที่ดินบริเวณข้างเคียง และถนนหน้าบ้าน 

เพื่อจะได้ทำการถมดินให้สูงกว่า โดยส่วนใหญ่จะมักจะถมให้สูงกว่าถนนหน้าบ้านประมาณ 50-80 ซม. แต่จะอยู่ระดับที่ใกล้เคียงกับที่ดินเพื่อนบ้าน จะไม่นิยมถมที่ดินให้สูงเกินกว่านี้ เนื่องจากพื้นที่ระหว่างที่ดินของบ้านกับถนนสาธารณะจะมีความลาดชันมากเกินไป และอาจเกิดปัญหาน้ำท่วมที่ดินข้างเคียง โดยเฉพาะที่สำคัญการถมที่ดินสูงกว่า 80 ซม. ก็มีค่าใช้จ่ายสูง และอาจเกิดแรงดันจนรั้วบ้านเสียหายได้

 

ถมที่ดิน อย่าลืมพิจารณาประเภทของดิน

การถมที่ดินต้องตกลงกันให้เรียบร้อยว่าจะใช้ดินอะไรในการถม โดยดินมีหลายประเภท ดังนี้

1. ดินถมทั่วไป ดินทั่วไปที่มีราคาถูกกว่าดินประเภทอื่น จึงได้รับความนิยมมาก เนื้อดินแน่น แต่ความอุดมสมบูรณ์ของดินน้อย ไม่เหมาะกับการนำไปใช้เพาะปลูก

2. ดินดาน มีลักษณะแห้ง บดอัดได้ดี นิยมใช้สำหรับถมที่ดินที่ต้องการปลูกสร้างทันที เช่น การถมพื้นถนน หรือที่ดินริมน้ำ

3. ดินลูกรัง แม้จะเป็นดินที่บดอัดได้ดี แต่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินน้อย ไม่เหมาะกับการนำไปใช้เพาะปลูก

4. ดินทราย แม้จะราคาถูก แต่มีลักษณะไม่อุ้มน้ำ ถูกกัดกร่อนได้ง่าย ต้องมีการป้องกันดินไหล และบดอัดอย่างดี เพื่อป้องกันการทรุดตัวในอนาคต

5. หน้าดิน มีลักษณะร่วนพรุน เนื้อดินค่อนข้างละเอียด ระบายน้ำได้ดี เหมาะกับการถมที่ดินที่ต้องการทำสวน หรือทำสนามหญ้า

 

เช็กราคาการถมที่ดินเบื้องต้น ระวังผู้รับเหมาปล้นโดยไม่รู้ตัว

 

เช็กราคาการถมที่ดินเบื้องต้น ระวังผู้รับเหมาปล้นโดยไม่รู้ตัว 

เมื่อรู้ข้อกฎหมายการถมที่ดิน รู้ประวัติที่ดินของตนเอง ทีนี้ก็มาดูค่าใช้จ่ายในการถมที่ดินกัน ซึ่งโดยทั่วไปการถมที่ดินนั้นจะมีราคาไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลาย ๆ อย่าง อาทิ ระยะทางในการขนส่ง ขนาดพื้นที่ สภาพที่ดิน เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก

ดังนั้น เจ้าของที่ดินที่อยากจะสร้างบ้านในราคาที่ประหยัด อยู่ในงบประมาณก็ควรเริ่มต้นศึกษาข้อมูลค่าใช้จ่ายตั้งแต่การถมที่ดินเลย เนื่องจากผู้รับเหมาส่วนใหญ่จะคิดราคาการถมที่ดินไม่เหมือนกัน บางรายคิดเป็นคันรถ บางรายคิดเป็นคิว แต่จะคิดราคาเหมารวมกับค่าบดอัด

ทั้งนี้ เจ้าของที่ดินสามารถเปรียบเทียบและคำนวณหาผู้รับเหมาที่ถูกที่สุดได้โดยการแปลงพื้นที่ดินจากตารางวาให้เป็นตารางเมตร โดยใช้สูตร 

ขนาดพื้นที่ดิน (ตารางวา) x 4 = พื้นที่ตารางเมตร

ตัวอย่าง ที่ดิน 50 ตารางวา x 4 = 200 ตารางเมตร

พอได้ผลลัพธ์ที่เป็นขนาดที่ดินแบบตารางเมตรแล้วก็มาคำนวณความสูงของดินที่จะถม โดยนำ 

ความสูงในการถมที่ดิน (เมตร) x พื้นที่ตารางเมตร = ปริมาณดินที่ต้องการใช้ (คิว)

ตัวอย่าง ต้องการถมที่ดินสูง 2 เมตร X 200 ตารางเมตร = ดิน 400 คิว

โดยต้องเผื่อค่าบดอัดดินที่จะยุบตัวลงไปด้วยประมาณ 20-30%

ปริมาณดินที่ต้องการใช้ (คิว) x 30% =  400 x 30% = 400 + 120 = 520 คิว

ที่ดินของคุณต้องการใช้ดินสำหรับถมที่ดินประมาณ 520 คิว

จากนั้นก็ลองเอาตัวเลขที่ได้ตรงนี้ไปเปรียบเทียบกับราคาที่ผู้รับเหมาแจ้งมา ระหว่างการคิดราคาเป็นคันรถ (ขึ้นอยู่กับว่ารถบรรทุกดินได้กี่คิว) กับราคาที่คิดเป็นคิว (ดินถมทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 280-350 บาท/คิว) ว่าการคิดราคาแบบไหนจะถูกกว่ากัน

 

เมื่อรู้วิถีการถมดินที่ดินเบื้องต้นแล้ว เมื่อมีการปลูกสร้างบ้านก็จะไม่ทำให้เกิดปัญหาภายหลัง แถมยังช่วยประหยัดงบในการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านอันเป็นปัญหาที่เกิดจากดินทรุดตัวในอนาคตด้วย ดังนั้นก่อนจะสร้างบ้านนอกจากการศึกษาโครงสร้างตัวบ้าน กฎหมายอาคาร เรื่องของที่ดินก็เป็นส่วนสำคัญมากที่ไม่ควรมองข้ามเพราะเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการสร้างบ้าน

 

ปัญหาบ้านทรุดตัว เรื่องสำคัญที่ต้องรีบแก้ไข

Guide

ปัญหาบ้านทรุดตัว เรื่องสำคัญที่ต้องรีบแก้ไข

 

เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กิตติคม พจนี Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kittikom@ddproperty.com 

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ผู้รับเหมา เลือกอย่างไร 8 ขั้นตอนว่าจ้างผู้รับเหมาสร้างบ้านให้เสร็จ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/รู้ทันผู้รับเหมา-ก่อนเง-5801?locale=th www.ddproperty.com:resources:5801 Mon, 27 Dec 2021 06:41:03 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2016/10/Unio-RAMA2-39600501_xxl-20161012-150x150.jpg"/></p> ผู้รับเหมา เลือกอย่างไร 8 ขั้นตอนว่าจ้างผู้รับเหมาสร้างบ้านให้เสร็จ แน่นอนว่าเราคงไม่เข้าใจการทำงานของผู้รับเหมาอยู่แล้ว เเต่การทำให้ทุกอย่างเป็นขั้นตอนอย่างมีระบบ และเป็นลายลักษณ์อักษรก็ช่วยให้คุณเบาใจไปได้เยอะ เพราะความเชื่อใจอย่างเดียวคงไม่พอ ถ้าเจอผู้รับเหมาที่ดีก็ดีไป

แต่ถ้าเจอผู้รับเหมาไม่ดี นอกจากจะต้องมานั่งเสียใจภายหลังแล้ว ยังอาจเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย อย่าให้บ้านในฝันต้องขึ้นอยู่กับเรื่องของดวงเลย เพราะบ้านเป็นอะไรที่สำคัญมากที่เดียวนะ เป็นสถานที่ที่เราต้องฝากชีวิตไว้ด้วยอีกนาน มารู้ทันผู้รับเหมาด้วยขั้นตอนการเลือกผู้รับเหมาที่ควรรู้ก่อนสร้างบ้านกัน เชิญอ่านกันตามอัธยาศัยนะครับทุกคน

sportlight

 

1. ทำสัญญาว่าจ้าง

การทำสัญญาว่าจ้าง หรือสัญญาอะไรก็ตามกับผู้รับเหมา ควรทำให้ละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเป็นการยืนยันไม่ควรใช้ปากเปล่า หรือแค่เพียงสัญญาใจในการสั่งงานหรือจ้างงาน เพราะถ้าหากผู้รับเหมาทำมาผิดจากที่ตกลงกันก็จะมีหลักฐานไว้สำหรับยืนยันกับผู้รับเหมาเพื่อให้ทำการรับผิดชอบให้เป็นไปตามสัญญานั่นเอง

สัญญา

ทำสัญญาว่าจ้างให้ชัดเจนกับผู้รับเหมาช่วง

ผู้รับเหมา

เลือกผู้รับเหมาที่น่าเชื่อถือ มีผลงานชัดเจน

ค่าจ้าง

กำหนดค่าจ้างและการจ่ายเงินงวดให้ชัดเจน

ตรวจงาน

ตรวจเช็กความคืบหน้า ดูความเรียบเรียบของหน้างาน

ตัวอย่างหนังสือสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง via: สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน

2. เลือกผู้รับเหมาที่มีความน่าเชื่อถือ

การเลือกผู้รับเหมาที่มีผลงานชัดเจนเป็นสิ่งปลูกสร้างให้เห็น ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดลอย ๆ หรือแค่กระดาษแผ่นเดียวแล้วบอกว่าเคยผ่านโครงการเหล่านี้มา เพราะอาจจะถูกหลอกลวงจากแก๊งต้มตุ๋นได้ ถ้าเป็นไปได้ควรจ้างผู้รับเหมาเฉพาะค่าแรง ส่วนวัสดุเราไปหาซื้อเองเพื่อป้องกันปัญหาการโกงวัสดุ แต่การที่เราทำ BOQ (บัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา) ก็ช่วยลดปัญหาตรงนี้ไปได้อีกเปราะ

 

3. ทำบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา (Bill of Quantities/B.O.Q.)

บัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ คือ

  • ลำดับที่ของรายการ
  • รายละเอียดของงานแต่ละประเภท
  • ปริมาณงาน (จำนวน)
  • หน่วยในการวัดเพื่อการจ่ายเงิน
  • อัตราราคาต่อหน่วย (อาจแยกเป็นราคาค่าวัสดุ และค่าแรงงาน) ของแต่ละรายการ
  • ราคารวม
  • หมายเหตุ (หากจำเป็น หรือต้องการ)

หน้าที่และความสำคัญของบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา ที่ใช้ในงานก่อสร้าง นั่นก็เพื่อแสดงองค์ประกอบรายละเอียดของงานต่าง ๆ ใช้แสดงปริมาณงานและหน่วยที่ใช้ในการวัดและจ่ายเงิน แสดงราคาของงานแต่ละประเภท เพื่อเปรียบเทียบราคาของผู้เข้าประกวดราคา และเป็นราคาฐาน สำหรับงานเพิ่มเติมในโครงการนั้น ๆ และที่สำคัญใช้เพื่อการเบิกจ่ายเงิน (Payment) หรือการเบิกจ่ายเงินบางส่วนในระหว่างการก่อสร้าง (Interim Payment)

 

4. วางแผนการจ่ายเงิน

ในสัญญาควรมีกำหนดระยะเวลาและขั้นตอนในการจ่ายเงินให้ชัดเจนว่างานผ่านไปกี่เปอร์เซ็นต์จะจ่ายอย่างไรเพื่อไม่ให้ถกเถียงกันตอนหลัง และควรทำเป็นลายลักษณ์อักษรให้รับทราบทั้งสองฝ่ายด้วย

ถ้าผู้รับเหมาขอเบิกเงินค่างวดล่วงหน้าหรือมีข้ออ้างว่าเงินไม่พอจะซื้อวัสดุทำให้ก่อสร้างต่อไม่ได้ ผู้ที่เป็นผู้ว่าจ้างไม่ควรใส่ใจ และไม่ควรใจอ่อนเพราะตอนที่ผู้รับเหมาประเมินงานผู้รับเหมาต้องมีเงินพร้อมสำหรับการก่อสร้างอยู่แล้ว ถ้าผู้รับเหมาไม่มีเงินแล้วอ้างเหตุผลต่าง ๆ มากมาย แสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพ รวมถึงเป็นสัญญาให้ผู้ว่าจ้างพึงระวังพฤติกรรมของผู้รับเหมาเจ้านี้

 

5. แบ่งจ่ายเป็นงวด ๆ

โดยเริ่มจ่ายจากมัดจำเพียง 10% ก่อน เพื่อดูการทำงานความเชี่ยวชาญ และความเป็นมือผู้รับเหมาก่อน อีกทั้งการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับเหมาควรแบ่งจ่ายออกเป็นหลาย ๆ งวด นั่นก็เพื่อไม่ให้เงินที่จ่ายในแต่ละครั้งเยอะจนเกินไปจนทำเป็นแรงจูงใจให้ผู้รับเหมาเร่งทำงานไม่เก็บรายละเอียดให้ดี และที่สำคัญหลีกเลี่ยงปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงานนั่นเอง

ผู้รับเหมาทิ้งงานเพราะอะไร แล้วจะแก้ไขอย่างไร

6. ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน

เช็กด้วยว่าผู้รับเหมาได้ทำงานเป็นไปตามกำหนดเวลาที่ได้วางไว้หรือเปล่า? ถ้าช้าก็ควรถามว่าเพราะอะไร ทำไมถึงช้าติดปัญหาอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการอัปเดตความคืบหน้าไปในตัว เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เสร็จตามกำหนด

การเตรียมตัวสร้างบ้าน 7 ขั้นตอน รู้ก่อนหาผู้รับเหมา ขออนุญาตก่อสร้าง

7. ตรวจเช็กความคืบหน้าของงาน

เป็นสิ่งที่สำคัญมากส่วนหนึ่งที่ผู้ว่าจ้างควรจะเข้าไปตรวจดูงานที่ผู้รับเหมาทำบ่อย ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อให้งานเป็นไปตามกำหนดที่วางไว้ และไม่ให้ผู้รับเหมาทำงานออกนอกลู่นอกทาง อีกทั้งยังเป็นวิธีการป้องกันการโกงวัสดุก่อสร้างผิดจากที่ตกลงกันไว้ การเข้าไปดูงานก็ควรเข้าไปแบบสุ่มเวลา หรือมีเวลาก็แวะไปดู ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของเราอีกด้วย แต่ก็ไม่ควรไปยุ่งวุ่นวายนะครับ เพราะมันเสียเวลาคนทำงาน

 

8. ตรวจรับงาน

ถ้าหากเป็นโครงการขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ควรจ้างผู้เชี่ยวชาญ วิศวกร ที่ปรึกษา มาช่วยในการคุมงานเพราะจะเข้าใจในเรื่องการก่อสร้างมากกว่า แต่ถ้าหากไม่อยากเสียเงินเจ้าก็เลือกผู้รับเหมาให้ดี หรือให้คนที่รู้จักที่มีความรู้ให้ก็ได้ เพราะการมีสัญญาและรายละเอียดก็ทำให้เราสามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

รู้กฎหมายป้องกันผู้รับเหมาก่อสร้างทิ้งงาน-เอาเปรียบ

เรื่องบ้านเป็นเรื่องใหญ่ และความเข้าใจลำดับขั้นตอนในการทำงาน หรือจัดซื้อจัดจ้างก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่ผู้จ้างควรจะรู้ก่อนที่จะจ้างงานกับผู้รับเหมาสักรายเพื่อสร้างบ้านให้เรา และเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตกินเล็กกินน้อยจากผู้รับเหมา ที่แอบดูดเงินในกระเป๋าคุณจนหมด รวมทั้งเพื่อให้ได้บ้านในฝันออกมาตรงตามสเปกที่เราต้องการ ดีกว่ามาแก้กันตอนท้าย ทั้งเสียเงิน เสียใจ แล้วยังเสียเวลาอีกจะหาว่าไม่เตือน

 

เรื่องข้างต้นเรียบเรียงโดย วัชระ วงศ์สง่า Content Writer ประจำเว็บไซต์ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ Watchara@ddproperty.com

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
กินอาหารอย่างไรให้รักษ์โลก https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/กิน-อาหารอย่างไร-ให้รักษ์โลก-59218?locale=th www.ddproperty.com:resources:59218 Sun, 02 Jan 2022 15:13:55 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/12/Cooking-with-save-earth-150x150.jpg"/></p> กินอาหารอย่างไรให้รักษ์โลก เรากำลังนับถอยหลังสู่ศักราชใหม่ในอีกไม่กี่ชั่วอึดใจ หลายครอบครัวกำลังเตรียมการเฉลิมฉลอง ซึ่งแม้ว่าบรรยากาศในภาพรวมจะยังไม่ได้ดูสนุกสนานรื่นเริงมากเท่ากับก่อนที่โลกของเราจะเผชิญกับสภาวะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่บรรยากาศของเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่คงทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาเตรียมปาร์ตี้เล็ก ๆ เอาไว้สังสรรค์ พูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อน ๆ

หากพูดถึงการจัดงานเลี้ยงฉลอง เราคงต้องนึกถึงอาหารมากมายเรียงรายอยู่บนโต๊ะ และจะต้องเป็นเมนูเด็ด ๆ ที่แต่ละบ้านโปรดปราน หรือบางคนอาจจะนึกไปถึงการออกไปรับประทานอาหารมื้อใหญ่ ๆ นอกบ้าน หลากหลายเมนูคาวหวาน บุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างและชาบูสุกี้

แต่ก่อนจะไปถึงมื้ออาหารสุดพิเศษนั้น WWF อยากขอนำเสนอทางเลือกในการรับประทานอาหารและจัดปาร์ตี้ในคอนเซ็ปต์สนุกและยังช่วยดูแลโลกได้ด้วย กับแนวคิด Save One Third  

Sustainability

จากงานวิจัยที่เก็บข้อมูลพฤติกรรมการบริโภคของมนุษย์ทั่วโลก WWF หรือองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลระบุว่า อาหารปริมาณ 1 ใน 3 ที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อการบริโภคของคนคือส่วนที่จะถูกทิ้ง จากการรับประทานเหลือ จากการ “คัดทิ้ง” เนื่องจากคุณภาพไม่ตรงตามมาตรฐาน ซึ่งดูจะเป็นเรื่องปกติ หากมองที่ปลายทางของปริมาณอาหาร 1 ส่วนที่ถูกทิ้งว่าจะไปเป็นปุ๋ย หรือถูกนำไปทำเป็นอาหารสัตว์

แต่หากมองให้ดีแล้วจะพบว่า “กลไก” ในการตั้งต้นผลิตอาหาร ไม่ว่าจะเป็น น้ำ พลังงาน หรือแม้กระทั่งพืชที่นำมาใช้เลี้ยงสัตว์ที่จะถูกนำมาเป็นผลิตภัณฑ์จากเนื้อให้คนบริโภค พืชเหล่านั้นที่มาจากการแผ้วถางป่าเพื่อทำการเกษตร กลไกทั้งหมดนี้คือ “ต้นทุน” ที่เราอาจไม่ได้คำนึงถึง ในขณะที่เรา “ทิ้ง” อาหาร 1 ส่วนนั้น ซึ่งนั่นหมายรวมถึงต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมของโลกด้วย

ตัวอย่างเช่น ในประเทศอินเดียที่ประสบกับปัญหาฝุ่นควันปกคลุมในเมืองใหญ่จนกลายเป็นที่มีมลภาวะทางอากาศสูงมากเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก ส่วนหนึ่งของปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากฟืนไฟและควันที่มาจากการประกอบอาหารในแต่ละครัวเรือน อีกทั้งอินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก 1 ส่วนของอาหารที่เหลือจากการรับประทาน จึงหมายถึงต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่แอบแฝงที่ถูกทิ้งไป

Sustainability

WWF จึงออกแคมเปญสนับสนุนให้คนทั่วโลก ร่วมกันตระหนักถึงรูปแบบของการบริโภคของพวกเราตลอดสายโซ่อุปทานเพื่อให้กลไกการผลิตอาหารเพื่อการบริโภคของประชากรโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน เป็นไปอย่างยั่งยืน และโลกของเรายังคงมีทรัพยากรที่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนในเจเนอเรชั่นต่อไปได้

WWF จึงขอชวนทุก ๆ คนเริ่มต้นดูแลโลก ผ่านการ “กิน” อย่างรับผิดชอบ รับประทานอาหารให้หมดในจานของตนเอง

เศษอาหารที่เหลือทำอย่างไร?  

หากรับประทานไม่หมดจริง ๆ การจัดเก็บในภาชนะที่ถูกสุขลักษณะแล้วใส่ตู้เย็นไว้เพื่อมาทานในวันต่อไป ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่จะให้ดีควรแบ่งสัดส่วนของอาหารเอาไว้ให้พอดีในแต่ละมื้อ แล้วอย่าลืมเขียนเตือนวันเวลาที่จัดเก็บอาหารแต่ละกล่อง เพื่อให้เราจัดการนำมันกลับมารับประทานได้อีกโดยที่อาหารยังไม่เสีย

หากไปรับประทานอาหารนอกบ้านแล้ว ไม่สามารถรับประทานได้หมดจริง ๆ การขอห่อกลับบ้านเป็นเรื่องที่ทำได้
ที่สำคัญ หยุดคิดก่อนสั่งอาหาร เพราะอาหารจานใหญ่ที่เกินความสามารถในการรับประทานของสมาชิกร่วมโต๊ะ ก็คือ อาหารเหลือ ลองมองหาอาหารเมนูเดิมที่จานเล็กลงเป็นทางเลือก และยังทำให้เราเลือกทานอาหารได้หลากหลายมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ในงานปาร์ตี้ที่เต็มไปด้วยอาหารที่รับประทานไม่หมด ท่านสามารถแบ่งปันอาหารบางอย่างให้กับผู้ที่ต้องการได้โดยไม่ต้องทิ้ง เช่น ผลไม้ที่ยังไม่ได้ตัดแต่ง หรืออาหารสำเร็จรูป ในบางประเทศมีโครงการรับบริจาคอาหารสำหรับผู้ยากไร้ด้วย

ขอให้ปีใหม่นี้เป็นอีกปีที่สดใส และให้ทุกคนได้เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลอง ที่เราได้รับผิดชอบโลกใบนี้ของเราได้ ผ่านไลฟ์สไตล์การกินของพวกเรากัน

รวมบทความรักษ์โลก ช่วยประหยัดพลังงาน และลดโลกร้อน 

บทความโดย คุณดวงกมล วงศ์วรจรรย์ ผู้บริหารฝ่ายสื่อสารองค์กร WWF ประเทศไทย ท่านสามารถศึกษาข้อมูลของโครงการอนุรักษ์ต่างๆ และความเคลื่อนไหวขององค์กรได้ที่ Facebook: https://www.facebook.com/wwfthailand

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
รับสร้างบ้าน 5 วิธีเลือกบริษัทรับสร้างบ้าน ไม่ทิ้งงาน งบไม่บานปลาย https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/วิธีเลือกบริษัทรับสร้างบ้านให้โดนใจ-14681?locale=th www.ddproperty.com:resources:14681 Sun, 26 Dec 2021 17:31:05 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/05/Property_Construction_Engineer_Plan-Meeting-150x150.jpg"/></p> รับสร้างบ้าน 5 วิธีเลือกบริษัทรับสร้างบ้าน ไม่ทิ้งงาน งบไม่บานปลาย เบื่อไหม? เวลาคิดจะสร้างบ้านทั้งทีต้องมานั่งกลัวนั่นกังวลนี่ เพราะถ้าคุณขาดความรู้ความเข้าใจและความระมัดระวังแล้วล่ะก็ คุณก็อาจแจ็กพอตเจอผู้รับเหมาสร้างบ้านห่วย ๆ ที่ทิ้งงาน หรือสร้างบ้านที่ด้อยคุณภาพให้นอนผวาทุกคืน ไม่ก็โดนฟันราคาสูงหรืองบบานปลายจนกระเป๋าฉีก โดยที่คุณแก้ไขอะไรไม่ได้เลย 

แต่เรื่องทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าลองมาดูคำแนะนำดี ๆ สำหรับการเฟ้นหาบริษัทรับสร้างบ้านที่ดีและมีคุณภาพในราคาที่เหมาะสมที่รับรองว่ารับมือเรื่องปวดหัวในการหาผู้รับเหมาได้อย่างแน่นอน

Subscription Banner for Article

 

5 กลยุทธ์ในการเลือกบริษัทรับสร้างบ้านให้คุ้มค่าและมีคุณภาพ

1. ตรวจประวัติและดูผลงาน

จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการตามหาบริษัทรับสร้างบ้านที่ดีนั้นคือ การค้นหาและคัดเลือกผู้รับเหมาสร้างบ้านที่มีมาตรฐานและดูน่าไว้วางใจ ด้วยการตรวจประวัติและดูผลงานการก่อสร้างที่ผ่านมา ไม่ว่าคุณจะลองค้นหาชื่อบริษัทจากในอินเทอร์เน็ต หรือลองสอบถามประสบการณ์จากเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงที่เคยใช้บริการ คุณก็จะได้ข้อมูลคร่าว ๆ ก่อนจะเริ่มพูดคุยรายละเอียดกับผู้รับเหมาที่น่าสนใจและรู้สึกจะเข้าท่าจริง ๆ กับบ้านในฝันของคุณ

2. ขอใบเสนอราคาก่อสร้าง

หลังจากหาผู้รับเหมาที่สนใจได้สัก 2-3 รายแล้ว คุณต้องแจ้งรายละเอียดการก่อสร้างและขอใบเสนอราคาจากผู้รับเหมา เพื่อให้ทราบมูลค่าการก่อสร้างทั้งหมดที่คุณต้องจ่าย ซึ่งอาจรวมถึงรายละเอียดและมาตรฐานของวัสดุที่ใช้ แล้วนำใบเสนอราคาทั้งหมดมาเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ ซึ่งการเสนอราคาก็สามารถสะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานการทำงานของผู้รับเหมาได้ และคุณก็จะได้เลือกบริษัทรับสร้างบ้านที่ดีในราคาที่เหมาะสมจากขั้นตอนนี้เอง

3. ต้องมีสัญญาจ้างที่ชัดเจน

เมื่อพึงพอใจกับราคาที่ผู้รับเหมาสร้างบ้านเสนอมาแล้ว ก็ได้เวลาของการทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร ห้ามตกลงงานกันปากเปล่าเด็ดขาด โดยบริษัทรับสร้างบ้านที่มีคุณภาพจะเป็นผู้เสนอสัญญาจ้างให้คุณเองเลยโดยไม่ต้องร้องขอ ซึ่งในสัญญาต้องมีการระบุถึงกรอบระยะเวลาการก่อสร้าง วัสดุที่ใช้ การแบ่งชำระเป็นงวดตามความคืบหน้าของงาน มีเงื่อนไขการรับประกันงานก่อสร้าง และถ้ามีพาร์ตเนอร์ที่รับช่วงต่อในงานที่ผู้รับเหมาไม่ถนัด ก็ต้องระบุในสัญญาด้วย

ตัวอย่างหนังสือสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างจากสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน

4. มีมาตรฐานในการทำงาน

แม้ว่าคุณจะพยายามหาผู้รับเหมาก่อสร้างให้ดีอย่างไร สุดท้ายมาตรฐานที่แท้จริงก็จะเห็นได้เมื่อเริ่มงาน โดยผู้รับเหมาที่มีมาตรฐานนั้นต้องวางแผนงานให้คุณทราบอย่างเป็นระบบ หากเป็นงานใหญ่ต้องส่งวิศวกรหรือสถาปนิกของผู้รับเหมามาให้การดูแลถึงหน้างาน และที่ขาดไม่ได้คือเอกสารค่าใช้จ่ายวัสดุ (Bill of Quantities หรือ BOQ) ที่แสดงให้เห็นถึงการใช้วัสดุและค่าใช้จ่ายระหว่างก่อสร้าง ซึ่งถ้าผู้รับเหมาตกมาตรฐานไหนไป คุณต้องเรียกหาทันทีอย่าได้ช้า

งานก่อสร้าง

รายละเอียดงานในงานแต่ละส่วน

โครงสร้าง

ค่าใช้จ่ายในงานโครงสร้างทั้งหมด

สถาปัตยกรรม

งานก่อ ฉาบ ฝ้า พื้น เป็นต้น

งานระบบ

ระบบประปา ไฟฟ้า สุขาภิบาล

5. มีผู้เชี่ยวชาญตรวจรับงาน

การตรวจรับงานไม่ใช่แค่คนรับเงินมาเดินประกบคุณแล้วชี้ให้ดูโน่นนี่นั่นจากนั้นก็จบ แต่คุณควรมีสถาปนิกหรือวิศวกรก่อสร้างที่มีความเชี่ยวชาญมาร่วมตรวจงาน ซึ่งควรหาคนกลางมาเอง แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ควรมีวิศวกรฝั่งผู้รับเหมามาร่วมตรวจงานด้วย โดยบริษัทรับสร้างบ้านต้องมีรายการตรวจรับงานอย่างชัดเจน หากมีอะไรที่ผิดจากที่เคยตกลงกันไว้ต้องพร้อมแก้ไข และเมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าบ้านของคุณสมบูรณ์แบบแล้ว จึงค่อยชำระเงินงวดสุดท้ายเป็นอันเสร็จสิ้นการส่งมอบงาน

9 รายการตรวจรับบ้านด้วยตัวเอง เช็กก่อนโอนแก้ไขทัน

รับสร้างบ้านราคาถูกและดีเป็นไปได้ ด้วยการเลือกอย่างคุ้มค่า

สิ่งที่คุณจะได้รับเมื่อเลือกบริษัทรับสร้างบ้านที่มีคุณภาพ

1. มีเอกสารและหลักฐานให้อุ่นใจ

สัญญาจ้างถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการจ้างงานก่อสร้างและมีผลทางกฎหมาย คุณสามารถอุ่นใจได้เลยเมื่อได้รับสัญญาจ้างที่ลงนามกันอย่างถูกต้องระหว่างตัวคุณกับผู้รับเหมา เพราะหากมีการตุกติกหรือหนีงานขึ้นมา คุณก็สามารถใช้สัญญาจ้างและหลักฐานทั้งหมดในการฟ้องร้องเอาผิดต่อผู้รับเหมาได้โดยไม่ต้องนั่งเข่าทรุดน้ำตาตกใน

2. สามารถติดตามงานและค่าใช้จ่ายได้

บริษัทรับสร้างบ้านราคาถูกนั้นมีอยู่ทั่วไป แต่การหาบริษัทรับสร้างบ้านราคาถูกและมีคุณภาพนั้นคุณจะได้รับก็ต่อเมื่อจ้างผู้รับเหมาที่ทำงานได้มาตรฐาน เพราะคุณจะสามารถติดตามความคืบหน้าของงาน การใช้วัสดุต่าง ๆ ที่มีคุณภาพ และตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างก่อสร้าง แม้ว่าจะต้องทำการบ้านหาผู้รับเหมาให้หนักสักนิด แต่ผลที่ได้นั้นคุ้มค่ามากจริง ๆ

3. แบ่งชำระเป็นงวดตามความคืบหน้า

ไม่ต้องกลัวผู้รับเหมาสร้างบ้านหนีหายไม่พูดไม่จาพร้อมกับเงินก้อนใหญ่ เพราะบริษัทรับสร้างบ้านที่ดีและมีคุณภาพย่อมต้องจริงใจกับคุณด้วยการให้แบ่งจ่ายเป็นงวดตามความคืบหน้าของงาน (ถ้าไม่ยอมคุณก็เลือกผู้รับเหมาใหม่ได้เลย) แถมการจ่ายเป็นงวดยังแบ่งเบาภาระทางการเงิน ไม่ต้องถอนเงินก้อนใหญ่ออกจากบัญชีของคุณด้วย 

4. ลดปัญหาระหว่างและหลังการก่อสร้าง

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัญหาจุกจิกในการก่อสร้างมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ถ้าคุณเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีคุณภาพ พวกเขาก็จะป้องกันและรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้อย่างมีมาตรฐาน ยิ่งถ้าเป็นบริษัทที่เคยมีผลงานมากมาย ประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานก็ยิ่งช่วยลดปัญหาทั้งระหว่างและหลังการก่อสร้างให้คุณได้อย่างแน่นอน

อ่านเพิ่มเติมสำหรับข้อควรทราบในการรู้ทันผู้รับเหมาที่นี่

ผู้ที่กำลังคิดจะหาผู้รับเหมาต่อเติมบ้าน หรือบริษัทรับสร้างบ้านไม่ควรมองหาแต่บริษัทรับสร้างบ้านราคาถูกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองหามาตรฐานและคุณภาพที่ดีจากผู้รับเหมาเหล่านั้นด้วย เพราะเงินที่เสียไปทุกบาททุกสตางค์ในวันนี้จะกลายเป็นบ้านที่เรารักไปอีกหลายสิบปี

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ค่าไฟฟ้าแพง 4 เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟ และมาตรการผ่อนชำระค่าไฟจากการไฟฟ้า https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/หาคำตอบทำไม-ค่าไฟแพง-25952?locale=th www.ddproperty.com:resources:25952 Sun, 26 Dec 2021 15:59:50 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/04/Bill-electricity-thai-150x150.jpg"/></p> ค่าไฟฟ้าแพง 4 เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟ และมาตรการผ่อนชำระค่าไฟจากการไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าแพง ในช่วงนี้อาจไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลายคนต้อง Work From Home หรืออยู่บ้านนานขึ้น ประกอบกับอากาศร้อน ทำให้ต้องใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าบ่อยกว่าเดิม แน่นอนว่าอาจทำให้บิลค่าไฟฟ้าของคุณมีตัวเลขที่มากกว่าปกติ จนมีคำถามคาใจว่าทำไม "ค่าไฟฟ้าแพง" ลองมาดูว่าค่าไฟฟ้าแพงนั้นเกิดจากอะไร มีวิธีการคิดค่าไฟอย่างไร เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดกินไฟเท่าไหร่ รวมทั้งมาตรการผ่อนชำระค่าไฟฟ้าได้ที่นี่

อ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

 

ทำไมค่าไฟฟ้าแพง

อันดับแรกต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าค่าไฟฟ้าแพงนั้นเกิดจากอะไร โดยการไฟฟ้าจะคิดค่าไฟฟ้าแบบอัตราก้าวหน้า ยิ่งใช้มาก ยิ่งต้องจ่ายมาก ซึ่งตัวแปรของค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น คือ หน่วยการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วงนี้คนส่วนใหญ่อยู่บ้าน หรือ Work From Home ทำงานที่บ้านกันมากขึ้น จึงทำให้มีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นกว่าปกติ

8 อาชีพเด่น งานไหนสามารถทำที่บ้านได้ในปี 2021

Guide

8 อาชีพเด่น งานไหนสามารถทำที่บ้านได้ในปี 2021

 

เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำให้ค่าไฟแพง

บ้านที่มีปัญหาเรื่องค่าไฟฟ้าแพงส่วนมาก จะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าดังนี้

1. แอร์ และคอมเพรสเซอร์

2. เครื่องฟอกอากาศ

3. พัดลมไอน้ำ

4. ตู้เย็น

สาเหตุที่เปิดแอร์เหมือนเดิม แต่กลับเสียค่าไฟฟ้ามากขึ้น เพราะคอมเพรสเซอร์ทำงานมากขึ้น เนื่องจากอากาศร้อน ทำให้หน่วยการใช้ไฟฟ้าขึ้นเร็วขึ้น ส่วนตู้เย็น ถ้ามีการเปิดตู้เย็นบ่อย ๆ จะเปลืองไฟมากขึ้น หรือช่วง Work From Home ตุนของไว้ในตู้เย็นเป็นจำนวนมาก ก็ทำให้เปลืองไฟมากขึ้นเช่นกัน (แม้จะเป็นตู้เย็นประหยัดไฟ แต่ต้องแช่เครื่องดื่มไม่เกิน 5 ขวดเท่านั้น จึงจะได้จ่ายราคาต่อปีตามโฆษณา)

การตรวจรับบ้านในส่วนระบบไฟฟ้า เรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ

Guide

การตรวจรับบ้านในส่วนระบบไฟฟ้า เรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ

 

คิดค่าไฟ จากการใช้ไฟฟ้าปกติ

 

เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละประเภทเสียค่าไฟเท่าไหร่

อุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละชิ้น เมื่อเปิดใช้งาน 1 ชั่วโมง จะเสียค่าไฟเท่าไหร่ ดูได้ที่นี่

- เครื่องดูดฝุ่น ขนาด 1,400-2,000 วัตต์ ค่าไฟ 6-8 บาท/ชั่วโมง

- เตารีดไฟฟ้า 1,000-2,800 วัตต์ ค่าไฟ 3.5-10 บาท/ชั่วโมง

- เครื่องเป่าผม ขนาด 1,600-2,300 วัตต์ ค่าไฟ 6-9 บาท/ชั่วโมง

- เครื่องทำน้ำอุ่น ขนาด 3,500-6,000 วัตต์ ค่าไฟ 13.5 -23.5 บาท/ชั่วโมง

- เครื่องซักผ้า ฝาบน-ฝาหน้า ขนาด 10 กิโลกรัม ค่าไฟ 2-8 บาท/ชั่วโมง

- เครื่องปรับอากาศติดผนัง แบบ Fixed speed ขนาด 9,000-22,000 บีทียู/ชั่วโมง ค่าไฟ 2.5-6 บาท/ชั่วโมง

- พัดลมตั้งพื้น ขนาดใบพัด 12-18 นิ้ว ค่าไฟ 0.15-0.25 บาท/ชั่วโมง

- โทรทัศน์ LED backlight TV ขนาด 43-65 นิ้ว ค่าไฟ 0.40-1 บาท/ชั่วโมง

- เตาไมโครเวฟ ขนาด 20-30 ลิตร ค่าไฟ 3-4 บาท/ชั่วโมง

- ตู้เย็น 2 ประตู ขนาด 5.5-12.2 คิวบิกฟุต ค่าไฟ 0.30-0.40 บาท/ชั่วโมง

- หม้อหุงข้าว ขนาด 1.0-1.8 ลิตร ค่าไฟ 3-6 บาท/ชั่วโมง

- เครื่องปิ้งขนมปัง ขนาด 760-900 วัตต์ ค่าไฟ 3-3.5 บาท/ชั่วโมง

- เตาแม่เหล็กไฟฟ้า 1-2 หัวเตา ขนาด 2,000-3,500 วัตต์ ค่าไฟ 8-14 บาท/ชั่วโมง

หมายเหตุ: คิดจากค่าไฟเฉลี่ยอัตรา 3.9 บาทต่อหน่วย ข้อมูลจากการไฟฟ้านครหลวง

5 ปัจจัยเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้คุ้มค่า

Guide

5 ปัจจัยเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้คุ้มค่า

 

หน้าร้อนทำไมค่าไฟฟ้าแพง

หน้าร้อนทำให้ค่าไฟฟ้าแพง

อากาศร้อนขึ้น ทำให้แต่ละบ้านต้องใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภททำความเย็นมากขึ้น เช่น แอร์ ตู้เย็น จากข้อมูลของการไฟฟ้านครหลวง พบว่า ในปี 2561-2563 หน่วยการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อรายของผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน มีค่าสูงกว่าช่วงเดือนอื่น ๆ ของปี ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงขึ้นของปีเช่นกัน

จากสถิติการใช้ไฟฟ้าในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยมีค่าการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยประมาณ 370 หน่วยต่อราย แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยมีแนวโน้มใช้ไฟฟ้ามากขึ้น ในเดือนพฤษภาคม 2563 การใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อรายของผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยสูงขึ้นอยู่ที่ประมาณ 490 หน่วยต่อราย ทำให้ช่วงฤดูร้อนเราต้องจ่ายค่าไฟฟ้ามากขึ้นเช่นกัน

 

การคิดค่าไฟฟ้า

สรุปคือการใช้ไฟฟ้าของแต่ละบ้านมีผลโดยตรงกับค่าไฟฟ้า โดยปกติการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะคิดค่าไฟฟ้าสำหรับบ้านอยู่อาศัยในอัตราก้าวหน้าทำให้เมื่อใช้ ดังนี้

1. หากใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน

สำหรับค่าไฟฟ้าในอัตราปกติแบบก้าวหน้า หากการใช้ไฟฟ้าในบ้านอยู่อาศัยไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน จะมีอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละขั้น ดังนี้

- 15 หน่วยแรก (หน่วยที่ 1-15) หน่วยละ 2.3488 บาท

- 10 หน่วยถัดไป (หน่วยที่ 16-25) หน่วยละ 2.9882 บาท

- 10 หน่วยถัดไป (หน่วยที่ 26-35) หน่วยละ 3.2405 บาท

- 65 หน่วยถัดไป (หน่วยที่ 36-100) หน่วยละ 3.6237 บาท

- 50 หน่วยถัดไป (หน่วยที่ 101-150) หน่วยละ 3.7171 บาท

2. หากใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน

สำหรับค่าไฟฟ้าในอัตราปกติแบบก้าวหน้า หากการใช้ไฟฟ้าในบ้านอยู่อาศัยเกินกว่า 150 หน่วยต่อเดือน จะมีอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละขั้น ดังนี้

- 150 หน่วยแรก (หน่วยที่ 1-150) หน่วยละ 3.2484 บาท

- 250 หน่วยถัดไป (หน่วยที่ 151-400) หน่วยละ 4.2218 บาท

- หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป ราคาหน่วยละ 4.4217 บาท

3. ค่าไฟฟ้าอัตราตามช่วงเวลาการใช้ (TOU)

สำหรับแรงดัน 12-24 กิโลโวลต์ หากใช้ไฟฟ้าช่วง On Peak จะมีราคาหน่วยละ 5.1135 บาท ส่วนในช่วง Off Peak ราคาหน่วยละ 2.6037 บาท

สำหรับแรงดันต่ำกว่า 12 กิโลโวลต์ หากใช้ไฟฟ้าช่วง On Peak จะมีราคาหน่วยละ 5.7982 บาท ส่วนในช่วง Off Peak ราคาหน่วยละ 2.6369 บาท

(หมายเหตุ: On Peak คือ 09.00 - 22.00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์ ส่วน Off Peak คือ 22.00 - 09.00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์ และ 00.00 - 24.00 น. วันเสาร์ - วันอาทิตย์ วันแรงงานแห่งชาติ วันหยุดราชการตามปกติ)

 

ยกตัวอย่างการคิดค่าไฟฟ้า

ตัวอย่างที่ 1

ใช้ไฟฟ้าไป 200 หน่วย จะคิดค่าไฟ ดังนี้

150 หน่วยแรก × 3.2484 = 487.26 บาท

50 หน่วยที่เหลือ × 4.2218 = 211.09 บาท

รวมเป็นเงิน = 698.35 บาท

 

ตัวอย่างที่ 2

ใช้ไฟฟ้าไป 400 หน่วย จะคิดค่าไฟ ดังนี้

150 หน่วยแรก × 3.2484 = 487.26 บาท

250 หน่วยที่เหลือ × 4.2218 = 1,055.45 บาท

รวมเป็นเงิน = 1,542.41 บาท

 

ตัวอย่างที่ 3

ใช้ไฟฟ้าไป 600 หน่วย จะคิดค่าไฟ ดังนี้

150 หน่วยแรก × 3.2484 = 487.26 บาท

250 หน่วยถัดมา × 4.2218 = 1,055.45 บาท

200 หน่วยที่เหลือ × 4.4217 = 884.34 บาท

รวมเป็นเงิน = 2,427.05 บาท

 

ตัวอย่างที่ 4

ใช้ไฟฟ้าไป 1,000 หน่วย จะคิดค่าไฟ ดังนี้

150 หน่วยแรก × 3.2484 = 487.26 บาท

250 หน่วยถัดมา × 4.2218 = 1,055.45 บาท

600 หน่วยที่เหลือ × 4.4217 = 2,653.02 บาท

รวมเป็นเงิน = 4,195.73 บาท

 

หมายเหตุ: ค่าไฟจากตัวอย่างข้างต้นทั้งหมด ราคายังไม่รวม vat 7%, ค่าบริการ, หักส่วนลดค่า Ft

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากเพจ โธ่ ชีวิตพนักงานไฟฟ้า และการไฟฟ้านครหลวง

 

มาตรการผ่อนชำระค่าไฟฟ้า-เลือกชำระบางบิล

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย (1.1.1 และ 1.1.2) และประเภทกิจการขนาดเล็ก (2) ที่มีค่าไฟฟ้าค้างชำระมากกว่า 1 เดือน

สามารถขอทยอยชำระค่าไฟฟ้าเป็นบางเดือนได้ที่สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทุกแห่ง และตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป สามารถชำระค่าไฟฟ้าบางเดือนผ่าน PEA Smart Plus หรือเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7-11

 

ขั้นตอนการลงทะเบียน ขอผ่อนชำระค่าไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

ขั้นตอน

รายละเอียด

ลงทะเบียน

ผู้ใช้ไฟฟ้า / ผู้รับมอบอำนาจ ลงทะเบียนขอผ่อนชำระค่าไฟฟ้า

พิจารณา

PEA พิจารณาการขอผ่อนชำระ

แจ้งผล

PEA แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ขอผ่อนชำระค่าไฟฟ้า รับทราบทาง SMS

รับทราบแผนผ่อน

PEA แจ้งแผน (งวด / กำหนดชำระเงิน) ให้ผู้ขอผ่อนชำระค่าไฟฟ้ารับทราบและดำเนินการ ยืนยันการรับทราบ

การไฟฟ้าส่วนภูิภาค ขอผ่อนชำระค่าไฟฟ้าได้

นอกจากนี้ ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท สามารถยื่นความประสงค์ขอผ่อนชำระค่าไฟฟ้าได้ที่สำนักงานการไฟฟ้าในพื้นที่ โดยเตรียมเอกสารประกอบการขอผ่อนชำระดังนี้

1. บัตรประชาชนของผู้ใช้ไฟฟ้าที่ยื่นคำร้องขอผ่อนชำระหรือผู้รับมอบอำนาจ (ใช้ในการตรวจสอบ)

2. หนังสือมอบอำนาจและสำเนาบัตรประชาชนของผู้มอบอำนาจ (พร้อมลงนามรับรอง)

3. สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล อายุไม่เกิน 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ออกหนังสือรับรองดังกล่าว (เฉพาะนิติบุคคล)

ทั้งนี้ ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข 1129 PEA Contact Center ตลอด 24 ชั่วโมง และสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในพื้นที่

ด้านการไฟฟ้านครหลวง สามารถเลือก "ชำระค่าไฟฟ้าบางบิล" 2 วิธี ดังนี้

ผ่านแอปพลิเคชัน MEA Smart Life ดาวน์โหลดฟรีได้ที่นี่

การไฟฟ้านครหลวง ขอชำระค่าไฟฟ้าบางบิลได้

1. เลือกเมนู "ชำระค่าไฟฟ้า"

2. กดเมนู MEA Pay LITE "ชำระค่าไฟฟ้าบางบิล"

3. เลือกชำระบิลแรกที่ค้างชำระ ก่อนเลือกบิลถัดไป

4. Capture ภาพ QR Code หรือ Barcode นำไปชำระค่าไฟฟ้าผ่าน Mobile Banking หรือ Counter Service ในร้าน 7-Eleven

 

ผ่านเว็บไซต์ MEA e-Service

การไฟฟ้านครหลวง ขอชำระค่าไฟฟ้าบางบิลได้

1. เข้าสู่ระบบผ่านเว็บไซต์การไฟฟ้านครหลวง หรือ "สมัครใช้บริการ" กรณีใช้งานครั้งแรกเพื่อลงทะเบียน และเพิ่มเครื่องวัด

2. เลือกเครื่องวัด เพื่อทำรายการ

3. เลือกเมนู MEA Pay LITE "ชำระค่าไฟฟ้าบางบิล" และ เลือกชำระบิลเแรกที่ค้างชำระ ก่อนเลือกบิลถัดไป

4. Capture ภาพ QR Code หรือ Barcode นำไปชำระค่าไฟฟ้าผ่าน Mobile Banking หรือ Counter Service ในร้าน 7-Eleven

หมายเหตุ:

1. โปรดเลือกบิลแรกที่ค้างชำระก่อน จึงสามารถเลือกบิลค้างชำระถัดไปตามลำดับ

2. สามารถตรวจสอบรายการชำระได้ในวันทำการถัดไป

3. กรณีมีค่าดำเนินการงดจ่ายไฟ จะไม่สามารถชำระค่าไฟฟ้าบางบิลได้ กรุณาติดต่อการไฟฟ้านครหลวงเขต ใกล้บ้าน

ค้างค่าไฟได้กี่เดือน/ค้างค่าน้ำประปาได้กี่เดือน 2564 จาก กฟน. และ กปน.

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
มีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี ใช้ประโยชน์ที่ดิน ไม่ปล่อยให้เป็นที่รกร้าง https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/มีที่ดิน-1-ไร่-ปลูกอะไรดี-58277?locale=th www.ddproperty.com:resources:58277 Mon, 13 Dec 2021 18:46:55 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/12/land-with-1-Rai-can-do-many-things-150x150.jpg"/></p> มีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี ใช้ประโยชน์ที่ดิน ไม่ปล่อยให้เป็นที่รกร้าง มีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี เพราะการที่เจ้าของที่ดินปล่อยที่ดินให้รกร้างโดยไม่ทำประโยชน์นั้น จะต้องจ่ายภาษีที่ดินในอัตราที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งภาษีที่ดินใหม่นั้นคิดเป็นแบบขั้นบันได ยิ่งที่ดินผืนใหญ่ก็จะยิ่งเสียภาษีเยอะ เพื่อเป็นการผลักดันให้เกิดการสร้างประโยชน์ในที่ดิน ไม่ให้กลายเป็นที่ดินรกร้าง มีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี เพื่อจะได้เสียภาษีที่ดินน้อยลง

sportlight

ปลูกพืช ผักสวนครัว

มีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี หากมีการจัดสรรที่ดินให้ถูกต้อง ที่ดินเพียง 1 ไร่ ก็สามารถสร้างได้รายให้ได้มาก โดยสามารถปลูกพืช ผักสวนครัว ที่ใช้ระยะเวลาปลูกสั้น ๆ ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิต ไว้รับประทานกันในครอบครัว หรือถ้าปลูกได้จำนวนมากก็สามารถนำไปขายเพื่อเพิ่มรายได้ หรือแจกจ่ายให้เพื่อนบ้านได้

สำหรับใครที่มีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี ก่อนอื่นต้องมีการเตรียมพื้นที่ปลูก และการเตรียมดิน ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพื่อให้พืช ผักสวนครัวที่ปลูกนั้นได้สารอาหารครบถ้วนและเจริญงอกงาม

ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรและสหกรณ์ระบุว่า พืชระยะสั้นที่นิยมปลูกเพื่อรับประทานในครัวเรือน และเหมาะนำไปจำหน่ายสร้างรายได้ ได้แก่ ต้นอ่อนผักบุ้ง, ต้นอ่อนทานตะวัน, ผักบุ้งจีน, กวางตุ้ง, ถั่วงอก, เห็ดนางฟ้า และผักกาดหอม โดยสามารถเก็บเกี่ยวได้ภายในระยะไม่เกิน 2 เดือน

มีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี

ระยะเวลาเก็บเกี่ยว

ถั่วงอก

4 วัน

ต้นอ่อนทานตะวัน

7 วัน

เห็ดนางฟ้า

7-15 วัน

ต้นอ่อนผักบุ้ง 

8-10 วัน

ผักบุ้งจีน

20-25 วัน

กวางตุ้ง

30-35 วัน

ผักกาดหอม

40-50 วัน

นอกจากนี้ยังมีผักสวนครัว เช่น ข่า, ตะไคร้, กระวาน, ผักชี, ขึ้นฉ่าย, ฟักทอง, โหระพา, กะเพรา, พริก, มะเขือ, มะกรูด, มะนาว, มะละกอ, ฟัก, แฟง และแตงกวา ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด จะปลูกไว้ทำกินเองก็ดี หรือจะขายก็ได้ราคาดี

รวมถึงพืชระยะกลาง พืชระยะยาว ที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการปลูก อาจเก็บผลผลิตได้ปีละ 1-2 ครั้ง หรือตามฤดูกาล ได้แก่ มะนาว, มะพร้าว, มะละกอ, กล้วย และมะม่วง ด้วยข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ มีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี ควรปลูกให้ผลผลิตออกผลในช่วงที่มีราคาแพง จึงจะสามารถขายได้ในราคาที่สูง

 

ปลูกบ้าน สร้างบ้าน

อยากมีที่อยู่อาศัย มีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี ปลูกบ้าน สร้างบ้านบนที่ดิน 1 ไร่ ที่มีชื่อกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเป็นของตนเอง จะทำให้ง่ายในการทำเรื่องขออนุญาตก่อสร้างบ้าน โดยสามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้ ดังนี้

1. หาแบบบ้านที่ถูกใจ เพื่อประเมินราคาค่าก่อสร้างและวัสดุที่ใช้ บางคนอาจจะจ้างบริษัทรับสร้างบ้าน ซึ่งมีแบบบ้านที่ออกแบบไว้อยู่แล้ว สามารถปรับเปลี่ยนแบบได้ หรือซื้อแบบบ้านสำเร็จรูป หรือใช้แบบบ้านฟรี ของทางราชการที่เปิดให้ดาวน์โหลด นำไปใช้ในการยื่นขอกู้เพื่อปลูกสร้าง

2. ยื่นคำร้องขออนุญาตก่อสร้างบ้านที่สำนักงานเขตท้องถิ่นในพื้นที่นั้น ๆ เช่น สำนักงานเขตหรือกรุงเทพมหานครสำนักงานเทศบาล สำนักงานเมืองพัทยา ฯลฯ ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ของจังหวัดนั้น ๆ

3. สำนักงานเขตท้องถิ่นตรวจสอบแบบแปลน โดยเฉพาะในเขตที่ประกาศใช้กฎหมายควบคุมการก่อสร้างอาคาร หรือกฎหมายผังเมืองบ้านหรืออาคาร สิ่งปลูกสร้างทุกประเภทจะต้องได้รับอนุญาตก่อสร้างบ้านก่อน และจะต้องก่อสร้างตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

4. ได้รับหนังสืออนุญาตให้ก่อสร้าง กรณีที่ไม่ได้รับอนุญาต อาจจะมีการให้แก้ไขในบางรายละเอียด ก็ต้องดำเนินการแก้ไข และยื่นขออนุญาตอีกครั้ง

5. เมื่อได้ใบอนุญาตก่อสร้างมาแล้ว ควรทำสำเนาทั้งเก็บไว้ที่ตัวเอง ให้สถาปนิก วิศวกร และผู้รับเหมา หรือบริษัทรับสร้างบ้าน ดำเนินการก่อสร้างบ้านต่อไป

 

มีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี ลองปลูกบ้านก็เป็นไอเดียที่ดี

 

นอกจากนั้นยังต้องเตรียมยื่นกู้ขอสินเชื่อเพื่อสร้างบ้าน ซึ่งมีการการเตรียมเอกสารในเบื้องต้น ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สลิปเงินเดือน สำเนาบัญชีเงินเดือนย้อนหลัง 6 เดือน หนังสือรับรองเงินเดือน สำเนาบัญชีเงินฝาก ฯลฯ นอกจากนี้ยังต้องเตรียมเอกสารเกี่ยวกับการก่อสร้างบ้าน ทั้งแบบแปลนบ้าน ใบขออนุญาตก่อนสร้าง ร่างสัญญาก่อสร้างกับผู้รับเหมา และโฉนดที่ดิน สามารถสอบถามเพิ่มเติมกับธนาคารที่ยื่นกู้

 

การใช้ประโยชน์ที่ดิน และภาษีที่ดินฯ

การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น ขึ้นอยู่กับการเข้าทำประโยชน์บนที่ดิน โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติกำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตั้งแต่ปีภาษี 2565-2566 โดยคงอัตราภาษีแบบเดิมเช่นเดียวกับปีภาษี 2563 และ 2564 มีสาระสำคัญ ดังนี้

1. การประกอบเกษตรกรรม อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0.01-0.1

2. ที่อยู่อาศัย อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0.02-0.1 แบ่งเป็น

2.1 ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0.03-0.1

2.2 สิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0.02-0.1

2.3 ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัยกรณีอื่นนอกเหนือจาก 2.1 และ 2.2 อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0.02-0.1

3. การใช้ประโยชน์อื่นนอกเหนือจากข้อ 1 และข้อ 2 อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0.3-0.7

4. ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน ร้อยละ 0.3-0.7

ดังนั้นจึงควรคิดว่ามีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี นอกจากจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อเจ้าของแล้ว ยังทำให้เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลดลงด้วย ดังนี้

1. แบ่งแปลงที่ดินให้เล็กลง เนื่องจากภาษีที่ดินสำหรับที่รกร้างคิดแบบขั้นบันได ที่ดินแปลงใหญ่ยิ่งเสียภาษีมาก การที่แบ่งที่ดินเป็นแปลงย่อย ๆ ก็จะทำให้ราคาประเมินถูกลง เสียภาษีน้อยลงนั่นเอง

2. เปลี่ยนแปลงที่ดินรกร้างให้เป็นที่ดินเกษตรกรรม มีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี จะเห็นได้ว่าสามารถปลูกพืช ผักสวนครัวได้หลากหลายชนิด นอกจากเป็นการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์ ยังอาจช่วยสร้างอาชีพเสริม เพิ่มรายได้อีกทาง

อย่างไรก็ตาม การจะปลูกอะไรไม่ให้ที่ดินถูกมองว่าเป็นที่ดินรกร้างนั้น เบื้องต้นทางกระทรวงการคลังจะนำเกณฑ์กำหนดที่ดินประเภทเกษตรกรรมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาพิจารณาร่วมด้วย ได้แก่

1) การทำนาหรือทำไร่อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันบนเนื้อที่ตั้งแต่ 1 ไร่ขึ้นไป

2) การปลูกผัก หรือการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ เพาะเห็ด ปลูกพืชอาหารสัตว์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน เนื้อที่ตั้งแต่ 1 งานขึ้นไป

3) ปลูกไม้ผล หรือไม้ยืนต้น หรือการปลูกสวนป่า ปลูกป่าเศรษฐกิจแบบสวนเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน บนเนื้อที่ตั้งแต่ 1 ไร่ และมีจำนวนต้นตั้งแต่ 15 ต้นขึ้นไป

4) การปลูกไม้ผล หรือไม้ยืนต้นแบบสวนผสม อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน บนเนื้อที่ตั้งแต่ 1 ไร่ และมีจำนวนต้น 15 ต้นขึ้นไป

5) การเลี้ยงแม่โคนมตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป

6) การเลี้ยงโค หรือกระบือ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป

7) การเลี้ยงสุกร แพะ หรือแกะ อย่างใดอย่างหนึ่งรวมกัน ตั้งแต่ 5 ตัวขึ้นไป

8) การเลี้ยงสัตว์ปีก ตั้งแต่ 50 ตัวขึ้นไป

9) การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

10) การทำนาเกลือสมุทร บนเนื้อที่ตั้งแต่ 1 ไร่ขึ้นไป

11) การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกัน

12) การเพาะเลี้ยงแมลงเศรษฐกิจและเกษตรอื่น ๆ อาทิ การเลี้ยงผึ้งพันธุ์ ผึ้งโพรง ชันโรง ครั่ง จิ้งหรีด ด้วงสาคู ไส้เดือนดิน ฯลฯ

13) การประกอบการเกษตรอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน นอกเหนือจากเกณฑ์ที่กำหนดตามข้อ 1-12 และมีรายได้ตั้งแต่ 8,000 บาท/ปีขึ้นไป

3. สร้างบ้านบนที่ดิน สำหรับใครที่วางแผนสร้างบ้านบนที่ดินรกร้าง หรือมีที่ดิน 1 ไร่ ปลูกอะไรดี ปลูกบ้าน สร้างบ้านเป็นหนึ่งในคำตอบ เพื่อที่จะได้เสียภาษีน้อยลง

 

สำหรับใครที่มีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็นใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัย ทำการเกษตร ที่ดินว่างเปล่า และใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ อุตสาหกรรมหรืออื่น ๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมภาษีบ้านและที่ดิน ต้องจ่ายเท่าไหร่ พร้อมไทม์ไลน์จากกระทรวงมหาดไทย เพื่อเตรียมตัววางแผนภาษีไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
แปลนอพาร์ทเม้นท์ 5 แบบ เลือกอย่างไรให้เหมาะสม จัดอย่างไรให้น่าอยู่ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แปลนอพาร์ทเม้นท์-58295?locale=th www.ddproperty.com:resources:58295 Mon, 13 Dec 2021 17:40:06 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/12/Plan-apartment-should-know-before-buy-or-rent-150x150.jpg"/></p> แปลนอพาร์ทเม้นท์ 5 แบบ เลือกอย่างไรให้เหมาะสม จัดอย่างไรให้น่าอยู่ แปลนอพาร์เม้นท์ ห้องสี่แหลี่ยมที่หลายคนอาจจะคิดว่าคับแคบ ไม่เป็นสัดส่วน หรืออยู่สบายเหมือนบ้าน แต่ในความเป็นจริงแล้ว แปลนอพาร์ทเม้นท์มีให้เลือกหลายแบบ หลายฟังก์ชั่น ซึ่งออกแบบมาให้ตอบโจทย์การอยู่อาศัย ไม่ว่าจะอยู่คนเดียว อยู่เป็นคู่ หรืออยู่เป็นครอบครัว และยังสามารถจัดหรือตกแต่งให้สวยงาม น่าอยู่ กว้างขวาง ในสไตล์ที่ชอบได้ไม่ยาก

sportlight

แบบแปลนอพาร์ทเม้นท์แบบไหนเหมาะกับคุณ

1. แปลนอพาร์ทเม้นท์สำหรับคู่รัก

แปลนอพาร์ทเม้นท์ที่ถึงแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่แบ่งสัดส่วนพื้นที่ใช้สอยไว้อย่างลงตัว เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในห้องจะพบกับโซนห้องนั่งเล่นเป็นส่วนแรก ห้องครัวและห้องรับประทานอาหารเปิดโล่ง เชื่อมต่อกันแบบ Open Plan ทำให้ห้องดูกว้าง และยังสามารถปรับเปลี่ยนการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ตามต้องการ เหมาะกับคู่รัก คู่สามี-ภรรยา

รวมประกาศเช่าอพาร์ทเม้นท์หลากหลายทำเล และราคา

2. แปลนอพาร์ทเม้นท์สำหรับคนโสด

คนโสดที่ใช้ชีวิตคนเดียว มีงบประมาณไม่มากนัก เน้นความสะดวกสบาย ดูแลทำความสะอาดง่าย เลือกแปลนอพาร์ทเม้นท์ขนาดพื้นที่ใช้สอยไม่มาก แต่ฟังก์ชั่นครบครัน ออกแบบในส่วนของห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องครัว ไว้ในบริเวณเดียวกัน เป็นห้องโล่ง ๆ ไม่มีการกั้นผนังหรือกำแพง สามารถตกแต่งเพิ่มเติมได้ มีความยืดหยุ่นกว่าแปลนอพาร์ทเม้นท์แบบอื่น

 

3. แปลนอพาร์ทเม้นท์สำหรับครอบครัวขนาดเล็ก

แปลนอพาร์ทเม้นท์ที่มีพ่อ แม่ และลูก พักอาศัยอยู่ร่วมกัน ตอบโจทย์ครอบครัวขนาดเล็ก มีการจัดวางแปลนที่แยกสัดส่วนชัดเจน ทั้งห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น และห้องครัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอพาร์ทเม้นท์แบบที่แบ่งเป็นห้องนอนใหญ่ และห้องนอนขนาดเล็ก ให้ความรู้สึกสะดวกสบาย เป็นส่วนตัวเหมือนอยู่บ้าน

 

4. แปลนอพาร์ทเม้นท์สำหรับครอบครัวขนาดใหญ่

สำหรับครอบครัวใหญ่ นอกจากพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางเพียงสำหรับสมาชิกในครอบครัวแล้ว แปลนห้องต้องดี ห้องนอนกี่ห้อง ห้องน้ำกี่ห้อง เพียงพอกับจำนวนสมาชิกหรือไม่ และสำหรับครอบใหญ่ที่มีสมาชิกพักอาศัยอยู่ในห้องทั้งวัน ก็อาจจะต้องเลือกแปลนอพาร์ทเมนต์ที่มีระเบียงออกมาให้รับลม ชมวิวทิวทัศน์ด้านนอกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

 

5. แปลนอพาร์ทเม้นท์สำหรับผู้สูงอายุ

นอกจากพ่อ แม่ ลูก และญาติพี่น้องแล้ว บางครอบครัวอาจมีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ร่วมกัน แปลนอพาร์ทเม้นท์ ไม่เพียงแต่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางเท่านั้น แต่ยังต้องมีฟังก์ชั่นรองรับการอยู่อาศัยของคนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ เช่น ราวจับลุกนั่ง กระเบื้องกันลื่น เก้าอี้หรือที่นั่งอาบน้ำ และพื้นที่สำหรับรองรับการเข็นวีลแชร์ได้สะดวก

วิธีดูแปลนบ้านง่าย ๆ กับ 5 ปัจจัยหลักที่ไม่ควรมองข้าม

 

4 วิธีจัดแปลนอพาร์ทเม้นท์ให้น่าอยู่

 

4 วิธีจัดแปลนอพาร์ทเม้นท์ให้น่าอยู่

1. เลือกแปลนอพาร์ทเม้นท์ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์  

แปลนอพาร์ทเม้นท์ มีความเหมือนกับคอนโด คือ มีทั้งแปลนอพาร์ทเม้นท์แบบเปิด ที่เชื่อมต่อพื้นที่ใช้สอยของห้องต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน แปลนในรูปแบบนี้ทำให้ได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น ห้องกว้างขึ้น และอยู่สบายได้ โดยไม่จำเป็นต้องแยกเป็นหลายห้อง เพราะสามารถแยกพื้นที่เป็นส่วน ๆ รวมในหนึ่งห้องได้

อีกทั้งยังตกแต่งห้องให้ดูดีได้ตามสไตล์ที่ชอบ แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ซึ่งจะชอบแปลนอพาร์ทเม้นท์แบบปิดมากกว่า เพราะรู้สึกเป็นสัดส่วนและเป็นส่วนตัวอยู่ในห้องของตัวเอง จะจัดแปลนอพาร์ทเม้นท์ให้น่าอยู่ ข้อแรกก็ต้องเลือกแบบแปลนให้ลงตัวเหมาะกับไลฟ์สไตล์

 

2. ใช้พื้นที่ให้คุ้มค่า ห้องดูกว้าง

อยากให้แปลนอพาร์ทเม้นท์มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้น หรือดูห้องดูกว้างและน่าอยู่มากขึ้น ก็สามารถจัดแปลนอพาร์ทเม้นท์และตกแต่งให้สวยงามได้ด้วยเฟอร์นิเจอร์ แนะนำให้เป็นติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ Built-in ซึ่งมีข้อดี คือ ทำให้ภาพรวมของห้องดูเป็นระเบียบ เรียบร้อยสวยงามเข้ากับห้อง เหมาะกับพื้นที่และทำให้ใช้สอยพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า และยังสามารถออกแบบได้ตามความชอบ ตามความต้องการ ทั้งในเรื่องของดีไซน์ ขนาด วัสดุ และฟังก์ชั่นการใช้งาน มีความแข็งแรงทนทาน เพราะตัวเฟอร์นิเจอร์ถูกยึดกับโครงสร้างของห้อง

5 เทคนิคแต่งห้องเช่าขนาดเล็กให้น่าอยู่แบบมือโปร

 

3. ไม่น่าเบื่อด้วยเฟอร์นิเจอร์มัลติฟังก์ชั่น

ส่วนถ้าใครขี้เบื่อ ชอบแต่งบ้าน ปรับเปลี่ยนการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ แนะนำเป็นเฟอร์นิเจอร์มัลติฟังก์ชั่น ซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์ แบบ 2 in 1 หรือ 3 in 1 ที่สามารถใช้งานได้หลายอย่าง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อ ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับแปลนอพาร์ทเม้นท์ขนาดเล็ก เพราะไม่มีเฟอร์นิเจอร์ในห้องมากเกินไป ไม่ทำให้ดูเกะกะ ทำให้ห้องดูกว้างขึ้น นอกจากนี้ยังถือเป็นการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์เก๋ ๆ ดูแปลกตา ไม่เหมือนใคร และยังสนุกกับการตกแต่งอพาร์ทเม้นท์ให้น่าอยู่ได้ไม่มีเบื่ออีกด้วย

ซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านแบบไหนให้เหมาะกับบ้านคุณ

 

4. ตกแต่งสไตล์ที่ชอบ

เลือกแปลนอพาร์ทเม้นท์ และเฟอร์นิเจอร์ที่ลงตัว จะขาดสไตล์การตกแต่งไปไม่ได้ ซึ่งมีหลายแบบหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นโมเดิร์น, ลักซ์ชัวรี, มินิมอล, ลอฟท์, วินเทจ หรือผสมผสานกันหลาย ๆ สไตล์ เพื่อช่วยเพิ่มความสวยงามและทำให้ภายในห้องน่าอยู่ขึ้น ถ้ายังไม่รู้จะตกแต่งแบบไหน หรือยังไม่เจอที่ถูกใจ ลองหาไอเดียโดยดูไอเดียการตกแต่งห้องจากรีวิวโครงการ หรือเสิร์ชหาสไตล์การตกแต่งอพาร์ทเม้นท์ในแบบต่างๆ จากอินเทอร์เน็ต เพื่อนำมาปรับให้เข้ากับห้องของตัวเอง หรือดูไอเดียแต่งห้องให้สวยในสไตล์ที่ใช่ สะท้อนตัวตน  เพิ่มเติมได้

สไตล์

การตกแต่ง

ลอฟท์

สไตล์เท่ ๆ เน้นโทนสี นํ้าตาล ขาว เทา ดำ เปิดพื้นที่ให้โล่งกว้าง ระบายอากาศได้ดี

โมเดิร์น

เน้นความโปร่งโล่ง ไม่นิยมการก่อผนังกั้น เน้นโทนสีขาว เทา ดำ แทรกด้วยสีสันสดใสเพิ่มความโดดเด่น

ลักซ์ชัวรี

สไตล์หลุยส์ เน้นความสวยหรู นิยมใช้วัสดุจากหินอ่อนที่มีความหรูหราในตัว ผสมผสานกับงานไม้

มินิมอล

สไตล์การตกแต่งที่เรียบง่าย เน้นสีขาว ดำ เทา ใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แต่มากด้วยประโยชน์

วินเทจ

ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าหรือทำให้ดูเก่า เน้นโทนสีอบอุ่นสบายตา เช่น สีขาว ครีม น้ำตาล

ได้แปลนอพาร์ทเม้นท์ที่ชอบแล้ว และไอเดียการตกแต่งกันไปแล้ว สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจเช่าอพาร์ทเม้นท์ คอนโด หรือบ้าน อย่าลืมดูเรื่องสัญญาเช่า รายละเอียดการเช่า ข้อตกลง ระยะเวลา ค่าใช้จ่าย และเงื่อนไขอื่น ๆ ก่อนเซ็นสัญญา

รวมข้อมูลเกี่ยวกับการเช่าอสังหาริมทรัพย์ โดยสำนักมาตรฐานการทะเบียนที่ดิน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ปลาคราฟ กับ 5 เรื่องน่ารู้ก่อนเลี้ยงปลาคราฟในบ้าน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/เลี้ยงปลาคราฟในบ้าน-57889?locale=th www.ddproperty.com:resources:57889 Sun, 12 Dec 2021 02:06:52 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/11/Carp-fish-150x150.jpg"/></p> ปลาคราฟ กับ 5 เรื่องน่ารู้ก่อนเลี้ยงปลาคราฟในบ้าน ปลาคราฟ ปลาคาร์ฟ หรือปลาคาร์ป ปลาสวยงามยอดนิยมที่ไม่ได้แค่ช่วยเพิ่มความสวยงามมีชีวิตชีวาให้แก่บ้านแต่ตามความเชื่อยังเป็นเครื่องหมายของสิ่งมงคลด้านโชคลาภอีกด้วย คนนิยมเลี้ยงปลาคราฟไว้เป็นสัตว์เลี้ยงอีกทั้งบริเวณที่เลี้ยงปลาคราฟก็ยังเป็นมุมโปรดในการพักผ่อนหย่อนใจของใครหลาย ๆ คน ดังนั้นการวางแผนก่อนที่จะเริ่มต้นเลี้ยงปลาคราฟจึงเป็นสิ่งสำคัญ มาดูกันว่าสำหรับมือใหม่ที่จะเริ่มต้นเลี้ยงปลาคราฟควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

Subscription Banner for Article

การเตรียมตัวก่อนเลี้ยงปลาคราฟในบ้าน

1. การเลือกซื้อปลาคราฟ

การเลือกซื้อปลาคราฟไม่ควรซื้อปลาคราฟที่โตแล้วมาเลี้ยง แต่ควรเลือกซื้อปลาคราฟที่มีอายุอยู่ในช่วง 1-2 ปี มาเลี้ยง และไม่ควรนำปลาชนิดอื่นมาเลี้ยงรวมกับปลาคราฟเพราะอาจเป็นพาหะของโรคต่าง ๆ ให้กับปลาคราฟที่เรานำมาเลี้ยงได้

ลักษณะปลาคราฟที่ดีเบื้องต้น

รายละเอียด

ลักษณะที่ดี

สี

สีมีความหนา ความเงาหรือความโปร่งแสง มีความเรียบร้อยของขอบสี

รูปร่าง

ส่วนหัวไม่บุ๋มหรือนูนออกมา ส่วนหลังไม่โก่งหรือโค้ง ครีบหรือหางไม่ควรขาด-แหว่ง หัวควรจะอยู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะกับลำตัว และไม่มีลักษณะกลมจนเกินไป

ท่าทางการว่ายน้ำ

ว่ายน้ำได้อย่างราบรื่น ไม่มีอาการกระตุก เหงือกเคลื่อนไหวสม่ำสเมอ ไม่แยกตัวสันโดษกับปลาตัวอื่น

อายุ

ควรมองหาลูกปลา อายุ 1-2 ปีมาเลี้ยง

เลี้ยงปลาทองเสริมฮวงจุ้ย กับ 5 เรื่องควรรู้ก่อนเลี้ยง

2. พันธุ์ปลาคราฟยอดนิยม

ปลาคราฟมีหลากหลายสายพันธุ์ที่คนนิยมนำมาเลี้ยง เช่น

- ปลาคราฟพันธุ์โคฮากุ (Kohoku) เป็นปลาคราฟที่มีสีขาวและสีแดง และคนนิยมเลี้ยงมากที่สุด

- ปลาคราฟไทโชซันโชกุ (Taisho Sanshoku / Taisho Sanke) เป็นปลาคราพที่มีสีขาว สีแดง และสีดำสนิท (ดำถ่าน) โดยสีดำจะไม่อยู่บริเวณหัวและสีแดงจะไม่อยู่บนครีบหาง

- ปลาคราฟพันธุ์โชวา ซันโชกุ /ซันเก้ (Showa Sanshoku / Showa Sanke) ลำตัวมีสีขาว สีแดงและสีดำเชื่อมเป็นตัววาย

- ปลาคราฟพันธุ์อุจึริโมโนะ (Utsurimono) ลำตัวเป็นสีพื้นและมีสีดำพาดผ่าน

- ปลาคราฟพันธุ์เบคโกะ (Bekko) ลำตัวสีพื้นและมีจุดดำแต้ม

- ปลาคราฟพันธุ์อาซากิ ชูซุย (Asagi Shusui) ปลาคราฟที่มีเกล็ดสีออกฟ้า

- ปลาคราฟพันธุ์โกโระโมะ (Koromo) เป็นปลาคราฟที่มีเกล็ดสีน้ำเงินกระจายอยู่รวมกับสีพื้นอื่น

- ปลาคราฟพันธุ์โอกอน (Ogon) เป็นปลาคราฟไม่มีลวดลายและสะท้อนแสงเลื่อม

- ปลาคราฟพันธุ์ฮิการิ โมโย (Hikari Moyo) มีสีมากกว่า 1 สี และเป็นสีที่แวววาว

นอกจากนี้ยังมีปลาคราฟพันธุ์ฮิการิ อุจิริ (Hikari Utsuri) ปลาคราฟพันธุ์คินกินริน (Kinginrin) ปลาคราฟพันธุ์ตันโจ (Tancho) เป็นต้น

 

3. การเตรียมบ่อปลาคราฟ

- วัสดุที่เหมาะสำหรับสร้างบ่อปลาคราฟ วัสดุที่เหมาะสำหรับนำมาสร้างบ่อปลาคราฟคือปูนซีเมนต์ เนื่องจากปูนซีเมนต์สามารถแปลงสภาพให้บ่อปลาคราฟมีความคล้ายคลึงกับบ่อน้ำธรรมชาติได้เร็ว และตะไคร่น้ำที่เป็นทั้งอาหารของปลาคราฟและตัวช่วยดูดสิ่งสกปรกหรือแอมโมเนียในน้ำสามารถเจริญเติบโตได้ดีในบ่อปูนด้วย

- น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาคราฟ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการเลี้ยงปลาคราฟ ซึ่งปลาคราฟจะชอบอยู่ในน้ำที่มีสภาพเป็นกลาง ดังนั้นน้ำประปาจึงตอบโจทย์สำหรับการเลี้ยงปลาคราฟมากที่สุด โดยน้ำประปาที่ใช้จะต้องเปิดเก็บไว้ประมาณ 2-3 วันให้คลอรีนระเหยออกหมดแล้ว นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำฝนและน้ำคลองในการเลี้ยงปลาคราฟ เพราะเสี่ยงต่อการทำให้ปลาคราฟติดเชื้อ อีกทั้งน้ำฝนยังทำลายสีสันบนลำตัวของปลาคราฟอีกด้วย

- สถานที่ที่เหมาะในทำบ่อปลาคราฟ บ่อปลาคราฟควรมีร่มเงาและความร่มรื่น นอกจากนี้บ่อปลาคราฟไม่ควรอยู่กลางแจ้งเพราะจะทำให้สีสันของปลาคราฟจางและปลาคราฟเจริญเติบโตช้า

 

4. อาหารสำหรับปลาคราฟ

การให้อาหารปลาคราฟจะให้วันละ 2 เวลา คือ เช้าและเย็น ในปริมาณที่พอเหมาะ โดยอาหารที่เหมาะสมสำหรับปลาคราฟ อาจเป็นอาหารสำเร็จรูป เนื้อสัตว์ หรือพืช ก็ได้ดังนี้

  • อาหารสำเร็จรูปสำหรับปลาคราฟ อาหารสำเร็จรูปที่ผสมสาหร่ายสไปรูลิน่าเพื่อเร่งสีสันปลาคราฟให้สวยงาม
  • เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อปลาป่น กุ้งบด เนื้อหอย ปู หมึก แมลง ลูกน้ำ หนอนแดง
  • พืชผักต่าง ๆ เช่น ข้าวสาลี รำ ผักกาด ข้าวโพด สาหร่าย ตะใคร่น้ำ แหน ถั่วเหลือง ขนมปัง

 

5. ปลาคราฟกับฮวงจุ้ย

ตามความเชื่อการเลี้ยงปลาคราฟไว้ในบ้านจะช่วยเสริมฮวงจุ้ยทางด้านการเงินและการงาน นอกจากนี้ปลาคราฟยังเป็นสัญลักษณ์ของคนที่มีความพยายามจนประสบความสำเร็จตามความเชื่อของชาวจีนโบราณว่าปลาคราฟจะว่ายทวนน้ำไปยังต้นน้ำและกลายเป็นมังกร โดยการเสริมฮวงจุ้ยด้วยการเลี้ยงปลาคราฟสามารถทำได้ดังนี้

  • วางบ่อปลาคราฟให้หันหน้าเข้าหาตัวบ้าน และบ่อปลาคราฟควรอยู่ซ้ายมือเสมอ
  • จำนวนปลาคราฟในบ่อควรเป็นเลข 8 เช่น 8, 18, 28, 38, 58 เป็นต้น

 

 ก่อนตัดสินใจเลี้ยงปลาคราฟควรศึกษาข้อมูลอย่างถี่ถ้วน

 

5 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการทำบ่อปลาคราฟ

1. เตรียมพื้นที่สำหรับเลี้ยงปลาคราฟโดยขนาดบ่อที่เหมาะสมกับการเลี้ยงปลาคราฟควรเริ่มต้นที่ขนาดกว้างxยาวxลึก อยู่ที่ 80x120x50 เซนติเมตร เป็นต้นไป นอกจากนี้บ่อปราคราฟควรมีสะดือที่ก้นบ่อเพื่อติดตั้งระบบถ่ายเทน้ำและเก็บสิ่งสกปรก โดยขนาดสะดือของบ่อปลาคราฟจะอยู่ที่ประมาณ 1x2 ฟุต ลึกประมาณ 4-6 นิ้ว

2. วางระบบกรองน้ำเริ่มจากการสร้างบ่อกรองน้ำโดยบ่อกรองน้ำควรมีขนาด 1 ใน 3 ของบ่อปลาคราฟ มีความลึกกว่าตัวบ่อปลาคราฟเพื่อให้น้ำไหลไปบ่อกรองได้ง่าย

3. วางระบบกรองน้ำในส่วนของท่อน้ำและเครื่องปั๊มน้ำ โดยมีท่อน้ำจากสะดือบ่อไปยังบ่อกรองน้ำ ปั๊มน้ำ ท่อน้ำทิ้งและท่อน้ำกลับไปยังบ่อปลาคราฟ ติดตั้งหัวพ่นอากาศ วาล์ว และน้ำพุหรือน้ำตกเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้ปลาคราฟ และแรงดันน้ำจะช่วยให้สิ่งปฏิกูลในบ่อปลาคราฟไหลไปรวมกันบริเวณสะดือบ่อปลาคราฟ

4. วางระบบท่อน้ำล้นตามระดับความสูงของน้ำในบ่อปลาคราฟที่ต้องการเพื่อควบคุมระดับน้ำในบ่อปลาคราฟ โดยน้ำที่ล้นออกมาจะไหลเวียนไปยังท่อระบายน้ำตามระบบกรองน้ำที่วางไว้

5. เมื่อสร้างบ่อปลาคราฟและติดตั้งระบบกรองน้ำเสร็จให้ใส่น้ำในบ่อปลาคราฟและแช่ไว้ประมาณ 1 สัปดาห์แล้วปล่อยน้ำออก จากนั้นเปิดน้ำกักไว้ในบ่อปลาคราฟอีกประมาณ 3 วันแล้วค่อยเปิดระบบกรองน้ำ

 

 การเลี้ยงปลาคราฟต้องไม่ละเลยเรื่องความสะอาดของบ่อ

 

5 เคล็ดลับในการดูแลและทำความสะอาดบ่อปลาคราฟ

1. ใส่ออกซิเจนในบ่อปลาคราฟให้พอเหมาะกับจำนวนปลาคราฟ และไม่เลี้ยงปลาคราฟในบ่อจำนวนมากเกินไป อัตราส่วนของจำนวนปลาคราฟควรเหมาะสมกับความกว้างของบ่อปลาคราฟ

2. ในการล้างบ่อปลาคราฟควรเน้นการล้างทำความสะอาดบ่อกรองแทนการล้างบ่อปลาคราฟโดยตรงเพราะอาจทำให้ปลาคราฟช็อกน้ำที่เปลี่ยนใหม่ได้ โดยวิธีการคือบล็อกน้ำระหว่างบ่อเลี้ยงปลาคราฟกับบ่อกรอง ดูดน้ำในบ่อกรองทิ้งแล้วน้ำน้ำในบ่อเลี้ยงมาทำความสะอาดบ่อกรองแทนการใช้น้ำประปาโดยตรงเพื่อป้องกันคลอรีน

3. ในขั้นตอนของการดูดน้ำออกจากบ่อและกำจัดสิ่งปฏิกูลอาจเหลือตะไคร่น้ำไว้เพราะเป็นแหล่งอาหารของปลาคราฟและสามารถช่วยดูดสิ่งสกปรกหรือแอมโมเนียในน้ำ

4. ใส่จุลินทรีย์ปรับสภาพน้ำทุกครั้งหลังเปลี่ยนน้ำในบ่อปลาคราฟและบ่อกรอง        

5. ดูดล้างตะกอนออกจากบ่อกรองบ่อยๆ และให้อาหารพอเหมาะกับจำนวนปลาคราฟ ไม่ให้อาหารปลาคราฟมากเกินไปจนเหลือเพราะจะทำให้น้ำในบ่อปลาคราฟเสียได้

ก่อนมีสัตว์เลี้ยงในบ้าน ดู 6 สิ่งที่ต้องเตรียมเพื่อดูแลน้องให้ดีที่สุด

สำหรับคนที่กำลังวางแผนเลี้ยงปลาคราฟนอกจากการเตรียมตัวก่อนเลี้ยงปลาคราฟแล้ว อย่าลืมดูแลเอาใจใส่สิ่งแวดล้อมและบ่อปลาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ปลาคราฟมีสุขภาพที่ดีและอายุยืนอยู่คู่บ้านอย่างยาวนาน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
บ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 บาท จัดอย่างไรให้น่าอยู่ ครบทุกฟังก์ชัน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/บ้านน็อคดาวน์-งบ-50,000-58280?locale=th www.ddproperty.com:resources:58280 Sat, 11 Dec 2021 13:38:17 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/12/Knockdown-house-THB50000-150x150.jpg"/></p> บ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 บาท จัดอย่างไรให้น่าอยู่ ครบทุกฟังก์ชัน ซื้อบ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 บาท บ้านสำเร็จรูปราคาย่อมเยาที่ปัจจุบันกำลังได้รับความนิยม เนื่องจากโครงสร้างเป็นเหล็กสำเร็จรูป ใช้เวลาในการติดตั้งไม่นาน แถมยังมีหลายระดับราคาเริ่มต้นหลักหมื่นก็สามารถเป็นเจ้าของได้ ซึ่งนอกจากจะมีดีไซน์ให้เลือกมากมาย ยังสามารถตกแต่งให้สวยงาม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยได้ไม่แพ้บ้านปูนหรือบ้านไม้ ด้วย 5 ไอเดียจัดบ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 อย่างไรให้น่าอยู่ที่คุณเองก็ทำได้

บ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 บาท มีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดพื้นที่ใช้สอย เพราะฉะนั้นนอกจากการจัดบ้าน ตกแต่งบ้าน ให้ออกมาสวยงามน่าอยู่ ยังต้องคำนึงถึงการใช้ประโยชน์พื้นที่ใช้สอยอย่างคุ้มค่า รวมถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อย ดังนี้

Subscription Banner for Article

1. จัดโซนให้เป็นสัดส่วนลงตัว

เนื่องจากบ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 บาท เป็นบ้านโล่ง ๆ ซึ่งเป็นข้อดีเพราะทำให้เราสามารถจะแบ่งสัดส่วนพื้นที่เป็นห้องต่าง ๆ ได้ตามความชอบ และครบทุกฟังก์ชันการใช้งาน เช่น จัดให้โซนด้านหน้าของตัวบ้านเป็นห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขก เพื่อที่เวลาแขกไปใครมาจะได้สะดวกในการรับรอง และยังสามารถตกแต่งห้องรับแขกให้สวยงาม เป็นจุดแรกภายในบ้านที่จะสร้างความโดดเด่นให้กับบ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 บาท อีกด้วย ส่วนห้องนอนก็ขยับเข้ามาด้านใน เพื่อความเป็นส่วนตัว และไม่ควรอยู่ใกล้กับห้องครัว เวลาทำอาหารจะได้ไม่มีกลิ่นควันมารบกวนการพักผ่อน หรือติดไปกับเครื่องนอน

 

2. เพิ่มเสน่ห์ด้วยโทนสี เหมาะกับสไตล์บ้าน

การเลือกโทนสีบ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 บาท อาจจะยากพอ ๆ กับการเลือกเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งเลยก็ว่าได้ เพราะสีช่วยเพิ่มเสน่ห์และความสวยงามให้บ้านไม่ใช่น้อย เมื่อเลือกโทนสีได้แล้ว จากนั้นจึงค่อยเลือกของตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ที่โทนสีเข้ากัน ลงตัวกับสไตล์การแต่งบ้านและรูปแบบบ้าน ซึ่งมีหลากสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์โมเดิร์น Loft เรือนไทย หรือสไตล์บ้านพักตากอากาศรีสอร์ท โดยสีที่เลือกนั้นสามารถจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ช่วยบ่งบอกอารมณ์ของบ้านและเจ้าของบ้านได้ โดยโทนสียอดฮิตทุกยุคทุกสมัย ได้แก่ สีขาว สีดำ สีเทา สีน้ำตาล และสีเบจ

โทนสี

อารมณ์บ้าน

การตกแต่ง

สีขาว

เรียบง่าย สบายตา

เน้นความโปร่งโล่ง เพิ่มลูกเล่นด้วยเฟอร์นิเจอร์สีสัน

สีดำ

ทันสมัย คลาสสิก

สไตล์โมเดิร์น สไตล์ลอฟท์ เฟอร์นิเจอร์ดีไซน์แปลกตา โชว์ความดิบ เท่

สีเทา

เรียบหรู น่าค้นหา

 ตกแต่งร่วมกับเฟอร์นิเจอร์โทนสีสว่าง เพื่อไม่ให้ห้องมืดจนเกินไปป

สีน้ำตาล

อบอุ่น ใกล้ชิดธรรมชาติ

เลือกทาสีผนังห้องด้านหนึ่งด้านใด และตกแต่งด้วยต้นไม้เพิ่มเสีเขียว  

สีเบจ

นุ่มนวล น่าสัมผัส

เลือก้เฟอร์นิเจอร์ในโทนสีใกล้เคียง เช่น สีขาว สีน้ำตาล เพิ่มความมินิมอล

3 แบบบ้านชั้นเดียว สไตล์โมเดิร์น ในงบหลักแสน

 

3. เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้

ด้วยขนาดพื้นที่ใช้สอยที่จำกัด การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นที่ชอบไว้ภายในบ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 แน่นอนว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะจะทำให้ห้องดูเล็กและอึดอัด ลองเลือกเฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนใช้งานได้แบบมัลติฟังก์ชัน ตัวช่วยจัดสรรพื้นที่ใช้สอยให้เป็นสัดส่วน และใช้งานได้อย่างคุ้มค่า สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้มากกว่า 1 ฟังก์ชัน

โดยปัจจุบันมีเฟอร์นิเจอร์มัลติฟังก์ชันหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้งาน ตั้งแต่เตียงนอน โซฟาเบด ตู้รองเท้า ชั้นวางของ โต๊ะทำงาน โต๊ะรับประทานอาหาร เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในบ้านทุกรูปแบบ เน้นความสะดวกสบาย คล่องตัว ไม่ทำให้บ้านรก บ้านแคบ และยังเหมาะกับคนขี้เบื่อ ชอบแต่งบ้านอีกด้วย

 

เปลี่ยนบ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 ให้กว้างขึ้นด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชั่น

 

4. ผนังห้องเพิ่มพื้นที่กว้าง โดยไม่ต้องต่อเติม 

การต่อเติมบ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 บาท เพราะอยากได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น อาจจะต้องล้มเลิกความคิดไป เนื่องจากโครงสร้างทั้งหมดออกแบบมาสำเร็จรูป จึงไม่สามารถต่อเติมได้

อีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้บ้านน็อคดาวน์กว้างและน่าอยู่ขึ้นได้ ก็คือการใส่ใจในเรื่องของผนัง อย่าตกแต่งหรือหาสิ่งอื่นใดมากั้นทำเป็นผนังห้องจนเกินไป เพราะจะสร้างความรู้สึกอึดอัดได้ ควรกั้นอย่างพอดีหรือหาประตูเลื่อน ประตูกระจกที่สามารถเข้าใช้งานร่วมกัน แยกโซนห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหารให้อยู่ในโซนด้วยกัน บ้านจะได้ดูโปร่งโล่ง และยังมองเห็นวิวภายนอกได้ด้วย นอกจากนี้ผนังบางด้าน อาจตกแต่งด้วยกระจก รูปภาพ หรือจัดวางกระถางต้นไม้ไว้ตรงมุมห้องได้

ฮวงจุ้ยภาพมงคล 9 สัตว์มงคล เสริมฮวงจุ้ย ตกแต่งบ้านและที่ทำงาน

 

5. จัดเก็บสายไฟไม่ให้รกตา

จัดตกแต่งบ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 บาท ให้สวยงามน่าอยู่ แต่ถ้าเปิดบ้านเข้าไปแล้วต้องเจอกับสายไฟจากเครื่องใช้ไฟฟ้า พันกันรุงรังยุ่งเหยิง หรือพบปลั๊กพ่วงที่กองอยู่บนพื้นแบบไร้ระเบียบ วันดีคืนดีอาจเดินไปเตะหรือเกี่ยวสะดุดหกล้มได้ ดูไม่เนี้ยบเอาเสียเลย ควรหากล่องเก็บสายไฟ ซ่อนสายไฟเอาไว้ นอกจากจะทำให้บ้านดูดีมีระเบียบ ดูแลรักษาง่าย สะดวกต่อการทำความสะอาด และยังปลอดภัยต่อสมาชิกในบ้านอีกด้วย

 

การจัดบ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 บาท ไม่ยากอย่างที่คิด แต่นอกจากบ้านสวย เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมดูแลเรื่องความสะอาดซึ่งเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของทำให้บ้านน่าอยู่ที่ไม่ควรละเลย สำหรับใครที่ชอบบ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 แต่อยู่ระหว่างการตัดสินใจ ทำความรู้จักบ้านน็อคดาวน์ หรืออ่านเพิ่มเติม บ้านน็อคดาวน์ 10 ข้อดีที่ควรรู้ ก่อนซื้อบ้านสำเร็จรูป ราคาย่อมเยา 

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
เช็กพื้นที่เสี่ยง ฝุ่น PM 2.5 พร้อมวิธีรับมือ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/เช็กพื้นที่อันตราย-ฝุ่น-pm-2.5-พร้อมวิธีรับมือ-18762?locale=th www.ddproperty.com:resources:18762 Wed, 08 Dec 2021 11:29:30 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/09/PM-2.5-cover-150x150.jpg"/></p> เช็กพื้นที่เสี่ยง ฝุ่น PM 2.5 พร้อมวิธีรับมือ ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 เป็นฝุ่นที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน เกิดจากการเผาไหม้ทั้งจากยานพาหนะ การเผาวัสดุการเกษตร ไฟป่า และกระบวนการอุตสาหกรรม สามารถเข้าไปถึงถุงลมในปอดได้ เป็นผลทําให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ และโรคปอดต่าง ๆ หากได้รับในปริมาณมากหรือเป็นเวลานานจะสะสมในเนื้อเยื่อปอด ทําให้การทํางานของปอดเสื่อมประสิทธิภาพลง ทําให้หลอดลมอักเสบ มีอาการหอบหืด

โดยฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นที่มีขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพอย่างมาก ปัญหาฝุ่น PM 2.5 นี้ ถือเป็นปัญหาหนักอกหนักใจของชาวกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหลายจังหวัดในประเทศไทย ที่มาแต่ละครั้งก็สร้างผลกระทบยืดยาวหลายเดือน เพราะไม่ว่าจะมุมไหน ใกล้หรือไกลใจกลางเมือง ก็ล้วนแล้วแต่มีค่าฝุ่นในระดับที่ไม่น่าอยู่อาศัย และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ในขณะที่รอหน่วยงานต่าง ๆ ทำการวิจัยและแก้ปัญหาฝุ่นนั้น เราก็สามารถหาวิธีรับมือกันเองอย่างเร่งด่วนได้ด้วย ลองไปดูกันว่า พื้นที่ไหนที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูง พื้นที่ไหนบ้างเป็นเขตปลอดภัย ปัจจัยอะไรทำให้เกิดฝุ่น และมีวิธีอะไรในการรับมือฝุ่นแบบเร่งด่วนที่ทำได้เองทันที

วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศ รับมือฝุ่น PM 2.5

 

ฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาใหญ่ของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล

 

เช็กพื้นที่เสี่ยงจากฝุ่น PM 2.5

กรุงเทพมหานคร โดยศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร ประจำวันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 07.00 น. ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตรวจวัดได้ 29-61 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) พบว่าเกินมาตรฐาน (มาตรฐานไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 8 พื้นที่ คือ

1. เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81: มีค่าเท่ากับ 61 มคก./ลบ.ม.

2. เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา: มีค่าเท่ากับ 54 มคก./ลบ.ม.

3. เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม (ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย: มีค่าเท่ากับ 53 มคก./ลบ.ม.

4. เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ด้านหน้าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ: มีค่าเท่ากับ 52 มคก./ลบ.ม.

5. เขตตลิ่งชัน ถนนพุทธมณฑลสาย 1 ตัดกับถนนบรมราชชนนี: มีค่าเท่ากับ 52 มคก./ลบ.ม.

6. เขตบางกอกใหญ่ บริเวณสี่แยกท่าพระ แขวงวัดท่าพระ: มีค่าเท่ากับ 51 มคก./ลบ.ม.

7. เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2: มีค่าเท่ากับ 51 มคก./ลบ.ม.

8. เขตบางบอน ใกล้ตลาดบางบอน: มีค่าเท่ากับ 51 มคก./ลบ.ม.

ดัชนีคุณภาพอากาศของสถานีตรวจวัดของกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่อยู่ในระดับคุณภาพอากาศปานกลาง

 

เขตที่มักมีค่าฝุ่น PM 2.5 สูงในกรุงเทพฯ

1. เขตใจกลางเมือง

พื้นที่ในเขตตัวเมืองที่เป็นแหล่งธุรกิจหลัก โดยเฉพาะเขตพื้นที่สีแดงที่เป็นเขตพาณิชยกรรม และเขตพื้นที่สีน้ำตาลที่มีที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก เขตเหล่านี้เป็นเขตที่มีความเสี่ยงสูง และมักมีค่าฝุ่น PM 2.5 สูงมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ

2. เขตแหล่งอุตสาหกรรม

เขตที่มีฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้มีแต่เฉพาะในเขตใจกลางเมือง แต่ยังรวมถึงเขตพื้นที่สีม่วง ซึ่งเป็นเขตที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งควันที่มาจากโรงงานและการสัญจรในแถบนี้เป็นที่มาของฝุ่นพิษในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ สามารถค้นหาที่ดินว่าอยู่ในเขตปลอดฝุ่นและตรวจสอบสีผังเมืองได้ที่สำนักผังเมือง

 

3 ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าฝุ่น PM 2.5

เป็นที่น่าสนใจว่าค่าฝุ่นมีขึ้น-ลงตลอดเวลา โดยทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่

1. ปัจจัยที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์

กิจกรรมในชีวิตประจำวันของเราทุกคนล้วนส่งผลต่อการเกิดฝุ่นประเภทนี้ไม่มากก็น้อย เช่น การเพิ่มปริมาณการใช้รถที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล การปล่อยควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม และการเผาขยะในที่โล่งแจ้ง

2. สภาวะอากาศและฤดูกาล

ฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ นั้นเกิดขึ้นทุกปี เพียงแต่ว่าแต่ละครั้งที่เกิดฝุ่นพิษ อาจจะมีดีกรีค่าฝุ่นที่มาก-น้อยต่างกัน และเวลาที่เกิดอาจจะมีความช้า-เร็วต่างกันไปในแต่ละปี โดยปกติแล้วฝุ่นประเภทนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนฤดูกาลประมาณเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี 

แต่ด้วยสภาวะโลกร้อนปัจจุบันทำให้เวลาเริ่มต้น-สิ้นสุดของฤดูกาลมีการเปลี่ยนแปลง ผนวกกับปริมาณการใช้พลังงานของผู้คนในเมืองที่มากขึ้น ซึ่งปัจจัยทางธรรมชาติและวิถีการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันนี้ล้วนส่งผลต่อการเกิดฝุ่น PM 2.5 ค่อนข้างเร็วและมากกว่าที่เคยเป็นมา

3. ทิศทางลม

กระแสลมในแต่ละวันมีผลต่อค่าฝุ่นที่จะเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ ในปัจจุบันก็มีแอปพลิเคชันและเว็บไซต์หลายแห่งให้บริการตรวจวัดพื้นที่ฝุ่น PM 2.5 ทั้งในกรุงเทพฯ และเขตที่มีค่าฝุ่นสูงในจังหวัดต่าง ๆ

ติดตามตรวจค่าฝุ่นในแต่ละวันได้ที่

กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง (กรมควบคุมมลพิษ)

เว็บไซต์ Airvisual

เว็บไซต์ aqicn

 

ฝุ่น PM 2.5

 

วิธีการรับมือฝุ่น PM 2.5

ฝุ่น PM 2.5 ต้องติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะผู้ที่เจ็บป่วยใน 4 กลุ่มโรค ได้แก่

- โรคระบบทางเดินหายใจ

- ระบบหัวใจและหลอดเลือด

- ระบบผิวหนัง

- ระบบตา

รวมถึงคนส่วนใหญ่ที่ต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เนื่องจากอาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยมีวิธีการป้องกันได้ดังนี้

1. สวมหน้ากากป้องกันฝุ่น

ใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจ หรือหน้ากากที่กรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ตามมาตรฐาน หรือ N95 เนื่องจากผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าปิดปาก ไม่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ ซึ่งเป็นหน้ากากที่สามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กมากได้ โดยหน้ากากจะต้องมีสายรัดสองสาย พร้อมทั้งมีส่วนกดที่เป็นโลหะเพื่อกระชับแน่นกับสันจมูก

ทั้งนี้ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยแบบทั่วไปที่ไม่ใช้แบบ N95 พบว่า ประสิทธิภาพการกรองฝุ่นอยู่ที่ 66.37% เท่านั้น ส่วนถ้าสวมใส่ซ้อนทับกัน 2 ชั้นพบว่า ประสิทธิภาพการกรองฝุ่นอยู่ที่ 89.75% อีกแบบคือการใส่หน้ากากอนามัย 1 ชั้นซ้อนด้วยกระดาษเช็ดหน้าพับครึ่ง 1 แผ่นด้านใน ประสิทธิภาพการกรองฝุ่นอยู่ที่ 98.05%

2. หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง

ลดกิจกรรมที่ต้องออกแรงกลางแจ้ง เช่น การออกกำลังกาย เนื่องจากการออกกำลังกายอาจเพิ่มอัตราการหายใจมากขึ้นกว่าปกติ 10-20 เท่า ซึ่งจะนำมลพิษเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้มากขึ้น

3. เตรียมยาให้พร้อม

สำหรับผู้เป็นโรคที่มีความเสี่ยง ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบผิวหนัง ระบบตา รวมถึงผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ แพ้ง่าย เช่น แพ้ฝุ่น แพ้อากาศ ควรเตรียมพกยาที่จำเป็นต้องใช้ติดตัวไว้เสมอ

4. คนกลุ่มเสี่ยง เลี่ยงออกจากบ้าน

ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้ที่อาจจะมีอาการป่วยได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้มีโรคประจำตัว ควรหลีกเลี่ยงการออกจากบ้าน รวมถึงหลีกเลี่ยงการเปิดประตูและหน้าต่างทิ้งไว้ หากคุณเข้าข่ายเป็นกลุ่มบุคคลเหล่านี้ควรหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน

5. มีอาการต้องรีบพบแพทย์

หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ควรรีบไปพบแพทย์ หรือสามารถขอคำปรึกษาก่อนได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
บ้านร้อนแก้ไม่ยากกับ 6 เทคนิคบ้านเย็นไม่ง้อแอร์ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แก้ปัญหาบ้านร้อน-57828?locale=th www.ddproperty.com:resources:57828 Mon, 06 Dec 2021 16:49:22 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/11/House-with-high-temperature-150x150.jpg"/></p> บ้านร้อนแก้ไม่ยากกับ 6 เทคนิคบ้านเย็นไม่ง้อแอร์ ไม่ว่าจะฤดูหนาว ฝน หรือฤดูร้อน แต่หลาย ๆ บ้านก็ยังเผชิญกับปัญหาบ้านร้อนและร้อนมากตลอดทุกฤดู ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากสภาพอากาศของประเทศไทยที่ร้อนเท่านั้น แท้จริงแล้วบ้านร้อน มีต้นเหตุมาจากความร้อนสะสมที่มีอยู่ภายในบ้าน เพียงเพราะระบบระบายอากาศภายในบ้านไม่ดีนั่นเอง

สำหรับที่มาของปัญหา “บ้านร้อน” เกิดจากการที่อากาศร้อนจากภายนอกถ่ายเทเข้าสู่ตัวบ้าน โดยไม่ได้มีการถ่ายเทออกภายนอกบ้าน ส่งผลให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านรู้สึกร้อน อบอ้าว ลองมาดูเช็กลิสต์สาเหตุที่เกิดขึ้น เพื่อแก้ไขให้บ้านเย็นอย่างถูกวิธี

Subscription Banner for Article

สาเหตุที่ทำให้บ้านร้อน

1. ใช้พื้นที่เต็มจนขาดพื้นที่สีเขียว

หลายบ้านไม่มีเวลาดูแลพื้นที่สีเขียว จึงไม่ต้องการให้มีสนามหญ้า และเน้นทำเป็นลานคอนกรีตเต็มพื้นที่รอบบ้าน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ไอร้อนเข้าบ้าน หรือเลือกที่จะไม่ปลูกต้นไม้ใหญ่ ซึ่งจริง ๆ มีประโยชน์สำหรับการใช้บังแดด หรือกระทั่งการปลูกต้นไม้กระถางก็ไม่มี สร้างความรู้สึกร้อนให้กับผู้อยู่อาศัย

2. ผังบ้านวางไม่ถูกทิศ

ต้นเหตุของบ้านร้อนส่วนหนึ่งมาจากการตำแหน่งห้องในบ้านไม่ถูกทิศ ทำให้ร้อนและอึดอัด หรือกระทั่งไม่มีกันสาดหรือระแนงกันความร้อนจากแสงแดดในช่วงบ่ายทางทิศใต้และทิศตะวันตก นอกจากนี้ยังมาจากพฤติกรรมของผู้อาศัยที่ไม่ยอมเปิดหน้าต่างทางทิศเหนือและทิศใต้ทำให้ลมไม่เข้าบ้าน อากาศไม่ถ่ายเทจึงอึดอัด และร้อน

ทิศอะไรเหมาะเป็นห้องอะไร

ห้อง

ทิศที่เหมาะสม

พื้นที่นั่งเล่นและรับแขก

ทิศเหนือ

พื้นที่ห้องนอน

ทิศตะวันออก

พื้นที่ห้องครัวและห้องน้ำ

ทิศตะวันตก

พื้นที่ซักล้าง

ทิศตะวันตก

3. การต่อเติมบ้านที่ไม่ถูกต้อง

การปรับปรุงหรือต่อเติมบ้านโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เช่น รั้วบ้านสูงและทึบ จนลมไม่สามารถพัดผ่านเข้าสู่ภายในบ้าน หรือการต่อเติมบ้านจนไม่มีทางให้แสงและลมเข้าออก ทำให้บ้านมืดทึบและร้อนอบอ้าว และการติดตั้งฝ้าเพดานเตี้ยเกินไป ทำให้ความร้อนที่ต้องลอยตัวขึ้นด้านบนยังคงลอยตัวในระดับต่ำ

4. เลือกเฟอร์นิเจอร์ไม่เหมาะกับบ้าน

เฟอร์นิเจอร์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับบ้าน ซึ่งนอกจากการเลือกที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และฟังก์ชั่นการใช้งานแล้ว หากเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดใหญ่ไปจะทำให้อึดอัดแล้ว และยังปิดกั้นทางลมผ่าน ส่งผลให้บ้านร้อนอีกด้วย

5. ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ถูกต้อง

บ้านที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านร้อนได้ และหลายคนมองข้ามในเรื่องของการเลือกใช้หลอดไส้โคมดาวน์ไลท์ ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ความร้อนมากกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ และห้องครัวไม่ได้ติดตั้งเครื่องดูดควันและพัดลมดูดอากาศ ทำให้ความร้อน กลิ่น และควัน สะสมอยู่ในตัวบ้าน

6. สีก็มีความสำคัญ

การทาสีบ้านเป็นรสนิยมของแต่ละคน ซึ่งการเลือกโทนสีเข้มทั้งภายนอกและภายในบ้าน อาจทำให้ผนังสะสมความร้อนมากเกินไป ดังนั้นการเลือกสีทาบ้านควรเลือกสีโทนอ่อนมากกว่าจะเป็นโทนเข้ม

ผังบ้านคืออะไร ดู 3 สิ่งที่ควรรู้เรื่องผังบ้านก่อนซื้อบ้าน-สร้างบ้าน

Guide

ผังบ้านคืออะไร ดู 3 สิ่งที่ควรรู้เรื่องผังบ้านก่อนซื้อบ้าน-สร้างบ้าน

วิธีแก้ปัญหาบ้านร้อน

บ้านร้อน อบอ้าว เป็นปัญหาสำคัญลำดับต้น ๆ ของบ้านในประเทศไทย โดยวิธีการแก้ปัญหาบ้านร้อนที่ต้นเหตุ คือ การแก้ปัญหาความร้อนที่เกิดขึ้นภายนอกบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนสะสมภายในบ้าน โดยความร้อนแผ่ลงมาจากหลังคาและผนังบ้าน โดยมีวิธีดังนี้

1. เลือกใช้ฝ้าเพดานสะท้อนรังสีความร้อน

ปัญหาความร้อนที่แผ่ลงมาจากหลังคานั้น ผู้อยู่อาศัยจะรู้สึกถึงความร้อนที่สะสมภายในห้องได้ในช่วงบ่าย สำหรับวิธีแก้ไขควรเลือกใช้แผ่นฝ้าเพดานที่สะท้อนรังสีความร้อน หรือเลือกใช้แผ่นยิปรอคชนิดสะท้อนรังสีความร้อนบุอะลูมิเนียมฟอยล์ ที่ช่วยลดการสะท้อนรังสีความร้อน โดยเลือกติดตั้งฝ้าเพดานใต้หลังคา เป็นต้น

ฉนวนกันความร้อนแก้ปัญหาบ้านร้อนได้

2. การใช้ฉนวนกันความร้อน

การใช้ฉนวนกันความร้อนเป็นทางเลือกใหม่ที่สามารถช่วยลดปริมาณความร้อนจากภายนอกเเละเก็บความเย็นให้คงอยู่ภายในบ้านได้อย่างดีเยี่ยม เหมาะสำหรับผนังทิศตะวันตก ทิศใต้ หรือฝ้าชั้นบนสุด เพราะให้ประสิทธิภาพป้องกันความร้อนจากภายนอกสู่ภายในอาคารได้มากกว่าเเผ่นฝ้าเพดานธรรมดา โดยฉนวนกันความร้อนมีหลากหลายประเภท ได้แก่

  • ฉนวนกันความร้อนใยแก้ว (Fiberglass) หรือไมโครไฟเบอร์ มีคุณสมบัติทนความร้อนสูง ช่วยดูดซับความร้อนและเสียงสะท้อน ไม่ติดไฟ มีความหนา และยืดหยุ่น ติดตั้งง่าย
  • ฉนวนกันความร้อนอะลูมิเนียมฟอยล์ (Aluminium Foil) หรือแผ่นสะท้อนความร้อน UV มีความเหนียวทนทาน ควรติดใต้หลังคาและติดคู่กับฉนวนใยแก้ว เพื่อความร้อน
  • ฉนวนกันความร้อนโฟมโพลีเอทิลีน (Polyethylene Foam) หรือโฟม PE มีความหนา เหนียว ทนต่อแรงกระแทก และการกัดกร่อน มีคุณสมบัติในการช่วย แก้ปัญหาหลังคาบ้านร้อน
  • ฉนวนกันความร้อนโพลีสไตรีนโฟม (Polystyrene Foam) หรือโฟม PS เป็น โฟมกันความร้อนและเย็น ติดตั้งง่าย นิยมนำมาติดตั้งเป็นฝ้าเพดานหรือผนังบ้าน

3. การใช้แผ่นชนิดกันร้อนพิเศษ ยิปรอค เทอร์มัลไลน์ 

ประกอบไปด้วย ในการผสาน 2 คุณสมบัติพิเศษ ลดการส่งผ่านความร้อนของแผ่นยิปซัมร่วมกับฉนวนโฟม EPS Hi-Dense ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันความร้อนจากภายนอกสู่ภายในอาคารได้มากกว่าผนังก่ออิฐทั่วไปถึง 8 เท่า ช่วยลดค่าแอร์ได้สูงสุด 69% เหมาะสำหรับผนังทิศตะวันตก ทิศใต้ หรือฝ้าชั้นบนสุด

4. เลือกใช้หลังคาสีอ่อน

เพื่อช่วยสะท้อนรังสีความร้อน โดยหลังคาที่มีสีสว่างจะสะสมความร้อนน้อยกว่าสีมืด เพราะสีสว่าง จะไม่สามารถดูดกลืนแสงบางแสงได้ เช่น สีขาว สีเทา อย่างไรก็ดีหากเลือกใช้หลังคาสีเข้มควรเลือกวัสดุที่กันความร้อน หรือเคลือบชั้นสีที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน

5. กระเบื้องเลือกพื้นที่ให้ความเย็น

ได้แก่ หินอ่อน หินแกรนิต กระเบื้องเซรามิก กระเบื้องพอร์ซเลน หรือกระเบื้องดินเผา เป็นกระเบื้องที่เหมาะสำหรับการปูกระเบื้องพื้นชั้นล่าง ด้วยวัสดุที่ช่วยเก็บความเย็น และระบายความร้อนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายลายตามรสนิยมของผู้ที่อยู่อาศัย

ก่อผนังอิฐมอญ 2 ชั้นก็แก้ปัญหาบ้านร้อนได้

6. ก่อผนังอิฐมอญ 2 ชั้น

บ้านโดยทั่วไปมักจะก่ออิฐมอญเพียง 1 ชั้น ดังนั้นเพื่อบ้านจึงรับแสงอาทิตย์โดยตรง วิธีการแก้ปัญหาบ้านร้อน ควรก่ออิฐมอญ 2 ชั้น โดยเฉพาะบ้านที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ทิศใต้ และทิศตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงเวลาบ่าย เพื่อป้องกันความร้อน โดยอุณหภูมิในบ้านจะเย็นลงประมาณ 5 องศาเซลเซียส

 

ปัญหาบ้านร้อนแก้ด้วยวิธีง่าย ๆ บ้านจะเย็นลงโดยไม่ต้องพึ่งการเปิดเครื่องปรับอากาศให้เปลืองค่าไฟ เรียกว่าลงทุนแต่ครั้งเดียวแต่ในระยะยาวเกินคุ้ม แล้วสมาชิกในครอบครัวยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข 

เช็กพยากรณ์อากาศประจำวันจากกรมอุตุนิยมวิทยา

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
บ้านไม้ติดแอร์ได้ไหม กับ 3 ข้อควรรู้ขั้นพื้นฐานก่อนตัดสินใจ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/บ้านไม้ติดแอร์-57823?locale=th www.ddproperty.com:resources:57823 Sun, 09 Jan 2022 13:19:47 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/11/Wooden-house-with-Air-conditioning-150x150.jpg"/></p> บ้านไม้ติดแอร์ได้ไหม กับ 3 ข้อควรรู้ขั้นพื้นฐานก่อนตัดสินใจ นับตั้งแต่อดีตคนไทยนิยมสร้างบ้านไม้อยู่อาศัย และนิยมปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้าน เพื่อเพิ่มความร่มรื่น และอาศัยกระแสลมเย็น ๆ จะพัดเข้าทางประตูหน้าต่างและตามร่องรอยต่อของไม้เพิ่มความเย็นในบ้าน แต่แน่นอนว่าประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ทำให้อากาศร้อนเกือบตลอดทั้งปี ลองมาดูว่า บ้านไม้ติดแอร์ได้ไหม และมีเรื่องควรรู้อะไรบ้างก่อนตัดสินใจติดแอร์ให้กับบ้านไม้

sportlight

บ้านไม้ติดแอร์ต้องรู้อะไรบ้าง

สำหรับคำถาม “บ้านไม้ติดแอร์ได้ไหม” นั้นยังคงเป็นปัญหาที่หลายคนอยากรู้ เพราะหากคิดจะปรับปรุงและติดแอร์บ้านไม้ ก็กังวลว่าอากาศไหลออกตามร่องรอยต่อต่าง ๆ และทำให้แอร์ทำงานหนัก ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือ รายจ่ายค่าไฟฟ้าจำนวนมาก แต่หากถามช่างผู้เชี่ยวชาญเครื่องปรับอากาศแล้วจะได้คำตอบว่าบ้านไม้ติดแอร์ได้ เพียงแค่ต้องปรับปรุงและปิดรอยต่อระหว่างไม้ไม่ให้ลมไหลเข้าออกเท่านั้นเอง 

อย่างที่รู้กันดีว่าบ้านไม้นั้นมีร่องและรอยต่อระหว่างแผ่นไม้ไม่สนิทมิดชิดกัน เหมือนบ้านก่ออิฐฉาบปูน  ไม่ว่าจะเป็นร่องระหว่างแผ่นไม้พื้น ไม้ผนัง รวมถึงร่องเกล็ดไม้ระบายอากาศตามบานประตูหน้าต่าง ล้วนเป็นช่องทางให้ลมร้อน ฝุ่นควัน และเสียงรบกวนลอดผ่านเข้าออกได้ตลอดเวลา การติดแอร์บ้านไม้ จึงต้องทำการอุดปิดรอยต่อให้มิดชิดที่สุด พูดง่าย ๆ คือต้องมีการปรับปรุงเพื่อป้องกันบ้านไม่ให้มีรอยรั่วนั่นเอง

สำหรับผู้ที่ต้องการติดแอร์ในบ้านไม้ สิ่งสำคัญในช่วงแรกคือ การตรวจเช็กสภาพบ้านก่อนปรับปรุงและติดแอร์ เพราะไม่ว่าบ้านจะเป็นที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง หรือบ้านที่สร้างแบบครึ่งปูน ครึ่งไม้ หรือบ้าน 2 ชั้น ชั้นบนสร้างด้วยไม้ ส่วนชั้นล่างเป็นก่ออิฐฉาบปูน ก็ควรต้องตรวจเช็กสภาพเสา คาน และโครงสร้างว่าไม่มีรอยแตกร้าว รอยรั่ว คานไม้บิดหรือโก่งตัวหรือไม่

นอกจากนี้ยังต้องสำรวจไม้พื้น ผนังไม้ ประตู หน้าต่างว่าอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานหรือไม่ และหากตรวจสอบแล้วพบว่ามีส่วนใดเกิดความเสียหาย ก็จะต้องซ่อมแซมก่อนปรับปรุง หรือเปลี่ยนใหม่เพื่อให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี ก่อนลงมือปรับปรุงบ้านในส่วนของพื้น ผนัง และฝ้าเพดาน

โดยขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงบ้านไม้ก่อนติดแอร์คือ การปิดรอยต่อพื้น และรอยต่อระหว่างเสาและคาน ก่อนติดแอร์บ้านไม้ โดยวิธีที่ดีที่สุดในการปิดช่อง รอยต่อและรอยรั่วคือ การตีแผ่นฝ้าปิดใต้ไม้พื้น ซึ่งเหมาะกับบ้านที่ต้องการคงรูปลักษณ์พื้นไม้ชั้นสองไว้ดังเดิม และข้อดีอีกอย่างของการตีแผ่นฝ้าคือลดปัญหาเรื่องเสียง และยังสามารถปูฉนวนกันเสียงเพิ่มเหนือฝ้าช่วยเก็บความเย็นได้นานขึ้น

 

บ้านไม้ติดแอร์ได้ถ้าปิดช่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อย

 

3 ข้อควรรู้ขั้นพื้นฐานการปรับปรุงบ้านไม้ติดแอร์  

1. ปรับปรุงเพดาน บ้านไม้ปกติบางที่จะไม่มีฝ้าเพดาน ถ้าจะติดแอร์จำเป็นที่จะต้องวางฝ้าใหม่ด้วยการบุผนังกันความร้อนหรือใช้แผ่นกันความร้อนปู แล้วค่อยติดฝ้าทับ

2. ปรับปรุงผนังห้อง บ้านไม้ธรรมดาถึงแม้ว่าจะมีการทำผนังห้องด้วยไม้ดูเหมือนจะแนบสนิทกัน แต่อย่างไรก็ตามลมแอร์ก็ยังออกได้ ต้องทำการใช้แผ่นกันความร้อนปิดให้ครบทุกด้านถ้าทำได้ จากนั้นให้ใช้แผ่นยิปซั่มปิดทับลงไปภายในห้องให้ครบทุกด้านเช่นกัน แล้วทำการยาแนวตามขอบให้ละเอียดที่สุด

3. ปิดพื้นห้อง หากพื้นห้องนั้นเป็นพื้นไม้กระดาน เพราะมีบางแห่งใช้เสื่อน้ำมัน แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร วิธีที่ดีที่สุดก็คือการปูพื้นใหม่ด้วยปูนหรือไม่ก็ใช้แผ่นยิปซั่มทำฝ้าปิดใต้พื้นไม้ หรือใต้ถุนไม้ ให้แนบสนิทที่สุด ถ้าหากเป็นบ้านทรงเตี้ยอาจจำเป็นที่จะต้องใช้การรื้อ แต่ถ้าเป็นบ้านที่ยกสูงจะสะดวกเพราะคล้ายกับการทําฝ้าเพดาน สามารถลงไปปิดพื้นที่ใต้ถุนบ้านได้เลย

ผ้าม่านกั้นแอร์ ช่วยแบ่งห้อง-ประหยัดไฟ ประโยชน์มากกว่าที่คิด

Guide

ผ้าม่านกั้นแอร์ ช่วยแบ่งห้อง-ประหยัดไฟ ประโยชน์มากกว่าที่คิด

ข้อดี-ข้อด้อย และข้อควรระวังของบ้านไม้ติดแอร์

เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะติดแอร์ให้บ้านไม้ เราควรรู้ข้อดีและข้อควรระวังก่อนติดตั้งแอร์ด้วย

ข้อดี-ข้อด้อยของการติดแอร์บ้านไม้

แน่นอนว่าช่วยในเรื่องของการลดความร้อนและมลพิษ ที่จะเข้าในตัวบ้าน และยังช่วยให้บ้านเย็นขึ้น เมื่อมีข้อดีย่อมมีข้อเสีย ซึ่งข้อเสียในการบ้านไม้ติดแอร์คือ เสน่ห์ของบ้านไม้อาจจะลดลงจากการปรับปรุงบ้านจากการติดตั้งฝ้า พื้น ผนัง เพดาน เพื่อป้องกันการรั่วไหลของอากาศจากภายในสู่ภายนอก หรือภายนอกเข้าสู่ภายใน และที่สำคัญต้องใช้งบในการปรับปรุงบ้าน และอุดรอยต่อ รอยรั่วภายในบ้าน  

 

ข้อควรระวังของการติดแอร์ให้บ้านไม้

ข้อควรระวังคือ ควรมีผ้าม่าน ตรงหน้าต่างทุกบาน ในห้องแอร์ เพราะการติดกระจก บานเลื่อนในบ้านไม้จะทำให้ดูไม่สวยงาม ดังนั้น การติดผ้าม่านจึงมีส่วนช่วยมากในการกันแสงแดด และอากาศรั่วของอากาศในช่วงกลางวันและกลางคืน

ขณะเดียวกันการเลือกใช้แอร์ควรเลือกใช้แอร์แบบแขวนเพดาน หรือติดผนัง ในตำแหน่งไกลตัว และควรเลือกแบบเงียบที่สุด เพราะการสั่นของแอร์กับผนังที่เป็นไม้นั้น บางรุ่นสั่นแรงอาจทำให้แผ่นไม้สั่นได้ด้วย

เลือกแอร์ให้เหมาะกับบ้านไม้ ก่อนตัดสินใจติดแอร์ให้กับบ้านไม้

เลือกขนาดแอร์ให้เหมาะกับห้อง

สูตรการคำนวณ BTU เบื้องต้นคือ

BTS = พื้นที่ห้อง (กว้าง x ยาว) x ความแตกต่าง

ความแตกต่างแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ

600-700 = ห้องที่มีความร้อนน้อยใช้เฉพาะกลางคืน

700-800 = ห้องที่มีความร้อนสูงใช้เวลากลางวัน

BTU                

ขนาดห้องปกติ

ขนาดห้องที่โดนแดด

9,000

12-15 ตร.ม.

11-14 ตร.ม.

12,000

16-20 ตร.ม.

14-18 ตร.ม.

18,000

24-30 ตร.ม.

21-27 ตร.ม.

21,000

28-35 ตร.ม.

25-32 ตร.ม.

24,000

32-40 ตร.ม.

28-36 ตร.ม.

25,000

35-44 ตร.ม.

30-39 ตร.ม.

30,000

40-50 ตร.ม.

35-45 ตร.ม.

35,000

48-60 ตร.ม.

42-54 ตร.ม.

48,000

64-80 ตร.ม.

56-72 ตร.ม.

80,000

80,100 ตร.ม.

70-90 ตร.ม.

ขอบคุณข้อมูลจาก: Samsung

ทั้งนี้ การเลือกตำแหน่งติดตั้งคอยล์ร้อนก็สำคัญ ซึ่งหากจะให้ดีที่สุดควรติดตั้งคอยล์ร้อนที่พื้นดินหรือพื้นปูน แต่หากไม่สะดวก แนะนำให้ใช้ขายางรองแอร์ และรองคอมเพรสเซอร์เพื่อป้องกันการสั่น ที่สำคัญไม่ควรใช้ขาแขวน ติดกับผนังไม้ เพราะแรงสั่นจะทำให้เกิดเสียงดัง

ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศสำหรับห้อง

นอกจากนี้ พื้นบ้านไม้ส่วนใหญ่จะมีรอยรั่วค่อนข้างมาก ในกรณีอยู่ชั้น 2 ในห้องแอร์ควรหาพรม หรือผ้าปูพื้นห้องทั้งห้อง เพื่อป้องกันอากาศรั่วขณะเปิดใช้งานแอร์

3 วิธีซ่อมแอร์ด้วยตัวเอง ประหยัดงบได้ ไม่ต้องเรียกช่าง

Guide

3 วิธีซ่อมแอร์ด้วยตัวเอง ประหยัดงบได้ ไม่ต้องเรียกช่าง

จะเห็นได้ว่าการติดแอร์ให้บ้านไม้ไม่ใช่เรื่องยาก แค่เพียงเตรียมการต่าง ๆ ให้พร้อม เพื่อป้องกันไม่ให้เสียค่าไฟโดยเปล่าประโยชน์ เท่านี้บ้านไม้หลังสวยของคุณก็ติดแอร์เย็นชื่นใจได้เช่นกัน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ฉนวนกันความร้อน 5 แบบ แบบไหนทำให้บ้านเย็น https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/เลือกฉนวนกันความร้อน-58199?locale=th www.ddproperty.com:resources:58199 Fri, 17 Dec 2021 10:08:02 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/12/Thermal-insulation-is-the-reduction-of-heat-transfer-150x150.jpg"/></p> ฉนวนกันความร้อน 5 แบบ แบบไหนทำให้บ้านเย็น ฉนวนกันความร้อนถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างมากขึ้น ทั้งฉนวนกันความร้อนหลังคา ฉนวนกันความร้อนวางบนฝ้า ซึ่ง ฉนวนในท้องตลาดมีหลายราคา และหลายประเภทให้เลือกใช้ เช่น ฉนวนใยแก้ว ฉนวนใยหิน ฉนวนยางดำ EPDM และฉนวนโฟม เช่น ฉนวนโฟม PE, PU, PS และ EPS ซึ่งการเลือกใช้ฉนวนก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเภทของงาน

sportlight

ถ้าต้องการให้บ้านเย็นขึ้น การปูฉนวนกันความร้อนบนฝ้า จะเป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยลดการถ่ายเทความร้อนที่ผ่านมาจากทางหลังคา ลงสู่ตัวบ้านได้ ฉนวนวางบนฝ้าที่นิยมใช้กันในตลาดคือ ฉนวนใยแก้ว Glass Wool และฉนวนใยหิน ROCKWOOL รุ่น Rock Chill

ตัวอย่างฉนวนกันความร้อน

ตัวอย่างฉนวนกันความร้อน

ฉนวนวางบนฝ้าจะถูกหุ้มด้วยอะลูมิเนียมฟอยล์รอบด้านจึงช่วยในเรื่องการสะท้อนรังสีความร้อนได้ 95% และ ด้วยความหนาที่มากจึงสามารถต้านทานความร้อนได้ถึง 6 เท่า ฉนวนวางบนฝ้า ที่ขายอยู่ในตลาดโดยทั่วไป จะมีความหนาที่ 75 มิลลิเมตร ลักษณะเป็นม้วน หุ้มด้วยพลาสติกที่ปิดมิดชิด ขนาด กว้าง 0.6 เมตร ยาว 4 เมตร ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานสำหรับการวางบนฝ้า

สำหรับโรงหลังคาจอดรถแบบเปิดหรือร้านอาคารแบบเปิดทั่วไปก็จะนิยมใช้ ฉนวนโฟม PE หรือ PU เนื่องจากโฟมมีค่าการนำความร้อนที่ต่ำ ซึ่งหลาย ๆ ที่ก็นิยมนำฉนวนใยแก้ว และฉนวนใยหินมาปูบนหลังคาที่มีพื้นที่แบบเปิดเช่นกัน

 

ลักษณะของฉนวนแต่ละประเภท

1. ฉนวนใยหิน

วัตถุดิบ: หินบะซอลต์และโดโลไมท์

คุณสมบัติการกันไฟ: ไม่ติดไฟ และไม่ลามไฟ

จุดหลอมเหลว: มากกว่า 1,000°C

มลพิษจากการเผาไหม้: ไม่มีการปล่อยก๊าซพิษ

ความปลอดภัยในการใช้งาน: ปราศจากแร่ใยหิน (Non-Asbestos) ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง รับรองโดยสถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ

2. ฉนวนใยแก้ว

วัตถุดิบ: เศษแก้ว และทราย

คุณสมบัติการกันไฟ: ติดไฟยาก และไม่ลามไฟ

จุดหลอมเหลว: 650-700°C

มลพิษจากการเผาไหม้: ไม่มีการปล่อยก๊าซพิษ

ความปลอดภัยในการใช้งาน: ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง

3. ฉนวนโฟม PE

วัตถุดิบ: โพลิเอทิลีน

คุณสมบัติการกันไฟ: ติดไฟ แต่ไม่ลามไฟ

จุดหลอมเหลว: น้อยกว่า 250°C

มลพิษจากการเผาไหม้: มีการปล่อยคาร์บอนมอนออกไซด์ (CO) ซึ่งอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และเวียนศีรษะ

ความปลอดภัยในการใช้งาน: ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง

4. ฉนวนโฟม PU

วัตถุดิบ: โพลิยูริเทน

คุณสมบัติการกันไฟ: ติดไฟ แต่ไม่ลามไฟ

จุดหลอมเหลว: น้อยกว่า 250°C

มลพิษจากการเผาไหม้: มีการปล่อย
- คาร์บอนมอนออกไซด์ (CO) ซึ่งอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และเวียนศีรษะ
- ไฮโดรเจนไซยาไนด์ (HCN) ส่งผลให้หมดสติและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

ความปลอดภัยในการใช้งาน: ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง

5. ฉนวนโฟม PS หรือ EPS

วัตถุดิบ: โพลิสไตริน

คุณสมบัติการกันไฟ: ติดไฟ แต่ไม่ลามไฟ

จุดหลอมเหลว: น้อยกว่า 250°C

มลพิษจากการเผาไหม้: มีการปล่อยคาร์บอนมอนออกไซด์ (CO) ซึ่งอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และเวียนศีรษะ

ความปลอดภัยในการใช้งาน: ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง

 

ตารางสรุปลักษณะของฉนวนกันความร้อนแต่ละประเภท

ลักษณะผลิตภัณฑ์

ฉนวนใยหิน

ฉนวนใยแก้ว

ฉนวนโฟม PE

ฉนวนโฟม PU

ฉนวนโฟม PS หรือ EPS

วัตถุดิบ

หินบะซอลต์และโดโลไมท์

เศษแก้ว และทราย

โพลิเอทิลีน

โพลิยูริเทน

โพลิสไตริน

คุณสมบัติการกันไฟ

ไม่ติดไฟ และไม่ลามไฟ

ติดไฟยาก และไม่ลามไฟ

ติดไฟ แต่ไม่ลามไฟ

ติดไฟ แต่ไม่ลามไฟ

ติดไฟ แต่ไม่ลามไฟ

จุดหลอมเหลว

มากกว่า 1,000°C

650-700°C

น้อยกว่า 250°C

น้อยกว่า 250°C

น้อยกว่า 250°C

มลพิษจากการเผาไหม้

ไม่มีการปล่อยก๊าซพิษ

ไม่มีการปล่อยก๊าซพิษ

มีการปล่อย:

- คาร์บอนมอนออกไซด์ (CO) ซึ่งอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และเวียนศีรษะ

มีการปล่อย:

- คาร์บอนมอนออกไซด์ (CO) ซึ่งอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และเวียนศีรษะ

- ไฮโดรเจนไซยาไนด์ (HCN) ส่งผลให้หมดสติและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

มีการปล่อย:

- คาร์บอนมอนออกไซด์ (CO) ซึ่งอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และเวียนศีรษะ

ความปลอดภัยในการใช้งาน

ปราศจากแร่ใยหิน (Non-Asbestos) ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง รับรองโดยสถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ

ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง

ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง

ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง

ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง

ดังนั้น การเลือกใช้ฉนวนในแต่ละงานจึงต้องคำนึงถึงคุณสมบัติของฉนวนนั้น ๆ เพื่อให้การใช้งานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะฉนวนกันความร้อนที่ใช้ภายในบ้าน ควรช่วยลดความร้อนจากภายนอกเข้ามาสู่ภายในบ้าน ซึ่งจะทำให้การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย สบายขึ้น รวมถึงมีส่วนช่วยในการลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศได้อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลและรูปประกอบจาก ROCKWOOL

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
6 แบบโถสุขภัณฑ์ เลือกยังไงให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิต https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/โถสุขภัณฑ์-57803?locale=th www.ddproperty.com:resources:57803 Sun, 05 Dec 2021 13:31:47 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/11/Lavatory-cover-150x150.jpg"/></p> 6 แบบโถสุขภัณฑ์ เลือกยังไงให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิต การเลือกโถสุขภัณฑ์นอกจากจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย ขนาดที่เหมาะสมกับผู้ใช้งานแล้ว รูปแบบหรือดีไซน์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนที่จะเลือกซื้อโถสุขภัณฑ์เพื่อให้ได้โถสุขภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานและตรงกับไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้านหรือเข้ากับการตกแต่งตัวบ้าน มาดูกันว่ามีโถสุขภัณฑ์แบบไหนบ้างที่ตอบโจทย์ในความเป็นตัวเรามากที่สุด

sportlight

1. โถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว (One Piece WC)

โถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียวเป็นโถสุขภัณฑ์ที่รวมถังพักน้ำและตัวโถสุขภัณฑ์ไว้ด้วยกันทำให้ไม่มีรอยต่อระหว่างชิ้นงาน เป็นโถสุขภัณฑ์ที่มีถังพักน้ำแบบฟลัชแทงค์โดยจะเก็บน้ำไว้ที่ถังพักน้ำด้านหลัง ติดตั้งระบบท่อน้ำทิ้งลงพื้น S-Trap โดยมีระยะห่างระหว่างท่อน้ำทิ้งและผนังอยู่ที่ประมาณ 30.5 เซนติเมตร

 

โถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว (One Piece WC) เหมาะกับใคร

โถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียวเหมาะกับคนที่ชอบโถสุขภัณฑ์ที่มีดีไซน์ให้เลือกหลากหลาย มีลักษณะเรียบหรูจำนวนอุปกรณ์น้อยชิ้นไม่เทอะทะ นอกจากนี้โถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียวยังเหมาะกับการนำไปใช้ตามโรงแรมขนาดเล็ก ร้านอาหาร หรืออาคารขนาดเล็กต่างๆ ด้วย

 

ข้อดีของโถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว (One Piece WC)

  • เป็นโถสุขภัณฑ์ที่มีเสียงระบบการทำงานค่อนข้างเงียบ
  • โถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียวจะติดตั้งง่ายและไม่มีปัญหาเรื่องน้ำรั่วซึม ทำความสะอาดตัวโถสุขภัณฑ์ได้ง่ายกว่าโถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้น
  • เป็นโถสุขภัณฑ์ที่รูปทรงสวยงามมีดีไซน์ให้เลือกหลากหลาย

 

ข้อด้อยของโถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว (One Piece WC)

  • โถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียวจะราคาสูงกว่าโถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้น
  • หากโถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียวมีการชำรุดเสียหายอาจต้องเปลี่ยนโถสุขภัณฑ์ใหม่ทั้งใบ
รวม 4 แบบห้องน้ำ แบบไหนเหมาะกับบ้านคุณ

Guide

รวม 4 แบบห้องน้ำ แบบไหนเหมาะกับบ้านคุณ

2. โถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้น (Two Piece WC)

โถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้น เป็นโถสุขภัณฑ์ที่มีถังพักน้ำแบบฟลัชแทงค์โดยจะเก็บน้ำไว้ที่ถังพักน้ำด้านหลังเช่นเดียวกันกับโถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว แต่ถังพักน้ำของโถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้นจะแยกออกจากตัวโถสุขภัณฑ์ทำให้โถสุขภัณฑ์ชนิดนี้ถูกแบ่งเป็น 2 ชิ้น คือ ส่วนที่เป็นโถสุขภัณฑ์กับถังพักน้ำ โถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้นจะมีการต่อท่อน้ำทิ้งได้ 2 แบบ คือ การต่อลงพื้น S-Trap และการต่อออกผนัง T-Trap

 

โถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้น (Two Piece WC) เหมาะกับใคร

โถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้นเหมาะกับคนที่กำลังมองหาโถสุขภัณฑ์ที่เรียบง่ายราคาสบายกระเป๋า ดีไซน์เป็นมาตรฐาน นอกจากนี้โถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้นยังเหมาะกับการนำไปใช้ตามโรงแรมขนาดเล็ก ร้านอาหาร หรืออาคารขนาดเล็กต่าง ๆ ด้วย

 

ข้อดีของโถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้น (Two Piece WC)

  • โถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้นราคาถูกกว่าโถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว
  • ติดตั้งค่อนข้างง่าย แต่อาจมีขั้นตอนมากกว่าโถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว
  • หากชิ้นส่วนของโถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้นเสียหายสามารถเปลี่ยนเฉพาะชิ้นส่วนได้

 

ข้อด้อยของโถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้น (Two Piece WC)

  • โถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้นมีขั้นตอนการติดตั้งที่ยุ่งยากกว่าโถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว
  • โถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้นทำความสะอาดได้ยากกว่าโถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียวและอาจมีปัญหาเกี่ยวกับสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในบริเวณรอยต่อของโถสุขภัณฑ์
  • เมื่อโถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้นผ่านการใช้งานมานานอาจเกิดปัญหาน้ำรั่วซึมบริเวณรอยต่อได้

 

โถสุขภัณฑ์มีให้เลือกหลายแบบ

 

3. โถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนัง (Wall-Mounted WC)

โถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังจะประกอบไปด้วยตัวโถสุขภัณฑ์ ถังพักน้ำแบบซ่อนผนังและมือกด โถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังจะมีระบบท่อน้ำแบบออกผนัง T-Trap โดยระบบท่อน้ำและถังพักน้ำของโถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังจะถูกยึดไว้กับโครงเหล็กที่ยึดติดกำแพงก่อนที่จะปิดพื้นผิวหน้างาน ทำให้รูปลักษณ์ของโถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังเพียงแค่มือกดและตัวโถสุขภัณฑ์เท่านั้น

 

โถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนัง (Wall-Mounted WC) เหมาะกับใคร

โถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังเหมาะกับคนที่มี่พื้นที่ใช้สอยในห้องน้ำค่อนข้างจำกัดแต่ต้องการโถสุขภัณฑ์ที่หรูหราดีไซน์ล้ำสมัยดูโดดเด่น นอกจากนี้โถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังยังเมหาะกับห้องในคอนโดมเนียม โรงแรมอีกด้วยเนื่องจากมีการติดตั้งระบบท่อแบบออกจากผนังจึงช่วยลดปัญหารั่วซึมไปยังห้องด้านล่างได้

 

ข้อดีของโถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนัง (Wall-Mounted WC)

  • โถสุขภัณฑ์ทำความสะอาดง่าย รวมไปถึงการทำความสะอาดพื้นห้องน้ำบริเวณโถสุขภัณฑ์ก็ทำได้ง่ายเช่นกัน
  • ประหยัดพื้นที่ใช้งาน
  • โถสุขภัณฑ์มีการออกแบบที่สวยงาม
  • โถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังสามารถช่วยลดปัญหาการรั่วซึมลงพื้นด้านล่างได้

 

ข้อด้อยของโถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนัง (Wall-Mounted WC)

  • โถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังราคาสูง
  • พื้นที่ในการติดตั้งโถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังต้องเหมาะสมอาจต้องมีวิศวกรหรือผู้เชี่ยวชาญมาออกแบบการติดตั้งเพื่อให้สามารถรับน้ำหนักโถสุขภัณฑ์และการใช้งานต่างๆ ได้

 

4. โถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้น (Floor-Standing WC)

โถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้นจะประกอบไปด้วยตัวโถสุขภัณฑ์ที่เป็นแบบตั้งพื้น ถังพักน้ำแบบซ่อนผนัง และมือกด โดยระบบท่อน้ำและถังพักน้ำของโถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้นจะถูกยึดไว้กับโครงเหล็กที่ยึดติดกำแพงก่อนที่จะปิดพื้นผิวหน้างานคล้ายกับโถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนัง แต่ระบบท่อน้ำของโถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้นจะสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นแบบออกผนัง (P-Trap) หรือแบบลงพื้น (S-Trap)

 

โถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้น (Floor-Standing WC) เหมาะกับใคร

โถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้นเป็นโถสุขภัณฑ์ที่คนนิยมใช้ค่อนข้างมากในครัวเรือน เนื่องจากมีดีไซน์ให้เลือกหลากหลาย จึงเหมาะกับคนที่ต้องการโถสุขภัณฑ์ที่หาซื้อง่าย ราคาประหยัด ดีไซน์สวยงามตามมาตรฐาน

 

ข้อดีของโถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้น (Floor-Standing WC)

  • โถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้นสามารถหาซื้อได้ง่าย ราคาประหยัด
  • โถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้นใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อยแต่ประโยชน์ใช้สอยคุ้มค่า
  • โถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้นสามารถซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอะไหล่บางชิ้นส่วนได้

 

ข้อด้อยของโถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้น (Floor-Standing WC)

  • โถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้นอาจมีการรั่วซึมจากการติดตั้งเกิดขึ้นได้
  • ควรเตรียมช่องหรือประตูไว้เปิด-ปิดถังพักน้ำหากต้องมีการบำรุงหรือดูแลรักษา

 

การเลือกโถสุขภัณฑ์ให้เหมาะสมกับการใช้งานคือสิ่งสำคัญ

 

5. โถสุขภัณฑ์แบบฟลัชวาล์ว (Flush Valve WC)

โถสุขภัณฑ์แบบฟลัชวาล์วจะประกอบไปด้วยตัวโถสุขภัณฑ์และชุดฟลัชมือกด ไม่มีหม้อพักน้ำ โถสุขภัณฑ์แบบฟลัชวาล์วจะใช้แรงดันน้ำและการจ่ายน้ำผ่านเส้นท่อประปาโดยตรง เเรงดันน้ำอย่างต่ำเพื่อให้การชำระล้างมีประสิทธิภาพ เเละไม่รั่วซึม สำหรับโถสุขภัณฑ์ คือ 20 ปอน์ดต่อตารางนิ้ว

 

โถสุขภัณฑ์แบบฟลัชวาล์ว (Flush Valve WC) เหมาะกับใคร

โถสุขภัณฑ์แบบฟลัชวาล์วจะเหมาะสำหรับการใช้งานในอาคารสาธารณะ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน ที่ชุมนุมชนต่าง ๆ หรือที่ที่มีเครื่องปั๊มน้ำขนาดใหญ่ เป็นต้น

 

ข้อดีโถสุขภัณฑ์แบบฟลัชวาล์ว (Flush Valve WC)

  • ไม่ต้องรอน้ำเต็มแทงค์สามารถกดชำระได้ต่อเนื่อง

 

ข้อด้อยโถสุขภัณฑ์แบบฟลัชวาล์ว (Flush Valve WC)

  • การติดตั้งโถสุขภัณฑ์แบบฟลัชวาล์วจะต้องติดตั้งในพื้นที่ที่มีแรงดันน้ำที่เหมาะสมในการใช้งานและชำระล้าง
  • โถสุขภัณฑ์แบบฟลัชวาล์วสามารถนำมาใช้งานได้ค่อนข้างจำกัดเนื่องจากเหมาะกับการนำไปติดตั้งในพื้นที่สาธารณะมากกว่านำมาใช้ในบ้าน
7 วิธีเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นให้เหมาะกับบ้านคุณ

Guide

7 วิธีเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นให้เหมาะกับบ้านคุณ

6. โถสุขภัณฑ์แบบราดน้ำ

โถสุขภัณฑ์แบบราดน้ำจะมีทั้งตัวโถสุขภัณฑ์ที่เป็นแบบนั่งยองและตัวโถสุขภัณฑ์แบบนั่งราบ บ่อพักน้ำจะเป็นภาชนะที่นำมาเสริมไม่ได้ติดมากับตัวโถสุขภัณฑ์ การใช้งานคือการใช้ภาชนะตักน้ำจากบ่อพักน้ำมาราดลงในโถสุขภัณฑ์

 

โถสุขภัณฑ์แบบราดน้ำเหมาะกับใคร

โถสุขภัณฑ์แบบราดน้ำเหมาะกับคนที่ต้องการประหยัดต้นทุน และไม่ห่วงเรื่องการดีไซน์มากนัก ต้องการโถสุขภัณฑ์ที่ใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก

อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้โถสุขภัณฑ์แบบราดน้ำ หรือส้วมซึมที่นิยมเรียกกันอาจไม่เหมาะกับบ้านที่มีผู้สูงอายุ คนท้อง หรือคนอ้วน ซึ่งปัจจุบันมีการแนะนำให้เปลี่ยนมาใช้โถสุขภัณฑ์แบบนั่งราบมากขึ้นตามแผนแม่บทพัฒนาส้วมสาธารณะไทย

 

ข้อดีโถสุขภัณฑ์โถสุขภัณฑ์แบบราดน้ำ

  • ราคาไม่แพง ติดตั้งและดูแลรักษาง่าย
  • สามราถควบคุมปริมาณน้ำที่ใช้ในการใช้งานโถสุขภัณฑ์แต่ละครั้งได้ด้วยตนเอง

 

ข้อด้อยโถสุขภัณฑ์แบบราดน้ำ

  • การใช้น้ำตักราดอาจทำให้ห้องน้ำเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา
  • ผู้สูงอายุใช้งานลำบาก ความสะดวกสบายในการใช้งานน้อยกว่าโถสุขภัณฑ์แบบอื่น

 

สรุปข้อดี-ข้อด้อยของโถสุขภัณฑ์แต่ละประเภท

ประเภทโถสุขภัณฑ์

ข้อดี

ข้อด้อย

โถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว

เสียงเงียบ, ติดตั้งง่าย, ไม่มีปัญหาน้ำรั่วซึม

ราคาสูง, หากชำรุดต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งใบ

โถสุขภัณฑ์แบบ 2 ชิ้น

ราคาไม่แพง, ติดตั้งง่าย, เปลี่ยนเฉพาะส่วนได้

ทำความสะอาดยาก, อาจมีปัญหาน้ำรั่วซึม

โถสุขภัณฑ์แบบแขวนผนัง

ทำความสะอาดง่าย, ประหยัดพื้นที่, ลดปัญหารั่วซึม

ราคาสูง, ติดตั้งยาก

โถสุขภัณฑ์แบบตั้งพื้น

ซื้อง่าย, ราคาไม่แพง, ซ่อมแซมและเปลี่ยนอะไหล่ง่าย

อาจมีปัญหาน้ำรั่วซึม

โถสุขภัณฑ์แบบฟลัชวาล์ว

กดชำระได้ต่อเนื่อง

ต้องมีแรงดันน้ำเหมาะสม

โถสุขภัณฑ์แบบราดน้ำ

ราคาไม่แพง, ติดตั้งง่าย, ดูแลรักษาง่าย

อาจทำให้ห้องน้ำเปียกอยู่ตลอดเวลา, ผู้สูงอายุใช้งานลำบาก

 

การศึกษาข้อมูลโถสุขภัณฑ์ก่อนเลือกซื้อนอกจากจะตอบโจทย์การใช้งานแล้วยังช่วยให้สามารถเลือกดีไซน์โถสุขภัณฑ์ที่ถูกใจเข้ากับสไตล์ของบ้านได้ในราคาที่คุ้มค่าอีกด้วย

 

 สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
พรมปูพื้นห้อง 5 ข้อดี-ข้อเสีย ของแต่งห้อง แต่งบ้าน เพิ่มความสวยงาม https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/รู้ข้อดีข้อเสียของพรมปูพื้นก่อนนำมาแต่งบ้าน-17013?locale=th www.ddproperty.com:resources:17013 Tue, 30 Nov 2021 22:45:12 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/08/Property_House_Living-Area_sts_1025140810-150x150.jpg"/></p> พรมปูพื้นห้อง 5 ข้อดี-ข้อเสีย ของแต่งห้อง แต่งบ้าน เพิ่มความสวยงาม พรมปูพื้นห้อง คือ ของตกแต่งบ้านชนิดหนึ่งที่มีความสวยงาม ช่วยสร้างบรรยากาศ สีสัน และพรมบางชนิดยังช่วยยกระดับความหรูหราให้กับบ้านและคอนโดของผู้ซื้ออีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นพรมปูพื้นห้องนอน พรมปูพื้นห้องนั่งเล่น หรือห้องอื่น ๆ แต่ทว่าพรมปูพื้นห้องก็ยังเป็นของตกแต่งบ้านที่มีข้อเสียหลายอย่าง

เจ้าของบ้านจึงต้องทำความเข้าใจจุดเด่นและจุดด้อยให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อพรมปูพื้นห้องมาตกแต่งบ้าน ไม่เช่นนั้นพรมแต่งบ้านสวย ๆ อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ในบ้านก็เป็นได้

ข้อดีของพรมปูพื้นห้อง

1. มีความสวยงาม

ความสวยงามถือเป็นจุดเด่นหลักของพรมปูพื้นห้อง เพราะมีพรมให้เลือกมากมายหลายแบบ หลากสีสัน และสารพัดลวดลาย โดยบ้างก็เน้นความหรูหรา บ้างก็เน้นความสดใส

ตอบโจทย์ทุกความชื่นชอบของผู้ซื้อได้อย่างครอบคลุม และพรมตกแต่งบ้านยังแสดงให้เห็นถึงรสนิยมที่มีระดับของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกพรมปูพื้นสุดชิค

2. ป้องกันรอยขีดข่วน

กำลังเป็นกังวลว่าพื้นอันแสนเงาวับในบ้านจะเป็นรอยอยู่ใช่หรือไม่ หมดกังวลได้เพราะพรมปูพื้นห้องสามารถช่วยป้องกันรอยขีดข่วนบนพื้นบ้านได้เป็นอย่างดี และทำได้ง่าย ๆ

เพียงปูพรมแล้ววางเฟอร์นิเจอร์ที่มีขาหรือเคลื่อนที่ได้ลงไปก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย หรือใช้เป็นพรมตกแต่งห้องนอนบริเวณปลายเตียง ก็จะได้ทั้งความสวยงามและกันรอยจากขาเตียงได้ในเวลาเดียวกัน อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการเลือกขนาดพรมปูพื้น

3. ดักจับฝุ่นละออง

หากเจ้าของบ้านดูแลรักษาความสะอาดพรมให้ดี พรมปูพื้นห้องก็จะช่วยลดการกระจายฝุ่นละอองได้ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นผง เม็ดทราย หรือขนสัตว์ ก็ล้วนแล้วแต่หนีไปไหนไม่พ้นเมื่อมาติดอยู่กับพรม พรมปูพื้นห้องจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการใช้ตกแต่งหลังประตูทางเข้าบ้าน หรือใช้พรมปูพื้นห้องนอนเพื่อดักจับฝุ่นใต้เท้าก่อนขึ้นเตียงนอนก็ได้เช่นกัน

4. ให้ความอบอุ่น

พรมปูพื้นห้องมีประโยชน์ในการรักษาอุณหภูมิพื้นผิวในบ้านให้เหมาะสม เพราะพรมมีคุณสมบัติเป็นฉนวนและกักเก็บความร้อนได้ โดยเฉพาะกับพรมที่ผลิตมาให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับขนสัตว์ อย่างพรมอะคริลิค (Acrylic) และพรมไนลอน (Nylon) เจ้าของบ้านจะรู้สึกถึงความอุ่นสบายเท้าทันทีเมื่อเทียบกับการเดินบนพื้นเย็น ๆ ที่ไม่มีพรม

5. ช่วยลดอุบัติเหตุ

เจ้าของบ้านสามารถลดโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุในบ้านด้วยพรมที่มีพื้นผิวกันลื่นในตัว และยิ่งเป็นพรมที่มีขนหนานุ่มหรือพรมยางที่มีคุณสมบัติกันกระแทก ก็จะยิ่งช่วยลดแรงกระแทกเมื่อหกล้มได้ดีกว่าพื้นกระเบื้องหรือพื้นไม้เป็นอย่างมาก บ้านไหนที่มีเด็กหรือคนชราจึงควรมีพรมแต่งห้องเอาไว้ช่วยลดการลื่นล้ม โดยเฉพาะหน้าห้องน้ำและบันได

ข้อเสียของการใช้พรมปูพื้นตกแต่งบ้าน

ข้อเสียของการใช้พรมปูพื้นตกแต่งบ้าน

 

ข้อเสียของพรมปูพื้นห้อง

1. เสียหายง่าย ไม่ทนทาน

ความไม่คงทนถือเป็นข้อเสียหลักของพรมปูพื้นห้องเลยก็ว่าได้ เพราะกลายเป็นว่าทุกคนในบ้านต้องเดินย่ำพรมบ่อย ๆ แทนพื้น และยิ่งมีเฟอร์นิเจอร์ลากไปลากมาหรือกดทับบนพรมด้วยแล้ว

จะพรมแพงแค่ไหนก็ยากที่จะอยู่ได้นาน เว้นแต่จะใช้พรมทอเครื่องผื่นใหญ่ที่ใช้กับห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม แต่นั่นก็จะเปลี่ยนอารมณ์การตกแต่งในบ้านไปมากพอสมควร

2. ทำความสะอาดยาก

ไม่ว่าจะเป็นพรมขนาดเล็กหรือใหญ่ก็เตรียมกุมขมับกันได้เลยหากทำน้ำหวานหรืออาหารหกใส่ เพราะพรมที่เน้นความสวยงามก็มักจะทำความสะอาดยากมาก หรือต่อให้ทำความสะอาดไปแล้วแต่ก็ยังอาจมีรอยเปื้อนและกลิ่นติดอยู่ได้ ยิ่งเป็นพรมที่มีขนฟูฟ่องละมุนเท้าด้วยแล้ว หากมีอะไรหกใส่เลอะเทอะ ก็อาจจะต้องโยนทิ้งถังขยะไปได้เลย

3. เป็นแหล่งสะสมฝุ่นและเชื้อรา

หากเจ้าของบ้านไม่หมั่นดูดฝุ่นบนพรมในบ้าน จากพรมที่เคยเป็นที่ดักจับฝุ่นละอองก็จะกลายเป็นแหล่งสะสมฝุ่นและแพร่กระจายเชื้อโรคเสียเอง โดยเฉพาะเชื้อราและไรฝุ่นที่ดูจะชื่นชอบพรมปูพื้นเป็นพิเศษ พรมปูพื้นจึงเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหากคนในบ้านเป็นโรคภูมิแพ้

วิธีการทำความสะอาดบ้านให้ห่างไกลโควิด-19

 

4. พรมดีมักมีราคาแพง

เป็นความจริงที่ว่าถ้าซื้อพรมปูพื้นห้องราคาถูกมาใช้ ไม่นานเส้นใยก็จะหลุดรุ่ยและเสื่อมสภาพ หรือไม่ก็ผิดรูปผิดทรงจากที่เคยซื้อมาใหม่ ๆ ซึ่งนั่นเป็นเพราะวัสดุที่ใช้ไม่ได้คุณภาพ

ดังนั้นหากต้องการความทนทาน ก็ต้องซื้อพรมที่ใช้วัสดุสังเคราะห์คุณภาพดี เช่น พรมไนลอน (Nylon) และพรมโพลีโปรไพลีน (Polypropylene) แต่ก็ต้องแลกกับราคาที่แพงกว่าเช่นกัน

5. ไม่เหมาะกับบ้านที่เลี้ยงสัตว์

ในสายตาของสัตว์เลี้ยง พรมปูพื้นห้องนั้นเปรียบเสมือนทุ่งปลดทุกข์สำหรับพวกมันเลยก็ว่าได้ แม้ว่าจะนำพรมไปซักได้ แต่กลิ่นก็จะยังติดพรมผืนนั้นอยู่ และสัตว์เลี้ยงก็จะขับถ่ายที่เดิมซ้ำ ๆ ต่อไป และยิ่งถ้าสัตว์เลี้ยงในบ้านชอบกัดแทะด้วยแล้ว รับรองเลยว่าต่อให้พรมทนทานแค่ไหน ก็ไม่เหลือชิ้นดีอย่างแน่นอน

ทั้งหมดนี้ก็คือข้อดีข้อเสียที่เจ้าของบ้านต้องชั่งน้ำหนักศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อพรมปูพื้นห้อง

 

ข้อดี

ข้อเสีย

สวยงาม

เสียหายง่าย ไม่ทนทาน

ป้องกันรอยขีดข่วน

ทำความสะอาดยาก

ดักจับฝุ่นละออง

สะสมฝุ่นและเชื้อรา

ให้ความอบอุ่น

พรมคุณภาพดี มีราคาแพง

ลดอุบัติเหตุ

ไม่เหมาะกับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง

 

หากพิจารณาแล้วว่าบ้านเหมาะกับพรมปูพื้นห้อง ของตกแต่งชิ้นนี้ก็จะช่วยเพิ่มความสวยงาม ปรับและเสริมสไตล์การตกแต่ง และให้ประโยชน์อื่น ๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้นได้เป็นอย่างมาก แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น พรมปูพื้นราคาแพงที่ซื้อมาก็อาจเป็นของตกแต่งชวนปวดหัวที่สุดในบ้านได้เหมือนกัน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
ทิศนอนตามวันเกิดของ 12 ปีนักษัตร ตามหลักฮวงจุ้ย หันหัวนอนทิศไหนดี https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ทิศหัวเตียงตามหลักฮวงจุ้ย-ที่ผู้อยู่อาศัยไม่ควรมองข้าม-22995?locale=th www.ddproperty.com:resources:22995 Tue, 30 Nov 2021 18:27:07 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/09/Bedroom-like-a-hotel-150x150.jpg"/></p> ทิศนอนตามวันเกิดของ 12 ปีนักษัตร ตามหลักฮวงจุ้ย หันหัวนอนทิศไหนดี ทิศนอนตามวันเกิดถือเป็นหลักฮวงจุ้ยที่แม้จะดูเล็กน้อยแต่ก็สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นที่ผู้อยู่อาศัยไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าเลือกหันทิศนอนตามวันเกิดไปทางทิศที่ดีก็จะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต แต่ถ้าเลือกตำแหน่งทิศนอนตามวันเกิดผิดนอกจากจะไม่ส่งเสริมต่อดวงชะตาแล้ว ยังอาจส่งผลต่อความร่ำรวย ความก้าวหน้า ความรัก และสุขภาพในระยะยาวด้วยเช่นกัน โดยแต่ละตำราฮวงจุ้ยได้กล่าวถึงตำแหน่งของทิศนอนตามวันเกิดไว้ดังนี้

ทิศนอนตามวันเกิด

การหาทิศนอนตามวันเกิด  สามารถคำนวณหาได้ ดังนี้

1.นำเลขท้าย 2 ตัวจากปีเกิดของตัวเองแบบ ค.ศ. มาบวกกัน เช่น เกิดปี 1985 ให้นำ 8+5=13

2.หากเกิดก่อนช่วงตรุษจีนของปีนั้น ให้นำตัวเลขที่ได้มาลบ 1 แต่ถ้าหากเกิดหลังช่วงตรุษจีนไปแล้ว ให้ยึดตามตัวเลขเดิมที่ได้ในข้อ 1

3.หากผลบวกเป็นเลขหลักสิบ ให้นำตัวเลขทั้งสองหลักมาบวกกัน จนกลายเป็นเลขเดี่ยวหลักหน่วย เช่น 13 ก็ให้เอา 1+3=4

4.เมื่อได้ผลลัพธ์จากข้อ 3 แล้ว ให้เอามาบวกหรือลบกับตัวเลขต่อไปนี้

- ผู้ชายเกิดก่อนปี 2000 ให้ลบด้วย 10 

- ผู้ชายเกิดปี 2000 เป็นต้นไป ให้ลบด้วย 9 

- ผู้หญิงเกิดก่อนปี 2000 ให้บวกด้วย 5

- ผู้หญิงเกิดปี 2000 เป็นต้นไป ให้บวกด้วย 6

ตัวอย่าง : จากข้อ 3 ผลลัพธ์ได้เลข 4 เกิดปี 1985 (เกิดก่อนปี 2000) ถ้าเป็นเพศชาย ให้ลบด้วย 10 จะได้ผลลัพธ์ คือ 6 ถ้าเป็นผู้หญิง ให้บวกด้วย 5 จะได้ผลลัพธ์ คือ 9

 

หากคำตอบติดลบ ให้สนใจเฉพาะตัวเลข ซึ่งตัวเลขที่ได้จะสอดคล้องกับการเลือกทิศนอนตามวันเกิด ดังนี้

เลขที่ได้

ความร่ำรวย

ความก้าวหน้า

ความรัก

สุขภาพ

1

ทิศตะวันออกเฉียงใต้

ทิศเหนือ

ทิศใต้

ทิศตะวันออก

2

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ทิศตะวันตกเฉียงใต้

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ทิศตะวันตก

3

ทิศใต้

ทิศตะวันออก

ทิศตะวันออกเฉียงใต้

ทิศเหนือ

4

ทิศเหนือ

ทิศตะวันออกเฉียงใต้

ทิศตะวันออก

ทิศใต้

5 (ชาย)

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ทิศตะวันตกเฉียงใต้

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ทิศตะวันตก

5 (หญิง)

ทิศตะวันตกเฉียงใต้

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ทิศตะวันตก

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

6

ทิศตะวันตก

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ทิศตะวันตกเฉียงใต้

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

7

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ทิศตะวันตก

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ทิศตะวันตกเฉียงใต้

8

ทิศตะวันตกเฉียงใต้

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ทิศตะวันตก

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

9

ทิศตะวันออก

ทิศใต้

ทิศเหนือ

ทิศตะวันออกเฉียงใต้

ทิศอะไรเหมาะเป็นห้องอะไร 5 ห้องที่ต้องดูเรื่องทิศ ก่อนคิดซื้อ

 

ทิศหัวนอนดี-ทิศผีนอน 

ฮวงจุ้ยหลาย ๆ ตำรา หรือแม้แต่ความเชื่อของคนไทยมักให้หันทิศหัวนอนไปทางทิศเหนือ และทิศตะวันออก เพราะเชื่อว่าเป็นทิศที่ดี และเป็นมงคลต่อชีวิต

ส่วนทิศใต้ บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่าเป็นทิศหัวนอนที่ดีเช่นกัน เนื่องจากเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์ทรงนอนหันพระเศียรไปทางทิศใต้ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก จึงเชื่อว่าการหันหัวเตียงไปทางทิศใต้จะนำมาซึ่งสิริมงคลแก่ชีวิตเช่นกัน

แต่ทิศหัวนอนที่ห้ามเด็ดขาดคือ ทิศตะวันตก เนื่องจากโบราณเชื่อว่าเป็นทิศหัวนอนของคนตาย หากหันหัวเตียงไปทางทิศนั้นอายุจะสั้น จะถูกผีหลอก ผีอำ ได้ง่าย รวมทั้งยังเชื่อว่าหากยมบาลเห็นจะเข้าใจผิดคิดว่าเราตายไปแล้ว และจะดึงวิญญาณออกไป

 

42046412_l

 

ฟังดูแล้วอาจงมงาย แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วก็มีคำอธิบายไว้เช่นกันว่าทำไมจึงไม่ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากโลกหมุนจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ทำให้สนามแม่เหล็กจากดวงอาทิตย์ถูกส่งมาจากทิศตะวันออกไปตะวันตก

หากหันทิศหัวนอนหันไปทางทิศตะวันออก กระแสแม่เหล็กจะเข้าสู่ศีรษะก่อนและจะระบายออกที่เท้า แรงเฉื่อยที่เกิดขึ้นจะทำให้อุณหภูมิที่ศีรษะเย็น และอุณหภูมิที่เท้าร้อน

ในทางตรงกันข้ามหากทิศหัวนอนหันไปทางทิศตะวันตก กระแสแม่เหล็กจะเข้าสู่เท้าก่อนจะระบายออกที่ศีรษะ ทำให้ศีรษะสะสมความร้อนเอาไว้ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการทำงานของสมอง

 

 

ทิศหัวนอนตามปีนักษัตร 

อีกหนึ่งตำราฮวงจุ้ยกล่าวว่าการหันหัวเตียงให้ส่งผลดีต่อชีวิต เสริมดวงชะตา จะต้องพิจารณาตามปีนักษัตรของผู้นอน ดังนี้

ปีนักษัตร ทิศหัวนอน
ปีชวด ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศเหนือ 
ปีฉลู  ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 
ปีขาล ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศตะวันออก 
ปีเถาะ ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศตะวันออก
ปีมะโรง ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 
ปีมะเส็ง ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศใต้ 
ปีมะเมีย ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศใต้ 
ปีมะแม  ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 
ปีวอก ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 
ปีระกา ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 
ปีจอ  ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 
ปีกุน ควรหันทิศหัวนอนไปทางทิศเหนือ

 

จะเห็นได้ว่าการหันทิศนอนตามวันเกิด การปรับตำแหน่งหัวเตียงใช้ทั้งหลักฮวงจุ้ย และหลักวิทยาศาสตร์ รู้อย่างนี้แล้วก็รีบไปปรับกันเลย พร้อมทั้งเพิ่มเติมด้วยการจัดฮวงจุ้ยห้องนอนเสริมสุขภาพและเงินทอง เท่านี้สุขภาพดีและเงินทองไหลมาเทมาก็เริ่มได้จากห้องนอนแล้ว

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2565 ตามปฏิทินจันทรคติ เสริมสิริมงคลสร้างบ้านใหม่ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/พิธีลงเสาเอกบ้าน-พิธีเสริมมงคลให้กับบ้านใหม่-38615?locale=th www.ddproperty.com:resources:38615 Tue, 04 Jan 2022 04:00:58 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/12/groundbreaking-ceremony-for-build-new-house-150x150.jpg"/></p> ฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2565 ตามปฏิทินจันทรคติ เสริมสิริมงคลสร้างบ้านใหม่ คนไทยนั้นมีความเชื่อว่า หากเริ่มต้นอย่างเป็นมงคลแล้ว ทุกสิ่งที่ตามมาย่อมมีแต่สิ่งดี ๆ เช่นเดียวกับพิธีลงเสาเอกบ้าน ซึ่งเชื่อว่าพิธีลงเสาเอกบ้านเป็นการนำเสาหลักของบ้านตามเวลาฤกษ์งามยามดี ฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2565 วันไหนดี ซึ่งหากทำพิธีลงเสาเอกถูกวัน ถูกวิธีแล้ว จะทำให้บ้านสามารถอยู่อาศัยได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข ดังนั้นความสำคัญของพิธีลงเสาเอกกับคนไทย จึงกลายเป็นธรรมเนียมที่ขาดไม่ได้สำหรับการสร้างบ้านใหม่

เช็กฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ วันไหนฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล

 

พิธีลงเสาเอกบ้านคืออะไร

ก่อนจะหาฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2565 มาดูความหมายและความสำคัญของพิธีลงเสาเอกบ้านก่อนว่าคืออะไร ทำไมสร้างบ้านใหม่ถึงต้องให้ความสำคัญ

หากตัดเรื่องความเชื่อออกไป เสาเอกบ้านนั้นก็นับเป็นโครงสร้างที่มีความสำคัญของอาคารมากทีเดียว เนื่องจากเสาเอกบ้าน คือเสาที่ทำหน้าที่ในการรับน้ำหนักของอาคาร เพื่อให้โครงสร้างบ้านมีความแข็งแรง โดยแต่เดิมในอดีต วัสดุที่ใช้สร้างบ้านส่วนใหญ่เป็นไม้ เสาเอกบ้านจึงต้องเป็นเสาไม้ด้วยเช่นกัน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เสาเอกบ้านจึงมีการเปลี่ยนมาเป็นคอนกรีต ตามวัสดุที่ใช้สร้างบ้านในปัจจุบัน

นอกจากนั้นในด้านความเชื่อแล้ว พิธีลงเสาเอกบ้านยังเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง เนื่องจากเสาเอกบ้าน เป็นการแทนสัญลักษณ์ของผู้ชายที่ความเป็นผู้นำ มีความแข็งแรง เปรียบเสมือนพ่อซึ่งเป็นช้างเท้าหน้าของบ้าน เพื่อปกป้องและดูแลครอบครัวและคนในบ้านให้อยู่ดีเป็นสุขนั่นเอง

วันดี ฤกษ์มงคลย้ายเข้าบ้านใหม่ พิธีการขึ้นบ้านใหม่และข้อห้าม

 

พิธีลงเสาเอกต้องเริ่มจากอะไร

1. วันและเวลามงคลตามโฉลกของเจ้าของบ้าน

ตามความเชื่อแล้ว พิธีลงเสาเอกบ้านคือการเริ่มต้นสร้างบ้านเพื่อความเป็นมงคล ดังนั้นพิธีลงเสาเอกบ้านที่ถูกต้อง จึงยึดถือตามเวลาและวันมงคลเป็นหลัก ซึ่งวันและเวลามงคลจะขึ้นอยู่กับโฉลกของเจ้าของบ้านเป็นหลัก โดยจะเป็นการอ้างอิงตามปฏิทินจันทรคติ หรือการนับเดือนแบบไทย เช่น เดือนอ้าย, เดือนยี่, เดือน 4, เดือน 5, เดือน 9 หรือเดือน 12

โดยทั่วไปแล้วฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2565 จะยึดจากวันเดือนปีเกิดของเจ้าของบ้าน ในการกำหนดวัน เวลา และตำแหน่งของเสาเอกที่เหมาะสมของบ้าน ซึ่งหากใครไม่มีความรู้ในด้านนี้ ก็สามารถสอบถามโหรฯ หรือพระอาจารย์ ที่มีความรู้ในด้านนี้ก็ได้

2. ฤกษ์ที่เหมาะสมของพิธีลงเสาเอกบ้าน

สำหรับฤกษ์งามเวลาที่เหมาะสม ฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2565 จะเชื่อตามเลขมงคล ซึ่งส่วนใหญ่มักจะยึดเลข 9 ซึ่งมีความหมายตามความเชื่อว่า ‘ความก้าวหน้า’ ฤกษ์เวลาที่นิยมในการทำพิธีลงเสาเอกจึงมักจะเป็นเวลา 9.00 น. นั่นเอง

เนื่องจากในปัจจุบัน พิธีลงเสาเอกบ้านได้มีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย โดยเริ่มเปลี่ยนจากการใช้เสาไม้เป็นการใช้เสาเอกเป็นเสาคอนกรีต ดังนั้นฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2565 ที่เหมาะสม จึงแล้วแต่ความเชื่อของคน ว่าจะเริ่มนับการเริ่มต้นของพิธีลงเสาเอกบ้านจากเวลาที่ตอกเสาเข็มต้นแรก หรือจะยึดตามเวลาที่เทคอนกรีตลงบนฐานรากก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อและวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่

3. ของมงคลสำหรับพิธีลงเสาเอกบ้าน

โดยทั่วไปแล้ว ของมงคลสำหรับใช้ในพิธีลงเสาเอกจะประกอบด้วย โต๊ะหมู่บูชาที่จัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย เครื่องสักการะ ชุดจตุปัจจัยไทยสำหรับถวายพระ สายสิญจน์ ผ้าสามสี ผ้าหัวเสา ผ้าห่มเสา

ผ้าแพรสีเหลืองหรือผ้าขาวม้า เครื่องสำหรับบูชาฤกษ์หรือเครื่องสังเวยเทวดา แผ่นนาก แผ่นเงิน แผ่นทอง ทองคำเปลว ข้าวตอกดอกไม้ เหรียญเงินและทองอย่างละ 9 เหรียญ น้ำมนต์ 1 ขันและหญ้าคา 1 กำ หน่ออ้อยและกล้วย ทรายเสก แป้งตอกตามเหมาะสม ไม้มงคล 9 อย่าง และใบไม้มงคล ซึ่งของมงคลทั้งหมดนี้ สามารถสอบถามจากโหรฯ หรือพระอาจารย์ ที่นิมนต์เชิญเพื่อมาทำพิธีลงเสาเอก ตามฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2565 ได้

ของมงคล 9 อย่าง แต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ยหน้าบ้านและในบ้าน

4. ไม้มงคล 9 อย่างสำหรับพิธีลงเสาเอกบ้านมีอะไรบ้าง

ไม้มงคล 9 อย่างสำหรับพิธีลงเสาเอก เป็นอีกความเชื่อว่า ต้นไม้ความหมายดี ๆ จะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลของการอยู่อาศัยและการเริ่มต้นใหม่ ได้แก่

ไม้มงคล ความหมาย
ราชพฤกษ์ อำนาจบารมี ความก้าวหน้า และวาสนาดี
ขนุน ความเกื้อหนุน ทำสิ่งใดก็สำเร็จสมปรารถนา
ชัยพฤกษ์ ชัยชนะและความสำเร็จ
ทองหลาง เงินทอง
ไผ่สีสุก ความร่มเย็น
ทรงบาดาล ความแข็งแรงมั่นคง ไม่ล้มลงเมื่อเจออุปสรรค
ไม้สัก ศักดิ์ศรีและความมีเกียรติ
ไม้พะยูง การพยุงค้ำจุน
ไม้กันเกรา การขจัดอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ ของครอบครัว

โดยการนำไม้มงคล 9 อย่างมาประกอบในพิธีลงเสาเอก ตามฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2565 จะเสริมความเป็นสิริมงคลของบ้านใหม่ครบทุกด้าน ซึ่งมีความเชื่อว่าห้ามขาดไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเด็ดขาด

5. ใบไม้มงคลสำหรับพิธีลงเสาเอก

ใบไม้มงคลที่มักจะนำมาใช้ประกอบพิธีลงเสาเอก ก็จะใช้ใบไม้ที่มีความหมายดี ๆ เช่นเดียวกับไม้มงคล 9 อย่างเช่นเดียวกัน โดยใบไม้ที่นิยมมาใช้ ได้แก่

- ใบทอง ใบเงิน ใบนาก ช่วยเสริมทรัพย์สินเงินทอง

- ใบทับทิม ช่วยขจัดความทุกข์ต่าง ๆ

- ใบพลู ช่วยเสริมยศถาบรรดาศักดิ์

- ใบมะรุม ช่วยเสริมเสน่ห์และความนิยม

- ใบมะขาม ช่วยเสริมความน่าเกรงขาม

- ใบยอ ช่วยให้มีคนสรรเสริญ

- ใบมะยม ช่วยเสริมความนิยมรักใคร่

- ใบโกศล ช่วยเสริมบุญกุศลและบารมี

- ใบวาสนา ช่วยเสริมวาสนา

- ใบโมก ช่วยให้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

- ใบชวนชม ช่วยเสริมคสามมั่งคั่ง ร่ำรวย

 

พิธีลงเสาเอกบ้านมีขั้นตอนหลายอย่างที่ต้องทำ

5 ต้นไม้มงคลปลูกในบ้าน เสริมดวงรับทรัพย์

 

พิธีลงเสาเอกบ้านมีขั้นตอนอย่างไร

1. นำหน่อกล้วย หน่ออ้อย และผ้าสามสี ผูกติดกับเสาเหล็กที่จะใช้ในการเป็นเสาเอกบ้าน โดยควรจัดเตรียมให้เรียบร้อยก่อนถึงวันพิธี

2. หากไม่ได้เชิญพราหมณ์หรือพระอาจารย์มาช่วยทำพิธี สามารถเชิญผู้หลักผู้ใหญ่หรือเจ้าของบ้านเป็นผู้ทำพิธีได้ โดยเริ่มวางสายสิญจน์ตั้งแต่บริเวณโต๊ะหมู่บูชา ยาวไปจนถึงบริเวณเสาเอก

3. เจ้าภาพของพิธีลงเสาเอกจุดธูปเทียนที่โต๊ะหมู่บูชา อธิษฐานถึงความเป็นสิริมงคล และกราบพระที่โต๊ะหมู่บูชาและโต๊ะเครื่องสังเวยเทวดา ให้ช่วยคุ้มครอง

4. ตอกไม้มงคล 9 ชนิดไปในหลุมเสาเอก

5. วางแผ่นนาก แผ่นเงิน แผ่นทอง และเหรียญเงินลงไปในหลุม

6. นิมนต์พระสงฆ์มาพรมน้ำมนต์ และโปรยทรายเสกลงที่หลุมเสาเอก เจิมและปิดแผ่นทองที่เสาเอก

7. เจ้าภาพและผู้ร่วมพิธี ร่วมกันถือสายสิญจน์และยกเสาเอกให้เรียบร้อย

8. เจ้าภาพโปรยข้าวตอกดอกไม้ และแป้งหอม ลงที่หลุมเสาเอก เป็นอันจบพิธี

 

อย่างไรก็ตาม พิธีลงเสาเอกบ้านนั้นเป็นพิธีที่ทำขึ้นตามความเชื่อและความสบายใจของผู้อยู่อาศัยเท่านั้น โดยถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เสริมความเป็นสิริมงคล ให้การอยู่อาศัยนั้นร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งหากรู้ฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน 2565 และทำพิธีลงเสาเอกด้วยเจตนาที่ดี ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องดี ๆ ด้วยกันทั้งสิ้น

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
ตกแต่งคอนโด 30 ตร.ม. ให้ดูกว้าง อยู่สบาย ปล่อยเช่าง่าย https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ไอเดียแต่งคอนโด-30-ตรม-ให้น่าอยู่-ปล่อยเช่าง่าย-30638?locale=th www.ddproperty.com:resources:30638 Tue, 30 Nov 2021 19:19:55 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/07/Decorate-room-condo-30-sq.m.-150x150.jpg"/></p> ตกแต่งคอนโด 30 ตร.ม. ให้ดูกว้าง อยู่สบาย ปล่อยเช่าง่าย คอนโดขนาด 30 ตร.ม. คอนโดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ เหมาะแก่การอยู่อาศัยคนเดียว หรือ 2 คนได้แบบสบาย ๆ หากตกแต่งดี ๆ รับรองว่าปล่อยเช่าคอนโดได้ง่าย แต่จะตกแต่งคอนโด 30 ตร.ม. อย่างไรให้น่าอยู่ ลองมาดูวิธีการตกแต่งคอนโด 30 ตร.ม. ให้ดูกว้าง แถมยังให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้าน ช่วยดึงดูดใจผู้เช่าได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ที่เรานำมาเสนอนี้

 

ไอเดียตกแต่งคอนโด 30 ตร.ม. ให้กว้างขึ้น

แม้ว่าคอนโด 30 ตร.ม. จะมีขนาดปานกลาง ยิ่งถ้าแบ่งเป็นห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องน้ำ ก็อาจทำให้พื้นที่เล็กลงไป แต่ด้วยเทคนิคการตกแต่งต่าง ๆ ก็ทำให้คอนโด 30 ตร.ม.ให้ดูกว้างขึ้นได้ ดังนี้

1. เลือกสีโทนอ่อน

วิธีง่าย ๆ ในการตกแต่งคอนโด 30 ตร.ม. ให้ดูกว้างขึ้น คือ การทาสีผนังด้วยโทนสีขาว พาสเทล จะช่วยทำให้ห้องดูกว้างขึ้นกว่าการเลือกใช้สีโทนเข้ม ซึ่งบางสียังส่งผลให้ห้องรู้สึกร้อนขึ้นอีกด้วย และอีกหนึ่งเคล็ดลับ คือใช้สีที่มีโทนอ่อนกว่า ทาผนังด้านใดด้านหนึ่ง จะทำให้ห้องนั้นมีมิติที่กว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้นการเลือกสีห้องอาจจะอ้างอิงตามหลักฮวงจุ้ยก็สามารถทำได้

เลือกสีบ้านตามหลักฮวงจุ้ย VS อารมณ์

 

2. การใช้ลายเส้น

เป็นอีกเทคนิคที่ทำให้ห้องดูมีมิติ และดูกว้างขึ้น ยิ่งถ้าเลือกใช้พรมหรือภาพวาดมาตกแต่งให้เข้ากัน ยิ่งส่งผลดีให้ห้องขนาด 30 ตร.ม. กว้างขึ้นไปอีก

 

3. ใช้ความสว่างของห้อง

การใส่โคมไฟในมุมที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ เป็นอีกหนึ่งส่วนเติมเต็มในการตกแต่งคอนโด 30 ตร.ม. ให้ห้องดูกว้างขึ้น เพราะความมืดเป็นข้อหนึ่งที่ทำให้ห้องดูอับ และคับแคบ

 

4. การวางเฟอร์นิเจอร์ให้ลงตัว

การจัดวางเตียงนอน โต๊ะ โซฟา หรือเก้าอี้ ให้เข้าที่เข้าทาง ด้วยการเข้ามุม ชิดผนัง หรือเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานได้หลากหลาย ไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังเพิ่มพื้นที่ใช้สอย และทำให้ภายในห้องห้องดูกว้างขึ้น

 

5. ใช้กระจกช่วยตกแต่ง

เป็นเทคนิคที่มักจะเห็นในการตกแต่งห้องตัวอย่างคอนโดอยู่เสมอ เพราะเทคนิคนี้ช่วยให้ห้องดูกว้างขึ้น และเป็นการเพิ่มแสงโดยอัตโนมัติให้กับห้อง

 

แต่งห้องให้โดนใจคนเช่า ช่วยเพิ่มมูลค่าได้

 

วิธีการเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับการแต่งคอนโด 30 ตร.ม.

อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์มีส่วนช่วยอย่างยิ่งในการทำให้ห้องดูกว้าง และยังช่วยเพิ่มความสวยงาม น่าอยู่ สำหรับการตกแต่งคอนโด 30 ตร.ม. การเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ดีจะต้องมีประโยชน์ ฟังก์ชันครบ และขนาดกะทัดรัด

การเลือกใช้งานเฟอร์นิเจอร์นั้นจะต้องคำนึงถึงพื้นที่ในการวางเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงการจัดเก็บเมื่อไม่ได้ใช้ซึ่งในการตกแต่งคอนโด 30 ตร.ม. ให้มีพื้นที่ใช้สอยให้มากขึ้น อาจจะต้องลองมองเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย มากกว่าซื้อมาเพื่อใช้งานได้เพียงอย่างเดียว

เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย ได้แก่ โต๊ะกลางที่มีพื้นที่เก็บของด้านล่าง โซฟาที่สามารถปรับเป็นเตียงนอนได้ หรือเตียงที่มีลิ้นชักเก็บของด้านล่าง ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ในด้านการใช้งาน สามารถปรับเปลี่ยนได้ และมีดีไซน์ที่สวยงามอีกด้วย

 

วิธีการเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับการแต่งคอนโด 30 ตร.ม.

 

ตกแต่งคอนโด 30 ตร.ม. ให้พร้อมอยู่
1. ตกแต่งห้องนอน

ห้องนอนเป็นห้องสำคัญที่ใช้ดึงดูดใจผู้เช่า เนื่องจากเป็นห้องที่ผู้เช่าใช้เวลามากที่สุดห้องหนึ่ง วิธีการตกแต่งคอนโด 30 ตร.ม. ให้มีห้องนอนน่าอยู่นั้นทำได้ง่าย ๆ เพียงเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้ครบพร้อมใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน ควรเลือกเตียงไม้ เตียงไม้บุหนัง หรือเตียงที่มีลิ้นชักเก็บของด้านล่าง และควรเป็นเตียงทึบเพื่อลดปัญหาฝุ่นสะสมใต้เตียง หากมีตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง ให้ใช้ด้วยก็จะยิ่งตอบโจทย์ผู้เช่าได้มากขึ้น

2. ตกแต่งห้องทำงาน ถือเป็นห้องที่สำคัญมากโดยเฉพาะในปัจจุบันที่หลายคนหันมาทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home กันมากขึ้น ห้องทำงานนี้อาจจะเป็นเพียงแค่มุมทำงานในห้องนั่งเล่น หาโต๊ะดี ๆ สักตัว พร้อมเก้าอี้ปรับระดับได้ หรือโต๊ะริมระเบียงไว้ดึงดูดใจผู้เช่าทำงานไปมองวิวไป ไอเดียบรรเจิด หรือจะเป็นโต๊ะทำงานในห้องนอนก็ได้ เพียงหาโต๊ะเอนกประสงค์ดี ๆ สักตัวที่ปรับเปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานและโต๊ะเครื่องแป้งได้ แค่นี้ก็ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอย พร้อมมุมทำงานให้กับห้องได้แล้ว
3. ตกแต่งห้องนั่งเล่น อีกหนึ่งห้องหลักที่ผู้เช่าใช้เวลาอยู่มากที่สุด หาโซฟาดี ๆ สักตัว วางเข้าชุดกับโต๊ะกลาง ก็กลายเป็นมุมดูโทรทัศน์ และมุมพักผ่อนที่ดีได้แล้ว
4. ตกแต่งระเบียง อีกหนึ่งส่วนของห้องที่ใช้งานได้หลากหลาย จะตกแต่งเป็นมุมพักผ่อน ด้วยการหาโต๊ะ เก้าอี้ เล็ก ๆ มาวางก็ได้ หรือจะหาราวแขวนผ้าเอนกประสงค์ที่พับเก็บได้มาติดตั้งกับผนัง ก็ช่วยอำนวยความสะดวกในการตากผ้าและประหยัดพื้นที่ได้มาก แต่ไม่แนะนำให้ทำเป็นสวนหรือปลูกต้นไม้จำนวนมาก เพราะผู้เช่าบางคนอาจไม่มีเวลาดูแล หรือกลายเป็นภาระของผู้เช่าได้

7 เทคนิค ช่วยปล่อยเช่าบ้าน-คอนโดได้ในช่วงนี้

จะเห็นได้ว่าการตกแต่งคอนโด 30 ตร.ม. หากวางแผนการใช้พื้นที่ให้ดีย่อมทำให้คอนโดของคุณใช้งานได้อย่างลงตัวทุกตารางนิ้ว จะอยู่เองก็มีความสุข และยังดึงดูดใจผู้เช่าอีกด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
บ้านน็อคดาวน์ สรุป 10 เรื่องน่ารู้ของแบบบ้านสำเร็จรูป https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/10-เรื่องควรรู้-ก่อนซื้อบ้านน็อคดาวน์-22943?locale=th www.ddproperty.com:resources:22943 Sat, 11 Dec 2021 13:04:44 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/05/Knockdown-house-thai-150x150.jpg"/></p> บ้านน็อคดาวน์ สรุป 10 เรื่องน่ารู้ของแบบบ้านสำเร็จรูป “บ้านน็อคดาวน์” หรือ บ้านสำเร็จรูป สวยงาม ตั้งเรียงราย ในสไตล์ต่าง ๆ มีทั้งแบบโมเดิร์น เรือนไทย หรือแนวรีสอร์ท ให้สามารถเลือกซื้อในราคาย่อมเยา แล้วนำไปตั้งบนแปลงที่ดินของตนเองได้

โดยกระบวนการสร้างบ้านลักษณะนี้ จะไม่มีเสาหรือคานในการรับน้ำหนัก แต่เลือกใช้ผนังเป็นตัวยึดโครงสร้างแทน ทำให้สามารถถอดชิ้นส่วนต่าง ๆ ออกได้ เมื่อต้องถูกเคลื่อนย้าย ซึ่งรูปแบบบ้านลักษณะนี้กำลังเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น และทางฝั่งยุโรปอย่างมาก

ส่วนใหญ่แล้ว "บ้านน็อคดาวน์" จะเป็นประเทศที่อยู่ในจุดเสี่ยงของการเกิดแผ่นดินไหวบ่อย ๆ อาจเป็นเพราะใช้เวลาก่อสร้างเร็ว ราคาถูก ความแข็งแรงทัดเทียมกับบ้านอันถูกสร้างขึ้นด้วยก่ออิฐ ฉาบปูน และด้วยข้อดีเหล่านี้เอง จึงทำให้เมืองไทยบ้านเรา เริ่มได้รับกระแสความนิยมบ้านน็อคดาวน์เช่นกัน

แนะนำว่าก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ มาปักหลักบนแปลงที่ดินตนเองนั้น ควรศึกษา 10 เรื่องน่ารู้ของบ้านรูปแบบนี้เสียก่อน จะได้เข้าใจถึงการเตรียมพร้อม และดูแลรักษาบ้านน้อยหลังงามนี้ให้แข็งแรงทนทานไปอีกนาน

รวมแบบบ้านสวย แบบบ้านสไตล์ไหนใช่สำหรับคุณ

 

1. ใช้ระยะเวลาสร้างเพียงน้อยนิด

สืบเนื่องจากรูปแบบการสร้างบ้านน็อคดาวน์ หรือบ้านสำเร็จรูปที่หลายคนรู้จักนั้น จะไม่มีการลงเสาหรือคานแต่อย่างใด เป็นเพียงนำผนังเป็นตัวยึดโครงการ พร้อมประกอบให้เป็นบ้านในแบบที่ต้องการ ดังนั้นจึงทำให้ช่วยประหยัดเวลาก่อสร้าง ส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วเสร็จสามารถเข้าไปอยู่ได้เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบของบ้านด้วย

 

2. งบประมาณค่าใช้จ่าย

สำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัดในการสร้างบ้าน หากมีที่ดินเป็นของตนเองอยู่แล้ว บ้านน็อคดาวน์จึงกลายเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยประหยัดค่าใช้ง่ายได้ดี ปกติราคาของบ้านสำเร็จรูปทั่วไปจะมีราคาตั้งแต่ 100,000-500,0000 บาทขึ้นไป แต่จะว่าไป บ้านน็อคดาวน์ งบ 50,000 จนถึงหลักหมื่นปลาย ๆ ก็มี ทั้งนี้ขึ้นอยู่ขนาดและรูปแบบของบ้านเป็นหลัก

 

3. รูปแบบบ้านหลากหลาย

ปัจจุบันด้วยระดับความนิยมบ้านน็อคดาวน์หรือบ้านสำเร็จรูป ที่หลายคนคุ้นเคยนั้นมีมากขึ้น จึงทำให้มีหลายบริษัท ทั้งระดับเล็กไปจนถึงใหญ่ ต่างแข่งขันออกรูปแบบบ้านใหม่ เพื่อสร้างความน่าสนใจ และเป็นทางเลือกสุดวิเศษให้กับผู้ที่อยากมีบ้านน้อยหลังงามเป็นของตนเอง แต่มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณการก่อสร้าง ทุกวันนี้รูปแบบบ้านดังกล่าว เรียกว่ามีหลากหลายมาก ทั้งสไตล์โมเดิร์น Loft เรือนไทย หรือสไตล์บ้านพักตากอากาศรีสอร์ท มีทั้งแบบบ้านชั้นเดียวและ 2 ชั้น

5 แบบบ้าน ถูกหลักฮวงจุ้ย อยู่แล้วรวยทั้งครอบครัว

 

4. วัสดุส่วนใหญ่ของบ้านน็อคดาวน์

โดยปกติแล้ววัสดุที่ใช้ในการสร้างบ้านน็อคดาวน์ จะใช้เหล็กเป็นโครงสร้างหลัก ส่วนผนังสำเร็จรูปจะเลือกใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา ทนความร้อน และแข็งแรง อย่างที่หลายคนคุ้นเคยกับ Sandwich Panel หรือการนำแผ่นเหล็กเคลือบผิวอย่างดี พร้อมกรุด้วยโฟมที่มีคุณสมบัติไม่ติดไฟง่าย มาทำผนัง จึงทำให้มีน้ำหนักเบา สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย ซึ่งทั่วไปแล้ว ผู้ซื้อบ้านน็อคดาวน์ จะไม่สามารถขอเปลี่ยนวัสดุก่อสร้างได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทางบริษัทผู้สร้างเป็นคนกำหนด

 

บ้านน็อคดาวน์มีทั้งแบบชั้นเดียว และ 2 ชั้น

บ้านน็อคดาวน์มีทั้งแบบชั้นเดียว และ 2 ชั้น

 

5. ระบบสาธารณูปโภคควรรู้

กระบวนการก่อสร้างบ้านน็อคดาวน์ตามปกติแล้ว จะเริ่มต้นจากกำหนดตำแหน่งที่จะยกบ้านน็อคดาวน์มาวาง แล้วทำการเทปูนทำฐานราก หลังจากนั้นช่างจะประกอบผนังให้เป็นรูปร่างที่ดีไซน์ไว้ แล้วทำการวางระบบ ติดตั้งสาธารณูปโภคต่าง ๆ อาทิ น้ำ ไฟ ที่จำเป็นต้องใช้ในบ้าน รวมถึงสุขภัณฑ์ที่ใช้ในห้องน้ำ เรียกว่าสร้างเสร็จ พร้อมอยู่ได้เลย

 

6. หากคิดอยากจะต่อเติม

บ้านน็อคดาวน์ หากใครอยากคิดต่อเติมบ้านน็อคดาวน์เพิ่มเติม อาจจะต้องล้มเลิกความคิดไปเลย เนื่องจากโครงสร้างทั้งหมดของบ้านถูกจัดสรรขึ้น เพื่อรองรับความสำเร็จรูปทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่สามารถต่อเติมเพิ่มเติมใด ๆ ได้อีก หากดื้อดึงทำไป อาจจะส่งผลให้ตัวบ้านพัง ได้รับอันตรายได้

 

7. ขนย้าย สะดวก ง่าย เร็ว

ด้วยวัสดุการก่อสร้างที่มีคุณสมบัติเบา กะทัดรัด จึงทำให้สามารถเคลื่อนย้าย ยกตัวบ้าน ได้สะดวก แต่สำหรับบ้านน็อคดาวน์ 2 ชั้น อาจจะต้องใช้เทคนิคในการเคลื่อนย้ายเล็กน้อย

ย้ายบ้านอย่างไรให้ง่ายและประหยัด

 

8. ความแข็งแรง ทนทาน

แม้การสร้างบ้านน็อคดาวน์ ไม่ได้ตอกเสาปูน หรือฝังเข็มเหมือนอย่างบ้านทั่วไป แต่โครงสร้างเหล็กนั้นถือว่าสร้างความแข็งแรง ทนทานได้ในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวที่ดินที่จะนำบ้านน็อคดาวน์ไปวางด้วย โดยจำเป็นต้องถมที่ให้แน่นระดับหนึ่ง เพื่อป้องกันตัวบ้านร้าว

 

9. การดูแลรักษา

บ้านน็อคดาวน์ เป็นรูปแบบบ้านสำเร็จรูป ที่ไม่เหมาะจะเป็นที่อยู่อาศัยระยะยาว เนื่องจากวัสดุที่ใช้มีอายุการใช้งาน ดังนั้นการดูแลรักษาอาจจะมากเป็นพิเศษกว่าบ้านปกติ โดยควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีน้ำหนักไม่มาก และหมั่นทำความสะอาด เพื่อไม่ให้สัตว์ไม่พึงประสงค์ อย่าง งู หรือ หนู เข้ามาอยู่อาศัย

รวมวิธีป้องกัน สัตว์-แมลง ปลวก มด ภายในบ้าน

 

10. วันหมดอายุบ้านน็อคดาวน์

ด้วยปัจจัยหลายประการทั้งวัสดุ ขนาดของบ้าน และอื่น ๆ จึงทำให้ส่วนใหญ่นิยมนำบ้านน็อคดาวน์ หรือบ้านสำเร็จรูปมาสร้างเป็นห้องแถวหรือรีสอร์ท แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ผนวกกับเกิดนวัตกรรมการสร้างบ้านแบบใหม่ จึงทำให้ช่วยต่ออายุของบ้านน็อคดาวน์ออกไปได้อีก 50 ปี เลยทีเดียว

 

สรุปข้อดี-ข้อด้อยของบ้านน็อคดาวน์

ข้อดี

ข้อด้อย

ใช้เวลาสร้างน้อย

ต่อเติมไม่ได้

ประหยัดค่าก่อสร้าง

ความทนทานน้อยกว่า เนื่องจากไม่ได้ตอกเสาเข็ม

ขนย้ายสะดวก

ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยระยะยาว

 

บ้านน็อคดาวน์หรือบ้านสำเร็จรูป ดูเหมือนจะเป็นทางใหม่สำหรับผู้มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ หรือมีที่ดินเป็นของตนเองอยู่แล้วแต่อยากได้บ้านหลังที่สองเพิ่มเติม แต่ดูเหมือนว่าอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับผู้ที่จะนำรูปแบบบ้านดังกล่าวมาเป็นบ้านหลังแรก เนื่องจากค่อนข้างมีข้อจำกัดหลายประการ ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านใหม่ ที่ยึดความสะดวกของผู้อยู่อาศัย น่าจะเหมาะสมมากกว่า

ทำความรู้จักบ้านน็อคดาวน์ เพิ่มเติม

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ไล่นกพิราบคอนโด 8 วิธีแสนง่าย ให้ห่างไกลระเบียงคอนโดและหลังคาบ้าน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/วิธีไล่นกพิราบแบบไม่ต้องทำบาป-16466?locale=th www.ddproperty.com:resources:16466 Tue, 30 Nov 2021 21:48:36 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/07/How-to-Get-Rid-of-Pigeons-from-your-house-150x150.jpg"/></p> ไล่นกพิราบคอนโด 8 วิธีแสนง่าย ให้ห่างไกลระเบียงคอนโดและหลังคาบ้าน เชื่อว่าหลายคนกำลังประสบปัญหานกพิราบที่มักมาก่อปัญหา ไม่ว่าจะส่งเสียงดัง หรือถ่ายมูลบริเวณระเบียงคอนโดและหลังคาบ้านซึ่งนอกจากจะสร้างความสกปรก ส่งกลิ่นเหม็น และความรำคาญใจแก่เจ้าของบ้านแล้ว ยังนำพาเชื้อโรคต่าง ๆ มาด้วย ลองมาดู 8 วิธีไล่นกพิราบคอนโด เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจตามมา ในแบบที่ไม่บาปได้ที่นี่

Subscription Banner for Article

 

โรคอันตรายจากนกพิราบ

โรคที่มากับนกพิราบนั้นมาจากเชื้อราที่อยู่ในมูลของนกพิราบ คือ คริปโตคอคคัส ส่วนใหญ่ติดเชื้อชนิดนี้จากการสูดเอาสปอร์ของเชื้อราที่ลอยปะปนอยู่ในอากาศและมูลนกพิราบ จึงทำให้เป็นที่มาของโรคต่าง ๆ ดังนี้

โรค ลักษณะของโรค
โรคปอดบวมและปอดอักเสบ อวัยวะภายในต่าง ๆ จะอักเสบ โดยเฉพาะปอด ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลามัยเดีย ที่เจริญเติบโตและอาศัยอยู่ในมูลนกพิราบ
โรคไข้หวัดนก โรคที่ติดต่อระหว่างนกด้วยกัน ยิ่งถ้าอยู่รวมกันเป็นฝูง ยิ่งทำให้นกมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อร่วมกันมากขึ้น ส่งผลให้นกพิราบเป็นพาหะนำโรค เพียงแค่กระพือปีก ก็มีโอกาสแพร่เชื้อโรคมาสู่คนได้
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เกิดจากการสูดดมหรือสัมผัสเชื้อโรคที่มีชื่อว่า คริปโตคอคคัส นีโอฟอร์มาน เป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตได้ง่ายและพบในมูลนกพิราบ ทำให้เยื้อหุ้มสมองอักเสบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยพบสูงถึงร้อยละ 9.09

 

ไล่ยุง และกำจัดยุง 13 วิธี ทั้งวิธีธรรมชาติและสมัยใหม่ ที่ใช้แล้วได้ผล

 

วิธีไล่นกพิราบคอนโดอย่างไรโดยไม่ต้องทำบาป

วิธีไล่นกพิราบคอนโด โดยไม่ต้องวางยาเบื่อหรือยิงนก มีหลายวิธีดังนี้

1. แขวนกระดิ่งหรือโมบาย

เมื่อเกิดลมพัด เสียงของกระดิ่งจะดังขึ้นและโมบายจะเคลื่อนไหว จึงทำให้นกพิราบตกใจ และไม่กล้าบินเข้ามาเกาะบริเวณนี้อีก เป็นวิธีไล่นกพิราบคอนโดที่ง่ายและได้ผล

 

วิธีไล่นกพิราบแบบไม่รุนแรง

 

2. ขึงลวดบนคานเหล็ก

ไล่นกพิราบคอนโด ด้วยการนำลวดเส้นเล็ก ๆ มาขึงเอาไว้เหนือคานเหล็กประมาณ 3 นิ้ว เส้นลวดนั้นจะกั้นไม่ให้นกพิราบบินลงมาเกาะได้ สุดท้ายนกพิราบก็จะบินหนีไป

 

3. แขวนแผ่นซีดี

นำแผ่นซีดีที่ไม่ใช้แล้วมาร้อยเข้าด้วยกัน จากนั้นนำไปแขวนที่ระเบียงคอนโดหรือหลังคาบ้าน เมื่อแผ่นซีดีกระทบกับแสงแดด จะทำให้แผ่นซีดีเกิดแสงสะท้อนวิบวับขึ้น ซึ่งสามารถไล่นกพิราบคอนโดและบ้านไม่ให้มาบริเวณนี้ได้

 

4. ติดตาข่ายพีวีซี

วิธีนี้เป็นวิธีไล่นกพิราบคอนโดที่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดฯ นิยมใช้กัน คือ นำตาข่ายพีวีซีขึงปิดช่องว่างระหว่างเพดานกับพื้นระเบียงให้มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้นกพิราบบินเข้ามาเกาะหรือทำรังบริเวณระเบียง อีกทั้งยังไม่บดบังทัศนียภาพนอกระเบียงอีกด้วย

 

5. กำจัดแหล่งอาหาร

วิธีไล่นกพิราบคอนโด โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ในการไล่นก คือ หมั่นทำความสะอาดบริเวณบ้าน อย่าให้มีเศษอาหารล่อนกพิราบให้มาหา เพราะเมื่อบริเวณบ้านไม่มีเศษอาหารหรือซากขนมปังแล้ว นกพิราบก็จะเปลี่ยนไปหาแหล่งอาหารที่อื่นแทน

9 จุดในบ้านที่มักเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค

Guide

9 จุดในบ้านที่มักเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค

6. ปูกระดาษหนังสือพิมพ์

วิธีนี้เป็นวิธีไล่นกพิราบคอนโดที่สามารถทำเองได้ง่าย ๆ เพียงนำกระดาษหนังสือพิมพ์มาปูบริเวณที่นกพิราบชอบมาเกาะหรือมาถ่ายมูล เมื่อนกพิราบบินมาเหยียบกระดาษหนังสือพิมพ์แล้ว ก็จะเกิดเสียงที่เนื้อกระดาษ ทำให้นกพิราบตกใจ บินจากไป และไม่กล้ากลับมาอีก

 

7. เข็มขัดรัดสายไฟพลาสติก

วิธีไล่นกพิราบคอนโดนี้เหมาะสำหรับบ้านที่นกพิราบชอบมาเกาะที่ระเบียง โดยเข็มขัดรัดสายไฟจะมีลักษณะเป็นพลาสติกเส้นเล็ก ๆ ซึ่งสามารถไล่นกพิราบได้ด้วยการนำไปรัดกับราวระเบียงให้ปลายชี้ติดกัน แต่ไม่ต้องตัดส่วนปลายที่เหลือออก เพราะส่วนที่ชี้ออกมานั้น จะทำหน้าที่กันไม่ให้นกพิราบมาเกาะ ทั้งนี้ควรรัดถี่ ๆ เพื่อไม่ให้มีช่องว่างจนนกสามารถบินลงมาเกาะได้

 

8. ฉีดน้ำไล่

ฉีดน้ำไล่ทุกครั้งที่นกพิราบบินลงมาเกาะ ถึงแม้ว่าวิธีไล่นกพิราบคอนโดนี้อาจไม่ได้ผลตั้งแต่ครั้งแรก เพราะช่วงแรก ๆ นกพิราบอาจจะยังไม่กลัว แต่เชื่อว่าหากหมั่นทำบ่อย ๆ เป็นประจำ นกพิราบอาจจะเกิดความกลัว และไม่อยากบินมาอีก

รวมวิธีป้องกัน สัตว์-แมลง ปลวก มด ภายในบ้าน

Guide

รวมวิธีป้องกัน สัตว์-แมลง ปลวก มด ภายในบ้าน

จากสถิติการติดโรคจากนกพิราบ ทำให้รู้ว่านกพิราบอันตรายกว่าที่คิด เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้นกมาสร้างความสกปรกและนำโรคมาให้ โดยเฉพาะโรคอันตรายจากมูลของนกพิราบ ซึ่งเต็มไปด้วยเชื้อโรค

โดยส่วนมากเชื้อชนิดนี้จะติดต่อในคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น คนที่ได้รับยากดภูมิ หรือในคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด ขณะเดียวกันในคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน

ดังนั้น จึงมีข้อควรระวังการติดเชื้อในนกพิราบ ที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น คนที่ได้รับยากดภูมิ หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาแต่กำเนิด ไม่ควรเข้าไปใกล้นกพิราบ เพราะอาจได้รับเชื้อในมูลเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจ สำหรับคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติ การเข้าใกล้นกพิราบควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโรค

ทั้งนี้ สามารถเลือกใช้วิธีไล่นกพิราบคอนโดและบ้านที่ไม่รุนแรงในข้างต้นได้ตามความเหมาะสม ซึ่งดีกว่าการกำจัดนกพิราบด้วยวิธีที่รุนแรงจนทำให้นกพิราบตาย เพราะนอกจากจะไม่เป็นการทำร้ายสัตว์แล้ว ซากนกพิราบยังเพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากนกพิราบอีกด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
แบบบ้าน งบ 1 แสน แบบบ้านชั้นเดียว แจกฟรี จากกรมโยธาธิการและผังเมือง https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แบบบ้านชั้นเดียว-งบ-1-แสน-53315?locale=th www.ddproperty.com:resources:53315 Tue, 30 Nov 2021 19:26:53 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/08/House-with-low-budjet-150x150.jpg"/></p> แบบบ้าน งบ 1 แสน แบบบ้านชั้นเดียว แจกฟรี จากกรมโยธาธิการและผังเมือง แบบบ้าน งบ 1 แสน แบบบ้านชั้นเดียว สำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัด จะสามารถเป็นได้ไหม ตอบเลยว่าเป็นไปได้ อยู่ที่การเลือกรูปแบบบ้าน และการเลือกใช้วัสดุเป็นหลัก ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเลือกใช้เป็นบ้านสำเร็จรูป หรือบ้านกึ่งสำเร็จรูปมากกว่าบ้านที่ต้องก่อสร้างเอง

ลองดู 3 แบบบ้าน งบ 1 แสน แบบบ้านชั้นเดียว ที่ได้รับความนิยมที่นำมาฝากกันเป็นไอเดีย แต่ละแบบนอกจากจะตอบโจทย์เรื่องราคา ช่วยคุมงบประมาณไม่ให้บานปลายแล้ว ยังสวยงามและมีสไตล์ และจุดเด่นอื่น ๆ อีกมากมาย ที่สำคัญคือเหมาะแก่การอยู่อาศัยได้จริง    

Subscription Banner for Article

 

1. บ้านน็อคดาวน์

แบบบ้าน งบ 1 แสน  เหมาะกับบ้านน็อคดาวน์ หรือบ้านสำเร็จรูป มีให้เลือกหลายสไตล์ ทั้งแบบโมเดิร์น เรือนไทย หรือรีสอร์ท ซึ่งมีความสวยงาม ราคาไม่แพง เริ่มต้นหลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน ใช้เวลาในการก่อสร้างไม่นาน เพราะไม่ต้องลงเสาหรือคานแต่อย่างใด แต่จะใช้ผนังมาเป็นตัวยึดโครง ในการประกอบออกมาเป็นบ้านสำเร็จรูป จึงใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น (ขึ้นอยู่กับรูปแบบบ้าน) 

แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 แสน เหมาะกับบ้านน็อคดาวน์ หรือบ้านสำเร็จรูป

หลังจากประกอบเสร็จก็ขนย้ายนำไปตั้งยังแปลงที่ดินของตนเอง ตกแต่งภายในบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์ ก็สามารถเข้าอยู่ได้เลย มีความแข็งแรง ทนทาน เพราะใช้โครงสร้างเหล็ก วัสดุผนังสำเร็จรูปที่ทนแดด ทนฝน และทนความร้อน ซึ่งด้วยนวัตกรรมการก่อสร้างที่พัฒนาขึ้น ก็ทำให้บ้านน็อคดาวน์ มีอายุอยู่ได้นานถึง 50 ปี สำหรับใครที่มีงบไม่เยอะ บ้านน็อคดาวน์ แบบบ้าน งบ 1 แสน แบบบ้านชั้นเดียว เป็นตัวเลือกแรกที่น่าสนใจ

จุดเด่นบ้านน็อคดาวน์ หรือบ้านสำเร็จรูป 

  • ใช้เวลาก่อสร้างไม่นาน
  • ประหยัดงบประมาณ
  • แบบบ้านให้เลือกหลายสไตล์
  • แข็งแรง ทนทาน
  • สะดวกขนย้าย
บ้านน็อคดาวน์ 10 ข้อดีที่ควรรู้ ก่อนซื้อบ้านสำเร็จรูป ราคาย่อมเยา

Guide

บ้านน็อคดาวน์ 10 ข้อดีที่ควรรู้ ก่อนซื้อบ้านสำเร็จรูป ราคาย่อมเยา

 

2. บ้านโมดูลาร์

อีกหนึ่งแบบบ้านที่ช่วยประหยัดงบประมาณในการก่อสร้างบ้านได้ สำหรับบ้านโมดูลาร์ แบบบ้าน งบ 1 แสน แบบบ้านชั้นเดียว ที่ดูภายนอกมีความคล้ายคลึงกับบ้านน็อคดาวน์ หรือบ้านสำเร็จรูป เพราะเป็นบ้านที่สร้างขึ้นจากชื้นส่วนสำเร็จรูปเหมือนกัน แต่มีความแตกต่าง เป็นบ้านกึ่งสำเร็จรูปที่นำชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ได้มาตรฐานจากโรงงานผลิตมาประกอบที่หน้างาน โดยจะใช้น็อตหรือสกรูแทนการฉาบด้วยอิฐหรือปูน ทำให้การก่อสร้างรวดเร็ว

 

บ้านโมดูลาร์ แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 แสน

 

เพียงแค่เลือกแบบที่ชื่นชอบ เลือกวัสดุที่ต้องการ ซึ่งจะใช้เป็นโครงสร้างเหล็กและผนังสำเร็จรูปเป็นหลัก ทำให้บ้านมีความแข็งแรง ทนทาน ทนแดด ทนฝน ทนความร้อนได้เป็นอย่างดี หลังจากที่สรุปแบบเรียบร้อย ก็รอให้ช่างเข้าไปติดตั้งประกอบกันถึงที่ดิน ช่วยลดความวุ่นวายหน้างาน ติดตั้งเสร็จก็ดำเนินการเรื่องสาธารณูปโภค ขอติดตั้งน้ำประปา ติดตั้งไฟฟ้า ก็สาามารถเข้าอยู่ได้ทันที ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หรือเต็มที่ไม่เกิน 1 เดือน

จุดเด่นบ้านโมดูลาร์

  • ประหยัดงบประมาณ
  • ก่อสร้างได้รวดเร็ว
  • วัสดุได้มาตรฐาน
  • แข็งแรง ทนทาน
  • สะดวกขนย้าย
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “บ้านสำเร็จรูป”  แบบบ้านสวยที่ราคาถูกกว่าสร้างเอง

Guide

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “บ้านสำเร็จรูป” แบบบ้านสวยที่ราคาถูกกว่าสร้างเอง

 

3. บ้านตู้คอนเทนเนอร์

มีงบจำกัด อยากมีบ้านหลังเล็ก ๆ สักหลัง อยู่อาศัยแบบเรียบง่าย แต่ก็ขอดูดีมีสไตล์ ลองดูไอเดียบ้านตู้คอนเทนเนอร์ แบบบ้าน งบ 1 แสน แบบบ้านชั้นเดียว รูปทรงสี่เหลี่ยมคล้ายกล่องที่พบเห็นได้โดยทั่วไป เพราะนิยมทำมาทำเป็นร้านกาแฟ ร้านอาหาร รวมถึงที่อยู่อาศัย เป็นแบบบ้านราคาประหยัด ขนาดกะทัดรัด ประหยัดเวลาก่อสร้าง แม้ภายนอกจะดูเหมือน ๆ กันไปหมด แต่สามารถจะตกแต่งให้แตกต่างและสวยงาม เป็นบ้านในฝันสไตล์โมเดิร์นได้ไม่ยาก

บ้านตู้คอนเทนเนอร์ แบบบ้านชั้นเดียว งบ 1 แสน

เริ่มด้วยการทาสีที่ชอบ มีตัวอย่างสีให้เลือกหลายสี เช่น สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า สีชมพู ซึ่งเป็นสีคอนทราสต์ที่ช่วยคความโดดเด่นให้ตัวบ้าน หรือจะเป็นสีพาสเทล ที่ยังคงสีสันแต่ดรอปความเข้มของสีลง ทำให้แบบบ้าน งบ 1 แสน แบบบ้านชั้นเดียว ดูน่ารักขึ้น หรือจะเป็นสีแนวเอิร์ธโทน สีโทนธรรมชาติ เช่น สีดำ สีน้ำตาล สีเทา สีขาว ก็ดูอบอุ่น สบายตา     

นอกจากนี้ยังสามารถที่จะดัดแแปลงและต่อเติม โดยเจาะช่องประตูหน้าต่างเพื่อเปิดรับแสง ต่อเติมเฉลียงเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยด้านหน้า หรือด้านข้าง ติดกระจกบานใหญ่ บานเลื่อน เพิ่มความโมเดิร์น และตกแต่งด้านในด้วยเฟอร์นิเจอร์ ก็ทำให้บ้านตู้คอนเทนเนอร์ แบบบ้าน งบ 1 แสน แบบบ้านชั้นเดียว สวยงามและน่าอยู่ขึ้น

จุดเด่นบ้านตู้คอนเทนเนอร์ 

  • ประหยัดงบประมาณ
  • แบบบ้านให้เลือกหลายสไตล์
  • ขนาดกะทัดรัด
  • สะดวกขนย้าย
  • ตกแต่ง ต่อเติมได้
5 บ้านจากตู้คอนเทนเนอร์ บ้านสวย ดีไซน์เก๋

Guide

5 บ้านจากตู้คอนเทนเนอร์ บ้านสวย ดีไซน์เก๋

 

แบบบ้าน

บ้านน็อคดาวน์

บ้านโมดูลาร์

บ้านตู้คอนเทนเนอร์

ก่อสร้างเร็ว

/

/

/

ประหยัดงบ

/

/

/

แบบบ้านเยอะ

/

/

x

ขนาดกะทัดรัด

/

X

/

แข็งแรง ทนทาน

/

/

/

สะดวกขนย้าย

/

/

/

ตกแต่ง ต่อเติมได้

X

x

/

 

จะเห็นได้ว่าแบบบ้าน งบ 1 แสน แบบบ้านชั้นเดียว ราคาประหยัด สวยและน่าอยู่ไม่แพ้บ้านสร้างเอง สามารถสร้างไว้เป็นบ้านหลังแรก หรือบ้านหลังที่สอง อยู่อาศัยในที่ดินเดียวกัน หรือจะเอาไว้เป็นห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น หรือห้องอ่านหนังสือ ก็สามารถตกแต่งได้ให้ลงตัวกับการใช้สอย

แจกแบบบ้านเพื่อประชาชน แจกแบบบ้านฟรี จากกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ลดความร้อนใต้หลังคา ด้วย 6 ฉนวนกันความร้อน แบบไหนดีที่สุด https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ติดฉนวนกันความร้อนใต้หลังคาอย่างไรจึงจะดีที่สุด-21265?locale=th www.ddproperty.com:resources:21265 Tue, 30 Nov 2021 19:49:10 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/12/Property_House_Heat-Insulation-under-Roof-150x150.jpg"/></p> ลดความร้อนใต้หลังคา ด้วย 6 ฉนวนกันความร้อน แบบไหนดีที่สุด จากวิกฤตการณ์โลกร้อนที่รุนแรงขึ้นทุกปี ดวงอาทิตย์ที่สาดแสงใส่หลังคาอยู่ทุกวัน ก็ยิ่งแผดเผาให้ความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านมากขึ้นทุกที การติดฉนวนกันความร้อนหลังคาเพื่อลดความร้อนใต้หลังคา จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อบ้านทุกหลังในยุคนี้ แต่วัสดุฉนวนกันความร้อนก็มีหลายแบบ

เจ้าของบ้านจึงต้องเลือกฉนวนกันความร้อนให้เหมาะสมกับบ้านและงบประมาณของตนเอง และด้วยข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับฉนวนกันความร้อนหลังคาต่อไปนี้ การเลือกฉนวนให้ถูกใจ ลดความร้อนใต้หลังคา ช่วยให้บ้านเย็นอยู่สบาย ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

วิธีคลายร้อนให้บ้านปูน

 

ฉนวนกันความร้อนหลังคาคืออะไร

ฉนวนกันความร้อน คือ วัสดุที่ใช้ป้องกันไม่ให้ความร้อนทะลุจากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง โดยมักจะติดไว้ใต้หลังคา บนฝ้า หรือในผนัง ฉนวนกันความร้อนหลังคาจึงมีหน้าที่ในการดูดซับและป้องกันความร้อนจากหลังคา ลดความร้อนใต้หลังคาหรือต้านทานความร้อนให้เหลือน้อยที่สุดก่อนเข้าสู่ตัวบ้าน

และยังมีแผ่นฉนวนกันความร้อนอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แผ่นสะท้อนความร้อน ซึ่งใช้วิธีป้องกันความร้อนที่แตกต่างกัน โดยเน้นการสะท้อนคลื่นความร้อนออกจากตัวบ้านเป็นหลัก

เช็กสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา

 

รูปแบบการติดฉนวนกันความร้อนหลังคา ลดความร้อนใต้หลังคา

1. ฉนวนกันความร้อนแบบแผ่น

ฉนวนกันความร้อนแบบแผ่นเป็นฉนวนกันความร้อนสำเร็จรูปที่ผลิตจากวัสดุหลากหลายประเภท มีลักษณะเป็นแผ่นที่มีความอ่อนตัว สามารถดัดโค้งให้เข้ากับโครงสร้างได้ จึงง่ายต่อการติดตั้ง ไม่ว่าจะติดฉนวนกันความร้อนหลังคา ทั้งเหนือหรือใต้แปรองแผ่นหลังคา หรือปูฉนวนกันความร้อนบนฝ้าก็ตาม ขอเพียงฉนวนที่ใช้มีน้ำหนักเบา

 

พ่นฉนวนกันความร้อนหลังคาเพื่อป้องกันความร้อน

 

2. ฉนวนกันความร้อนแบบพ่น

ฉนวนกันความร้อนแบบพ่นเป็นการนำวัสดุฉนวนกันความร้อนที่ละลายเป็นของเหลว พ่นทับบนพื้นผิวที่ต้องการป้องกันความร้อน โดยพ่นทับได้แทบทุกพื้นผิว และฉนวนบางชนิดยังใช้พ่นพื้นผิวนอกอาคารได้ด้วย จึงเหมาะกับพื้นที่ที่มีความซับซ้อน หรือยากต่อการปูฉนวนเป็นแผ่น แต่ต้องพ่นฉนวนโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีเครื่องมือเฉพาะทางเท่านั้น

วิธีคลายร้อนให้บ้านเก่า

 

ฉนวนกันความร้อน ติดตั้งอย่างไร

1.ติดตั้งบนฝ้า ช่วยหน่วงความร้อนไม่ให้สะสมในส่วนใต้หลังคาแต่ต้องมีช่องระบายความร้อนออกตรงฝ้าชายคาบ้านด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนสะสมใต้หลังคามากเกินไป

2.ติดตั้งใต้แผ่นหลังคา ทำหน้าที่หน่วงความร้อนไม่ให้เข้าสู่ใต้หลังคา โดยต้องติดตั้งไปพร้อม ๆ กับสร้างหลังคาตั้งแต่สร้างบ้าน

3.ติดตั้งบนหลังคา สะท้อนความร้อนไม่ให้เข้าสู่ใต้หลังคาบ้าน การติดตั้งแบบนี้แนะนำให้ใช้เป็นตัวเสริมกับการติดตั้งฉนวนแบบอื่น ๆ เนื่องด้วยการทาสีมีพื้นผิวที่บาง และหากเกิดคราบสกปรกประสิทธิภาพการสะท้อนแสงจะลดลง

หลังคาบ้านสวย ๆ 7 ประเภท เลือกแบบไหน เหมาะกับสภาพภูมิอากาศของไทย

 

การเลือกประเภทฉนวนกันความร้อนหลังคา ลดความร้อนใต้หลังคา

ฉนวนกันความร้อนมีให้เลือกหลายแบบ ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและวัสดุที่ใช้ผลิตฉนวน โดยวัสดุฉนวนกันความร้อนหลังคาที่น่าสนใจจะมีอะไรบ้าง สามารถดูได้จากตาราง ดังนี้

วัสดุฉนวนกันความร้อน ข้อดี ข้อเสีย ราคา
ฉนวนใยแก้ว
  • ทนความร้อนสูง
  • ป้องกันความร้อนได้ดี
  • ป้องกันเสียงได้ดี
  • ติดไฟได้ แต่ไม่ลามไฟ
  • มีความหนาที่สุด
  • หากถุงขาดรั่ว ใยแก้วจะเป็นอันตรายต่อคนที่แพ้
ราคาปานกลาง
ฉนวนอลูมิเนียมฟอยล์
  • เบาและบางที่สุด
  • สะท้อนรังสียูวีได้ดี
  • มีความเหนียว เข้ารูปง่าย
  • ไม่ติดไฟ ไม่ลามไฟ
  • ไม่ป้องกันเสียง
  • ต้องปูติดใต้หลังคา จึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด
ราคาถูกที่สุด
ฉนวนโฟมโพลีเอธิลีน (PE)
  • น้ำหนักเบา
  • มีความเหนียวและแน่น
  • ป้องกันความร้อนได้ดี
  • ทนสารเคมีและความชื้น
  • ติดไฟง่าย ลามไฟง่าย
  • เกิดก๊าซที่เป็นอันตรายเมื่อถูกเผาไหม้
ราคาถูก
ฉนวนโฟมโพลีสไตรีน (PS)
  • น้ำหนักเบามาก
  • ทนต่อแรงกดทับ
  • ไม่ดูดซับความชื้น
  • ติดตั้งร่วมกับวัสดุอื่นได้ เช่น ติดกับฝ้ายิบซัม
  • ติดไฟง่าย ลามไฟง่าย
  • ดัดงอไม่ได้ จึงแตกหักง่ายเหมือนกล่องโฟม
ราคาถูก
ฉนวนโฟมโพลียูรีเทน (PU)
  • มีทั้งฉนวนแผ่นและพ่น
  • ยึดเกาะได้กับทุกพื้นผิว
  • ป้องกันน้ำและการรั่วซึม
  • ป้องกันทั้งความร้อนและความเย็น
  • ติดไฟง่าย ลามไฟง่าย
  • เปลี่ยนรูปได้เมื่อถูกความร้อนสูง
ราคาสูง
ฉนวนเยื่อกระดาษ
  • มีทั้งฉนวนแผ่นและพ่น
  • ป้องกันความร้อนได้ดี
  • ป้องกันเสียงได้ดี
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ไม่ทนต่อน้ำและความชื้น
  • มีโอกาสหลุดร่วงและยุบตัว หากควบคุมความหนาแน่นขณะพ่นไม่ดีพอ
ราคาปานกลาง

ตารางข้างต้นเป็นเพียงคุณสมบัติพื้นฐานของฉนวนกันความร้อนหลังคาแต่ละประเภท โดยผู้ผลิตแต่ละราย ยังมีการเพิ่มคุณสมบัติให้ฉนวนมีคุณภาพยิ่งขึ้น เช่น ฉนวนโฟมที่ผสมสารป้องกันการลามไฟ หรือฉนวนโฟมที่ปิดผิวด้วยฉนวนอลูมิเนียมฟอยล์อีกชั้น

ฉนวนกันความร้อน ลดความร้อนใต้หลังคา จึงมีตัวเลือกมากมายในท้องตลาด และมีราคาแตกต่างกันตามคุณภาพของวัสดุและคุณสมบัติที่ใส่เพิ่มเติม

เมื่อทราบข้อมูลทั้งหมดแล้วก็จะพบว่า ฉนวนกันความร้อนหลังคาแต่ละแบบต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน และไม่มีฉนวนกันความร้อนชนิดใดที่ดีที่สุด ในการเลือกใช้เพื่อลดความร้อนใต้หลังคา จึงขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการใช้งานและงบประมาณมากกว่า และไม่จำกัดด้วยว่าจะต้องใช้ฉนวนเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายวิธีที่ช่วยลดความร้อนในบ้านได้ ลดความร้อนใต้หลังคา เลือกเทคนิคดี ๆ จากบทความในลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลย

เทคนิคการเลือกวัสดุคลายร้อนให้บ้าน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
ปลายเตียงตรงกับประตู ดีไหม 4 หลักจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ย https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/จัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ย-15090?locale=th www.ddproperty.com:resources:15090 Tue, 30 Nov 2021 19:32:05 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/05/Feng-Shui-Bedroom_02-150x150.jpg"/></p> ปลายเตียงตรงกับประตู ดีไหม 4 หลักจัดห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ย ห้องนอนเป็นสถานที่พักผ่อนที่เราต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ใน 3 ของวัน หรือสำหรับบางคนอาจจะมากกว่านั้น เพราะใช้ห้องนอนเป็นมุมอเนกประสงค์สำหรับแทบจะทุกกิจกรรม ดังนั้นฮวงจุ้ยในห้องนอนจึงมีความสำคัญ รองลงมาจากการจัดฮวงจุ้ยบ้าน ซึ่งฮวงจุ้ยที่ดีจะก่อให้เกิดพลัง “ชี่” (Qui หรือ Qi) ตำแหน่งเตียงนอนก็เช่นเดียวกัน ปลายเตียงตรงกับประตูดีหรือไม่ หันเตียงทิศไหน ถูกหลักฮวงจุ้ย   

โดยทั่วไปการจัดห้องนอนมักจะเน้นเรื่องสุขภาพ การงาน การเงิน ความรัก แต่จุดที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือ “บารมี” ที่จะส่งผลด้านสุขภาพ บทบาทหน้าที่การงาน เมื่อสุขภาพดี หน้าที่การงานและลาภผลก็จะตามมา

4 หลักฮวงจุ้ยที่สำคัญต่อห้องนอน

การจัดฮวงจุ้ยห้องนอนให้สมบูรณ์แบบ ต้องพิจารณา 4 หลักวิชาของฮวงจุ้ย ดังนี้

  • ชัยภูมิ (ตี่ลี่) ลักษณะการจัดวางเตียงในห้องนอนและสิ่งประกอบอื่น ๆ
  • ทิศทาง (ลี่ขี่-ดาว 9 ยุค) วางเตียงแล้ว ตำแหน่งประตู ห้องนอน มีบทบาทอย่างไร เป็นโชคลาภหรือไม่ ตำแหน่งลาภวิบัติ ซึ่งจะทำให้เสียเงิน หัวเตียงนอนเป็นตำแหน่งบารมีหรือไม่ ปลายเตียงตรงกับประตู เป็นอย่างไร
  • ดวงชะตา (เหมี่ยงอุ่ง-ดวงจีน) ดวงชะตาเราเหมาะกับการหันหัวนอนไปทิศทางใดที่จะส่งเสริมให้เกิดพลัง เกิดโชคลาภ หรือเสริมเรื่องคู่ครอง
  • ฤดูกาล-ฤกษ์ยาม (เกี๊ยกซี้) หากจัดห้องนอนเป็นไปตามทุกอย่างข้างต้น แต่ขยับขยายเตียงนอนโดยไม่ดูฤกษ์ อาจกระทบทิศห้าม (ทิศอสูร/ ทิศแตกสลาย) กลับกลายเป็นเรื่องเลวร้ายดังที่พบเห็นได้ประจำ เช่น หลังจากย้ายเตียงหรือซ่อมแซมห้องไม่นาน มักมีปัญหากระทบตลอด ซินแสฮวงจุ้ยจึงต้องใช้ทั้งสี่วิชาผสานกันในการจัดห้องนอนให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย

ทิศหัวนอนตามหลักฮวงจุ้ย และ 12 ปีนักษัตร ห้ามนอนหันหัวไปทางไหน

 

Modern monochromatic bedroom interior in an apartment with large view windows and a double bed alongside an exterior door, bright spacious and sunny. 3d Rendering.

การวางตำแหน่งเตียงนอน

คนบางกลุ่มมีความเชื่อว่าจะไม่หันหัวนอนไปทางทิศตะวันตกเพราะกลัวว่าจะตกตาย หรือหันหัวนอนไปทิศใต้แล้วจะอยู่ใต้คนอื่น สำหรับระบบฮวงจุ้ยแล้วจะไม่มีทิศตะวันตกหรือทิศใต้ ทุกทิศล้วนมีดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับองศาที่ตั้งและดวงจีนของผู้นอน

ห้ามนอนหันเท้าไปยังประตูห้องนอนเป็นแนวตรง

คนจีนมีความเชื่อว่าคนเราเมื่อสิ้นชีวิต วิญญาณจะออกจากร่าง และเพื่อให้การเดินทางไปสู่ปรภพเป็นไปได้โดยสะดวก จะตั้งเตียงนอนโดยหันเท้าให้ตรงประตู หรือให้ปลายเตียงตรงกับประตู หากมองในแง่หยาง (การปฏิบัติ) เมื่อเราเปิดประตูห้องนอนเข้ามา เราจะเจอเท้าของผู้ที่นอนอยู่บนเตียง หรืออาจเจอภาพที่ไม่น่าดูนัก และในแง่อุณหภูมิ จะมีการเปลี่ยนแปลงของอากาศมากและถี่ อาจทำให้ผู้อยู่ล้มป่วยได้

ในแง่ของฮวงจุ้ยห้องนอนแล้ว ประตูเป็นสื่อระหว่างภายนอกและภายใน เมื่อเปิดหรือปิดประตูจะก่อเกิดกระแสของซี่และมีกำลังแรง เมื่อกระแสที่แรงปะทะกับเราโดยตรงย่อมมีผลไม่ดีกับเรา มีผลให้หน้าที่การงานถดถอย ดังนั้นเมื่อปลายเตียงตรงกับประตู วิธีการแก้ไขโดยทั่วไปจะแนะนำการเลื่อนเตียงนอนหลบแนวตรงประตู

แต่กรณีที่ปลายเตียงตรงกับประตู แต่ไม่สามารถขยับเลื่อนได้ เพราะว่าเป็นแบบบิลท์อิน ให้หาเฟอร์นิเจอร์ เช่น เก้าอี้ โซฟา หรือตู้เก็บของ มาบังปลายเท้า โดยให้มีความสูงอย่างน้อยสูงกว่าปลายเท้าเมื่อเรานอนบนเตียง

Contemporary spacious white bedroom interior

แนวประตูห้องน้ำตรงกับเตียงนอน

ตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอน ประตูเป็นสื่อของพลัง เมื่อตรงกับแนวเตียง พลังที่กระทบแรงไปย่อมทำให้ผู้นอนอยู่บนเตียงสุขภาพไม่ดี ตรงกับส่วนใดของร่างกายก็จะป่วยเกี่ยวกับส่วนนั้น ในกรณีนี้การแก้ไขที่ดีที่สุดคือย้ายเตียงหลบ แต่ในกรณีที่ไม่มีที่ แล้วปลายเตียงตรงกับประตูห้องน้ำ ให้ปิดประตูห้องน้ำเป็นประจำหรือหาฉาก ม่าน มู่ลี่ มากั้นระหว่างประตูกับเตียง จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ โดยวิธีดังกล่าวสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับประตูห้องแต่งตัวแบบวอล์คอิน คลอเซ็ท (Walk-in Closet) ได้

เตียงนอนใต้คาน

นอนใต้คานเหมือนโดนกดทับ โดยเฉพาะบริเวณคาน ตามหลักของฮวงจุ้ยห้องนอน หากโดนกดทับตรงส่วนใดของร่างกายก็จะป่วยเกี่ยวกับส่วนนั้น วิธีการแก้ฮวงจุ้ยให้เลื่อนหมอนให้ต่ำลงพ้นแนวคาน ทำให้เหมือนนอนในหลุมหรือปิดฝ้าเรียบ

กระจกส่องโดนเตียงนอน

กระจกคือภาพลวงตาทำให้เล็กมองดูใหญ่ ของน้อยดูมีมาก เหมาะกับร้านค้า สำนักงาน แต่การติดในบ้านต้องเลือกติดเฉพาะในจุดที่จำเป็น เช่น ห้องน้ำ ห้องแต่งตัว ห้องรับแขก แต่สำหรับการติดกระจกในห้องนอน ต้องระวังไม่ให้กระจกส่องมาที่ปลายเตียง

ความหมายของกระจกในทางฮวงจุ้ย คือ ลวงตา หลอกลวง หลอกหลอน ดังนั้นจะเกิดความเครียด ระแวงคนหลอก ในขณะที่ความหมายในเชิงปฏิบัติ (หยาง) เมื่อเราตื่นนอนกลางดึกจะเห็นเงาวูบไปมา คนขวัญอ่อน เช่น เด็ก ผู้ป่วย จะเกิดอาการหวาดผวา ความเครียด ความวิตกกังวล ทั้งที่สิ่งที่เห็นคือเงาของตนเอง วิธีแก้ไขให้เลือกโต๊ะเครื่องแป้งแบบกระจกติดใต้ฝาบนของลิ้นชัก เมื่อต้องการใช้กระจกก็เปิดขึ้นมา เลิกใช้ก็ปิดลงไป หากมีโต๊ะอยู่แล้วให้เลื่อนไปในมุมที่จะไม่ส่องโดนเตียง

ทิศอะไรเหมาะเป็นห้องอะไร 5 ห้องที่ต้องดูเรื่องทิศ ก่อนคิดซื้อ

 

ประตูห้องนอนตรงบันไดทางลง

บันไดทางลงกับประตูห้องนอน ความหมายคือ รั่วไหล สูญเสีย กระแสที่ไหลลงจะดึงโชคลาภ บารมีจากห้องนอนให้ไหลตามออกไป วิธีแก้ไขคือให้ติดธรณีประตู (ความสูงไม่สำคัญ)

หากมีบริเวณกว้างระหว่างประตูกับบันไดให้หาฉากหรือตู้ใบเล็กมาวางขวาง หรือใช้สีแม่ลูกช่วย โดยกำหนดทิศประตูจากจุดศูนย์กลางของห้อง กระแสที่หนีจากเป็นทิศธาตุของแม่ เราจึงใช้สีของลูกไปเหนี่ยงรั้งดึงกลับ ปูเป็นพรมสีนั้นหน้าห้อง

ทิศประตูเมื่อกำหนดจากจุดศูนย์กลางของห้อง สีลูกที่ใช้
เหนือ เขียว
ออก แดง ชมพู
ใต้ เหลือง ครีมไข่ไก่
ตก ฟ้า น้ำเงิน เทา ดำ
เฉียง ต้องรู้องศา

ประตูห้องนอนตรงกับบันไดทางขึ้นชั้นบน

บันไดนี้จะนำกระแสจากชั้นบนเข้าสู่ประตูของเรา หากประตูของเราเป็นตำแหน่งลาภที่ดีจะได้ลาภมาก แต่หากผิดตำแหน่งจะเสียลาภมากหรือเสียบารมี ต้องรู้องศาที่แน่นอนและดูดาวเก้ายุคประกอบ การแก้ไขฮวงจุ้ยนี้ทำได้โดยหาฉากหรือตู้ใบเล็กมาวางขวางในกรณีที่มีบริเวณกว้างระหว่างประตูกับบันได หรือปูพรมสีลูกบริเวณหน้าห้อง

ในกรณีที่ประตูห้องนอนตรงกัน หมายถึงกระแสที่มีกำลังมาก หากเป็นตำแหน่งดาวโชคลาภจะได้ลาภมาก แต่หากเป็นตำแหน่งบารมีจะเกิดปัญหาสุขภาพ หน้าที่การงาน หากเป็นตำแหน่งลาภเสื่อม ลาภวิบัติจะมีเรื่องเสียเงินมาก เกิดเรื่องเลวร้าย หากประตูเหลื่อมกัน ในทางชัยภูมิถือว่าไม่ดี ไม่ว่าดาวนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม วิธีแก้คือให้หาฉากมาบัง

5 แบบบันไดบ้าน เพิ่มมูลค่าให้บ้านสวยและน่าอยู่

young woman stretching in bed at home bedroom

หัวเตียงนอนเป็นหน้าต่าง

ในทางชัยภูมิคือ ขาดความมั่นคง บารมีด้อย หน้าที่การงานไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร และอาจมีปัญหาสุขภาพได้ ในแง่วิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างอาจมีผลรบกวนกับผู้นอนทำให้นอนหลับไม่สนิท ในแง่ความปลอดภัย หากมีสิ่งกระทบกระจก เศษกระจกอาจเป็นอันตรายกับผู้นอนได้ การแก้ไข เวลานอนให้รูดม่าน จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้

เสากลางห้อง

ห้องนอนขนาดใหญ่ มักจะมีเสากลางห้อง หากมีเสากลางห้องเพียงหนึ่งต้นก็ไม่ดีแล้ว เพราะจะหมายถึงการแบกภาระหนักไว้เพียงคนเดียว (ค้ำเพดานตามลำพัง) และยังหมายถึงตำแหน่งกลางห้องคือหัวใจถูกทิ่มแทง มีโอกาสป่วยเกี่ยวกับโรคหัวใจ (ภาระการงานที่หนักเกินไป) การแก้ไขทำได้โดย ทำผนังหรือตู้โชว์เชื่อมติด หรือตู้กระจกเมื่อมองผ่านจะไม่พบเสาโดด ๆ ออกมา

 

เกี่ยวกับผู้เขียน: อ.เกรียงไกร บุญธกานนท์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันศาสตร์ฮวงจุ้ยแห่งประเทศไทย และเป็นประธานชมรมภูมิโหราศาสตร์

 

หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการซื้อบ้าน ลองดูคู่มือซื้อขายที่สามารถเป็นตัวช่วยตอบทุกคำถาม พร้อมบอกรายละเอียดการคำนวณสินเชื่อบ้าน เพื่อให้คุณตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

]]>
หาช่างซ่อมบ้าน แนะ 6 วิธีหาช่างมืออาชีพ ปลอดภัย ซ่อมได้ ไม่โกง https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/หาช่างซ่อมอย่างไรให้ปลอดภัย-ไม่โดนโกง-37015?locale=th www.ddproperty.com:resources:37015 Tue, 30 Nov 2021 19:53:36 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/11/Fine-the-technician-for-your-house-150x150.jpg"/></p> หาช่างซ่อมบ้าน แนะ 6 วิธีหาช่างมืออาชีพ ปลอดภัย ซ่อมได้ ไม่โกง สำหรับคนทั่วไป การหาช่างซ่อม ไม่ว่าจะหาช่างซ่อมบ้าน หรือยกตัวอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างหาช่างซ่อมแอร์นั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องไกลตัวและหลายคนอาจไม่เคยนึกถึงถ้าปัญหายังไม่เกิด แต่หากวัสดุ ส่วนประกอบต่าง ๆ ในบ้าน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุด หรือเสียหายขึ้นมา การหาช่างซ่อมบ้านจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาในทันที ลองมาดูวิธีการหาช่างซ่อมบ้าน และวิธีเลือกอย่างไรไม่ให้โดนโกง

5 ปัจจัยเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้คุ้มค่า

 

บริการช่างซ่อมแซมบ้านทั่วไป ให้บริการซ่อมเรื่องอะไรบ้าง?

ปัจจุบันมีช่องทางหาช่างซ่อมบ้านมากมายบนโลกออนไลน์ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนทั่วไปในการเรียกหาช่างซ่อมแซมบ้านได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันบริการหาช่างซ่อมบ้านส่วนใหญ่มักครอบคลุมทั้งบริการซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน ติดตั้งอุปกรณ์ รวมไปถึงบริการอื่น ๆ ได้แก่

1. บริการทำความสะอาด ส่วนนี้อาจไม่ใช่หน้าที่ของช่างซ่อมแซมบ้านเสียทีเดียว แต่เป็นบริการที่ส่วนใหญ่มักมาควบคู่กัน และควรทำก่อนที่จะมีอะไรเสียหาย เพราะการทำความสะอาดบ่อย ๆ ก็ช่วยให้วัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านมีอายุการทำงานนานขึ้น

2. บริการติดตั้งอุปกรณ์ แม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับการซ่อมแซมบ้านโดยตรง แต่หากเริ่มถูกต้องตั้งแต่ติดตั้งอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านให้ถูกต้อง ก็ช่วยป้องกันการเสียหาย หรือชำรุดในอนาคตได้

3. บริการช่างซ่อมแซมบ้าน ปัจจุบันบริการหาช่างซ่อมบ้านนั้นครอบคลุมงานซ่อมแซมบ้านและอาคารแทบจะทุกประเภท งานระบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่างซ่อมไฟฟ้า ช่างซ่อมประปา รวมถึงช่างซ่อมแซมอุปกรณ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน

วิธีซ่อมแอร์ด้วยตัวเอง ประหยัดงบได้ ไม่ต้องเรียกช่าง

 

บริการ

รายละเอียด

ทำความสะอาด

ปัด กวาด เช็ดถู ดูดฝุ่น ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า

ติดตั้งอุปกรณ์

ติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น แอร์ ตู้เย็นน

ซ่อมแซมบ้าน

ซ่อมงานระบบต่าง ๆ เช่น ไฟฟ้า ประปา ซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า

 

วิธีการหาช่างซ่อมบ้าน

หากอยากหาช่างซ่อมแซมบ้าน ให้ปลอดภัย ซ่อมได้ ไร้โกง ควรจะต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านี้

1. รู้จักปัญหาของอุปกรณ์ที่จะซ่อม 

เเมื่อมีอุปกรณ์ชำรุดเสียหาย ควรตรวจสอบก่อนว่าอาการเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น อาจเกิดมาสาเหตุอะไรได้บ้าง มีความเสียหายในส่วนไหน ผลที่เกิดขึ้นส่งผลต่ออุปกรณ์อย่างไร โดยสามารถสืบค้นข้อมูลได้จากอินเทอร์เน็ต ค้นหาจาก Google เพื่อหาความรู้เบื้องต้นในการสื่อสารกับช่าง เพื่อให้ช่างสามารถซ่อมได้ตรงจุดมากที่สุด

2. หาช่างซ่อม ที่สามารถไว้วางใจได้ 

บริการหาช่างซ่อมบ้าน มากมายในตลาดปัจจุบัน มีระบบรีวิวจากผู้ใช้งาน ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการช่างซ่อม ควรหาข้อมูลรีวิวของผู้ใช้บริการที่ผ่านมา เพื่อประเมินว่าช่างที่เราจะใช้บริการนั้นมีความน่าไว้วางใจมากแค่ไหน

3. พูดคุยถึงขอบเขตงานและตกลงราคาให้ชัดเจน

ก่อนที่จะเรียกใช้บริการ ควรถ่ายภาพและเก็บรายละเอียดความเสียหายให้ชัดเจน เพื่อพูดคุยถึงปัญหาและขอบเขตการซ่อมกับช่าง โดยควรให้ช่างประเมินว่าความเสียหายขนาดนี้ ประเมินแล้วจะมีค่าใช้จ่ายเป็นราคาเท่าไร ระยะเวลาในการซ่อมนานแค่ไหน และจำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง

หากเมื่อหน้างานจริงมีความเสียหายเกินกว่าที่ช่างประเมินราคาไว้ ควรมีการตกลงกันก่อนหน้าว่าจะชำระเงินแบบไหน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาช่างโก่งราคาซ่อม

 

4. อย่าเห็นแก่ราคา

บริการช่างซ่อมในปัจจุบันมีหลากหลายราคา ด้วยการแข่งขันที่สูงทำให้อาจมีการตัดราคากันเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคอย่างเราต้องอย่าเห็นแก่ของถูก แต่ควรตัดสินใจเลือกจากความเชี่ยวชาญในงานซ่อม คะแนนการรีวิว รวมไปถึงความชัดเจนในการพูดคุยด้วย

5. ตกลงวันและเวลาในการทำงานที่แน่นอน

เมื่อพบช่างที่ถูกใจ สื่อสารเรื่องการซ่อมและตกลงราคากันได้แล้ว ต่อมาคือเรื่องของการนัดแนะวันเวลาในการทำงาน เนื่องจากงานซ่อมแซมบ้านบางอย่างอาจส่งเสียงดังจนเป็นการรบกวนเพื่อนบ้านข้างเคียงได้ หากอยู่อาศัยในบ้านเดี่ยว คงจะไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่หากอยู่อาศัยในคอนโด ควรแจ้งกับนิติบุคคลอาคารชุดถึงขอบเขตงานซ่อม วันและเวลาที่ช่างจะเข้ามา เพื่อให้นิติบุคคลอาคารชุดรับทราบ

6. ตรวจสอบการซ่อมอย่างใกล้ชิด

ไม่ว่าจะเป็นช่างที่เพิ่งใช้บริการ หรือช่างเก่าแก่ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ก็ไม่ควรละเลยที่จะตรวจสอบการซ่อมอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการโกงในทุกรูปแบบ ป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับทรัพย์สิน และเพื่อให้เข้าใจปัญหาของอุปกรณ์ที่ซ่อมอย่างชัดเจน

รวม 7 วิธีซ่อมเครื่องซักผ้า กับปัญหาที่พบบ่อย

 

วิธีการหาช่างซ่อม ให้ปลอดภัย ซ่อมได้ ไร้โกง

 

คุยกับช่างซ่อมแซมบ้านอย่างไร ไม่ให้ถูกหลอก

งานซ่อมแซมบ้านมักมีรายละเอียดหลายจุดที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ ในบางงานอาจมีวัสดุอุปกรณ์ที่เพิ่มเติมจากค่าบริการ ทำให้ช่างซ่อมแซมบ้านบางราย อาจใช้ช่องว่างตรงนี้เพื่อเอาเปรียบเจ้าของบ้าน ดังนั้นก่อนตัดสินใจใช้บริการช่างซ่อมแซมบ้าน ควรตกลงกับช่างถึงรายละเอียดเหล่านี้ให้ชัดเจน

1. รายละเอียดวัสดุอุปกรณ์ที่เพิ่มเติมจากค่าบริการซ่อม 

หากมีค่าวัสดุอุปกรณ์ที่นอกเหนือไปจากค่าบริการ ควรสอบถามรายละเอียดจากช่างให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นชนิดของวัสดุ จำนวน และความจำเป็นที่ต้องใช้ จากนั้นควรตรวจสอบราคาอุปกรณ์จากตลาดกับราคาจากช่างว่าใกล้เคียงกันหรือไม่ และตกลงกับช่างให้ชัดเจนว่าเราจะเป็นผู้จัดหา หรือคิดรวมไว้กับค่าบริการของช่าง

2. ตรวจสอบความเชี่ยวชาญและจำนวนของทีมงาน

ช่างบางรายจะมีการคิดค่าแรงของทีมงานในค่าบริการด้วย ดังนั้นควรพูดคุยให้ชัดเจนว่างานซ่อมแซมบ้านครั้งนี้ จะต้องใช้ช่างจำนวนกี่คน คิดค่าบริการเท่าไร เพื่อป้องกันช่างคิดค่าบริการเพิ่มในภายหลัง และควรตรวจสอบว่าทีมงานมีความเชี่ยวชาญในการซ่อมมากน้อยแค่ไหนด้วย

3. กำหนดระยะเวลาให้ชัดเจน 

หากเป็นงานซ่อมแซมบ้านครั้งใหญ่ที่ต้องใช้ระยะเวลาหลายวัน ควรให้ช่างประเมินว่าจะใช้เวลาจำนวนกี่วัน ระยะเวลาสมเหตุสมผลหรือไม่ และควรตกลงค่าใช้จ่ายตามระยะเวลาที่กำหนดให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการทำงานล่าช้า และปัญหาช่างบวกค่าบริการเพิ่ม

ช่างซ่อมประปาตัวช่วยสำคัญเมื่อมีปัญหาประปาในบ้าน

การมองหาช่างซ่อมบ้านนั้น ไม่ใช่แค่เพียงการเลือกช่างจากที่ไหนก็ได้ แต่ยังต้องพิจารณาถึงค่าบริการ ความน่าเชื่อถือ และความเชี่ยวชาญ ดังนั้นควรพิจารณาเลือกใช้บริการช่างให้รอบคอบที่สุด เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สินของเราเอง

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
รูปเสริมดวงการเงิน 9 สัตว์มงคลเสริมฮวงจุ้ย ตกแต่งบ้านและที่ทำงาน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย-9-สัตว์มงคลเสริมดวงชะตา-โชคลาภเข้าบ้าน-15673?locale=th www.ddproperty.com:resources:15673 Tue, 30 Nov 2021 21:42:46 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/08/shutterstock_1419784808-150x150.jpg"/></p> รูปเสริมดวงการเงิน 9 สัตว์มงคลเสริมฮวงจุ้ย ตกแต่งบ้านและที่ทำงาน การเสริมดวงชะตาตามหลักฮวงจุ้ยให้ที่อยู่อาศัยนั้นสามารถทำได้หลากหลายวิธี ตั้งแต่การเลือกทำเลที่ถูกโฉลกในแต่ละราศี/ปีเกิด การดูศาสตร์ตัวเลข การจัดทิศทางห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน หรือแม้แต่การประดับตกแต่ง อาทิ เฟอร์นิเจอร์ ต้นไม้

รวมถึงยังมีอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจและทำได้ไม่ยาก นั่นก็คือ ฮวงจุ้ยภาพมงคล หรือการประดับบ้านด้วยสัตว์มงคลตามหลักฮวงจุ้ย 9 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้น รูปภาพ รูปเสริมดวงการเงิน เพื่อช่วยเสริมพลังดีและนำโชคลาภเข้าสู่บ้าน (ร้านค้า อาคารพาณิชย์ต่าง ๆ) โดยสัตว์มงคลแต่ละประเภทก็จะเสริมฮวงจุ้ยที่ต่างกันไปคนละแบบ อาทิ

sportlight

 

1. หงส์ : เจริญรุ่งเรือง

ฮวงจุ้ยภาพมงคลภาพแรกเป็นสัญลักษณ์ของความสุข ความสง่างามและความเจริญ คุณควรวางหงส์ไว้ในที่มองเห็นได้ชัดเจนจะช่วยเสริมมงคลให้บ้าน ร้านค้าและสำนักงาน แต่ทิศทางการวางไม่ควรหันหัวหงส์ไปนอกประตูเด็ดขาด เพราะจะเท่ากับเป็นการสูญเปล่า หากธุรกิจใดมีรูปเสริมดวงการเงิน รูปหงส์ไว้ย่อมแสดงถึงความร่ำรวยและความเจริญของธุรกิจ

ฮวงจุ้ยบ้านที่ดี จัดห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว อย่างไร? อยู่แล้วโชคดี ร่ำรวย

 

2. กบสามขา : เพิ่มพูนเงินทอง

สัตว์มงคลตัวที่ 2 สำหรับภาพมงคลเสริมฮวงจุ้ยนิยมใช้ในหมู่คนค้าขาย เพื่อเพิ่มพูนเงินทองให้กับเจ้าของกิจการ ควรวางกบไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนและเป็นจุดเรียกเงิน เช่น ลิ้นชักหรือเคาน์เตอร์เก็บเงินโดยหันหน้ากบสามขาประจันกับทางเข้า-ออกของประตูร้านค้า ควรจะใช้กบสามขาที่เป็นสีทองหรือหยกเพราะถือว่าเป็นของมีค่าและช่วยดึงดูดความมั่งคั่งอย่างมหาศาล เป็นอีกหนึ่งฮวงจุ้ยภาพมงคล รูปเสริมดวงการเงิน ที่ช่วยเสริมด้านการเงิน เพิ่มพูนเงินทอง 

จัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ย หน้าบ้านและประตู 2 จุดหลักเรียกทรัพย์เข้าบ้าน

 

3. กวาง : มั่งมีศรีสุข

เชื่อว่ากวางเป็นตัวแทนของความมั่งมีศรีสุขและช่วยให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา การใช้กวางที่เป็นรูปปั้นกวาง, หรือภาพมงคลเสริมฮวงจุ้ยที่เป็นภาพวาด และภาพถ่ายกวาง ก็สามารถให้คุณกับเจ้าของธุรกิจได้ทั้งสิ้น แต่การจัดวางฮวงจุ้ยภาพมงคลรูปกวาง รูปเสริมดวงการเงิน ไม่ควรหันหน้าออกไปทางหน้าร้านค้าหรือบ้าน ควรหันหน้าเข้า เพราะกวางจะช่วยนำสิ่งมงคลเข้าสู่บ้านหรือร้านค้า

หากเป็นกวางคาบแก้ว ก็จะหมายถึงอายุยืนและรุ่งเรือง ผู้มีไว้ครอบครองจึงทั้งร่ำรวยและอายุยืนยาวมีความก้าวหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

4. มังกร โชคลาภ รุ่งเรือง

มังกรถือว่าเป็นสัตว์สำคัญที่สุดของชาวจีนและเป็นสัตว์เทพที่ศักดิ์สิทธิ์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศและแหวกน้ำดำดินได้ มังกรจึงเหมาะมากสำหรับการส่งเสริมธุรกิจการค้า ให้รุ่งเรืองโดยเฉพาะสำนักงานหรือร้านค้า ช่วยเรียกโชคลาภให้มาเยือน

Dragon,Statue

การวางภาพมงคลเสริมฮวงจุ้ยรูปมังกร รูปเสริมดวงการเงิน ต้องหันหน้าเข้าสู่สำนักงานหรือร้านค้าโดยยึดประตูเข้า-ออกเป็นหลักการนำสัญลักษณ์มังกรมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้น, รูปวาด ถือว่าถูกหลักฮวงจุ้ยภาพมงคล เพราะมังกรนั้นเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่ง ความตั้งใจ ความพยายาม กล้าหาญ อดทน ชาวจีนจึงถือว่า มังกร คือ จิตวิญญาณของการเปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูให้ดีขึ้น

จัดบ้านถูกหลักฮวงจุ้ยหน้าบ้าน รับสิ่งมงคลตลอดปี

 

5. ม้า : ขุนนาง ชนชั้นสูง

ตามฮวงจุ้ยภาพมงคลรูปม้า มีธาตุไฟเป็นธาตุธรรมชาติ ม้าเป็นสัตว์ในลำดับที่ 7 ของนักษัตรจีน มีความเชื่อว่าม้าเป็นสัตว์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังและเป็นสัญลักษณ์ของขุนนาง, ชนชั้นสูง, ความรวดเร็วว่องไว ส่งผลให้ธุรกิจการค้า, การงานประสบความสำเร็จเร็วเหมือนฉายา “ม้าเร็ว”

Eight,Horses,Running.,Hand,Painted,With,Black,Ink,In,Chinese

การตั้งภาพมงคลเสริมฮวงจุ้ยหรือรูปปั้น รูปเสริมดวงการเงิน ต้องให้หัวม้าหันหน้าเข้าสู่บ้าน สำนักงานหรือร้านค้าโดยยึดประตูเข้าออกเป็นหลัก ลักษณะของม้าตามฮวงจุ้ยภาพมงคล ต้องมีลักษณะที่กำลังวิ่งหรือกระโจนทะยาน ส่วนม้า 8 ตัว หมายถึง ความคล่องแคล่ว ว่องไว

 

6. เสือ : ผู้นำ อำนาจ

ภาพมงคลเสริมฮวงจุ้ยรูปเสือ เป็นสัญลักษณ์ ของผู้ทรงอำนาจ กล้าหาญและแข็งแกร่งสมเป็นผู้นำ ห้องของผู้บริหาร (ในบ้านหรือที่ทำงาน) จึงเหมาะที่แขวนภาพมงคลเสริมฮวงจุ้ยหรือรูปปั้นเสือ เพื่อเสริมบารมี และยังเป็นรูปเสริมดวงการเงิน แต่ควรระวังในการเลือกลักษณะของเสือเพราะเสือเป็นสัตว์ดุร้าย จะทำให้ลูกค้าหรือพนักงานหรือผู้อยู่อาศัยรายอื่นรู้สึกกลัวและกดดัน มากกว่าน่าเคารพ นอกจากนี้ เสือยังช่วยป้องกันภูติผีปีศาจต่าง ๆ เป็นฮวงจุ้ยภาพมงคลที่ช่วยเสริมให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จและราบรื่น

 

7. สิงโต : ผู้นำแห่งพลังอำนาจ

สิงโต มีลักษณะของความเป็นเจ้าเป็นผู้นำที่มีพลังอำนาจ ชาวจีนถือเป็นสัตว์มงคลที่ช่วยปัดเป่าและสลายพลังพิฆาตต่าง ๆ โดยเฉพาะสำนักงานหรือร้านค้าที่อยู่ในตำแหน่งทางสามแพร่ง ซึ่งถือเป็นทางผ่านของสิ่งอัปมงคล สถานที่เหล่านี้มักจะวางสิงโตเพื่อแก้ฮวงจุ้ยและช่วยเรียกโชคลาภ เป็นรูปเสริมดวงการเงินที่นิยม

Gold,Pixiu,Or,Lion,Statue,Of,China.,Chinese,Good,Wealth

การวางภาพมงคลเสริมฮวงจุ้ยรูปสิงโตจะต้องวางเป็นคู่ โดยวางสิงโตเพศผู้ไว้ทางซ้ายและเพศเมียไว้ทางขวาที่บริเวณหน้าประตูของสถานที่นั้น ๆ ให้หันหัวสิงโตออกด้านหน้าเสมอ วิธีสังเกตเพศของสิงโต คือเพศผู้เท้าหน้าจะเหยียบลูกโลกหรือลูกบอล และเพศเมียเท้าหน้าจะเหยียบลูกสิงโตตัวเล็ก

ถ้าไม่วางไว้หน้าร้านจะประดับไว้ในห้องผู้บริหารหรือโต๊ะประจำตำแหน่งของเจ้าของร้านก็ได้ เพราะสิงโตเป็นตัวแทนของขุนนางชั้นสูงในสมัยก่อน ทั้งยังช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข ช่วยหนุนส่งวาสนาบารมีและเพิ่มพลังอำนาจให้กับสถานที่

 

8. ปลา : มั่งคั่ง ร่ำรวย

ปลาถือเป็นสัตว์มงคล เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ชาวจีนที่ทำการค้ามักนิยมเลี้ยงปลาในสถานที่ประกอบธุรกิจ ปลาที่นิยมเลี้ยงคือ ปลาเงิน, ปลาทอง, ปลาคราฟ, ปลาหมอสีใหญ่, ปลาหงส์ และปลามังกรหรือปลาอะโรวาน่า นอกจากนี้ปลายังหมายถึงความอุดมสมบรูณ์ นิยมเลี้ยงในที่อยู่อาศัยด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งปลาที่นิยมมีด้วยกัน ดังนี้

ปลาที่นิยมเลี้ยง สัญลักษณ์และตัวแทน
1.ปลาคราฟ สัญลักษณ์ของผลกำไรหรือผลประโยชน์จากการทำธุรกิจ
2.ปลาเงิน, ปลาทอง  สัญลักษณ์ของการมีเงินทองล้นหลาม
3.ปลามังกรหรือปลาอะโรวาน่า สัญลักษณ์ของโชคลาภ ความมั่งคั่งและแข็งแกร่ง
4.ปลาหงส์ (เลี้ยงคู่ปลามังกร) สัญลักษณ์แห่งการเสริมอำนาจบารมี ความเจริญก้าวหน้า  และความมงคลต่าง ๆ เพิ่มทวีคูณ
5.ปลาหมอสีใหญ่ สัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง ความอุดมสมบูรณ์ โชคลาภ และการมีชีวิตที่ยืนยาว

 

แต่อย่างไรก็ตามการดูแลเอาใจใส่ตู้ปลาหรืออ่างปลาให้สะอาดอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเมื่อสกปรกจะเป็นการนำสิ่งชั่วร้ายเข้ามาสู่ธุรกิจนั้น ๆ โดยตรง หากไม่สามารถเลี้ยงปลาเหล่านี้ได้ก็หารูปปั้นปลาหรือภาพมงคลเสริมฮวงจุ้ย ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่าย หรือรูปวาดภาพปลา รูปเสริมดวงการเงิน มาติดไว้ได้เช่นกัน

ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย: ฮวงจุ้ยแบบไหนขาย-ปล่อยเช่าบ้าน-คอนโดฯ ออกไว

 

9. นก : มงคล โชคลาภ

นก หมายถึงความอิสระ เปี่ยมไปด้วยจินตนาการและความสุข หากเป็นนกอินทรีย์ ตามฮวงจุ้ยภาพมงคล หมายถึงความสูงส่ง มีอำนาจบารมี ความยิ่งใหญ่ มองการณ์ไกล ถ้าเป็นนกกระเรียน จะช่วยเสริมหน้าที่การงานให้ราบรื่นและอายุยืน ร่างกายแข็งแรง

ส่วนนกยูง เป็นสัญลักษณ์ของความพร้อมพรั่ง มีความเจริญด้านการเงิน ความสุข ความโชคดี นกเหล่านี้จะใช้เป็นรูปปั้นหรือภาพมงคลเสริมฮวงจุ้ย รูปเสริมดวงการเงินก็ได้ และหากเป็นภาพนกกาเหว่า ซึ่งถือเป็นนกแห่งโชคลาภและมงคลจะยิ่งดีมาก โดยเฉพาะนกกาเหว่าที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ที่ชื่อว่า "อู๋ถง" จะยิ่งโชคดีเป็นพิเศษ

 

เรื่องข้างต้นเผยแพร่บนเว็บไซต์ บ้านกับฮวงจุ้ย.com

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
ผังบ้านคืออะไร ดู 3 สิ่งที่ควรรู้เรื่องผังบ้านก่อนซื้อบ้าน-สร้างบ้าน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ผังบ้าน-56946?locale=th www.ddproperty.com:resources:56946 Sun, 14 Nov 2021 18:39:43 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/10/How-to-choose-house-plan-cover-150x150.jpg"/></p> ผังบ้านคืออะไร ดู 3 สิ่งที่ควรรู้เรื่องผังบ้านก่อนซื้อบ้าน-สร้างบ้าน ผังบ้าน คือขั้นตอนการกำหนดตำแหน่ง หรือวางตำแหน่งของบ้านบนแปลงที่ดินที่จะก่อสร้างบ้าน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีบทบาทต่อการตัดสินใจซื้อบ้านอย่างมาก ลองมาดูว่า 3 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับผังบ้าน

Subscription Banner for Article

 

1. ผังบ้านคืออะไร

ผังบ้าน หรือผังอาคาร อธิบายง่าย ๆ คือ เป็นการกำหนดตำแหน่งและขอบเขตของสิ่งก่อสร้างที่จะสร้างโดยอ้างอิงจากแบบก่อสร้างให้สัมพันธ์กับขนาดแปลงที่ดิน เพื่อกำหนดแนวเส้น Grid line และค่าระดับของตัวบ้านไว้ใช้ในการอ้างอิง เมื่อต้องหาระยะร่น หรือระยะต่าง ๆ ของบ้าน

ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญก่อนจะลงมือก่อสร้างบ้านบ้าน หรืออาคาร เพื่อให้เจ้าของบ้าน สถาปนิก หรือผู้ออกแบบบ้าน วิศวกร ผู้รับเหมาได้มีความเข้าใจตรงกัน ทั้งการวางเสาเข็ม ฐานราก ต่อม่อ หรือการถมดิน

ตัวอย่างผังบ้านจากกระทรวงพลังงาน

ตัวอย่างผังบ้านจากกระทรวงพลังงาน

ตัวอย่างผังบ้านจากกระทรวงพลังงาน

ตัวอย่างผังบ้านจากกระทรวงพลังงาน

 

2. ผังบ้านสำคัญอย่างไร

หลายครั้งในขั้นตอนการออกแบบบ้าน หรือวางผังบ้าน สถาปนิกไม่ได้วัดขนาดที่ดินจริง ทำให้ในขั้นตอนของการวางผังบ้าน เกิดปัญหาวางตำแหน่งบ้านไม่ได้ตามแบบก่อสร้างที่ออกแบบไว้ เพราะขนาดของบ้านอาจใหญ่กว่าขนาดของที่ดิน หรือระยะถอยร่นไม่ได้ตามที่กำหนดไว้ เช่น เกิดกรณีหลังคาเลยออกไปนอกเขตที่ดิน

สรุประยะร่น ที่เว้นว่าง และขอบเขตอาคาร

ระยะร่น ที่เว้นว่าง และขอบเขต

ระยะที่ถูกต้อง

ระยะร่นตัวอาคารกับจุดกึ่งกลางถนน

อย่างน้อย 3 ม.

ที่เว้นว่างตัวอาคารกับเขตที่ดินด้านหน้า

อย่างน้อย 3 ม.

ที่เว้นว่างอาคารกับเขตที่ดินด้านหลังและด้านข้าง

อย่างน้อย 2 ม.

ขอบเขตอาคาร

ไม่เกิน 70% ของที่ดิน

 

ดังนั้น ก่อนการออกแบบบ้านหรือวางผังบ้าน จึงจำเป็นต้องมีการวางผังบ้านให้ชัดเจนก่อน โดยเฉพาะบ้านในโครงการจัดสรร เพราะขนาดแปลงที่ดินส่วนใหญ่ถูกกำหนดไว้ตายตัวแล้ว ซึ่งต่างกับบ้านที่ก่อสร้างบนที่ดินของตัวเองที่สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งบ้านได้ตามความต้องการ 

 

3. ขั้นตอนการวางผังบ้าน

สิ่งสำคัญในการวางผังบ้าน คือ ควรตรวจสอบหมุดหลักเขตที่ดินกับโฉนดที่ดินว่าครบถ้วนตามแบบหรือไม่ หากเป็นอาคารขนาดเล็กอาจใช้วิธีขึงเอ็นให้เห็นเป็นแนว แล้วทำเครื่องหมายแสดงตำแหน่งฐานรากให้เห็นชัดเจน หรืออาจใช้วิธีพ่นสีเพื่อแสดงตำแหน่งฐานราก

ทั้งนี้ ควรตรวจสอบอีกครั้งว่าองค์ประกอบอาคารที่ยื่นออกมาตามแบบนั้นถูกต้องตามแบบก่อสร้างหรือไม่ เมื่อได้ระยะที่จะวางผังแล้วค่อยตอกหลักผังให้แน่นและมั่นคง

ในขั้นตอนนี้อาจพบอุปสรรคที่หน้างาน เช่น มีแนวต้นไม้ใหญ่อยู่ใกล้ แต่ไม่อยากตัดทิ้ง ทำให้อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับระยะต่าง ๆ ให้เหมาะสม โดยอาจพิจารณาขยับผังบ้านที่จะก่อสร้างให้เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม เจ้าของบ้านควรดูผังบ้านให้เป็น เช่น การอ่านแบบแปลนของฐานราก เพื่อให้ดูการวางผังบ้านรอบบริเวณการก่อสร้างของช่างเบื้องต้นได้ รวมถึงพิจารณาว่าระยะถอยร่นของบ้านทุกด้าน ถูกต้องตามกฎหมาย พ.ร.บ. ควบคุมอาคารหรือไม่ โดยควรให้ผู้รับเหมาทำเครื่องหมายแสดงตำแหน่งแนวเสา พื้นที่ฐานรากให้ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบแนวผังบ้านว่าถูกต้องตามแบบหรือไม่ ในขั้นตอนนี้เจ้าของบ้านอาจว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ

เมื่อติดตั้งการวางผังบ้านเสร็จ จะทำให้รู้ตำแหน่งของเสาและฐานราก เพื่อให้สามารถดำเนินตามขั้นตอนการก่อสร้างบ้านให้เป็นไปตามแบบก่อสร้าง และมีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด

ผังบ้านและแปลนบ้านเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของบ้านควรรู้

แปลนบ้านเลือกอย่างไรให้เหมาะกับการอยู่อาศัย

ในการเลือกซื้อบ้านโครงการจัดสรร หรือสร้างบ้าน ผังบ้านจะเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของบ้านที่ทำให้บ้านมั่นคง แข็งแรง ส่วนแปลนบ้านจะเป็นการกำหนดตามไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย ซึ่งรวมถึงพื้นที่ใช้สอย และการออกแบบให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อม เช่น การวางผังบ้านให้ถูกต้องตามทิศทางลมและแสงแดด เพื่อช่วยลดการใช้พลังงานในบ้าน ยกตัวอย่างเช่น

รวมบทความรักษ์โลก ช่วยประหยัดพลังงาน และลดโลกร้อน

1. ห้องนอน ควรตั้งอยู่ทางทิศเหนือ เพื่อรับแสงแดดอ่อน ๆ ที่แสนสดใสในยามเช้า อีกทั้งเมื่อถึงช่วงที่ดวงอาทิตย์โคจรอ้อมทิศใต้ ห้องที่อยู่ทางทิศนี้จะไม่สะสมความร้อน ทำให้นอนหลับสบายในยามค่ำคืน ยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว ก็จะมีลมเย็น ๆ พัดโชยเข้ามาด้วย

2. ห้องรับแขกและห้องทำงาน ควรตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อรับแสงแดดในช่วงเช้าที่ยังไม่ร้อนจนเกินไป เพราะในช่วงบ่ายแสงแดดก็ไม่สาดเข้ามา จึงสามารถนั่งทำงานหรือนั่งเล่นได้อย่างรื่นรมย์ตลอดวัน สำหรับห้องรับประทานอาหาร ควรตั้งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อรับลมจากทิศใต้สำหรับการระบายอากาศ

3. ที่จอดรถและห้องเก็บของ ควรอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อเป็นตัวกั้นไม่ให้ความร้อนเข้าไปถึงตัวบ้านได้ แต่ก็ควรมีการระบายอากาศที่ดีด้วย ไม่เช่นนั้นฝุ่นและควันอาจเป็นต้นเหตุให้ข้าวของในพื้นที่ส่วนนี้เสียหายได้และควรมีชายคายาวเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแดดในช่วงบ่าย และป้องกันฝนสาดเข้าสู่ตัวบ้าน

4. ห้องน้ำ ห้องครัว ส่วนซักล้าง ควรตั้งไว้ทางทิศตะวันตก เพื่อให้แสงแดดช่วยฆ่าเชื้อโรคและลดกลิ่นอับอันไม่พึงประสงค์ ทั้งยังช่วยป้องกันความร้อนและความชื้นเข้าไปยังพื้นที่ใช้งานในบ้าน และส่วนซักล้างควรอยู่ทางทิศตะวันตก เพื่อใช้ประโยชน์จากแสงแดดในช่วงบ่าย ขณะเดียวกันก็ควรมีชายคาที่ยื่นยาวเพื่อป้องกันแดดแรง และป้องกันฝนสาดในช่วงฤดูฝน

ทำความเข้าใจฟลอร์แปลน แปลนห้องก่อนซื้อบ้าน-คอนโด

จะเห็นได้ว่าผังบ้านและแปลนบ้านเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย เจ้าของบ้านควรที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับผังบ้าน และแปลนบ้าน เนื่องจากส่งผลต่อการใช้ชีวิตในบ้านไปตลอดการอยู่อาศัย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ฉากกั้นห้อง 7 แบบ เลือกแบบไหนให้เหมาะกับบ้านคุณ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ฉากกั้นห้อง-56935?locale=th www.ddproperty.com:resources:56935 Wed, 10 Nov 2021 10:53:22 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/11/How-to-choose-room-divider-150x150.jpg"/></p> ฉากกั้นห้อง 7 แบบ เลือกแบบไหนให้เหมาะกับบ้านคุณ บ้าน คือพื้นที่ที่เราต้องการความเป็นส่วนตัวมากที่สุด แต่ในบ้านที่มีจำนวนสมาชิกหลายคน การที่จะจัดสรรพื้นที่ให้แต่ละคนจึงอาจจะเป็นเรื่องยาก หากจะเลือกก่ออิฐเติมห้องใหม่ก็อาจจะต้องใช้เวลานาน ดังนั้น “ฉากกั้นห้อง” จึงเป็นอีกหนึ่งไอเดียเพิ่มความเป็นส่วนตัว และแบ่งพื้นที่ให้คนในบ้านได้ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินกั้นห้องใหม่ แถมฉากกั้นห้องยังสามารถติดตั้งได้ง่าย รวดเร็ว และมีหลายแบบให้ใช้

Subscription Banner for Article

 

ฉากกั้นห้องคืออะไร

ฉากกั้นห้อง คือตัวช่วยในการแบ่งเขตพื้นที่ของบ้านอย่างเป็นสัดเป็นส่วน ช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัย เป็นส่วนตัว และยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการตกแต่งบ้านราคาประหยัด โดยที่ไม่จำเป็นต้องกั้นห้องขึ้นมาจริง ๆ เช่นบ้านที่มีห้องโถงยาว ถ้าอยากแบ่งส่วนหนึ่งของบ้านให้กลายเป็นโซนนั่งเล่น โซนกินข้าว โซนพักผ่อน ก็สามารถเลือกใช้ฉากกั้นห้องมาแบ่งอาณาเขตได้ และยังสามารถเลือกให้เข้ากับสไตล์ของบ้านได้ง่ายอีกด้วย

 

ประโยชน์ของการใช้ฉากกั้นห้อง

การใช้ฉากกั้นห้อง นอกจากทำให้ห้องดูเป็นสัดส่วนมากขึ้น ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของความสะดวกสบายในการติดตั้ง รื้อถอน หากเราต้องการจะเปลี่ยนแปลงฉากกั้นห้องก็สามารถปรับได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาทุบห้อง เหมือนกับการกั้นห้องแบบเก่า ๆ ที่ใช้การก่อปูนกั้นห้องไปเลย ดังนั้น การใช้ฉากกั้นห้องแทนการก่อปูนกั้นห้องจริง ๆ จึงช่วยประหยัดค่าเครื่องปรับอากาศไปได้อีก เท่ากับว่าเปิดแอร์ห้องเดียว ได้ลมเย็น ๆ ทั่วทั้งพื้นที่

นอกจากนี้ ฉากกั้นห้องบางแบบยังเอื้อต่อการขนย้ายไปมุมต่าง ๆ ของบ้าน เช่น ฉากกั้นห้องญี่ปุ่นแบบพับเก็บได้ ถ้าวันไหนที่คุณเบื่อ ๆ ก็สามารถย้ายฉากกั้นห้องนี้ไปใช้กับมุมอื่นของบ้านแทนได้ และสีสัน รวมถึงลวดลายของฉากกั้นห้องบางแบบยังสามารถเปลี่ยนได้บ่อย ๆ ตามสไตล์ของคุณอีกด้วย

 

ฉากกั้นห้องแบบญี่ปุ่น

 

ฉากกั้นห้องมีแบบไหนบ้าง

คุณอาจคุ้นตากับฉากกั้นห้องแบบพับเก็บได้ แต่จริง ๆ แล้วฉากกั้นห้องมีอีกหลายแบบให้เลือกตามที่คุณอยากสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ วัสดุที่ใช้ หรือการจัดวาง ถ้ายังไม่มีฉากกั้นห้องในใจ ลองดูตัวอย่างที่รวบรวมมาให้ อาจจะมีฉากกั้นห้องที่คุณสนใจก็เป็นได้

1. ฉากกั้นห้องแบบพีวีซี

ฉากกั้นห้องแบบพีวีซีมีข้อดีคือเบา ติดตั้งได้ง่าย พับได้ ทำให้คุณสามารถเลือกเปิดปิดฉากกั้นห้องตามการใช้งานได้สะดวก ไม่เกะกะตาเท่ากับการกั้นห้องขึ้นมาจริง ๆ ซึ่งอาจต้องเสียเงินและเสียแรง ฉากกั้นห้องแบบนี้ยังไม่ค่อยอมฝุ่น และยังทำความสะอาดง่ายอีกด้วย

 

2. ฉากกั้นห้องแบบญี่ปุ่น

ฉากกั้นห้องแบบญี่ปุ่นจะมีลักษณะเด่นคือการออกแบบให้มีความโปร่ง ให้แสงสามารถลอดผ่านได้ และมีรูปแบบให้เลือกหลากหลาย โดยส่วนมากจะมีโครงสร้างจากไม้ และมีกระจกขุ่นติดตามช่อง โดยมีทั้งแบบเลื่อน หรือแบบพับ ทำให้ห้องดูไม่มืดทึมจนเกินไป

 

ฉากกั้นห้องแบบกระจก

 

3. ฉากกั้นห้องแบบกระจก

ฉากกั้นห้องแบบกระจกทำให้ห้องดูโล่ง สบายตา เหมาะสำหรับการแบ่งสัดส่วนการใช้งานของห้อง แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องความเป็นส่วนตัวสักเท่าไหร่ ข้อดีคือความโล่ง แสงลอดผ่านได้ง่าย ทำความสะอาดได้ง่าย แต่อาจจะมีน้ำหนักค่อนข้างเยอะ ต้องระวังเรื่องการกระแทกเวลาเปิดปิด

 

4. ฉากกั้นห้องแบบผ้าม่าน

ผ้าม่านก็สามารถนำมาใช้เป็นฉากกั้นห้องได้ และยังติดตั้งง่ายอีกด้วย โดยสามารถเลือกสีของผ้าม่านให้เข้ากับการตกแต่งห้องได้ เช่น ลองเลือกสีอ่อนถ้าอยากให้ห้องสว่างขึ้น ได้ทั้งฉากกั้นห้อง และได้ตกแต่งห้องไปในตัว ข้อเสียของฉากกั้นห้องแบบผ้าม่านคืออาจจะเป็นที่กักเก็บฝุ่น อย่างไรก็ตามมันมีน้ำหนักเบา เปิดปิดง่าย และเปลี่ยนลายได้ตามใจ

 

5. ใช้เฟอร์นิเจอร์เป็นฉากกั้นห้อง

บางบ้านอาจจะใช้ตู้หรือชั้นวางของชิ้นใหญ่ ๆ เป็นฉากกั้นห้องได้เช่นกัน ใช้ประโยชน์จากเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ให้กลายเป็นฉากกั้นห้องไปในตัว แต่ข้อควรระวังคือน้ำหนักของเฟอร์นิเจอร์อาจจะทำให้เคลื่อนย้ายลำบากกว่าฉากกั้นห้องแบบอื่น ๆ

 

6. ฉากกั้นห้องแบบพกพาหรือมีล้อ

ฉากกั้นห้องแบบนี้สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก เหมาะกับการกั้นห้องแบบชั่วคราว เพื่อให้คุณสามารถเลือกแบ่งพื้นที่ได้ง่าย ๆ เคลื่อนย้ายสะดวก

 

7. ฉากกั้นห้องแบบไม้ระแนง

ฉากกั้นห้องแบบนี้ให้ความรู้สึกโปร่ง สบายตา และเป็นตัวเลือกในการตกแต่งบ้านที่เหมาะกับบรรยากาศสบาย ๆ หากนำฉากกั้นห้องไม้ระแนงไปติดตั้งที่สวน ยังสามารถใช้เป็นที่แขวนต้นไม้ตกแต่งได้อีกด้วย

 

บางครั้งการใช้เฟอร์นิเจอร์ก็เป็นฉากกั้นห้องได้

 

การติดตั้งฉากกั้นห้อง

สำหรับการติดตั้งฉากกั้นห้อง อาจจะเริ่มจากการวางรูปแบบของห้องว่าอยากจะกั้นพื้นที่ส่วนไหนในบ้านบ้าง เพื่อให้คุณมองเห็นภาพคร่าว ๆ ว่าฉากกั้นห้องสไตล์ไหนน่าจะเหมาะสมที่สุด หากเป็นฉากกั้นห้องแบบสำเร็จรูปคุณอาจซื้อมาติดตั้งเองได้ แต่ฉากกั้นห้องบางแบบอาจจะต้องอาศัยฝีมือของผู้เชี่ยวชาญมาช่วยในการติดตั้ง เช่น ฉากกั้นห้องแบบราง แบบประตูผลัก หรือแบบสไลด์

ส่วนการดูแลรักษาฉากกั้นห้องก็ไม่ยาก เพียงแค่ทำความสะอาดทั่วไป ใช้ผ้าเช็ด หากมีบานพับก็หมั่นดูแลส่วนพับให้ดี เท่านี้ก็สามารถรักษาฉากกั้นห้องให้ใช้งานได้ยาวนานแล้ว

 

โดยสรุปแล้วการจัดสรรพื้นโดยใช้ฉากกั้นห้อง สามารถทำให้พื้นที่เหล่านั้นดูเป็นระเบียบ เป็นสัดส่วน และเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการต่อเติม และค่าไฟ ในกรณีที่ใช้เครื่องปรับอากาศในห้องเดียวกัน ได้ทั้งความสวยงาม เก๋ไก๋ เป็นส่วนตัว แบบไม่ต้องกลัวว่าจะต้องจ่ายเยอะอีกด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
บ้านปูนคืออะไร ดู 4 ข้อดีที่ควรรู้เกี่ยวกับบ้านปูน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/บ้านปูน-56942?locale=th www.ddproperty.com:resources:56942 Wed, 10 Nov 2021 01:08:12 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/11/How-to-choose-concrete-house-150x150.jpg"/></p> บ้านปูนคืออะไร ดู 4 ข้อดีที่ควรรู้เกี่ยวกับบ้านปูน เมื่อคิดถึง “บ้านปูน” สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในสมอง คือ บ้านที่สร้างด้วยระบบ เสา-คาน-พื้น ก่อด้วยอิฐและฉาบปูน โครงสร้างหล่อจากคอนกรีตเสริมเหล็ก และบ้านปูนเปลือยหรือบ้านสไตล์ลอฟท์ บ้านที่โชว์โครงสร้างและผนังปูนโดยไม่มีการนำวัสดุอื่นได้มาฉาบปิดทับตกแต่ง และบ้านปูนที่ก่อสร้างด้วยระบบ Precast ซึ่งเป็นระบบผนังรับน้ำหนักที่หล่อสำเร็จจากโรงงานนำมาประกอบที่หน้าไซส์งาน

Subscription Banner for Article

ปัจจุบันการสร้างบ้านมีระบบก่อสร้างที่หลากหลาย แต่ที่พบเห็นในประเทศไทยมากที่สุด คือบ้านปูนและบ้านไม้ โดยบ้านไม้ส่วนใหญ่จะพบเห็นในชนบท ส่วนบ้านปูจะพบเห็นได้ทั่วไป ขณะที่ระบบก่อสร้างใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมในยุคนี้ คือ บ้านปูนที่ก่อสร้างด้วยระบบ Precast และบ้านโครงสร้างเหล็กผสมปูน โดยระบบก่อสร้างที่แพร่หลายในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้ คือ บ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบ Precast ซึ่งจะพบเป็นได้ในโครงการบ้านจัดสรรทั่วไป

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างอิฐมอญ อิฐมวลเบา และผนังสำเร็จรูป

ปัจจัย ผนังอิฐมอญ ผนังอิฐมวลเบา ผนังสำเร็จรูป
ความแข็งแรง มากกว่าอิฐมวลเบา น้อยที่สุด มากที่สุด
การป้องกันความร้อน สะสมความร้อน แต่กันความร้อนดีกว่าอิฐมวลเบาหากก่ออิฐมอญ 2 ชั้น ดี สะสมความร้อน
การป้องกันเสียง ไม่ค่อยดี เว้นแต่จะก่ออิฐมอญ 2 ชั้น ดี ดีที่สุด
คุณภาพผนัง ขึ้นอยู่กับฝีมือของช่างที่ต้องมีประสบการณ์ ขึ้นอยู่กับคุณภาพปูนและฝีมือของช่าง ตามมาตรฐานคุณภาพของโรงงาน
การต่อเติมและดัดแปลง ง่าย ทำเองได้บ้างหากมีความรู้และประสบการณ์ ต้องอาศัยช่างที่ชำนาญ ทำไม่ได้หรือทำได้ยาก และต้องอาศัยวิศวกรและช่างที่ชำนาญโดยเฉพาะ
ต้นทุนในการก่อสร้าง ปานกลาง-สูง ต่ำ ต่ำ-ปานกลาง
ระยะเวลาในการสร้างผนัง ช้า ปานกลาง เร็ว

ผนังสำเร็จรูป ผนังอิฐมวลเบา และผนังอิฐมอญ ผนัง 3 แบบแตกต่างกันอย่างไร

 

ทำไมบ้านปูนถึงเป็นที่นิยม

ความนิยมบ้านปูน ที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบ้านปูน มีราคาถูกและแข็งแรงมากกว่า เมื่อเทียบกับบ้านไม้นับวันราคามีแต่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ขณะเดียวกันอายุการใช้งานของบ้านปูน ไม่ว่าจะเป็นบ้านปูนที่สร้างบนที่ดินของตัวเอง หรือบ้านปูนที่ซื้อจากโครงการบ้านจัดสรร ที่ปัจจุบันนิยมก่อสร้างด้วยระบบ Precast นั้น ด้วยโครงสร้างอาคารที่สร้างมาจากปูนซีเมนต์ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานไม่ต่ำกว่า 50 ปี บางหลังหากดูแลและรีโนเวทอยู่เป็นประจำก็มีอายุใช้งานนับ 100 ปี

 

ข้อดีของบ้านปูน

1. แบบบ้านปูนในปัจจุบันมีให้เลือกจำนวนมาก เจ้าของบ้านสามารถออกแบบและตกแต่งได้ตามชอบ

2. ต้นทุนวัสดุก่อสร้างบ้านปูน ราคาไม่แพง แถมผลิตภัณฑ์และชนิดของปูนในท้องตลาดปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลาย

3. บ้านปูนสามารถปรับตัวกับสภาพอากาศร้อน อากาศเย็น เช่น กลางวันในหน้าร้อนบ้านปูนจะอยู่เย็นสบาย เพราะปูนช่วยดูดซับความร้อน และในหน้าหนาวปูนจะป้องกันลมเข้าบ้านได้ดีทำให้ภายในบ้านอบอุ่น

4. บ้านปูนเก็บเสียงได้ดี และยังป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกตัวบ้านได้ดีกว่าบ้านไม้ นอกจากนั้นบ้านปูนป้องกันฝุ่นละออง ควัน และกลิ่นต่าง ๆไม่ให้เข้ามารบกวนคนในบ้านได้ดี

 

ข้อด้อยของบ้านปูน

1. บ้านปูนโดยส่วนใหญ่มักมีปัญหาสีหมองง่าย หลุดลอกร่อน ทำให้ผู้อยู่อาศัยต้องซ่อมบำรุง

2. บ้านปูนมีความยืดหยุ่นน้อย ในกรณีที่เกิดภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว บ้านปูนจึงเกิดผนังแตกร้าวได้ง่ายกว่าบ้านไม้และบ้านโครงสร้างเหล็ก

3. บ้านปูนจะมีปัญหาเรื่องกลิ่นอับ และเกิดปัญหาเชื้อราบนผนังได้ง่าย โดยเฉพาะบ้านที่ไม่ได้ทาสีป้องกันเชื้อราเพราะบ้านปูนระบายอากาศได้ไม่ดีนัก

4. บ้านปูน หากได้รับการออกแบบไม่ดี หรือเลือกใช้โทนสีที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้บ้านดูมืดทึบอยู่แล้วอึดอัด

5. การเคลื่อนย้าย ปรับปรุง หรือต่อเติม บ้านปูนจะทำได้ยากกว่าบ้านโครงสร้างเหล็กและบ้านไม้ โดยเฉพาะบ้านปูนที่ก่อสร้างด้วยระบบ Precast ซึ่งนิยมใช้ในโครงการบ้านจัดสรร ซึ่งหากต้องการต่อเติมห้องจะต้องมีวิศวกรคุมงาน ดูแลและให้คำปรึกษา หรือไม่ก็ต้องทุบทิ้งเพื่อสร้างใหม่

 

บ้านปูนมีทั้งข้อดีและข้อด้อย

 

การดูแลรักษาบ้านปูน

สำหรับการดูแลรักษาบ้านปูนนั้น อย่างที่ทราบกันดีว่า บ้านปูนจะมีปัญหาในเรื่องของความอับชื้น ทำให้เกิดปัญหาการเกิดเชื้อราได้ง่าย ดังนั้น เจ้าของบ้านจึงต้องหมั่นเปิดประตู หน้าต่าง เพื่อช่วยในการระบายอากาศและความชื้นภายในบ้าน ซึ่งจะลดปัญหาการเกิดเชื้อราคาบนผนังบ้าน แต่จะให้ดีเจ้าของบ้านควรทาสีป้องกันเชื้อรา ซึ่งจะดีกว่าการเลือกใช้วอลเปเปอร์เพราะในระยะยาวจะเสี่ยงกับการเกิดปัญหาเชื้อราได้

การดูแลรักษาบ้านปูนเปลือย

ส่วนบ้านปูนเปลือยนั้น เนื่องจากต้องใช้เทคนิคการฉาบผนังปูน ที่ใช้เทคนิคความชำนาญเฉพาะทางด้วยการฉาบปูนไม่ให้เกิดรอยแตกลายงา และยังต้องวางแผนระบบท่อร้อยสายไฟไปพร้อม ๆ กันด้วย โดยที่ต้องไม่ลืมว่าจะต้องเคลือบน้ำยาเคลือบผิวและต้านการดูดซึมน้ำทุก ๆ 1-2 ปี เพื่อป้องความชื้นและคราบสกปรกต่าง ๆ ที่อาจจะซึมเข้าเนื้อซีเมนต์จนเกิดเป็นรอยด่างได้

 

การดูแลรักษาบ้านปูนระบบ Precast

ขณะที่บ้านปูนที่ใช้ระบบ Precast ซึ่งโดยมากจะเป็นบ้านในโครงการหมู่บ้านจัดสรร ผู้ซื้อต้องทำใจยอมรับว่าในทุก ๆ 2-3 ปีอาจต้องมีการรีโนเวทสีบ้านใหม่ เพราะบ้านปูนระบบ Precast นั้นแม้จะมีข้อดีของความแข็งแรงของผนังมากกว่าบ้านปูนเปลือย และบ้านก่ออิฐฉาบปูนทั่วไป

แต่เนื่องจากแผ่นผนังบ้านเป็นระบบที่ผลิตจากโรงงาน ผิวของผนังจึงมีความเรียบมันมากกว่าผนังฉาบปูนธรรมดา ประกอบกับในเนื้อปูนซีเมนต์นั้นผสมน้ำยากันซึมทำให้สีทาบ้านเกาะตัวได้ไม่ดี จึงเกิดการโป่งพองบนผิวผนังบ่อย ๆ ทำให้สีผนังบ้านภายนอกเมื่อถูกแดดนาน ๆ จะเกิดการหลุดล่อนเร็วกว่าบ้านปูนฉาบแบบธรรมดา

ระบบประปา

นอกจากนี้บ้านปูนระบบ Precast ซึ่งเป็นระบบหล่อในโรงงานและนำมาประกอบที่ไซด์งานก่อสร้าง จะมีปัญหาที่พบบ่อย ๆ ก็คือการเชื่อมต่อกันของรอยต่อ ซึ่งอาจจะปัญหาเรื่องการรั่วซึมของระบบประปาภายในบ้าน ดังนั้นเจ้าของบ้านจึงต้องหมั่นดูแลและตรวจสอบการรั่วซึมของระบบประปาภายในบ้านเป็นประจำ

ระบบไฟฟ้า

นอกจากการตรวจสอบดูแลระบบประปาในบ้านแล้ว เรื่องสำคัญที่ต้องตรวจสอบดูแล คือ ระบบไฟฟ้า เนื่องจากบ้านปูนระบบ Precast มีการวางระบบไฟฟ้าแบบท่อล้อยสาย ปัญหาที่พบบ่อย ๆ คือระบบไฟฟ้าลัดวงจรจากความชื้นในท่อร้อยสาย ซึ่งเกิดจากการขนเศษดินและหินขนาดเล็กของมดและแมลงที่เข้ามาอาศัยอยู่ในระบบท่อร้อยสายไฟฟ้า

ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรในระบบท่อร้อยสายไฟเจ้าของบ้านต้องหมั่นตรวจสอบดูว่าในรอยต่อท่อร้อยสายไฟนั้นเกิดรอยรั่วและมีมดแมลงเข้าไปอาศัยอยู่หรือไม่ 

เช็กบริการและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการตรวจระบบไฟฟ้าจากการไฟฟ้า

อย่างไรก็ดี การเลือกซื้อบ้านนั้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านปูน บ้านไม้ หรือบ้านโครงสร้างเหล็ก ต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่ต่างกันออกไป ดังนั้นในการเลือกซื้อบ้านผู้ซื้อควรศึกษาข้อดีข้อเสีย ของบ้านแต่ละแบบให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะหากซื้อไปแล้วไม่ถูกใจ จะขายเพื่อหาซื้อบ้านใหม่นั้น ปัญหาที่จะตามมาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยทีเดียว  

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
แต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์ 5 แบบ ทำแบบไหนไม่ให้ผิดกฎหมาย https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์-56932?locale=th www.ddproperty.com:resources:56932 Tue, 09 Nov 2021 14:11:02 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/10/Renovate-front-of-townhouse-cover-150x150.jpg"/></p> แต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์ 5 แบบ ทำแบบไหนไม่ให้ผิดกฎหมาย หน้าบ้าน เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญ ไม่เพียงแต่จุดแรกที่คนภายนอกมองเข้ามาเท่านั้น แต่ยังสามารถเพิ่มการใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ ที่ถึงแม้ว่าจะมีพื้นนอกบ้านไม่ได้มาก แต่สามารถแต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์ให้สวยงาม และเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้คุ้มค่า แต่ต้องทำโดยไม่ผิดกฎหมาย

Subscription Banner for Article

 

แต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์ ทำอย่างไรได้บ้าง

1. แต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์: ทำโรงจอดรถ

ทาวน์เฮ้าส์มีหน้ากว้างหลากหลาย และเป็นจุดขายของโครงการ โดยมีขนาดหน้ากว้างขั้นต่ำตามกฎหมายอยู่ที่ 4-10 เมตร ความกว้างที่แตกต่างกันนี้ ส่งผลต่อจำนวนที่จอดรถ ซึ่งถ้ายึดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ปี 2522 ฉบับปรับปรุง ปี 2558 ระบุว่า ช่องจอดรถขั้นต่ำต้องมีขนาดอย่างน้อย 2.4 x 5 เมตร ทำให้ทาวน์เฮ้าส์แต่ละขนาด มีขนาดที่เหมาะสมในการจอดรถ ดังนี้

- ทาวน์เฮ้าส์หน้ากว้าง 4 เมตร จอดรถได้ 1 คัน อาจมีพื้นที่เหลือด้านข้างรถ ไว้สำหรับจอดรถมอเตอร์ไซค์เพิ่มได้

- ทาวน์เฮ้าส์หน้ากว้าง 5-5.7 เมตร เป็นช่วงระยะที่พบได้บ่อยและเป็นที่นิยม สามารถจอดรถได้ 1-2 คัน ขึ้นอยู่กับการออกแบบและคอนเซ็ปต์ของโครงการ

- ทาวน์เฮ้าส์หน้ากว้าง 6-7 เมตร จอดรถได้ 2 คัน ทาวน์เฮ้าส์ลักษณะนี้จะมีขนาดตัวบ้านที่ใหญ่ มีจำนวนสมาชิกหลายคน จึงออกแบบให้สามารถจอดรถได้ 2 คัน เป็นอย่างน้อย

- ทาวน์เฮ้าส์หน้ากว้าง 8-10 ม. จอดรถได้สูงสุด 3 คัน แต่มีบางโครงการที่ออกแบบมาให้มี 2 ช่องจอดได้แบบสบาย ๆ แบบหลวม ๆ ตามการใช้งาน

ทาวน์เฮ้าส์ หน้ากว้าง

ที่จอดรถ 

4 เมตร

1 คัน

5-5.7 เมตร

1-2 คัน

6-7 เมตร

2 คัน

8-10 เมตร

3 คัน

สำหรับการทำโรงจอดรถ เพื่อช่วยกันแดดฝนให้รถ ถือเป็นการต่อเติม เพื่อความปลอดภัยและสวยงาม จำเป็นจะต้องใช้สถาปนิกและวิศวกรในการออกแบบและดูแลโครงสร้าง เพื่อให้รูปแบบของการต่อเติมนั้นมีความสอดคล้องกลมกลืนกับตัวบ้าน อีกทั้งยังออกแบบโครงสร้างให้มีความแข็งแรง ถูกต้องตามกฎหมาย

จะสร้างโรงจอดรถให้เหมาะกับบ้านและรถ ต้องรู้อะไรบ้าง

 

2. แต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์: ทำสวน

แม้พื้นที่หน้าบ้านจะกว้างไม่มาก แต่ก็สามารถจัดการพื้นที่เล็ก ๆ ให้กลายเป็นสวนหน้าบ้านสวย ๆ ได้ สำหรับใครที่รักธรรมชาติ การแต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์เป็นสวนได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เนื่องจากไม่มีพื้นที่ด้านข้าง จึงต้องใช้หน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

หลายบ้านแบ่งพื้นที่เล็ก ๆ หน้าบ้านไว้สำหรับทำสวน หรือถ้าบ้านไม่มีรถยนต์ส่วนตัว เพราะใช้บริการรถสาธารณะ ก็อาจจะยกพื้นที่บริเวณหน้าบ้านทั้งหมด ไว้สำหรับแต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์เป็นสวน

จะแต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์เป็นสวนขนาดเล็กหรือใหญ่ ขึ้นอยู่กับขนาดหน้ากว้างของทาวน์เฮ้าส์ เลือกต้นไม้ที่ชอบ ทั้งไม้ใบ ไม้ประดับ ไม้พุ่ม ไม้ดอกสีสันสดใส ก็ช่วยเพิ่มบรรยากาศ เติมความสดใสและมีชีวิตชีวาให้บ้านและผู้อยู่อาศัยได้ ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยม่านน้ำตก นั่งชมธรรมชาติ ฟังเสียงน้ำไหล ก็ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี  

จัดสวนสไตล์อังกฤษ 5 เรื่องควรรู้เพื่อทำให้บ้านน่าอยู่

 

3. แต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์: ทำพื้นที่นั่งเล่น

ยังคงอยู่ที่พื้นที่พักผ่อน ต่อเนื่องจากทำสวนยังสามารถเพิ่มมุมนั่งเล่นนอกบ้าน ด้วยการปูพื้นใหม่ ซึ่งวัสดุปูพื้นมีให้เลือกหลัก 2 แบบ ได้แก่

- วัสดุจากธรรมชาติ เช่น หินแกรนิต หินทราย หินกาบ ศิลาแลง นิยมใช้ปูตกแต่งตามทางเดินในสวนที่ต้องการความสวยงามเสมือนธรรมชาติ นิยมใช้เฉพาะบางจุดเพื่อความสวยงาม

- คอนกรีตปูพื้น เป็นวัสดุทดแทนที่สร้างขึ้นสำหรับปูพื้นทางเดิน ทำจากซีเมนต์ผสมกับ หิน ทราย และน้ำ แล้วอัดขึ้นรูปให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ เช่น อิฐตัวหนอน กระเบื้องคอนกรีต รับแรงอัดได้มาก นิยมใช้ปูนอกบ้าน หน้าบ้าน ทางเดิน และทางเข้าโรงจอดรถ

ตกแต่งเพิ่มเติมโดยใช้หญ้าเทียม ก็ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดูแลตัดแต่งต้นหญ้า เพิ่มหินกรวดสีขาวตัดกับสีเขียวของหญ้า จากนั้นก็เลือกเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ เก้าอี้สวย ๆ มาจัดวาง ก็ได้อีกหนึ่งมุมนั่งเล่นหน้าบ้าน หรือบางวันอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ ออกมานั่งรับประทานปิ้งย่างหน้าบ้านก็สามารถทำได้ 

รู้จักหญ้า 4 ชนิด หญ้านวลน้อย หญ้าญี่ปุ่น หญ้ามาเลเซีย หญ้าเบอร์มิวด้า

 

4. แต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์: ทำโรงเรือนปลูกต้นไม้

กิจกรรมยอดฮิตของคนจำนวนไม่น้อย เมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ติดบ้านมากขึ้น หรือในช่วง Work From Home คือ การปลูกต้นไม้ เป็นโอกาสเหมาะที่จะแต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์ให้เป็นโรงเรือนปลูกต้นไม้ ปลูกไม้ด่าง เป็นโรงเรือนไซส์มินิ โรงเรือนย่อส่วน

มีทั้งแบบซื้อสำเร็จรูป เลือกได้ตามขนาดและสไตล์ความชอบ หรือจะ DIY เองก็ได้ เอาไว้เพาะต้นไม้ขนาดเล็ก เลี้ยงแคคตัส ไม้อวบน้ำ ตกแต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์ให้สวยงาม รวมถึงภายในบ้าน และยังสามารถขายสร้างรายได้

12 ต้นไม้มงคลปลูกหน้าบ้านเพื่อเสริมดวงชะตาชีวิต

 

แต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์ ด้วยการปลูกต้นไม้

 

5. แต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์: ทำแปลงผักสวนครัว

การปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานเองก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช้เฉพาะแต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์เท่านั้น

แต่สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านเดี่ยว แล้วมีพื้นที่เหลือไม่ว่าจะเป็นฝั่งหน้าบ้าน ข้างบ้าน หรือหลังบ้าน ก็สามารถทำได้ ปลูกผักสวนครัวแปลงเล็ก ๆ ที่นิยมและปลูกง่าย ได้แก่ กะเพรา คะน้า บวบ โหระพา มะระ ตะไคร้ พริก มะเขือเทศ และตำลึง

3 ขั้นตอนปลูกผักสวนครัวในบ้านฉบับมือใหม่

 

แต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์อย่างไรให้ถูกกฎหมาย

การแต่งหน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์ หากไม่ได้เป็นการต่อเติมหรือดัดแปลงอาคาร สามารถทำได้ไม่ผิดกฎหมาย

ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 (พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร) มาตรา 4 ได้นิยามคำว่า ดัดแปลง หมายถึง การเปลี่ยนแปลง ต่อเติม เพิ่ม ลด หรือขยายขอบเขต แบบ รูปทรง สัดส่วน น้ำหนัก หรือเนื้อที่โครงสร้างหรือส่วนต่าง ๆ ของอาคารที่ก่อสร้างไปแล้วให้เปลี่ยนไปจากเดิม เช่นเดียวกับการต่อเติมบ้าน ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกกันโดยทั่วไป ให้มีความหมายเดียวกัน

หากเป็นการต่อเติมหลังคาจอดรถ ต่อเติมข้างบ้าน ต่อเติมระเบียงหน้าบ้าน หรือต่อเติมครัวหลังบ้านไว้สำหรับเป็นครัวไทย พื้นที่ซักล้าง หรือห้องแม่บ้าน ต้องรู้ข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522  และควรศึกษาให้เข้าใจเนื่องจากเป็นการต่อเติมที่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน มีแบบแปลนที่ได้รับการรับรองจากสถาปนิกผู้ออกแบบและวิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้าง และต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายระยะร่นและที่เว้นว่าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง

อ่านกฎหมายระยะร่นและที่เว้นว่าง เพิ่มเติม

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ยกบ้าน ทำในกรณีไหนบ้าง แนะ 6 ขั้นตอนยกบ้านจากวิศวกรรมสถานฯ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ยกบ้าน-ดีดบ้าน-คืออะไร-56691?locale=th www.ddproperty.com:resources:56691 Thu, 04 Nov 2021 22:49:51 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/10/Lift-the-house-cover-150x150.jpg"/></p> ยกบ้าน ทำในกรณีไหนบ้าง แนะ 6 ขั้นตอนยกบ้านจากวิศวกรรมสถานฯ หลายคนอาจจะเคยได้บินเกี่ยวกับการยกบ้านหรือดีดบ้าน ซึ่งคงพอจะคาดเดาได้ว่าเป็นการทำให้บ้านยกสูงขึ้นจากเดิม แต่ไม่ใช่ว่าคิดจะยกบ้านแล้วทำได้เลย เพราะยังมีเรื่องของข้อกฎหมาย และวิธีการยกบ้าน ซึ่งต้องทำโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากมีผลต่อโครงสร้างบ้านทั้งหลัง มาดูว่ายกบ้าน คืออะไร สามารถทำได้กรณีไหนบ้าง มีประโยชน์หรือข้อควรระวังอย่างไร เพื่อการยกบ้านที่ถูกกฎหมายและปลอดภัย

Subscription Banner for Article

 

ยกบ้าน คืออะไร

การยกบ้าน หรือดีดบ้าน คือ การทำให้บ้านสูงขึ้นกว่าระดับที่เป็นอยู่ เป็นการตัดโครงสร้างช่วงเสาตอม่อแยกตัวบ้านออกจากฐานราก แล้วค้ำยกตัวบ้านขึ้นในระดับความสูงที่ต้องการด้วยค้ำยันไฮดรอลิก จากนั้นทำโครงสร้างเสริมรับส่วนเสาตอม่อที่ถูกตัดแยกออก ให้น้ำหนักตัวบ้านถ่ายลงฐานรากของบ้านดังเดิม

การยกบ้านสามารถทำได้ทั้งบ้านไม้และบ้านปูน เป็นวิธีการที่ทำกันมาตั้งแต่อดีต เพราะคนนิยมปลูกสร้างบ้านริมน้ำ ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมและบ้านทรุดได้ จึงต้องมีการยกบ้านหรือดีดบ้านขึ้น เพื่อแก้ปัญหาบ้านพังที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อระยะเวลาผ่านไป

โดยปัจจุบันการยกบ้าน มีความสะดวกและมีมาตรฐานมากขึ้น แต่ก็มาพร้อมค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบกับการที่ต้องทุบบ้านทิ้งแล้วสร้างใหม่ หลายคนมองว่าต้องใช้งบประมาณที่มากกว่า จึงเลือกที่จะใช้วิธียกบ้านแทน  

 

ประโยชน์ของการยกบ้าน

หากมองถึงประโยชน์ของการยกบ้าน หลัก ๆ คือ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เช่น มีการถมที่ดินหรือถมถนนขึ้นสูงกว่าบ้าน แก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากแทนการย้ายที่อยู่อาศัย หรือปัญหาที่เกิดจากตัวบ้านโดยตรง เช่น บ้านทรุด ซึ่งเกิดจากบ้านเก่า มีอายุการใช้งานนานหลาย 10 ปี การทำให้บ้านสูงและแข็งแรงขึ้น เป็นอีกหนึ่งวิธีในการแก้ปัญหาระยะยาว โดยไม่ต้องย้ายบ้านหรือสร้างบ้านใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้งบประมาณมากและใช้เวลาที่ยาวนานกว่าการยกบ้าน 

บ้านทรุด เช็ก 2 สัญญาณที่บ่งบอกว่าบ้านทรุด ก่อนลุกลามจนบ้านพัง

 

ลำดับขั้นตอนการยกบ้านและอาคาร

วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.)  ได้อธิบายถึงขั้นตอนการยกบ้านที่ถูกต้องตามหลักการทางวิศวกรรม ซึ่งใช้กับอาคารได้ทุกชนิด ได้แก่ บ้านไม้ อาคารอิฐก่อ อาคารเหล็ก หรืออาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ดังนี้

1. ทำเสาเข็ม หรือฐานรองรับ

2. ทำค้ำยันเพื่อถ่ายน้ำหนักจากตัวอาคารลงสู่เสาเข็ม หรือฐานที่รองรับ

3. ติดตั้งแม่แรงไฮดรอลิก

4. ตัดเสาตอม่อ หรือเสาเข็มให้ขาดจากฐานรากเดิม

5. ยกอาคารทั้งหลังขึ้นพร้อมกัน ในขณะยกจะทำค้ำยันตามไปด้วย

6. เมื่อยกได้ความสูงที่ต้องการแล้ว ทำการต่อเสาอาคาร หรือบ้านลงสู่ฐานราก

 

ยกบ้านหรือดีดบ้าน ควรทำในกรณีไหน

การยกบ้าน มีข้อควรระวัง ดังนั้นจึงต้องมีการคิดไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีก่อนตัดสินใจ ซึ่งหลัก ๆ แล้ว การยกบ้านจะนิยมทำใน 3 กรณี คือ

1. บ้านอยู่ระดับต่ำกว่าถนน

เมื่อครั้งที่ซื้อบ้านหรือสร้างบ้าน เลือกทำเลดี ไม่มีปัญหาน้ำท่วม โครงการอยู่สูงกว่าระดับถนน โอกาสน้ำท่วมถึงเป็นไปได้ยาก แต่ต่อมามีการก่อสร้างขยายถนน ทำให้บ้านอยู่ระดับต่ำกว่าถนนไปโดยปริยาย เวลาที่ฝนตกหนัก น้ำระบายไม่ทัน จึงพบปัญหาน้ำเอ่อไหลเข้าท่วมพื้นบ้านชั้นล่าง แม้จะหล่อแนวขอบคันคอนกรีตกั้นน้ำเพื่อป้องกัน แต่ก็อาจมีน้ำซึมจากพื้นบ้าน ขอบมุม พื้นชนผนัง และยาแนวกระเบื้องได้ การยกบ้านหรือดีดบ้านขึ้น เพื่อให้พื้นบ้านอยู่ในระดับสูงกว่าถนน แม้จะต้องทำหลายขั้นตอน แต่สามารถแก้ปัญหาได้ในระยะยาว  

2. บ้านอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมบ่อย

หลายบ้านเคยมีประสบการณ์จากเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ เมื่อปี 2554 ทำให้ก่อนซื้อบ้านหรือซื้อที่ดินปลูกสร้างบ้าน พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ต้องรู้ก่อนซื้อบ้าน เป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องนำมาประกอบการตัดสินใจ เพราะการที่ที่อยู่อาศัยต้องจมน้ำ หรือถูกน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานาน อาจกระทบโครงสร้างบ้านให้ได้รับความเสียหาย รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ต่าง ๆ ในบ้าน ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน การยกบ้านให้สูงขึ้นอย่างน้อย 1.5 เมตร หรือมากกว่านั้น สามารถลดความเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมได้

 

ยกบ้านหรือดีดบ้าน เหมาะสำหรับบ้านอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมบ่อย

 

3. บ้านทรุดตัวจากฐานราก

ฐานรากเป็นส่วนสำคัญในการสร้างบ้าน เพราะเป็นส่วนที่ต้องรับน้ำหนักของตัวบ้านทั้งหมด เสาเข็มต้องมีความมั่นคงแข็งแรง โดยเสาเข็มเป็นส่วนของโครงสร้างที่อยู่ใต้ดิน หากเสาเข็มเกิดการทรุดตัวลง จะทำให้ระดับพื้นของตัวบ้านไม่เท่ากัน สัญญาณที่พบ คือ กำแพงมีรอยร้าวเป็นแนวเฉียง ตัวบ้านเริ่มทรุดเอียง

ดังนั้นเจ้าของบ้านจึงต้องหมั่นสังเกตรอยร้าวรอบ ๆ ตัวบ้าน เพื่อหาทางป้องกันก่อนบ้านพัง วิธีแก้ปัญหาด้วยการยกบ้าน สามารถเพิ่มความแข็งแรงของพื้นบ้านและตัวบ้านได้ในระยาว

เสาเข็ม 3 ประเภท เรื่องสำคัญที่คนซื้อบ้านควรรู้

กรณีที่ควรยกบ้าน

ความเสียหาย

บ้านอยู่ระดับต่ำกว่าถนน

ฝนตก น้ำท่วม พื้นบ้านชั้นล่างเสียหาย

บ้านอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมบ่อย

กระทบโครงสร้างบ้านและเฟอร์นิเจอร์

บ้านทรุดตัวจากฐานราก

รอยร้าว บ้านทรุด บ้านพัง

 

ยกบ้าน สิ่งที่ต้องระวัง

1. การยกบ้านหรือดีดบ้าน เป็นการตัดยกโครงสร้างบ้านทั้งหลังให้สูงขึ้น แล้วเสริมเสากับตัวบ้านใหม่ลงบนฐานรากเดิมหรือฐานรากใหม่ ที่มีการเสริมความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องดำเนินการโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

2. อาคารที่เหมาะในการยก คือ อาคารเป็นหลังเดี่ยว เช่น บ้านเดี่ยว ไม่เหมาะสำหรับตึกแถวหรือทาวน์เฮ้าส์ เพราะการดีดจะต้องทำทั้งหลัง ไม่สามารถทำเฉพาะส่วนได้ ส่วนตึกแถวหรือทาวน์เฮ้าส์ หากต้องการทำ ต้องทำพร้อมกันทั้งแถว

3. ตามกฎหมาย การยกบ้านหรือดีดบ้าน เป็นการดัดแปลงอาคาร ต้องมีการยื่นขออนุญาตต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น ซึ่งตามกฎหมายต้องมีวิศวกรออกแบบและควบคุมงาน เพื่อรับผิดชอบการทำงานดังกล่าว

4. แม้จะมีบทเรียนจากน้ำท่วมในปี 2554 รู้ว่าพื้นที่ในกรุงเทพฯ เขตไหนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม รู้ระดับน้ำที่ท่วมสูงสุด แม้จะยกบ้านหนีน้ำจนพ้น แต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้ 100% ว่า หากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำรอย น้ำจะไม่ท่วมถึง  

5. การยกบ้านขึ้น อาจทำให้บ้านต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ เช่น มีการเพิ่มบันไดหรือทางลาดเพื่อขึ้นบ้าน ซึ่งอาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากต้องเดินขึ้นบันไดตามความสูงที่มากขึ้น

6. ค่าใช้จ่ายในการยกบ้านค่อนข้างสูง ประเมินคร่าว ๆ ประมาณครึ่งหนึ่งของราคาค่าก่อสร้างบ้านใหม่ ดังนั้นเจ้าของบ้านควรพิจารณาว่าการยกบ้านให้สูงขึ้น แล้วได้บ้านเดิม สภาพเดิม เปรียบเทียบกับการก่อสร้างบ้านใหม่ที่สภาพบ้านสมบูรณ์กว่า แบบไหนจะคุ้มกว่ากัน

BOQ คืออะไร 4 ขั้นตอนคำนวณ BOQ ก่อนสร้างบ้าน 

 

เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ สำหรับคนที่กำลังคิดจะยกบ้าน ซึ่งมีข้อดี สามารถแก้ปัญหาได้ในระยะยาวแต่ไม่ใช่คิดจะยกบ้านก็สามารถทำได้เลย เพราะมีสิ่งที่ต้องระวังนำมาพิจารณาประกอบกัน รวมถึงงบประมาณและโครงสร้างบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวบ้านได้รับความเสียหาย หรือเกิดอันตรายขึ้นในระหว่างที่ยกบ้าน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
การเตรียมตัวสร้างบ้าน 7 ขั้นตอน รู้ก่อนหาผู้รับเหมา ขออนุญาตก่อสร้าง https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/เรื่องควรรู้-เมื่ออยากสร้างบ้านอยู่เอง-7598?locale=th www.ddproperty.com:resources:7598 Sat, 23 Oct 2021 12:36:47 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/05/home-build-mortgage-150x150.jpg"/></p> การเตรียมตัวสร้างบ้าน 7 ขั้นตอน รู้ก่อนหาผู้รับเหมา ขออนุญาตก่อสร้าง เชื่อว่าหลายคนที่มีที่ดินอยู่แล้ว และมีไอเดียที่อยากจะสร้างบ้านเอง เพื่อให้ฟังก์ชันภายในบ้านตอบโจทย์ความต้องการในการใช้สอยของเรามากที่สุด แต่อาจจะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มยังไง จริง ๆ แล้วการเตรียมตัวสร้างบ้าน เพื่ออยู่เองนั้นมีขั้นตอนหลัก ๆ ที่ควรรู้อยู่ 7 ขั้นตอน ลองมาดูว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้สนใจนำไปปรับใช้กัน

sportlight

 

1. ที่ดินพร้อมสร้างบ้าน

ขั้นตอนแรกของการเตรียมตัวสร้างบ้าน คือ ต้องมีที่ดินที่พร้อมจะสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งต้องผ่านการศึกษามาแล้วว่า อยู่ในพื้นที่ที่สามารถก่อสร้างที่อยู่อาศัยได้ มีไฟฟ้า น้ำประปาผ่าน เพื่อพร้อมในการอยู่อาศัย

ค้นประกาศขายที่ดินที่น่าสนใจ

 

การเตรียมตัวสร้างบ้านอยู่เอง ที่ดินต้องพร้อม

 

2. ต้องถมที่ดินหรือไม่

สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงก่อนการเตรียมตัวสร้างบ้าน คือ ที่ดินที่เรามีต้องถมหรือไม่ ซึ่งหากประเมินแล้วว่า ไม่ต้องถม ก็เริ่มต้นขั้นตอนต่อไปได้เลย แต่ถ้าพิจารณาดูแล้ว ที่ดินของเราค่อนข้างต่ำ เสี่ยงกับภาวะน้ำท่วม ก็ควรต้องถมดิน ซึ่งอาจจะถมสูงกว่าถนนคอนกรีตประมาณ 50 เมตร

ถมที่ดิน เรื่องต้องรู้ก่อน สร้างบ้าน

 

3. วางแผนเรื่องงบประมาณ

อีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญของการเตรียมตัวสร้างบ้าน คือ งบประมาณ จริง ๆ แล้วค่าถมที่ดินก็ควรอยู่ในงบประมาณของเรา แต่หลายคนก็นิยมที่จะซื้อที่ดิน ถมที่ดินไว้ก่อน ยังไม่เริ่มก่อสร้าง ดังนั้น จึงขอวางหัวข้อเรื่องงบประมาณไว้เป็นลำดับที่ 3 โดยการวางแผนงบประมาณในการสร้างบ้าน เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะนอกจากจะได้ทราบงบประมาณทั้งหมดที่คาดว่าจะต้องใช้แล้ว ยังเป็นแนวทางในการวางแผนทางการเงินได้ดีอีกด้วย

โดยสามารถคำนวณเงินสดที่เรามี กับเงินกู้ที่จะใช้ในการสร้างบ้านครั้งนี้ วางแผนให้รอบคอบว่า จะกู้สัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ และลงเงินสดเองกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหลักในการคิดของแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนอยากลงเงินสดเยอะ เพราะไม่ต้องการเสียดอกเบี้ย แต่บางคนมองว่า ถ้ากู้ได้หมด ก็จะกู้ เพื่อนำเงินสดที่มีสำรองไว้ใช้อย่างอื่น

กู้ซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างบ้าน ความฝันที่เป็นจริงได้

หาคนเขียนแบบ อีกหนึ่งการเตรียมตัวสร้างบ้านที่สำคัญ

 

4. หาแบบบ้าน/จ้างเขียนแบบ

ขั้นตอนนับจากนี้ จะเขียนในกรณีที่เราจะสร้างบ้านเองด้วยการจ้างผู้รับเหมา ไม่ได้ใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้าน เพื่อให้เห็นภาพของการเตรียมตัวสร้างบ้าน ครบทุกขั้นตอน เพราะหากจ้างบริษัทรับสร้างบ้าน ส่วนใหญ่แล้วก็จะดำเนินการให้เราหมดทุกอย่าง รวมถึง ขั้นตอนทางราชการด้วย (แล้วแต่บริษัท บางบริษัทให้เราดำเนินการทางราชการเอง บางบริษัทก็จะดำเนินการให้ และคิดค่าบริการรวมไปแล้ว)

โดยขั้นตอนการหาแบบบ้าน/จ้างเขียนแบบ ให้ลองหาแบบบ้านที่อยากได้ หน้าตาประมาณไหน ต้องการพื้นที่ใช้สอยประมาณเท่าไหร่ ฟังก์ชั่นบ้านเป็นอย่างไร ต้องการกี่ห้องนอน กี่ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องทำงานด้านล่าง ห้องครัวไทย ครัวแยก เป็นต้น

หลังจากนั้น ต้องว่าจ้างเขียนแบบ เพื่อจะนำแบบนี้ไปขออนุญาตก่อสร้าง และว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านของเราตามแบบที่เราต้องการ ซึ่งแบบบ้านของเราจะต้องผ่านการเซ็นแบบรับรองโดยวิศวกรและสถาปนิก จึงจะนำไปยื่นขออนุญาตได้

หมายเหตุ หากไม่มีแบบในใจ หรือไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้ สามารถขอแบบบ้านมาตรฐานกับทางสำนักงานเขตท้องถิ่นได้ ซึ่งแบบนี้สามารถนำไปยื่นขออนุญาตก่อสร้างได้เลย

 

5. ขออนุญาตก่อสร้าง

ขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้าง

1) ยื่นคำร้องขออนุญาตก่อสร้างบ้านที่สำนักงานเขตท้องถิ่นในพื้นที่นั้น ๆ เช่น สำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร สำนักงานเทศบาล สำนักงานเมืองพัทยา ฯลฯ ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ของจังหวัดนั้น ๆ

2) สำนักงานเขตท้องถิ่นตรวจสอบแบบแปลน โดยเฉพาะในเขตที่ประกาศใช้กฎหมายควบคุมการก่อสร้างอาคาร หรือกฎหมายผังเมืองบ้านหรืออาคาร สิ่งปลูกสร้างทุกประเภทจะต้องได้รับอนุญาตก่อสร้างบ้านก่อน และจะต้องก่อสร้างตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต

3) ได้รับหนังสืออนุญาตให้ก่อสร้าง กรณีที่ไม่ได้รับอนุญาต อาจจะมีการให้แก้ไขในบางรายละเอียด ก็ต้องดำเนินการแก้ไข และยื่นขออนุญาตอีกครั้ง

4) เมื่อได้ใบอนุญาตก่อสร้างมาแล้ว ควรทำสำเนาทั้งเก็บไว้ ที่ตัวเอง ให้สถาปนิก วิศวกร และผู้รับเหมา หรือบริษัทรับสร้างบ้าน ดำเนินการก่อสร้างบ้านต่อไป

หมายเหตุ: ในระหว่างก่อสร้าง หากมีเหตุที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับเพื่อนบ้าน ชุมชนใกล้เคียง เช่น เสียงดังเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด วัสดุก่อสร้างหล่น หรือมีอุบัติเหตุ จนได้รับการร้องเรียน หน่วยงานภาครัฐอาจมีคำสั่งให้หยุดงานก่อสร้างชั่วคราว จนกว่าขั้นตอนทางกฎหมายจะแล้วเสร็จจึงจะมีคำสั่งว่า จะให้ก่อสร้างต่อ หรือให้หยุดก่อสร้างถาวร

 

ข้อกำหนดเกี่ยวกับระยะร่น

ลักษณะอาคาร

ความกว้างถนน

ระยะร่น

สูงไม่เกิน 2 ชั้น หรือ 8 เมตร

น้อยกว่า 6 เมตร

จากจุดกึ่งกลางถนนอย่างน้อย 3 เมตร

สูงเกิน 2 ชั้น หรือ 8 เมตร

น้อยกว่า 10 เมตร

จากจุดกึ่งกลางถนนอย่างน้อย 6 เมตร

สูงเกิน 2 ชั้น หรือ 8 เมตร

10-20 เมตร

จากเขตถนนอย่างน้อย 1 ใน 10 ของความกว้างถนน

สูงเกิน 2 ชั้น หรือ 8 เมตร

เกิน 20 เมตร

จากเขตถนนอย่างน้อย 2 เมตร

 

หลักฐานยื่นขออนุญาตก่อสร้างบ้าน

1) กรอกคำขออนุญาตก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคารหรือรื้อถอนอาคาร (ข.1)

2) เอกสารแปลนบ้าน แบบบ้าน และรายละเอียดการก่อสร้าง ที่ได้มาตรฐานมีสถาปนิกและวิศวกรเป็นผู้เซ็นรับรองแบบ (กรณีที่ไม่มีสถาปนิก สามารถขอแบบบ้านมาตรฐานจากสำนักงานเขตท้องถิ่นในจังหวัดนั้น ๆ ได้)

3) หนังสือรับรองจากสถาปนิกผู้ออกแบบบ้าน ผู้ควบคุมและเอกสารจากวิศวกรงานก่อสร้าง

4) สำเนาโฉนดที่ดินที่จะก่อสร้าง หรือเอกสารสิทธิแสดงความเป็นเจ้าของที่ที่ดินผืนนั้น หรือกรณีเช่าที่ดินปลูกสร้างบ้าน จะต้องมีเอกสารแสดงสิทธิที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของด้วย

5) สำเนาบัตรประชาชน หรือทะเบียนบ้านเจ้าของอาคาร ในกรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียน กรณีที่ไม่ได้ไปยื่นขออนุญาตก่อสร้างด้วยตัวเอง จะต้องมีหนังสือแสดงการมอบอำนาจให้กับผู้ที่เป็นตัวแทนในการยื่นขออนุญาตก่อสร้าง

หมายเหตุ: จำนวนชุดของเอกสาร จะต้องสอบถามข้อมูลอัพเดตจากสำนักงานเขตท้องถิ่นที่จะยื่นขออนุญาตก่อสร้างบ้าน

 

ขออนุญาตก่อสร้างเรียบร้อย ก็สร้างบ้านอยู่เองได้อย่างสบายใจ

 

6. เริ่มก่อสร้าง

หลังจากที่ได้ใบอนุญาตก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มลงมือก่อสร้างได้ โดยก่อนหน้าที่จะมาถึงขั้นตอนนี้ ตามปกติแล้ว ควรมีการหาผู้รับเหมาไว้ก่อนล่วงหน้า เมื่อได้ใบอนุญาตมาก็พร้อมลงมือก่อสร้างได้เลย

โดยการเลือกหาผู้รับเหมา ควรมีการเขียนสัญญาการว่าจ้างให้ชัดเจน ระบุเรื่องการจ่ายเงินต่าง ๆ ซึ่งการหาผู้รับเหมาที่ไว้ใจได้ที่ก่อสร้างจนจบงาน ก็เป็นเรื่องยาก อันนี้อาจจะต้องหาคนที่ไว้ใจได้ หรือคนที่เคยมีผลงานมาก่อนแล้ว และได้รับการรับรองว่า ไม่เบี้ยว มิเช่นนั้นอาจสูญเงินเปล่า ซึ่งอาจจะต้องมีความรอบคอบในการจ่ายเงินค่าจ้าง ต้องไม่เขี้ยวเกินไป เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกทิ้งงานได้ และไม่หละหลวมจนเกินไป

 

ขอน้ำและไฟ ขั้นตอนสำคัญของการเตรียมตัวสร้างบ้าน

 

7. ขอเลขที่บ้าน น้ำ ไฟฟ้า

เมื่อก่อสร้างบ้านไปจนเกือบแล้วเสร็จ สามารถเริ่มดำเนินการขั้นตอนของการยื่นเลขที่บ้านได้เลย หรือจะยื่นขอหลังจากที่บ้านสร้างเสร็จแล้วก็ได้ โดยหากยื่นภายหลังที่บ้านก่อสร้างเสร็จ จะต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภายใน 15 วัน หลังจากที่บ้านสร้างเสร็จ ต่อจากนั้นก็นำทะเบียนบ้านที่ได้รับไปยื่นขอน้ำ และไฟฟ้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นลำดับต่อไป

โอนมิเตอร์ไฟฟ้า เรื่องต้องรู้ก่อนย้ายบ้านใหม่

infographic สรุปขั้นตอนการเตรียมตัวสร้างบ้านอยู่เอง

 

นี่คือขั้นตอนของการเตรียมตัวสร้างบ้าน เพื่ออยู่อาศัยเองโดยภาพรวม ซึ่งในความเป็นจริง มีรายละเอียดในแต่ละส่วนอีกมากที่ผู้สร้างบ้านควรเรียนรู้ ตั้งแต่การวางตำแหน่งตัวบ้าน ทิศของบ้าน การรับลม การรับแดด ไปจนถึงเรื่องการเลือกวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะใช้ภายในบ้านที่เราอาจจะต้องลงมือเองในทุกขั้นตอน แม้ว่าจะเหนื่อยสักหน่อย แต่เชื่อว่าเราจะได้บ้านในแบบที่เราต้องการ

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
บ้านอยู่สามแพร่งแก้อย่างไร 10 ฮวงจุ้ยบ้านไม่ดี ที่เจ้าของบ้านควรรู้ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/10-จุดอัปมงคล-ผิดหลักฮวงจุ้ยบ้าน-ที่ควรรู้-12735?locale=th www.ddproperty.com:resources:12735 Sat, 23 Oct 2021 09:00:31 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/04/59131526_xxl-150x150.jpg"/></p> บ้านอยู่สามแพร่งแก้อย่างไร 10 ฮวงจุ้ยบ้านไม่ดี ที่เจ้าของบ้านควรรู้ บ้านอยู่สามแพร่งแก้อย่างไร รวมถึงฮวงจุ้ยบ้านที่ไม่ดี สิ่งที่ผู้ที่กำลังคิดสร้างบ้านหรือตกแต่งบ้านเพิ่มเติม จำเป็นต้องศึกษาเรื่องหลักฮวงจุ้ยบ้าน จุดไหนอัปมงคล จุดไหนเป็นจุดมงคล เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ควรให้ความสำคัญ ลองมาดูว่า 10 จุดในบ้าน แบบไหนเป็นฮวงจุ้ยบ้านที่ไม่ดีกันแน่

 

ฮวงจุ้ยบ้านที่ดี จัดห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว อย่างไร? อยู่แล้วโชคดี ร่ำรวย

Guide

ฮวงจุ้ยบ้านที่ดี จัดห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว อย่างไร? อยู่แล้วโชคดี ร่ำรวย

 

1. เจ้ากรรมบ้านอยู่สามแพร่งแก้อย่างไร

บ้านอยู่สามแพร่งแก้อย่างไร ทางสามแพร่งถือเป็นจุดอัปมงคล ฮวงจุ้ยบ้านที่ไม่ดีที่หลายคนอาจเคยได้ผู้เฒ่าผู้แก่พูดอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากทางสามแพร่งนั้นเปรียบเสมือนจุดผีผ่าน อาจเพราะเป็นแหล่งรวมพลังงานทั้งดีและไม่ดีไว้ด้วยกัน ดังนั้น หากมีบ้านตั้งอยู่บริเวณนี้ เชื่อกันว่าจะทำมาค้าขายไม่ขึ้น สำหรับคำถามที่ว่า บ้านอยู่สามแพร่งแก้อย่างไรนั้น คำตอบที่สามารถแก้ไขตามศาสตร์ฮวงจุ้ยได้ง่าย ๆ ก็คือ วิธีนำกระจกแปดเหลี่ยมไปวาง นอกจากจะสะท้อนสิ่งไม่ดีออกไปแล้ว ยังอาจนำสิ่งดี เงินทองกลับเข้ามาด้วย

 

2. ตำแหน่งบ้านอยู่บริเวณทางโค้ง

แม้จะได้คำตอบว่าบ้านอยู่สามแพร่งแก้อย่างไรกันแล้ว แต่ตำแหน่งบ้านอีกอย่างที่ว่ากันว่าบ้านใครถูกปักหมุดอยู่บริเวณทางโค้งพอดี และเป็นลักษณะตั้งอยู่บริเวณฝั่งโค้งด้านนอก หรือตรงกับส่วนโค้งพอดี ถือว่าเป็นฮวงจุ้ยบ้านที่ไม่ดี โดยในทางศาสตร์ฮวงจุ้ยเชื่อกันว่าเปรียบเสมือนมุมแหลมคม ทำให้มักเกิดเรื่องไม่ดีแก่สมาชิกครอบครัว และถ้าหากประกอบการค้า ก็จะไม่รุ่งเรือง ค้าขายไม่ขึ้น วิธีแก้ให้นำกระจกนูนมาติดตามที่ซินแสแนะนำ

 

3. บ้านตั้งตรงปากทางน้ำพอดี

หากบ้านใครตั้งอยู่ริมแม่น้ำ บริเวณปากน้ำพอดี แม้ว่าจะได้วิวบรรยากาศเหมาะแก่การพักผ่อน แต่บริเวณดังกล่าวนอกจากจะถูกน้ำกัดเซาะได้ง่ายแล้ว ทางความเชื่อแล้วถือว่าเป็นฮวงจุ้ยบ้านที่ไม่ดี จะทำให้เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ พัดผ่านไปกับน้ำ

 

ต้นไม้รกหน้าบ้าน ฮวงจุ้ยบ้านที่ไม่ดี

 

4. ต้นไม้รกหน้าบ้าน

พื้นที่หน้าบ้าน ตามศาสตร์ฮวงจุ้ยเปรียบเสมือนจุดพักพลังงาน ดังนั้นการที่บางบ้านต้องการปลูกต้นไม้ให้สวยงาม จำเป็นต้องตัด แต่ง กิ่ง ให้ดูสะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพราะถ้าปล่อยให้รก นอกจากจะเป็นที่พักพิงของสัตว์มีพิษแล้ว ยังถือว่าเป็นฮวงจุ้ยบ้านที่ไม่ดี เชื่อว่าจะส่งผลด้านสุขภาพแก่ญาติผู้ใหญ่หรือเด็กในบ้าน

ลองหาต้นไม้มงคลปลูกในบ้านดังนี้

ชนิดต้นไม้

ช่วยเสริมฮวงจุ้ย

ต้นโป๊ยเซียน

มั่งคั่งร่ำรวย โชคดีมีชัย แคล้วคลาดปลอดภัย อายุมั่นขวัญยืน เป็นที่รักใคร่ชื่นชม มีดีที่ภาษา ปลอดศัตรูมีแต่ผู้นิยม มีสุขภาพดีปลอดจากโรคภัย

ต้นทับทิม

มีบุตรที่ดี มีลูกหลานเต็มบ้าน มีเงินทองมั่งคั่ง และมีพลังปัดเป่าเคราะห์ภัยทั้งหลาย

ต้นโบตั๋นหรือต้นพุดตาน

เสริมดวงเสน่ห์ ส่งเสริมเมตตา และเสริมสร้างความมั่งมีศรีสุข

ต้นไผ่สีสุก

เป็นสิริมงคล มีความมั่งมีศรีสุข

ต้นมะยม

คนนิยมชมชอบ รักใคร่ มีชื่อเสียง ไม่มีคนคิดร้าย หรือเป็นศัตรู

 

5. กองขยะเต็มหน้าบ้าน

เมื่อเอ่ยถึงกองขยะ กลิ่นเหม็นมักโชยมาทันที และเป็นปฏิกูลที่ไม่ควรนำมาวางไว้หน้าบ้าน เหตุนี้เองจึงถูกบัญญัติในตำราศาสตร์ฮวงจุ้ย โดยกล่าวถึงขยะนั้นเปรียบเสมือนพลังงานด้านลบ นั้นหากบ้านไหนมีกองขยะหน้าบ้าน นอกจากจะส่งกลิ่นเหม็นแล้ว ยังเชื่อกันว่าจะพบแต่สิ่งไม่ดี ส่งผลร้ายต่อสุขภาพสมาชิกในครอบครัว รวมถึงสภาวะทางการเงิน

 

6. ประตูหน้าบ้านหันชนกับด้านในบ้าน

หลานคนคงเคยได้ยินผู้เฒ่า ผู้แก่ มักเตือนเกี่ยวกับประตูหน้าบ้านไม่ให้ตั้งตรงกันกับประตูด้านใน เพราะเป็นฮวงจุ้ยบ้านที่ไม่ดี นอกจากจะทำให้เงินทองรั่วไหลได้ง่ายแล้ว ยังทำให้คนในครอบครัวพบเจอแต่ความขัดแย้ง ดังนั้นทางที่ดีจึงควรหาตู้หรือฉากกั้นเพื่อไม่ให้ตรงกัน หรืออาจนำภาพวาด กระจกเงา และกระดิ่งมาแขวนในบริเวณดังกล่าว เพื่อช่วยกระจายพลังงานดีให้เข้ามาในบ้าน

5 แบบประตูหน้าบ้าน ข้อดี-ข้อเสียที่ควรรู้ เพิ่มมูลค่าให้บ้านสวย

 

7. มีเสาหรือห้องครัวอยู่กลางบ้าน

ตามตำราโบราณของศาสตร์ฮวงจุ้ย หรือแม้กระทั่งของไทยเราเอง มักมีความเชื่อว่า บ้านหลังไหนที่มีเสาลอยตั้งอยู่กลางบ้าน นอกจากจะสื่อถึงความอัปมงคลแล้ว ยังเป็นการชักนำความล้มเหลวเข้าสู่ในบ้านด้วย ดังนั้นหากแก้โดยตัดเสาออก อาจจะต้องได้รับคำปรึกษาจากวิศวกรก่อนเป็นอันดับแรก

วิธีที่ดีสุดต้องพยายามกลมกลืนเสาให้เปรียบเสมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งในบ้าน ส่วนหลังไหนมีการปักหมุดตำแหน่งครัวไว้กลางบ้าน นั้นขอให้เปลี่ยนโยกย้ายใหม่ เพราะตามหลักฮวงจุ้ยเชื่อว่าตำแหน่งของครัวดังกล่าวจะทำลายความสุขของคนในครอบครัว

 

การเลือกซื้อบ้าน สายมู สู้ สายวิทย์ เลือกแบบไหนดี

Guide

การเลือกซื้อบ้าน สายมู สู้ สายวิทย์ เลือกแบบไหนดี

 

8. เตียงนอนอยู่ในตำแหน่งคนตาย

ฟังดูอาจน่ากลัวไปหน่อยสำหรับตำแหน่งของเตียงนอน ที่สื่อถึงคนตาย แต่ด้วยความเชื่อของฮวงจุ้ยเป็นเช่นนั้นจริง ๆ โดยเริ่มจากเตียงนอนไม่ควรหันปลายตรงกับประตู เพราะเชื่อว่าเปรียบเสมือนการวางโลงศพ ส่งผลให้เป็นรางไม่ดีแก่คนที่นอน ประกอบกับห้ามหันเตียงไปในทิศตะวันตก เนื่องจากเป็นทิศที่วิญญาณเดินผ่าน

 

หน้าต่าง 4 บาน ในบ้าน ฮวงจุ้ยบ้านที่ไม่ดี

 

9. หน้าต่าง 4 บาน ในบ้าน

ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้รายการพิสูจน์เรื่องสิ่งลี้ลับ มักคุ้นเคยกันดีกับข้อห้ามห้ามมีหน้าต่าง 4 บาน เรียงกันในฝั่งใดฝั่งหนึ่งของบ้าน เพราะเปรียบเสมือนศาลาวางศพ จะนำเรื่องไม่ดี โดยเฉพาะสุขภาพแย่แก่คนในบ้าน ประกอบกับตามหลักของฮวงจุ้ยบ้าน หน้าต่างมีมากเชื่อกันว่าลูกหลานจะไม่เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่

 

10. มีแอ่งน้ำหรือออกแบบห้องน้ำไว้กลางบ้าน 

แน่นอนว่าการมีแอ่งน้ำหรือตั้งห้องน้ำไว้กลางบ้าน ในศาสตร์ของฮวงจุ้ย นั้นสื่อถึงสุขภาพของสมาชิกในครอบครัว ที่ส่งผลร้าย อาจล้มหมอนนอนเสื่อกันอยู่บ่อย ๆ เลยทีเดียว ทางที่ดีกลางบ้านควรปล่อยโล่ง และไม่ควรปักหมุดเป็นตำแหน่งของห้องน้ำหรือห้องใด ๆ

 

เรื่องฮวงจุ้ยบ้าน นั้นเป็นศาสตร์ที่ใช่หลักคำนวณทิศทางลม แสง รวมถึงพลังงานที่เหมาะสมกับเจ้าของบ้าน แม้หลักการหรือความเชื่อบางอย่างอาจจะต้องใช้วิจารณญาณสักนิด แต่ลองนำไปปรับเปลี่ยนจุดอัปมงคลหรือฮวงจุ้ยบ้านที่ไม่ดีให้เป็นสิริมงคลก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด โดยเฉพาะคนที่เพิ่งซื้อบ้านหรือสร้างบ้านอยู่ในขณะนี้

 

ขอบคุณข้อมูล sinsaehwang.com

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
แต่งห้องนอนแบบประหยัด 7 ไอเดีย งบเริ่มต้นแค่หลักพัน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัด-39445?locale=th www.ddproperty.com:resources:39445 Sat, 23 Oct 2021 08:29:59 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/12/shutterstock_411841024-150x150.jpg"/></p> แต่งห้องนอนแบบประหยัด 7 ไอเดีย งบเริ่มต้นแค่หลักพัน โดยทั่วไปคนเราจะใช้เวลาอยู่ในห้องนอน 1 ใน 3 ของชีวิตประจำวัน สำหรับบางคนห้องนอนก็คือห้องทำงานในตัว ถ้าบรรยากาศห้องเป็นระเบียบน่าอยู่ ก็จะช่วยให้เราได้รับพลังงานดี ๆ ตั้งแต่ตื่นถึงล้มตัวนอน ดังนั้นการตกแต่งห้องนอนจึงมีส่วนสำคัญมาก ลองมาดูไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัด 7 สไตล์ ที่สวยได้ในงบเริ่มต้นแค่หลักพัน หาซื้อของแต่งบ้านได้ง่าย ๆ ตามตลาดนัดและร้านค้าออนไลน์ เพียงเท่านี้ก็เนรมิตห้องนอนของคุณให้สวยน่าอยู่ได้แล้ว

Subscription Banner for Article

 

1. สไตล์รัสติก

ไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัด สไตล์รัสติก

ห้องนอนสไตล์รัสติก (Rustic) ถือเป็นไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัดที่น่าจะถูกใจสายชิลมากเพราะได้กลิ่นอายธรรมชาติแบบบ้านชานเมือง ห้องนอนสไตล์นี้เน้นโทนสีแนวเอิร์ทโทน เช่น สีขาว สีเบจ และสีน้ำตาลเป็นหลัก

ตกแต่งด้วยของใช้และเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุไม้ธรรมชาติ เช่น ตะกร้าหวาย กล่องสานผักตบชวา และเสื่อกก ซึ่งหาได้ไม่ยากแถมราคาไม่แรง แต่ช่วยสร้างบรรยากาศให้ห้องดูอบอุ่น เหมาะกับการพักผ่อนมากยิ่งขึ้น

 

2. สไตล์มินิมอล

ไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัด สไตล์มินิมอล

ห้องนอนสไตล์มินิมอลไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้ห้องโล่ง ๆ ไม่มีการตกแต่งอะไรเลย แต่จุดเด่นของห้องนอนสไตล์นี้อยู่ที่การลดทอน ใช้ของตกแต่งน้อยชิ้น ซึ่งก็เท่ากับว่าประหยัดงบไปได้มาก เพื่อจัดระเบียบพื้นที่ใช้สอยให้เกิดประโยชน์ที่สุด

โดยเลือกใช้สีห้องและของตกแต่งให้คุมโทนสีเดียวกัน เน้นสีขาวและโทนสีอบอุ่นสบายตา ใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแต่มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย เช่น เตียงอเนกประสงค์ หรือเตียงนอนพร้อมโต๊ะเขียนหนังสือ และเพิ่มกิมมิกด้วยของตกแต่งเล็กน้อย เช่น ต้นไม้ แจกันดอกไม้ กระจกแนวตั้ง หรือภาพถ่าย ก็จะช่วยเพิ่มความสดชื่นและช่วยให้ห้องดูสบายตามากยิ่งขึ้น เป็นแต่งห้องนอนแบบประหยัดที่ใช้ลงทุนน้อยแต่เป็นสไตล์ที่เรียบง่าย สามารถปล่อยขายหรือเช่าต่อในอนาคตได้ไม่ยาก

ตกแต่งห้องนอนแบบประหยัด เรียบง่าย สไตล์ ZEN

 

3. สไตล์รักษ์โลก

ไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัด สไตล์รักษ์โลก

เอาใจสายรักษ์โลกด้วยการแต่งห้องสวยแบบคลีน ๆ คุมโทนด้วยสีขาว เลือกใช้ผ้าม่านสีพื้นที่มีลวดลายน้อย เพื่อรับแสงแดดในยามเช้าของทุกวัน และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในห้อง ปลูกต้นไม้ในกระถางน่ารัก ๆ ให้รู้สึกสดชื่นฟินเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรือจะเลือกต้นไม้ฟอกอากาศก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพ

ชนิดต้นไม้

ประโยชน์

พลูด่าง

ดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 75% คายก๊าซออกซิเจนในเวลากลางได้ถึง 100%

ลิ้นมังกร

คายก๊าซออกซิเจนในเวลากลางคืน ฟอกอากาศให้ปราศจากฝุ่นละออง

ว่านหางจระเข้

คายก๊าซออกซิเจนในเวลากลางคืน ดูดสารพิษจำพวกฟอร์มาลดีไฮด์

เดหลี

ดูดสารพิษประเภทกาว อะซิโตน เบนซิน และฟอร์มาลดีไฮด์

กล้วยไม้

ดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดูดไอระเหยจากสารเคมีจำพวกแอลกอฮอล์ อะซิโตน ฟอร์มาลดีไฮด์ และคลอโรฟอร์ม

สำหรับห้องนอนขนาดเล็ก อาจจะตกแต่งด้วยสวนต้นไม้จิ๋วในขวดแก้ว หรือสวนลอยฟ้าที่สามารถแขวนไว้ในมุมห้องได้ ซึ่งต้นไม้ที่นำมาตกแต่งสามารถหาซื้อได้ตามตลาดต้นไม้ทั่วไปหรือร้านค้าออนไลน์ แถมราคายังเริ่มต้นแค่หลักร้อยเท่านั้น เป็นไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัดที่สดชื่นสบายตาแล้วยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย

 

4. สไตล์โบฮีเมียน

ไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัด สไตล์โบฮีเมียน

เนรมิตห้องนอนให้สวยชวนฝันแบบโบฮีเมียน แต่งแต้มสีสันให้สดใสได้ตามใจชอบ ขอให้ลืมทฤษฎีสีไปได้เลย เพราะจุดเด่นของการแต่งห้องนอนสไตล์โบฮีเมียนคือความอิสระ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือของแตกแต่งชิค ๆ สไตล์ชนเผ่า เช่น งานคราฟต์ ของใช้ทำมือ หรือของ DIY อย่างเชือกถักทำมือมาคราเม่ หมอนและพรมลวดลายชนเผ่า ผ้าม่านลายพื้นเมือง หรือจะแขวน dream catcher ประดับห้อง เพิ่มความน่ารักฟรุ้งฟริ้งไปอีก

หากชอบสไตล์แบบนี้ เรียกได้เลยว่าเป็นไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัดมาก เพราะสามารถเลือกช้อปตามร้านค้าออนไลน์หรือโกดังขายของมือสอง เผลอ ๆ อาจจะได้ของแต่งบ้านสไตล์โบฮีเมียนเก๋ ๆ ไม่ซ้ำใครติดมือมาก็ได้

 

5. สไตล์ลอฟท์

ไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัด สไตล์ลอฟท์

แต่งห้องนอนสไตล์ลอฟท์ (Loft) เหมาะกับผู้ที่ชอบความเท่ ดิบ ๆ เป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องปรุงแต่งให้สวยเนี้ยบจนเกินไป เน้นให้เห็นโครงสร้างของผนังปูนเปลือย ผนังอิฐ หรือกำแพงขรุขระ รวม ๆ แล้วห้องนอนสไตล์ลอฟท์มองดูเผิน ๆ อาจเหมือนห้องที่สร้างไม่เสร็จ แต่ก็ดูสวยทันสมัยไปอีกแบบ

ที่สำคัญควรเพิ่มของตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์เท่ ๆ ที่คุมโทนด้วยสีขาว ดำ เทา เช่น เตียงโครงเหล็กสีดำ โคมไฟแขวน และประดับด้วยภาพถ่ายศิลปะ เพื่อเพิ่มสวยงามและความอ่อนโยนในห้องไม่ให้ขรึมจนเกินไป หรืออีกหนึ่งไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัด ลองหาของเก่าที่ยังสภาพดี แล้วมาปรับแต่งให้สวยงามด้วยการพ่นสีสไตล์ลอฟท์ เท่านี้ก็จะได้ของแต่งห้องนอนเท่ ๆ ไม่ซ้ำใคร แถมมีชิ้นเดียวในโลกด้วย

บ้านสไตล์ลอฟท์ 7 ขั้นตอนการตกแต่งเปลี่ยนบ้านให้ดูดี

 

6. วินเทจ

ไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัด สไตล์วินเทจ

ห้องนอนสไตล์วินเทจเน้นไปที่การตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ดีไซน์เก่า ของแต่งบ้านมือสอง กระจกโบราณ หรือของสะสมที่ให้อารมณ์ย้อนยุค เช่น ของเล่น หนังสือเก่า โปสเตอร์ภาพยนตร์ กรอบรูป เติมความหวานด้วยผ้าม่านลายลูกไม้ โคมไฟระย้า วอลเปเปอร์ลายดอกไม้ ไปจนถึงภาชนะจานชามลายย้อนยุค

ห้องนอนสไตล์วินเทจตกแต่งไม่ยาก สามารถหาซื้อของตกแต่งมือสองได้ตามตลาดนัดจตุจักร หรือตลาดนัดรถไฟก็ได้ เป็นแหล่งช้อปที่ถูกใจสายแต่งห้องนอนแบบประหยัดแน่นอน

 

7. สไตล์เด็กหอ

ไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัด สไตล์เด็กหอ

เหมาะกับผู้ที่มีห้องนอนเล็ก ๆ แต่อยากจัดพื้นที่ให้ดูกว้างและเป็นสัดส่วนมากขึ้น ควรเลือกใช้โทนสีขาวเพราะจะทำห้องดูโปร่งสบายตา อาจเลือกใช้เตียงสองชั้น แล้วเปลี่ยนเตียงชั้นล่างให้เป็นพื้นที่เก็บของ หรือเลือกเตียงนอนติดพื้น (Floor bed) ก็ได้ ซึ่งจะคล้ายกับเตียงนอนสไตล์ญี่ปุ่นและเกาหลี ช่วยประหยัดพื้นที่และให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

ไอเดียแต่งห้องนอนสไตล์นี้ยังเหมาะกับห้องแบบสตูดิโอในคอนโด และอพาร์ทเม้นท์เล็ก ๆ ส่วนพื้นที่ว่างตรงผนังก็สามารถต่อเติมเป็นชั้นวางของได้ และควรมองหาของตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบให้มีประโยชน์ใช้สอยมากกว่าหนึ่งอย่าง เช่น โคมไฟตั้งโต๊ะที่มีฟังก์ชั่นชาร์จแบตโทรศัพท์ในตัว เรียกได้ว่าเป็นไอเดียแต่งห้องนอนแบบประหยัดทั้งราคาและพื้นที่ใช้สอยได้อย่างคุ้มค่าเลยทีเดียว

5 ไอเดียแต่งห้องนอนเล็ก ๆ แบบประหยัด ด้วยงบไม่เกิน 3 หมื่น

 

อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการแต่งห้องนอนให้สวยในงบประหยัด นอกจากจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สุขภาพจิตดีขึ้นแล้ว สำหรับคนที่อยู่คอนโด ห้องนอนที่ตกแต่งพร้อมอยู่ได้อย่างสวยงาม จะทำให้มีโอกาสปล่อยเช่าหรือขายต่อในอนาคตได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
รู้เรื่องรีโนเวทบ้านชั้นเดียว 6 ขั้นตอน เตรียมตัวให้พร้อมก่อนลงมือ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/รวมทุกเรื่องที่ควรรู้ก่อนรีโนเวทบ้านชั้นเดียว-30592?locale=th www.ddproperty.com:resources:30592 Sun, 24 Oct 2021 14:33:41 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/07/Renovate-house-1-floor-150x150.jpg"/></p> รู้เรื่องรีโนเวทบ้านชั้นเดียว 6 ขั้นตอน เตรียมตัวให้พร้อมก่อนลงมือ ปัจจุบันการรีโนเวทบ้านเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ไม่ต่างอะไรกับการเปลี่ยนจากของเก่า ให้กลายเป็นของใหม่ที่ดีและใช้งานได้ยาวนานกว่าเดิม แต่ก็ใช่ว่าบ้านทุกหลังจะเหมาะกับการรีโนเวท ดังนั้นบทความนี้จะชวนทุกคนมาทำความเข้าใจในทุกประเด็นของการรีโนเวทบ้าน โดยเฉพาะการรู้เรื่องรีโนเวทบ้านชั้นเดียว เพื่อเตรียมตัวก่อนการรีโนเวทบ้าน

sportlight

 

รู้เรื่องรีโนเวทบ้าน (Renovate) คืออะไร

ก่อนลงมือรีโนเวทบ้าน ต้องเข้าใจและรู้เรื่องรีโนเวทบ้าน ตั้งแต่ความหมายของการรีโนเวทว่ามีความหมายอย่างไร ความหมายตรงตัวของคำว่ารีโนเวท (Renovate) คือ ‘บูรณะ’ เป็นการซ่อมแซม ทำใหม่ ปรับปรุงใหม่แบบยกเครื่อง หรือทำให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม ซึ่งมักจะมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หรือมีกลิ่นอายของแบบเดิมอยู่บ้าง โดยอาศัยการปรับปรุงซ่อมแซมจากโครงสร้างเดิมของบ้านที่มีอยู่ เพื่อให้บ้านที่หมดสภาพและขาดกการดูแลมาเป็นระยะเวลานาน เปลี่ยนโฉมใหม่ให้สวยงามน่าอยู่ และสามารถอยู่อาศัยได้อีกนาน

 

ทำไมถึงควรรีโนเวทบ้านชั้นเดียว

เมื่อรู้เรื่องรีโนเวทบ้านแล้วก็มาถึงเหตุผลว่าทำไมถึงควรรีโนเวทบ้าน โดยเฉพาะบ้านชั้นเดียว ที่จริงแล้วบ้านชั้นเดียวเป็นรูปแบบที่อยู่อาศัยที่มักเห็นได้ทั่วไปทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และมักนิยมมากในต่างจังหวัด ซึ่งเหตุผลหลักที่ต้องรีโนเวทบ้านชั้นเดียวนั้นมีดังนี้

 

1. ยืดอายุของบ้านให้นานขึ้น

บ้านทุกหลังล้วนประกอบไปด้วยโครงสร้างที่มีอายุการใช้งาน สำหรับบ้านที่มีอายุเก่าและขาดการซ่อมแซมดูแลอย่างสม่ำเสมอ โครงสร้างภายในบ้านบางส่วนจะมีความทรุดโทรม ซึ่งหมายถึงความไม่ปลอดภัยและความไม่สวยงามในการอยู่อาศัย การรีโนทเวทบ้านชั้นเดียวจึงเป็นการปรับปรุงโครงสร้างใหม่ เพื่อยืดอายุบ้านให้นานขึ้น

 

2. ความต้องการพื้นที่ใช้สอยที่เปลี่ยนไป

สำหรับบ้านชั้นเดียวที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก มักจะมีข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน ดังนั้นเมื่อฟังก์ชันและพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน ไม่สอดคล้องกับความต้องการใช้งานในปัจจุบัน หลายคนเลือกวิธีรีโนเวทบ้านชั้นเดียวใหม่ เพื่อจัดแบ่งสัดส่วนพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านใหม่ให้เหมาะกับการอยู่อาศัยมากขึ้น

 

3. เพื่อสุขอนามัยในการอยู่อาศัยที่ดีขึ้น

บริเวณมุมอับของบ้าน มักแฝงไปด้วยสิ่งสกปรกที่หลุดรอดสายตา ไม่ว่าจะเป็น ภายในห้องน้ำ บริเวณบนฝ้าเพดาน บริเวณงานระบบในครัว ปล่องท่อ หรือตามพื้นที่อับชื้นต่าง ๆ ที่ไม่ค่อยได้รับการทำความสะอาด ทำให้เชื้อโรคสะสมและทำความสะอาดได้ยาก การรีโนเวทบ้านชั้นเดียวจึงช่วยให้มุมอับต่าง ๆ เหล่านี้หายไป

 

4. เพื่อเพิ่มความปลอดภัยภายในตัวบ้าน

การรีโนเวทบ้าน ก็เป็นเหมือนการเพิ่มยาบำรุงสมรรถนะ ทำให้บ้านมีกำลังที่แข็งแรงมากขึ้น ดังนั้นการรีโนเวทบ้านจึงเป็นยาชั้นดี ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอใหม่ เพื่อให้พร้อมสำหรับการอยู่อาศัยและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน

 

ก่อนลงมือรีโนเวทบ้านชั้นเดียวต้องเตรียมตัวให้พร้อม

 

เตรียมตัวก่อนรีโนเวทบ้านชั้นเดียว ต้องทำอะไรบ้าง

เมือรู้เรื่องรีโนเวทบ้านแล้ว มาถึงขั้นตอนการเตรียมตัว สำหรับการรีโนเวทบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการรีโนเวทบ้านชั้นเดียวหรือกี่ชั้นก็ตาม ก็มีสิ่งที่ต้องเตรียมตัวคล้าย ๆ กัน และถ้าหากคุณอยากจะรีโนเวทบ้านให้ได้บ้านใหม่ที่มั่นคงแข็งแรง งบประมาณไม่บานปลาย ควรตรวจสอบทุกสิ่งเหล่านี้ให้ดี

 

1. ตรวจสอบกฎหมายให้ถี่ถ้วนก่อน

ข้อสำคัญที่ควรรู้เรื่องรีโนเวทบ้าน และเป็นข้อที่หลายคนที่จะคิดจะรีโนเวทบ้านมักมองข้ามไป คือการกลับมาทบทวนกฎหมายให้ดีก่อน เนื่องจากการต่อเติมหรือรีโนเวทก็นับเป็นการดัดแปลงอาคาร ดังนั้นควรตรวจสอบก่อนว่าบ้านของเราเข้าเงื่อนไขของการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง อะไรที่ห้ามทำเด็ดขาด โดยหากพิจารณาถึงเงื่อนไขแล้วพบว่า แผนการรีโนเวทของเราเข้าข่ายข้อห้าม ควรปรึกษากับเจ้าหน้าที่โยธาจังหวัดหรือเทศบาลที่สังกัดอยู่ก่อนทำการรีโนเวทบ้าน

5 กรณีที่ไม่ต้องขออนุญาต ถ้าคิดจะต่อเติมบ้าน

 

2. ถามตัวเองให้ชัดว่าต้องการรีโนเวทเพื่ออะไร

หลายคนมักมีความเข้าใจผิดว่า การรีโนเวทบ้านชั้นเดียวนั้น ใช้งบประมาณน้อยกว่าการซื้อบ้านใหม่ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกเพียงครึ่งเดียว เนื่องจากการรีโนเวทที่ไม่มีการวางแผนและตั้งโจทย์ให้ชัด มักตามมาด้วยปัญหางบประมาณบานปลาย

ดังนั้นก่อนเริ่มวางแผนการรีโนเวท ควรทบทวนตัวเองอีกครั้งว่า เราต้องการรีโนเวทเพื่ออะไร? เพื่อปรับปรุงโครงสร้างบ้าน เพื่อปรับพื้นที่ใช้สอยใหม่ หรือเพื่อบ้านใหม่ในฝัน ซึ่งการตั้งโจทย์ให้ชัด จะทำให้เราสามารถคาดการณ์งบประมาณของการรีโนเวทเบื้องต้นได้

 

3. ตรวจสอบสภาพบ้านและโครงสร้างปัจจุบัน

หลังจากตอบโจทย์ตัวเองจนแน่ชัดแล้ว ก็มาเริ่มเดินสำรวจสภาพบ้านของเราในปัจจุบันกันก่อน ว่ามีสภาพชำรุดตรงส่วนไหน โครงสร้างหลักของบ้านมีสภาพเป็นอย่างไร และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากอาคารเก่ามักจะมีปัญหาของระบบโครงสร้างที่ซ่อนไว้ ไม่ว่าจะเป็น เหล็กเส้นในเกิดสนิม เสาคานปริแตก หรือ ผนังรับน้ำหนักร้าว เป็นต้น ซึ่งโครงสร้างเหล่านี้ควรได้รับการปรับปรุงให้แข็งแรงเป็นอันดับแรก

 

4. ตรวจสอบงานระบบ

หากร่างกายมีเส้นเลือดไว้คอยสูบฉีด บ้านก็มีงานระบบไว้คอยหล่อเลี้ยงเช่นกัน โดยงานระบบไฟฟ้า ระบบน้ำ และระบบอื่น ๆ คือสิ่งสำคัญที่ห้ามละเลยในการตรวจสอบอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอาคารเก่าที่มีอายุมากกว่า 10 ปี มักจะมาพร้อมกับระบบที่มีความทรุดโทรม

วิธีเช็กน้ำรั่วซึมจากท่อประปาด้วยตนเอง

ดังนั้นจึงควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบอุปกรณ์สายไฟและท่อน้ำว่าสภาพเป็นอย่างไร และหากอาคารมีอายุเก่าเกินกว่า 15 ปี การเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมด อาจจะคุ้มค่ากว่าการต้องทุบเพื่อซ่อมแซมทีละจุด

วิธีตรวจสอบระบบไฟ

จุดที่ต้องตรวจสอบ

วิธีตรวจสอบหรือปรับปรุง

 แผงไฟ

ติดตั้งได้เหมาะกับการใช้งาน

จุดปล่อยกระแสไฟฟ้า

ใช้งานได้ดี หรือต้องติดตั้งเต้าเสียบเพิ่ม

หลอดไฟ

เปลี่ยนหรือติดเพิ่มเติมในบางจุด

สวิตช์ไฟ

ทุกจุดต้องใช้งานได้ตามปกติ

การเดินสายไฟ

เพิ่มเติมในจุดที่อยากใช้ไฟ แต่สายไฟไปไม่ถึง

 

5. สรุปสิ่งที่ต้องปรับปรุงและวางแผนการรีโนเวท

เมื่อตรวจสอบวัสดุ โครงสร้าง และอุปกรณ์ทุกอย่างภายในบ้านเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เริ่มเข้าโหมดการเดินทางสู่บ้านในฝันได้ โดยควรสรุปสิ่งที่จะต้องมีการปรับปรุง สิ่งที่ต้องทำเพิ่ม และสิ่งที่ต้องรื้อถอน ให้ชัดเจน เช่น หากอยากจะทุบผนังเพื่อปรับพื้นที่ใช้สอย ก็ควรเช็กดูให้ดีว่าต้องปรับปรุงซ่อมแซมอะไรบ้าง ซึ่งสำหรับงานรื้อและปรับปรุงโครงสร้าง เพื่อความปลอดภัยในการอยู่อาศัย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด

 

6. ควรเตรียมงบประมาณเผื่อไว้ 10-30%

รู้เรื่องรีโนเวทบ้านต้องรู้งบประมาณ การรีโนเวทนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่คาดคิดมากมาย แม้จะมั่นใจว่าเราได้ตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็ตาม แต่ก็มักจะเจอปัญหาที่ถูกซ่อนเร้นไว้ ซึ่งลามมาถึงงบประมาณที่กำหนด เพราะฉะนั้นควรเผื่องบประมาณสำหรับปัญหาที่ยังไม่พบประมาณ 10-30% เพื่อป้องกันความล่าช้า ซึ่งจะทำให้งบประมาณบานปลายกว่าเดิม

รีโนเวทบ้านอย่างไรให้ประหยัดงบประมาณมากที่สุด

 

รีโนเวทบ้านชั้นเดียวด้วยตัวเองก็ทำได้

 

อยากรีโนเวทบ้านชั้นเดียวด้วยตัวเอง ต้องทำอย่างไร

หลายคนอาจเกิดคำถามในใจว่า ถ้าอยากรีโนเวทบ้านด้วยตัวเองล่ะ จะทำได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ได้แน่นอน ถ้าหากรายละเอียดของการรีโนเวทบ้านของคุณนั้น เป็นแค่การทาสีผนังใหม่ ปูพื้นไวนิลหรือลามิเนต เปลี่ยนบานประตู-หน้าต่าง ที่ไม่ไปยุ่งกับตัวโครงสร้างและงานระบบ ซึ่งหมายถึง บ้านของคุณจะต้องมีสภาพดีพอสมควร แต่ถ้าหากว่าบ้านของคุณมีสภาพที่ชวนให้ท้อใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือว่าจ้างผู้รับเหมา เพื่อความปลอดภัยในโครงสร้าง และความอุ่นใจที่จะอยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ไปอีกนาน

 

เรื่องที่ต้องรู้สำหรับการว่าจ้างผู้รับเหมา

- เช็กประวัติและผลงาน ผู้รับเหมาควรมีผลงานที่น่าเชื่อถือ มีทีมงานพร้อม ไม่มีประวัติเสียหาย มีผลงานปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจน

- ความพร้อมในการรับงาน ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้รับเหมาที่มีประวัติที่ดี แต่หากมีงานล้นมือ ก็มีความเสี่ยงที่จะให้ความใส่ใจงานน้อยลง รวมไปถึงโอกาสของความไม่พร้อมของทีมงาน ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาความล่าช้า งบประมาณบานปลาย

- ราคาสมเหตุสมผล แพงไปใช่ว่า ถูกกว่าก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นควรพิจารณาผู้รับเหมาที่เสนอราคากลาง ๆ สมเหตุสมผลตามขอบเขตงานและวัสดุที่ต้องใช้

- สัญญาสำคัญ ห้ามละเลยเด็ดขาด การทำสัญญาว่าจ้างคือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นสิ่งผูกพันทางกฎหมายระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง โดยรายละเอียดของสัญญา ควรมีข้อมูลสถานที่และรูปแบบอาคารก่อสร้าง วันเดือนปีที่ทำสัญญา ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวประชาชน รายการวัสดุ รายละเอียดราคาที่เบิกจ่ายในแต่ละงวด เงื่อนไขการเบิกจ่ายและส่งมอบงาน พร้อมทั้งกำหนดค่าปรับหากทำงานล่าช้า เป็นต้น

ตัวอย่างสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างดาวน์โหลดได้ที่นี่

ตัวอย่างหนังสือสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง

 

การรีโนเวทบ้าน เป็นเหมือนบันไดอีกขึ้นที่ช่วยให้เราได้ปีนเข้าใกล้บ้านในฝันได้ง่ายขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการรักษาสภาพบ้านหลังเดิมไว้ หรือชอบในทำเลของบ้าน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย เพราะมีรายละเอียด และขั้นตอนแตกต่างจากการซื้อบ้านพร้อมอยู่ ดังนั้นคนที่รักในการรีโนเวทบ้าน จึงควรต้องศึกษา รู้เรื่องรีโนเวท และเตรียมตัวอย่างรอบคอบที่สุด

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
บ้านทรุด 3 สาเหตุและสัญญาณเตือนบ้านทรุด รุดแก้ก่อนบ้านพัง https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ปัญหาบ้านทรุดตัว-เรื่องสำคัญที่ต้องรีบแก้ไข-21195?locale=th www.ddproperty.com:resources:21195 Fri, 22 Oct 2021 10:17:54 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/12/Property_House_Collapsed-House_2-150x150.jpg"/></p> บ้านทรุด 3 สาเหตุและสัญญาณเตือนบ้านทรุด รุดแก้ก่อนบ้านพัง บ้านทรุด ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้กับบ้านทุกหลัง โดยมีหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุบ้านทรุด เช่น พื้นที่ตั้งของบ้าน กาลเวลา แรงสั่นสะเทือน ความแข็งแรงของโครงสร้าง และน้ำหนักของตัวบ้าน เจ้าของบ้านจึงต้องเข้าใจสาเหตุเพื่อเตรียมรับมือ และเฝ้าสังเกตสัญญาณต่าง ๆ ที่กำลังบ่งบอกว่าบ้านทรุดเอียง หากพบปัญหาเมื่อไร ก็ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน ก่อนปัญหาจะลุกลามจนเกินรับมือ

sportlight

 

บ้านทรุดเกิดจากอะไร

1. สภาพพื้นดิน

เนื่องจากพื้นดินนั้นมีหลายลักษณะ ซึ่งมีความอ่อน ความแข็ง ความหนาแน่น และการยุบตัวที่แตกต่างกันตามโครงสร้างและส่วนประกอบของเนื้อดิน ยกตัวอย่างเช่น พื้นดินในเขตกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ดินมีลักษณะเป็นตะกอนดินเหนียวปากแม่น้ำ มีความอ่อนนุ่มและทรุดตัวง่าย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พื้นดินในเขตกรุงเทพฯ ทรุดตัวง่ายกว่าจังหวัดอื่น 

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทรุดตัวของพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ

นอกจากนี้ บ้านจัดสรรในย่านชานเมือง ก็มักจะตั้งอยู่บนที่ดินที่เคยเป็นบ่อปลา หรือพื้นที่ที่เคยขุดหน้าดินไปถมที่อื่นมาก่อน ดินถมใหม่จึงทรุดตัวง่ายกว่าพื้นดินธรรมชาติ เป็นสาเหตุที่บ้านในย่านชานเมืองมีปัญหาบ้านทรุดให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

2. ระบบฐานราก

ฐานรากเป็นส่วนสำคัญที่จะบ่งชี้ว่าบ้านทรุดตัวยากหรือง่าย หากเสาเข็มหยั่งลึกไม่ถึงชั้นดินดาน หรือแตกหักภายในชั้นดิน หรือตั้งไม่ตรงกับเสาบ้าน หรือเสาเข็มแต่ละด้านหยั่งอยู่บนดินที่ต่างชนิดกัน ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการวางแผนก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน และไม่ตรวจสอบชั้นดินให้ดีก่อนลงเสาเข็ม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านทรุดเอียงง่ายขึ้น

3. น้ำหนักบ้าน

โครงสร้างบ้านนั้นถูกออกแบบให้รองรับน้ำหนักได้ประมาณหนึ่ง ซึ่งเพียงพอต่อการอยู่อาศัยตามปกติ แต่ถ้ามีน้ำหนักมากดทับมากเกินไป เช่น มีการต่อเติมบ้าน ทำชายคา ต่อหลังคาโรงจอดรถ หรือมีสิ่งของน้ำหนักมากเข้ามาเก็บในบ้าน น้ำหนักที่มากขึ้นก็เป็นสาเหตุบ้านทรุดตัวได้

พื้นดินยุบเป็นโพรง สัญญาณบ้านทรุดตัว

พื้นดินยุบเป็นโพรง สัญญาณบ้านทรุดตัว

 

สัญญาณที่บ่งบอกว่าบ้านทรุด

1. รอยร้าวบนตัวบ้าน

รอยร้าวในบ้านมีทั้งแบบอันตรายและไม่อันตราย หากเป็นรอยร้าวแตกลายงาของผิวปูนฉาบและสี ก็ยังพอวางใจได้ แต่ถ้ามีรอยร้าวขนาดใหญ่บนผนังหรือเสา หรือรอยร้าวในลักษณะบ้านทรุดไม่เท่ากัน จนผนังแยกตัวออกจากกันในแนวทแยงมุม รอยร้าวเหล่านี้คือสัญญาณอันตรายที่กำลังบ่งบอกว่าโครงสร้างมีปัญหา

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีตรวจสอบโครงสร้างก่อนบ้านทรุด

2. พื้นดินยุบเป็นโพรง

ลองสำรวจพื้นดินรอบ ๆ ผนังบ้าน หากมีพื้นดินที่ยุบตัวจนเห็นโพรงใต้บ้าน ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าพื้นดินรอบบ้านกำลังทรุดตัว แต่จะกระทบกับตัวบ้านมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับความมั่นคงของเสาเข็ม โดยมักจะมีปัญหากับพื้นปูนที่ไม่มีเสาเข็ม เช่น พื้นที่ซักล้างหลังบ้าน พื้นปูนทางเดินข้างบ้าน หรือพื้นลานจอดรถ นอกจากนี้ ดินที่ยุบเป็นโพรงก็อาจกลายเป็นที่อยู่อาศัยของหนูหรืองูอีกด้วย

สัญญาณที่อาจบ่งบอกว่าบ้านทรุด

ส่วนต่าง ๆ ของบ้าน

สัญญาณบ้านทรุด

รอยร้าว

รอยร้าวบนผนังหรือเสา

ผนัง

แยกตัวเป็นแนวทแยงมุม

พื้นดิน

ยุบตัวเห็นโพรงใต้บ้าน

พื้นบ้าน

ทรุดตัว เช่น พื้นที่ซักล้าง ทางเดินข้างบ้าน ลานจอดรถ

 

ปัญหาบ้านทรุด ต้องแก้ไขอย่างไร

1. ติดต่อโครงการขาย

ในกรณีที่ซื้อบ้านใหม่ ผู้ขายจะรับประกันโครงสร้างบ้าน คือ หลักประกันความปลอดภัยและคุณภาพของสิ่งปลูกสร้างที่ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

โดยทั่วไปแล้วการประกันบ้านจะมีกำหนดระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี หรือกำหนดระยะเวลาและเงื่อนไขภายใต้กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งรวมอยู่ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และพระราชบัญญัติที่ดินที่คุ้มครองอยู่ เมื่อทำสัญญาซื้อขายบ้าน ผู้ขายจะระบุเงื่อนไขต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจน เพื่อรับประกันว่ารับผิดชอบและซ่อมแซมในกรณีที่เกิดความเสียหายในส่วนต่าง ๆ ของบ้าน

หากเจ้าของบ้านไม่ต่อเติมบ้านที่ผิดเงื่อนไขการรับประกัน ก็สามารถเรียกร้องให้ผู้ขายดำเนินการแก้ไขปัญหาบ้านทรุดได้ หากผู้ขายไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหา เจ้าของบ้านสามารถแจ้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หรือฟ้องศาลแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย หรือฟ้องศาลอาญาเพื่อเอาผิดฐานฉ้อโกงได้

2. ปรึกษาวิศวกรก่อสร้าง

ในกรณีที่เป็นบ้านเก่าหรือหมดประกันแล้ว หากบ้านทรุดต้องแก้อย่างไรจึงจะถูกต้อง ขอแนะนำว่าอย่าเรียกใช้ช่างก่อสร้างทั่วไปมาซ่อมแซมตามปัญหาที่เห็นจากสายตา แต่ควรติดต่อบริษัทผู้เชี่ยวชาญหรือวิศวกรก่อสร้างให้เข้ามาวิเคราะห์สาเหตุและหาทางแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ซึ่งอาจต้องขุดพื้นดินเพื่อซ่อมฐานราก หรือใช้เสาดามเพื่อค้ำยันตัวบ้านด้านที่ทรุดเอียง โดยวิธีการซ่อมบ้านทรุดนั้นมีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของปัญหาที่พบ

3. ดีดบ้านเพื่อปรับฐานราก

ในกรณีที่พื้นดินทรุดตัวหนักหรือฐานรากเสียหายจนเกินซ่อมแซม ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาบ้านทรุดได้แบบไม่ต้องทุบทิ้ง นั่นก็คือ การดีดบ้าน โดยบ้านจะถูกตัดออกจากฐานรากเดิม แล้วยกขึ้นจนลอยตัวเพื่อรื้อฐานรากใหม่ ก่อนจะประกบตัวบ้านให้ติดกับฐานรากใหม่ แต่การดีดบ้านก็เป็นบริการที่มีราคาแพงมาก บ้านยิ่งใหญ่ ยิ่งหนัก ก็ยิ่งทำได้ยาก และต้องดำเนินการโดยบริษัทผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นจึงจะปลอดภัย

ท้ายที่สุดนี้ เจ้าของบ้านทุกคนก็ทราบแล้วว่า หากบ้านทรุดจะต้องทำอย่างไรได้บ้าง และต้องรีบทำโดยเร็วที่สุด ก่อนปัญหาการทรุดตัวจะบานปลายจนเกินแก้ไข เพราะการซ่อมบ้านทรุดเฉพาะจุดที่มีปัญหานั้นย่อมมีราคาถูกกว่าการรื้อฐานรากใหม่ทั้งบ้านอย่างแน่นอน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ของมงคล 9 อย่าง แต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ยหน้าบ้านและในบ้าน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/9-ของแต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ย-เพิ่มสิริมงคล-15659?locale=th www.ddproperty.com:resources:15659 Fri, 22 Oct 2021 16:45:17 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/12/9-Things-to-Decorate-home_0-150x150.jpg"/></p> ของมงคล 9 อย่าง แต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ยหน้าบ้านและในบ้าน หากบ้านไหนรู้สึกทำอะไรติดขัด เงินทองไม่ค่อยเข้าบ้าน ลองมาปรับเปลี่ยนหาของมงคลมาแต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ย เพื่อเสริมความมั่งคั่ง ร่ำรวย ชีวิตดี มีความสุขให้กับครอบครัวและเหล่าสมาชิกในบ้าน ลองมาดูของมงคล 9 อย่าง มาให้เลือกซื้อหา เพื่อจะได้เฮง ๆ รวย ๆ กันไปตลอดปี

Subscription Banner for Article

 

1. ตู้ปลาทอง

ตู้ปลาทอง หนึ่งในของมงคลตกแต่งบ้าน

รู้ไหมว่าสาเหตุที่บางบ้านมีตู้ปลาทองตั้งไว้ในบ้าน ใช่ว่าเป็นเพราะมีหัวใจรักสัตว์ หรือชื่นชอบการเลี้ยงปลาอย่างเดียวเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วการมีตู้ปลาวางในบ้านนั้นจะช่วยเสริมพลังมงคงด้านความมั่งคั่ง ร่ำรวย รวมถึงการงานให้กับเจ้าของบ้าน

โดยรูปทรงของตู้ปลาควรเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าในขนาดเหมาะสม ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป และจำเป็นต้องมีน้ำสะอาดอยู่เสมอ เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะนำความเจริญก้าวหน้ามาให้เจ้าของบ้าน ทั้งนี้หากนำไปวางบริเวณทางเข้าบ้านจะดีมาก เพราะประตูเปรียบเสมือนทางเข้าของพลังงาน และเป็นจุดกระตุ้นไหลเวียนโชคลาภ ของมงคลช่วยให้เงินเข้าไม่ขาดสาย

 

2. โมบายแขวนหน้าบ้าน

มองหาของมงคลแต่งบ้าน อย่าลืมโมบายแขวนหน้าบ้าน

เนื่องจากหน้าบ้านเป็นจุดรับลม และสิ่งดี ๆ เข้าบ้าน ดังนั้นหากมีของมงคลอย่างโมบายที่เป็นลักษณะกระดิ่งแขวนอยู่ ตามศาสตร์ฮวงจุ้ยแล้วเชื่อว่าจะสามารถแก้จุดอับเคราะห์ และเรียกเงินทองให้เข้าบ้านได้

 

3. รูปปั้น ฮก ลก ซิ่ว

บูชา ฮก ลก ซิ้ว ของมงคลสร้างความมั่งคั่งเจ้าของบ้าน

ของมงคลตามความเชื่อของชาวจีน หากบ้านไหนบูชาเทพ ฮก ลก ซิ่ว เชื่อว่าจะทำให้ร่ำรวย มีเงินมีทองใช้อย่างไม่ขาดสาย โดยทั้ง 3 เทพเจ้า นั่นมีความหมายดังนี้

  • ฮก ตามภาษาจีนหมายถึง อำนาจบารมี โดยเป็นเทพเจ้าแห่งบุญวาสนา ความเป็นใหญ่ มีอำนาจบารมี
  • ลก มีความหมายว่า การมีโชคลาภ วาสนา ดังนั้นจึงเป็นเทพเจ้าแห่งความบริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์
  • ซิ่ว หมายถึง อายุยืนยาว ปราศจากโรคภัย เป็นเทพเจ้าที่มอบพรอันประเสริฐในด้านไร้โรคภัยไข้เจ็บ

 

4. รูปปั้นนักษัตรประจำปี

ของมงคล อย่างรูปปั้นก็เหมาะกับการแต่งบ้าน

จัดบ้านใหม่เพื่อเสริมสิริมงคลให้กับครอบครัวและสมาชิกภายในบ้านแล้ว ควรนำตุ๊กตาหรือของมงคลรูปปั้นหนูประจำนักษัตรมาตั้งวางบริเวณโถงรับแขกหรือห้องนั่งเล่น เช่น รูปปั้นหนูหรือปีชวดเป็นสัญลักษณ์ของความว่องไวก้าวหน้าอีกด้วย หรือรูปปั้นม้า มีความเชื่อว่าม้าเป็นสัตว์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังและเป็นสัญลักษณ์ของขุนนาง, ชนชั้นสูง ความรวดเร็วว่องไว ส่งผลให้ธุรกิจการค้า การงานประสบความสำเร็จเร็วเหมือนฉายา “ม้าเร็ว”

 

5. ตู้โชว์วางของมงคล

ตู้โชว์วางของมงคล

การจัดโต๊ะหมู่บูชา สรงน้ำพระ หรือบางบ้านอาจจะซื้อตู้โชว์ของวัตถุมงคล มาตั้งตามทิศทางที่เหมาะสม ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นธรรมเนียมที่ดูเหมือนบ้านทุกหลังจะนิยมทำกันในช่วงปีใหม่ หรือสงกรานต์ เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นการเสริมสิริมงคลและสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับชีวิตไปตลอดทั้งปี โดยทางที่ดีควรจัดวางในมุมที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

6. ลูกแก้วคริสตัล

ลูกแก้วคริสตัล อีกหนึ่งของมงคล

หากใครกำลังเตรียมตัวทำความสะอาด จัดบ้านใหม่ เพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้น ลองนำหลักของฮวงจุ้ย ที่มีความเชื่อว่าลูกแก้วคริสตัล หากนำไปแขวนหน้าบ้านจะช่วยกระจายพลังงานดีเข้ามาในบ้าน และสามารถขจัดสิ่งไม่ดีออกไป โดยจะมักนิยมเลือกลูกแก้วในลักษณะกลมมาแขวน เพราะจะทำให้ดูดซับพลังได้กว้างไกล

 

7. เทียนหอม

เทียนหอม ของมงคลที่ให้กลิ่นหอมด้วย

ข้อดีของเทียนหอม ของมงคลตามคุณสมบัติแล้วนอกจากจะช่วยไม่ให้บ้านไร้กลิ่นอับไม่พึงประสงค์ สร้างความผ่อนคลายให้กับคนในบ้านแล้ว เชื่อกันว่าช่วยให้คนในบ้านนั้นมีแต่เรื่องดี ๆ เสริมพลังบวกอีกด้วย

 

8. พันธุ์ไม้มงคล ปลูกแล้วราบรื่น

พันธุ์ไม้มงคล ของมงคลที่ให้ความสวยงามด้วย

สำหรับใครที่เพิ่งซื้อบ้าน แล้วมองหาพันธุ์ไม้มงคลมาช่วยเสริมฮวงจุ้ย แนะนำว่าควรเลือกต้นโป๊ยเซียนดอกสีเหลืองส้มมาปลูก เนื่องจากมีความเชื่อว่า จะนำโชคลาภมาให้เจ้าของบ้าน แต่ถ้าอยากทำอะไรราบรื่น ปราศจากศัตรู ต้องต้นมะยม ที่ทั้งคนไทยและคนจีนนิยมมีสักต้นในบ้าน

ชนิดต้นไม้

ช่วยเสริมฮวงจุ้ย

ต้นโป๊ยเซียน

มั่งคั่งร่ำรวย โชคดีมีชัย แคล้วคลาดปลอดภัย อายุมั่นขวัญยืน เป็นที่รักใคร่ชื่นชม มีดีที่ภาษา ปลอดศัตรูมีแต่ผู้นิยม มีสุขภาพดีปลอดจากโรคภัย

ต้นทับทิม

มีบุตรที่ดี มีลูกหลานเต็มบ้าน มีเงินทองมั่งคั่ง และมีพลังปัดเป่าเคราะห์ภัยทั้งหลาย

ต้นโบตั๋นหรือต้นพุดตาน

เสริมดวงเสน่ห์ ส่งเสริมเมตตา และเสริมสร้างความมั่งมีศรีสุข

ต้นไผ่สีสุก

เป็นสิริมงคล มีความมั่งมีศรีสุข

ต้นมะยม

คนนิยมชมชอบ รักใคร่ มีชื่อเสียง ไม่มีคนคิดร้าย หรือเป็นศัตรู

 

9. ภาพวาดเสริมพลังเจ้าของบ้าน

ภาพวาด ของมงคลเสริมพลังเจ้าของบ้าน

ไหน ๆ ก็ลงมือจัดบ้านรับปีใหม่แล้ว องค์ประกอบอย่างภาพวาดนอกจากจะช่วยเพิ่มสีสันแล้ว หากเลือกภาพวาดในลักษณะวิวทิวทัศน์ มีแม่น้ำ ลำธาร ทะเล หรือน้ำตก รู้ไหมว่าจะช่วยเสริมพลังงานที่ดีให้กับบ้าน โดยมีความเชื่อว่าจะกระตุ้นการไหลเวียนเงิน สามารถสร้างมั่งคั่งร่ำรวยให้กับเจ้าของบ้านได้

 

สำหรับใครที่กำลังจะซื้อบ้าน แล้วต้องการไอเดียเลือกสรรของแต่งบ้าน สามารถออกไปช้อปปิ้ง เลือกหยิบไอเท็มของแต่งบ้านเหล่านี้ ไปใช้ในมุมโปรด หรือห้องต่าง ๆ ได้ เพราะนอกจากจะสร้างความสวยงามแล้ว ยังเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับเจ้าของบ้านด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
แบบหลังคาต่อเติมข้างบ้าน 5 กรณีทำได้ไม่เกิดปัญหา ถูกกฎหมายควบคุมอาคาร https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ต่อเติมหลังคาบ้าน-ทำอย่างไรให้ถูกกฎหมาย-ไร้ปัญหากับเพื่อนบ้าน-32243?locale=th www.ddproperty.com:resources:32243 Fri, 22 Oct 2021 10:30:18 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/08/shutterstock_80900068-150x150.jpg"/></p> แบบหลังคาต่อเติมข้างบ้าน 5 กรณีทำได้ไม่เกิดปัญหา ถูกกฎหมายควบคุมอาคาร เมื่อหลายคนเริ่มขยับขยายซื้อบ้านเป็นของตัวเองแล้ว แน่นอนว่าอาจมีการปรับแต่งเพิ่มเติมตามต้องการอยู่แล้ว งานต่อเติมหลังคาบ้านหรือกันสาดถือเป็นอีกเรื่องสำคัญที่คนรักบ้านและการตกแต่งมักเลือกทำกัน

แต่แค่ติดต่อว่าจ้างผู้รับเหมามืออาชีพมาทำให้นั้นเพื่อให้ได้หลังคาบ้านตามที่คิดไว้ คงไม่พอ เจ้าของบ้านจึงต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการต่อเติมหลังคาบ้าน และเลือกแบบหลังคาต่อเติมข้างบ้านก่อน เพื่อให้รู้ว่าสถานที่ที่คุณต้องการต่อเติมนั้นเป็นอย่างไร ควรใช้หลังคาแบบไหน แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้กระทบทั้งโครงสร้างบ้านทั้งหมดและเพื่อนบ้าน

sportlight

 

ต่อเติมหลังคาบ้าน สำคัญอย่างไร

การต่อเติมหลังคาบ้านและส่วนอื่นของบ้านนั้นล้วนเป็นงานหนักและกินเวลาพอสมควร ถึงอย่างนั้น การต่อเติมหลังคาบ้านก็สำคัญและต้องทำในกรณีที่พิจารณาแล้วว่าจำเป็นต้องทำจริง ๆ โดยการต่อเติมดังกล่าวสำคัญและมีประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

1. เสริมความแข็งแรง

บ้านที่ก่อสร้างและอยู่อาศัยมานานหลายปีย่อมทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ยิ่งหากประสบภัยธรรมชาติ ก็เสี่ยงได้รับความเสียหายอยู่แล้ว การริเริ่มวางแผนต่อเติมหลังคาก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณสำรวจโครงสร้างบ้าน กำแพง เสา และคานไปในตัวด้วยว่าโครงสร้างบ้านโดยรวมยังอยู่ในสภาพที่ใช้งานไปได้ต่อหรือไม่ สมควรซ่อมแซม เพิ่ม เติม หรือต่อส่วนไหนเพื่อให้โครงสร้างบ้านทั้งหมดแข็งแรงและไม่ทรุดโทรมลงกว่าเดิม

 

2. เพิ่มพื้นที่ใช้สอย

ไม่ว่าบ้านที่เพิ่งซื้อมาจะมีพื้นที่จำกัด ไม่ค่อยรองรับรูปแบบการใช้ชีวิตนัก การต่อเติมหลังคาบ้านจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ โดยจะช่วยขยับขยายและปรับใช้พื้นที่ที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ยกตัวอย่าง บ้านที่มีครัวปิด เมื่อทำอาหารอาจส่งกลิ่นคลุ้งเข้าไปในตัวบ้าน แต่หากต่อเติมหลังคาออกมาด้านนอก ก็จะได้พื้นที่ทำครัวเพิ่มขึ้น ซึ่งครัวเปิดจะช่วยระบายอากาศได้ดีกว่า หรือหน้าบ้านอยากได้โรงรถดี ๆ เพิ่มเติม การต่อเติมหลังคาบ้านออกมาก็ช่วยให้รถไม่ต้องโดนแดด โดนฝนตลอดเวลา

จะสร้างโรงจอดรถให้เหมาะกับบ้านและรถ ต้องรู้อะไรบ้าง

 

3. ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์

หากบ้านของคุณไม่ได้อยู่ในพื้นที่โครงการที่มีเงื่อนไขเรื่องการดัดแปลงที่อยู่อาศัยเพื่อการค้า อีกทั้งยังมีแพลนจะทำธุรกิจส่วนตัวเล็ก ๆ ภายในบ้าน ก็อาจวางแผนต่อเติมหลังคาบ้านและส่วนอื่น ๆ ของบ้าน ทำเป็นโฮมออฟฟิศ ร้านอาหาร หรือร้านขายของขนาดเล็กตามความเหมาะสมได้

 

ต่อเติมหลังคาบ้าน ทำได้อย่างไรบ้าง

ก่อนหาผู้รับเหมามาช่วยงานต่อเติมหลังคาบ้าน ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าหลังคาแต่ละประเภทมีประโยชน์และนำมาใช้งานต่างกัน นอกจากนี้ การต่อเติมหลังคาบ้านตามแต่ละตำแหน่งของบ้านก็ไม่เหมือนกันด้วย ผู้ที่คิดจะต่อเติมหลังคาบ้านจึงต้องศึกษาเรื่องพื้นฐานโดยเฉพาะแบบหลังคาต่อเติมข้างบ้าน ต่อไปนี้

 

แบบหลังคาต่อเติมข้างบ้าน

โดยทั่วไปแล้ว แบบหลังคาต่อเติมข้างบ้าน และส่วนอื่น ๆ ของบ้าน จะแบ่งเป็นสองลักษณะ ได้แก่ หลังคาลอน และหลังคาเรียบ ซึ่งทั้งสองลักษณะจะแบ่งย่อยเป็นอีกหลายประเภท ตามการนำไปใช้งาน ดังนี้

 

1. หลังคาลอน

ต่อเติมหลังคาบ้าน ด้วยหลังคาลอน

แบบหลังคาต่อเติมข้างบ้านที่มีลักษณะเว้าโค้งเป็นร่องคล้ายลอนคลื่น วัสดุมีความแข็งแรงทนทาน เนื้อวัสดุหนาน้อยกว่าหลังคาเรียบ หลังคาลอนบางรุ่นอาจมีไม้ปิดลอนสำเร็จรูป เพื่อนำไปใช้ปิดร่องตรงปลายหลังคากันสัตว์เล็ก ๆ เข้าไปแอบใต้หลังคา

ข้อดีของหลังคาลอน คือ ช่วยระบายน้ำได้ดี ราคาถูกกว่า และติดตั้งต่อเติมได้ง่ายกว่า

ข้อเสียของหลังคาลอน คือ สกปรกง่าย เพราะจะมีคราบสะสมจากการซ้อนทับของหลังคา

 

2. หลังคาเรียบ

ต่อเติมหลังคาบ้าน ด้วยหลังคาเรียบ

แบบหลังคาต่อเติมข้างบ้าน ที่มีลักษณะเรียบและตรง นำไปใช้ในการต่อเติมเข้าได้กับวัสดุทุกรูปแบบ การติดตั้งมักต้องอาศัยช่างมืออาชีพที่มีอุปกรณ์ติดตั้งเฉพาะทาง ซึ่งต่างจากการติดตั้งหลังคาลอน

ข้อดีของหลังคาเรียบ คือ มีรูปลักษณ์สวยงาม ทันสมัย การออกแบบและติดตั้งหลังคาเรียบกว่า เหมาะแก่การนำไปใช้ต่อเติมโรงจอดรถหรือกันเสียงตรงระเบียงและหน้าต่าง

ข้อเสียของหลังคาเรียบ คือ ค่าใช้จ่ายสูง เพราะตัววัสดุทำจากวัสดุชั้นดีและค่อนข้างหนากว่าหลังคาลอน อีกทั้งยังมีคุณสมบัติทนทาน และต้องใช้ช่างเชี่ยวชาญติดตั้งด้วย

นอกจากแบบหลังคาต่อเติมข้างบ้านทั้งสองแบบ ยังแบ่งประเภทย่อยออกเป็นหลายประเภท ดังนี้

1. หลังคาเมทัลชีท

วัสดุทำจากโลหะหรือเหล็กที่กรีดเป็นลอนเคลือบด้วยอลูซิงค์ โดยหลังคาจะมีความหนาประมาณ 0.35, 0.40 และ 0.47 มิลลิเมตร มักนำมาใช้ออกแบบและต่อเติมที่อยู่อาศัย โรงงาน โรงจอดรถ เป็นต้น ถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมที่ผู้ต่อเติมหลังคาบ้านมักเลือกใข้ เพราะตัววัสดุทนทาน ป้องกันการรั่วซึม ซื้อหาและติดตั้งได้ง่าย ราคาไม่สูงนัก

2. หลังคายูพีวีซี

วัสดุมี 3 ชั้น มีความหนาประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร ไส้กลางเป็นฉนวนกันความร้อน นอกจากนี้ วัสดุชั้นกลางอาจแตกต่างกันไป มีทั้งแบบคาร์บอนไฟเบอร์และโพลีโฟม คุณสมบัติทนได้ทุกสภาพอากาศและแรงกระแทก ไม่ก่อให้เกิดเสียงดังเมื่อฝนตกกระทบหลังคา ไม่เป็นสนิม ใช้งานได้ยาวนานถึง 20 ปี เหมาะแก่การนำมาใช้ต่อเติมหลังคาหน้าบ้าน โรงจอดรถ และโรงงาน

3. หลังคาไฟเบอร์กลาส

เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแผ่นดีไลท์ หากทำจากเส้นใยแก้วจะมีลักษณะโปร่งแสง หากเป็นแผ่นลอนเล็กจะทึบแสงกว่า เนื้อวัสดุแข็งแรง ทนทาน เสื่อมสภาพช้า มีความหนาประมาณ 1.2 มิลลิเมตร นอกจากนี้ ยังเคลือบฟิล์มที่ผิววัสดุ เพื่อป้องกันรังสียูวี เหมาะแก่การนำไปใช้ระบายความร้อน ไม่ทำให้อบอ้าวด้วย

4. หลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์

วัสดุทำจากซีเมนต์ผสมเส้นใยเซลลูโลส ทำให้มีคุณสมบัติทนทาน เหนียว เนื้อแน่น และทึบแสง มีความหนาประมาณ 5 มิลลิเมตร มีทั้งแบบลอนคลื่นและลอนคู่ ส่วนใหญ่มักนำมาใช้ต่อเติมกับบ้านที่มุงหลังคาลอน ช่วยเสริมให้บ้านดูทันสมัยยิ่งขึ้น

5. หลังคาไวนิล

วัสดุทำจากยูพีวีซีหรือพลาสติก ส่วนประกอบหลักคือโพลีเมอร์ ตัวหลังคาเหมือนพื้นไม้ต่อกัน มีคุณสมบัติทนทานทุกสภาพอากาศ โดยเฉพาะพื้นที่ที่อากาศแปรปรวน จึงนิยมนำมาใช้มุงต่อเติมที่อยู่อาศัยมากขึ้น เพราะกันลม กันแดด กันฝนได้ดี รวมทั้งให้ภายในบ้านเย็นขึ้น

6. หลังคาโพลีคาร์บอเนต

วัสดุทำจากเม็ดพลาสติก จะขยายตัวเมื่ออุณหภูมิสูง ทำให้แข็งแรง ทนทาน ไม่แตกลายเหมือนพลาสติกอื่น น้ำหนักเบา โปร่งแสง กันความร้อน และยืดหยุ่นง่าย มักนำมาใช้ในงานต่อเติมบ้านที่ออกแบบหลังคาแบบดัดโค้ง ข้อดีคือราคาถูกและโปร่งแสง แต่ข้อเสียแตกและเกิดคราบสกปรกง่าย

 

ต่อเติมหลังคาบ้าน ตามส่วนต่าง ๆ ของบ้าน

เมื่อทำความรู้จักแบบหลังคาต่อเติมข้างบ้านแต่ละแบบแล้ว ก็ต้องรู้ด้วยว่าจุดแต่จุดที่ต้องการต่อเติมหลังคานั้นก็ใช้วัสดุและคำนึงถึงลักษณะการต่อเติมแตกต่างกันไปด้วย การต่อเติมหลังคาในแต่ละจุดของบ้านนั้นมีลักษณะ ดังนี้

1. การต่อเติมหลังคาบ้านตรงประตูหรือหน้าต่าง

ต้องพิจารณาว่าบริเวณที่ต่อเติมนั้นอยู่ทิศใด และรับแสงแดดหรือไม่ หากหันไปทางทิศตะวันตกหรือด้านที่โดนแดดเสมอ ก็อาจเลือกใช้หลังคาที่มีลักษณะทึบแสงแทน เพื่อป้องกันแดดและฝน แต่ถ้าประตูหรือหน้าต่างอยู่ทิศเหนือหรือทางที่ไม่โดนแดดเท่าไหร่ ก็เลือกใช้หลังคาทีมีลักษณะโปร่งแสงแทน เพื่อช่วยกันฝน รวมทั้งรับแสงธรรมชาติได้ตลอด

2. การต่อเติมหลังคาบ้านบริเวณห้องครัว

ควรพิจารณาทิศ แสงแดด และประโยชน์ใช้สอยอื่น ๆ ประกอบร่วมกัน หรือเลือกที่เข้ากับทิปส์ต่อเติมครัวไทยที่คิดเอาไว้อยู่ก่อนแล้วก็ได้ โดยทั่วไปแล้ว บ้านที่มีครัวอยู่ในบ้านอาจเลือกต่อเติมหลังคาแบบผสมกัน โดยเลือกใช้หลังคาโปร่งแสงต่อเติมตรงอ่างล้างจานและชั้นวางจาน เพื่อรับแสงธรรมชาติ และเลือกใช้หลังคาทึบแสงต่อเติมบริเวณตู้กับข้าวหรือตู้เย็น เพื่อป้องกันแสงและฝนส่องเข้ามา

ส่วนผู้ที่วางแผนต่อเติมครัวนอกและลานซักล้างนั้นต้องเลือกใช้แบบหลังคาต่อเติมข้างบ้าน ต่อเติมหลังคาห้องครัวที่ทนทาน กันแดด กันฝน และกันลมได้ดี เพื่อทำให้พื้นที่โปร่ง โล่ง สบายยิ่งขึ้น

3. การต่อเติมหลังคาบ้านตรงโรงจอดรถ

หลัก ๆ แล้วจะมีสองลักษณะด้วยกัน ได้แก่ การต่อเติมหลังคาโรงจอดรถแบบไร้เสาและแบบมีเสา โดยการต่อเติมแบบแรกจะมีลักษณะหลังคายื่นออกมาจากตัวบ้านเลย ไม่มีเสารองรับ โดยวิศวกรจะคำนวณและประเมินดูแล้วว่าคานบ้านและเสาบ้านหลักแข็งแรงพอที่จะยึดหลังคากับตัวบ้านได้ เหมาะกับคนที่ต้องการขยับขยายโรงรถเดิม หลังคาที่ใช้ต้องมีน้ำหนักเบา เช่น หลังคาเมทัลชีท หลังคาไวนิล หลังคายูวีพีซี เป็นต้น อีกทั้งไม่ควรต่อเติมเกิน 2 เมตร

ส่วนการต่อเติมหลังคาโรงจอดรถแบบมีเสานั้นคือต่อเติมหลังคายื่นออกมาเกิน 2 เมตร เจ้าบ้านต้องพิจารณาสร้างเสาขึ้นมาอย่างน้อย 4 ต้น เพื่อใช้รองรับหลังคาโดยเฉพาะ ให้แยกออกมาจากตัวโครงสร้างหลักของบ้าน รวมทั้งอาจเลือกตกแต่งเสาตามความชอบได้เพิ่มเติม

 

ต่อเติมหลังคาบ้าน ทำอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหา

การต่อเติมบ้านมักมีข้อควรระวังที่เจ้าของบ้านต้องคิดหาทางป้องกันไว้ก่อน โดยข้อควระวังดังกล่าวมักเกี่ยวเนื่องกับกฎหมาย โครงสร้างบ้านของคุณ และเพื่อนบ้านใกล้เคียง วิธีต่อเติมหลังคาบ้านให้เสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ปราศจากปัญหาทั้ง 3 ด้าน ดังนี้

ประเภทหลังคา

จุดเด่น

หลังคาเมทัลชีท

ทนทาน ป้องกันการรั่วซึม  ติดตั้งง่าย 

หลังคายูพีวีซี

ทนทุกสภาพอากาศและแรงกระแทก ไม่เป็นสนิม

หลังคาไฟเบอร์กลาส

แข็งแรง ทนทาน ป้องกันรังสียูวี ไม่ทำให้อบอ้าว

หลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์

ทนทาน เหนียว เนื้อแน่น ทึบแสง ทันสมัย

หลังคาไวนิล

กันลม กันแดด กันฝนได้ดี ช่วยให้บ้านเย็น

หลังคาโพลีคาร์บอเนต

แข็งแรง ทนทาน น้ำหนักเบา โปร่งแสง กันความร้อน

ต่อเติมหลังคาบ้านให้ถูกกฎหมาย

5 กรณีที่ไม่ต้องขออนุญาตเมื่อต่อเติมบ้าน

ปกติแล้วการต่อเติมบ้านเพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านมากขึ้น จริง ๆ แล้วหากไม่ได้รับอนุญาตถือว่าผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติ ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่ว่าด้วยเรื่องการดัดแปลง หรือต่อเติมอาคาร จะต้องขออนุญาต แต่ยังมีข้อยกเว้นอยู่ด้วยกัน 5 กรณีที่ไม่ต้องขออนุญาต ดังนี้

คู่มือกฎหมายควบคุมอาคาร จากกรมโยธาธิการและผังเมือง

1. การ “เพิ่ม” หรือ “ลด” เนื้อที่ของพื้นชั้นใดชั้นหนึ่งรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร และไม่มีการเพิ่มหรือลดจำนวนเสาหรือคาน ซึ่งหมายความว่า ถ้าเกินกว่า 5 ตารางเมตร ก็ต้องขออนุญาต

2. การ “เพิ่ม” หรือ “ลด” เนื้อที่ของหลังคารวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร และไม่มีการเพิ่มหรือลดจำนวนเสาหรือคาน หมายความว่า ถ้าเกินกว่า 5 ตารางเมตร ก็ต้องขออนุญาต

3. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคาร ด้วยการใช้วัสดุ ขนาด จำนวน และชนิดเดียวกับของเดิม ซึ่งหมายความว่า ถ้าเรามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเป็นวัสดุที่แตกต่างจากเดิม ต้องขออนุญาต

4. การเปลี่ยนส่วนใด ๆ ภายในบ้านที่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นโครงสร้างอาคาร ด้วยการใช้วัสดุชนิดเดียวกับของเดิม หรือวัสดุชนิดอื่นที่ไม่ได้เพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างของอาคารเดิมเกิน 10% ของน้ำหนักเดิม ซึ่งหมายความว่า ถ้าเรามีการเปลี่ยนแปลงส่วนใด ๆ ภายในบ้านด้วยวัสดุที่แตกต่างจากเดิม หรือเพิ่มน้ำหนักเกินกว่า 10% ของน้ำหนักเดิม ต้องขออนุญาต

5. การเปลี่ยน ต่อเติม เพิ่ม ลด เนื้อที่ส่วนใด ๆ ก็ตามในบ้านที่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นโครงสร้างอาคาร และไม่เพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างเกิน 10% ของโครงสร้างอาคารเดิม ซึ่งหมายความว่า ถ้าเรามีการเปลี่ยน ต่อเติม เพิ่ม ลด เนื้อที่ในบ้านด้วยวัสดุที่แตกต่างจากเดิม หรือเพิ่มน้ำหนักเกินกว่า 10% ของน้ำหนักเดิม ต้องขออนุญาต

หากการต่อเติมหลังบ้านบ้านไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตในการก่อสร้าง

การต่อเติมบ้านอย่างถูกกฎหมาย

 

วิธีต่อเติมหลังคาบ้านไม่ให้กระทบโครงสร้างบ้าน

ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าโครงสร้างพื้นและเสาบ้านของคุณเป็นอย่างไร เพราะโครงสร้างบ้านแต่ละแบบไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับการต่อเติมเพิ่มเสมอไป ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

1. โครงสร้างพื้น

เมื่อพูดถึงโครงสร้างพื้นจะแบ่งเป็น พื้นคอนกรีตวางบนดิน และพื้นคอนกรีตวางบนคาน พื้นคอนกรีตแบบแรก
จะถ่ายน้ำหนักลงบนดินโดยตรง ต้องแยกจากโครงสร้างส่วนอื่น เพื่อป้องกันการทรุดตัวตามดินที่สูงขึ้น หากต้องการต่อเติมและลงเสาติดกับพื้นคอนกรีตแบบนี้ควรคั่นด้วยแผ่นโฟมเอาไว้ ส่วนพื้นคอนกรีตแบบหลังจะถ่ายน้ำหนักลงคานโดยตรง เหมาะแก่การใช้ในบ้านและอาคารทั่วไป

2. โครงสร้างเสาเข็ม

เสาเข็มจะช่วยพยุงน้ำหนักและป้องกันไม่ให้ทรุดตัว ควรพิจารณาว่าใช้เสาเข็มแบบใด ฝังลงไปลึกแค่ไหน ชั้นดินที่เสาเข็มนั้นมีความแข็งมากน้อยเท่าใด หากฝังลงดินไม่แน่นมากพอ ก็เสี่ยงทำให้โครงสร้างบ้านและการต่อเติมอื่นทรุดตัวตามลงไปได้

 

วิธีต่อเติมหลังคาบ้านไม่ให้กระทบเพื่อนบ้าน

สิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาประเด็นต่อเติมหลงคาบ้านกับเพื่อนบ้าน คือ ต้องศึกษาและทำความเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถี่ถ้วน โดยกฎหมายและข้อควรระวังเกี่ยวกับต่อเติมหลังคาบ้านที่ต้องศึกษาเพื่อลดข้อพิพาทกับเพื่อนบ้าน มีดังนี้

1. ข้อควรระวังระยะชายคาหรือกันสาด ควรเว้นระยะหลังคาจนถึงแนวเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร

2. ข้อควรระวังระเบียงชั้นบน หากคุณต้องต่อเติมหลังคาตรงระเบียงชั้นบน ต้องเว้นระยะจากระเบียงจนถึงแนวเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 2 เมตร

นอกจากนี้ หากต้องมีการต่อเติมส่วนใดที่อาจกระทบกับเพื่อนบ้าน เจ้าของบ้านจำเป็นจะต้องพูดคุยขอความยินยอมจากเพื่อนบ้านก่อนการต่อเติมด้วย เช่น กรณีที่ต้องใช้แบบหลังคาต่อเติมข้างบ้าน และในบางกรณีอาจต้องมีหนังสือยินยอมจากเพื่อนบ้านเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต

 

จะเห็นได้ว่าการต่อเติมหลังคาบ้านหรืองานตกแต่งดูแลสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ไม่เพียงทำขึ้นเพื่อเติมเต็มความต้องการของผู้อยู่อาศัยภายในบ้านเท่านั้น แต่ยังต้องสร้างความสุขและไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่เพื่อนบ้านอีกด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
หลังคาบ้านสวย ๆ 7 ประเภท เลือกแบบไหน เหมาะกับสภาพภูมิอากาศของไทย https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/รู้จักหลังคาบ้าน-เลือกแบบไหนให้เหมาะกับบ้านคุณ-30349?locale=th www.ddproperty.com:resources:30349 Sat, 23 Oct 2021 11:16:58 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/07/shutterstock_731763493-150x150.jpg"/></p> หลังคาบ้านสวย ๆ 7 ประเภท เลือกแบบไหน เหมาะกับสภาพภูมิอากาศของไทย หากหน้าบ้านเปรียบเหมือนผิวหน้า หลังคาบ้านคงไม่ต่างกับอะไรกับทรงผม ถ้าทรงผมผิดเพี้ยนไม่เข้ากับรูปหน้า บ้านก็อาจจะดูไม่เข้าตาเท่าไร และถึงแม้ในปัจจุบันจะไม่มีกรอบตายตัวสำหรับการเลือกรูปแบบหลังคาบ้านสวย ๆ แต่การเลือกซื้อบ้านที่มีหลังคาที่เหมาะสมและตอบโจทย์กับการอยู่อาศัยที่สุด ก็ช่วยให้บ้านตรงใจผู้อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น

 

ทำความรู้จักกับประเภทของหลังคาบ้านสวย ๆ

1. หลังคาบ้านทรงจั่ว

หลังคาบ้าน ทรงจั่ว

เป็นรูปแบบหลังคาทรงมาตรฐานที่พบเห็นได้ทั่วไป หลังคาบ้านสวย ๆ มีความร่วมสมัยและเป็นที่นิยม เนื่องจากรูปทรงลาดเอียงของหลังคาถูกออกแบบมาเพื่อให้อากาศไหลเวียน ช่วยให้มวลอากาศเย็นเข้ามาช่วยระบายความร้อน ทำให้สามารถระบายความร้อนภายใต้หลังคาได้ดี เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นแบบประเทศไทย อีกทั้งหากวางทิศทางให้เหมาะสมยังรับลมได้ดีกับลมประจำถิ่นอีกด้วย

 

2. หลังคาบ้านทรงปั้นหยา

หลังคาบ้าน ทรงปั้นหยา

รูปทรงดูคล้าย ๆ กับทรงจั่ว แต่จะต่างกันที่หลังคาทรงปั้นหยาจะมีด้านลาดชัน 4 ด้าน และมักจะมีชายคาที่ยื่นออกไปปกคลุมตัวบ้าน ช่วยกันแดดและกันฝนได้ดี ด้วยรูปทรงที่มั่นคงของโครงสร้างที่ผสานกัน 4 ด้าน ทำให้หลังคาทรงปั้นหยา นอกจากจะเป็นหลังคาบ้านสวย ๆ ที่มีความคงทนแข็งแรง แต่ขณะเดียวกัน ในด้านการระบายอากาศและการรับลมจะทำได้ไม่ค่อยดีนัก จึงควรติดแผ่นฝ้าชายคาที่มีรูระบายอากาศ หรือเว้นร่องฝ้าชายคา เพื่อให้สามารถระบายอากาศใต้หลังคาได้ดีขึ้น

 

3. หลังคาบ้านทรงมะนิลา

หลังคาบ้าน ทรงมะนิลา

เป็นทรงที่มีการผสมผสานระหว่าง ทรงจั่ว และ ทรงปั้นหยา โดยรูปทรงจะมีจั่วอยู่บริเวณยอดหลังคา ข้อดีของหลังคาทรงมะนิลา คือมีความแข็งแรงมั่นคง กันแดดกันฝนได้ดีเหมือนกับทรงปั้นหยา และยังสามารถระบายความร้อนได้ดีเหมือนกับทรงจั่ว ทำให้หลังคาทรงมะนิลาเป็นหลังคาบ้านสวย ๆ ที่นิยมในประเทศเขตร้อนอย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

4. หลังคาบ้านทรงแบน

หลังคาบ้าน ทรงแบน

เป็นหลังคาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในทาวน์เฮ้าส์และทาวน์โฮม ข้อดีของหลังงคาทรงแบนคือ เป็นหลังคาบ้านสวย ๆ ให้รูปทรงแบบโมเดิร์นสวยงาม เหมาะกับบ้านในเมือง สามารถใช้พื้นที่หลังคาในการทำประโยชน์ได้ แต่เนื่องด้วยหลังคาทรงแบนทำด้วยคอนกรีต ทำให้สะสมความร้อนไว้มากกว่าหลังคาในรูปแบบอื่น

ฉนวนกันความร้อนหลังคา 6 แบบ ติดอย่างไรจึงจะดีที่สุด

 

5. หลังคาบ้านทรงเพิงหมาแหงน

หลังคาบ้าน ทรงเพิงหมาแหงน

หลังคาบ้านสวย ๆ ให้ความโมเดิร์นทันสมัยเช่นเดียวกับหลังคาทรงแบน แต่จะมีความลาดเอียงด้านใดด้านหนึ่ง นิยมใช้ในบ้านที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เนื่องจากหลังคาทรงนี้ป้องกันความร้อนได้ไม่ดีนัก ซึ่งแก้ไขได้ด้วยการออกแบบช่องระบายความร้อนใต้หลังคาเพิ่มเติม แต่มีข้อดีคือสามารถก่อสร้างง่าย รวดเร็ว และมีราคาประหยัด

 

6. หลังคาบ้านทรงปีกผีเสื้อ

หลังคาบ้าน ทรงปีกผีเสื้อ

เป็นลักษณะของหลังคาทรงเพิงหมาแหงนหันหลังชนกัน ตรงกลางเป็นส่วนลาดเอียงต่ำ มีความทันสมัย สามารถรับน้ำฝนได้ดี แต่สำหรับพื้นที่ฝนตกชุกจะไม่ค่อยเหมาะ เนื่องจากมีโอกาสหลังคารั่วซึมได้

 

7. หลังคาบ้านทรงกลม

หลังคาบ้าน ทรงกลม

เป็นทรงที่ไม่ค่อยพบเห็นเท่าไรนัก เนื่องจากก่อสร้างยาก ไม่สามารถใช้วัสดุหลังคาประเภทกระเบื้องได้ ข้อดีของหลังคาทรงกลมคือ เป็นหลังคาบ้านสวย ๆ ที่มีความโดดเด่นสวยงาม ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการรั่วซึม แต่ต้องอาศัยช่างที่มีความชำนาญในการก่อสร้างและการคำนวณโครงสร้าง

สรุปหลังคาบ้านแต่ละประเภท

ประเภทหลังคาบ้าน

ลักษณะและข้อดี

หลังคาบ้านทรงจั่ว

ระบายความร้อนได้ดี เหมาะกับสภาพอากาศของไทย

หลังคาบ้านทรงปั้นหยา

กันแดดกันฝนได้ดี คงทนแข็งแรง

หลังคาบ้านทรงมะนิลา

แข็งแรงมั่นคง กันแดดกันฝนได้ดี ระบายความร้อนได้ดี

หลังคาบ้านทรงแบน

รูปทรงทันสมัย พื้นที่บนหลังคาใช้ประโยชน์ได้

หลังคาบ้านทรงเพิงหมาแหงน

รูปทรงทันสมัย ก่อสร้างง่าย รวดเร็ว ราคาประหยัด

หลังคาบ้านทรงปีกผีเสื้อ

รูปทรงทันสมัย รับน้ำฝนได้ดี

หลังคาบ้านทรงกลม

โดดเด่นสวยงาม พบเห็นน้อย เพราะก่อสร้างยาก

7 วิธีซ่อมหลังคารั่ว ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

 

ควรเลือกโครงสร้างหลังคาบ้านแบบไหนดี?

นอกจากรูปทรงหลังคาแล้ว โครงสร้างหลังคาคือสิ่งที่ต้องพิจารณาอันดับต้น ๆ เพราะเป็นส่วนค้ำจุนวัสดุมุงหลังคา ซึ่งต้องผ่านการคำนวณรับน้ำหนักต่าง ๆ เพื่อความคงทนแข็งแรงและความปลอดภัยของคนในบ้าน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ โครงสร้างเหล็ก และโครงสร้างไม้

1. หลังคาบ้านสวย ๆ โครงสร้างเหล็ก

หลังคาบ้านสวย ๆ โครงสร้างเหล็ก

นิยมใช้ในการก่อสร้างบ้านสมัยใหม่ โดยหลังคาโครงสร้างเหล็กยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทย่อย ได้แก่

- หลังคาโครงสร้างเหล็กรูปพรรณ เป็นเหล็กตัว C ที่ถูกมาชุบสีน้ำมันและสีกันสนิม มาเชื่อมกันเพื่อขึ้นรูปโครงสร้างที่ไซต์ก่อสร้าง มักจะเป็นเหล็กที่มีความหนาประมาณ 3 มม. เหมาะสำหรับการใช้รับน้ำหนักกระเบื้องลอนคู่ และยังมีขนาดความหนา 3.2 มม. ซึ่งเหมาะสำหรับใช้กับกระเบื้องโมเนีย

- หลังคาโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป เป็นเหล็กสำเร็จ มีน้ำหนักบากว่าเหล็กรูปพรรณ เคลือบผิวป้องกันสนิมและมีการคำนวณการรับน้ำหนักตามรูปทรงหลังคาและวัสดุมุงหลังคาที่ใช้ด้วยโปรแกรมวิศวกรรม โดยผ่านการวัดขนาดและตัดมาจากโรงงาน

 

2. หลังคาบ้านสวย ๆ โครงสร้างไม้

หลังคาบ้านสวย ๆ โครงสร้างไม้

เป็นวัสดุโครงหลังคาดั้งเดิม สามารถติดตั้งได้ไม่ยุ่งยาก ช่างธรรมดาก็สามารถทำได้ แต่มีจุดด้อยคือต้องใช้ไม้ที่มีคุณภาพ ซึ่งมักจะมีราคาสูง และมักมีปัญหาเกี่ยวกับปลวก

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับรางน้ำฝน การติดตั้งและการดูแลรักษา

 

วัสดุมุงหลังคาแต่ละประเภท มีอะไรบ้าง?

วัสดุมุงหลังคา มักจะถูกเลือกตามรูปทรงหลังคาและโครงสร้างหลังคา ซึ่งแต่ละประเภทก็มีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันไป ดังนี้

 

1. กระเบื้องคอนกรีต

หลังคาบ้านสวย ๆ ด้วยกระเบื้องคอนกรีต

หลังคาบ้านสวย ๆ ที่มีความสวยงาม ติดตั้งง่าย เพราะมีขนาดที่เข้ากับรูปทรงของบ้านเป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังมีความแข็งแรงทนทาน กันความร้อนได้ดี และสามารถใช้ได้กับทุกสภาพอากาศในเมืองไทย ทำให้กระเบื้องคอนกรีตเป็นที่นิยม แต่มีจุดด้อยคือ เนื่องจากมีน้ำหนักมาก โครงสร้างหลังคาจึงต้องมีความแข็งแรงตามไปด้วย ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างจะสูงกว่าการใช้วัสดุมุงหลังคาประเภทอื่น

 

2. กระเบื้องดินเผา

หลังคาบ้านสวย ๆ ด้วยกระเบื้องดินเผา

มักใช้ในอาคารที่มีอายุเก่าแก่หรืออาคารอนุรักษ์ ปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก เนื่องจากกระเบื้องกินเผาต้องมีหลังคาที่ลาดชันมาก มีรูพรุนหลายจุด เกิดคราบสกปรกง่าย และยังทำความชื้นสูง แตกเปราะรั่วซึมได้ง่าย

 

3. กระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์

หลังคาบ้านสวย ๆ ด้วยกระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์

นิยมใช้กับหลังคาที่มีขนาดใหญ่ มีความแข็งแรงทนทาน กันความร้อนได้ดี มีราคาถูกกว่ากระเบื้องคอนกรีต แต่มีความทนทานน้อยกว่าเล็กน้อย และเริ่มนิยมใช้กันมากขึ้น

 

4. หลังคาโลหะเคลือบ หรือแผ่นเหล็กเมทัลชีท

หลังคาบ้านสวย ๆ ด้วยหลังคาโลหะเคลือบ หรือแผ่นเหล็กเมทัลชีท

วัสดุมุงหลังคาที่มีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย รอยต่อน้อย มีความสวยงามและสะท้อนความร้อนได้ดี แต่มีจุดด้อยคือมีอายุการใช้งานสั้น และมักเกิดเสียงดังได้ง่าย

 

ไขข้อข้องใจ หลังคาบ้านสวย ๆ แบบไหนเหมาะกับบ้านเรา?

เนื่องด้วยพื้นฐานประเทศไทยเป็นประเทศในเขตร้อนชื้น มีแดดจัดและฝนตกชุกตลอดทั้งปี ดังนั้นควรเลือกหลังคาบ้านสวย ๆ ที่จะช่วยระบายความร้อนได้ดี ได้แก่ หลังคาทรงจั่ว, หลังคาทรงปั้นหยา และหลังคาทรงมะนิลา

สำหรับหลังคาบ้านสวย ๆ ที่ไม่ต้องใช้งบประมาณมาก ก่อสร้างไม่ยุ่งยาก ได้ความสวยงามแบบสมัยใหม่ ได้แก่ หลังคาทรงแบน, หลังคาทรงเพิงหมาแหงน และหลังคาทรงปีกผีเสื้อ แต่มีจุดด้อยคือกันแดดกันฝนได้ไม่ดีนัก และมีโอกาสเกิดการรั่วซึมมาก

ส่วนหลังคาทรงกลม เป็นหลังคาที่มีความสวยงามโดดเด่นเฉพาะตัว แต่ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญ และยังใช้งบประมาณสูงกว่าหลังคาแบบอื่น เนื่องจากต้องใช้วัสดุประเภท เมทัลชีท, ไฟเบอร์กลาส, ยางมะตอย และแผ่นทองแดง ซึ่งมีจุดด้อยคือไม่สามารถระบายความร้อนได้ดีเท่ากับทรงอื่น ๆ

 

รสนิยมไม่มีคำว่าถูกผิด เช่นเดียวกับการเลือกหลังคาบ้านสวย ๆ แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องของความชอบแล้ว ควรเลือกวัสดุและโครงสร้างที่รองรับกัน ซึ่งสามารถปรึกษาช่างหรือผู้รับเหมาได้ เพื่อความมั่นคงแข็งแรง ความสวยงาม และอายุการใช้งานที่ยืนยาวขึ้นของหลังคานั่นเอง

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
หัวเตียงติดหน้าต่างดีไหม 4 หลักจัดฮวงจุ้ยเตียงนอน เสริมโชคลาภ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/4-ข้อสำคัญของการจัดเตียงรับโชค-15683?locale=th www.ddproperty.com:resources:15683 Sun, 24 Oct 2021 06:09:19 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/09/Bedroom-interior-150x150.jpg"/></p> หัวเตียงติดหน้าต่างดีไหม 4 หลักจัดฮวงจุ้ยเตียงนอน เสริมโชคลาภ “ห้องนอน” ถือเป็นมุมสงบที่เราจะได้พักผ่อนจากความเหนื่อยล้า และปัญหาต่าง ๆ ในแต่ละวัน แต่เชื่อหรือไม่ว่าถ้าคุณจัดเตียงนอนได้อย่างถูกวิธีตามหลักของฮวงจุ้ย นอกจากจะช่วยให้หลับสบายขึ้นแล้ว ยังช่วยเสริมโชคสร้างลาภให้กับเจ้าของห้องอีกด้วย แต่จะจัดอย่างไรดี หัวเตียงติดหน้าต่างดีไหม หรือตำแหน่งไหนเหมาะกับการวางเตียงที่สุด ลองมาดูหลักในการจัดเตียงเสริมเฮงง่าย ๆ 4 ข้อ ดังนี้

sportlight

 

1. อย่าวางหัวเตียงติดหน้าต่าง หรือวางด้านข้างของเตียงให้ชิดกับหน้าต่างจนเกินไป

การวางหัวเตียงติดหน้าต่าง หรือการวางด้านข้างของเตียงให้ชิดกับผนังกับหน้าต่างจนเกินไป จะทำให้เมื่อคุณนอนหรือนั่งอยู่บนเตียงจะรู้สึกเหมือนมีลมพัดจากด้านหลังตลอดเวลา สำหรับคนที่ไม่คิดอะไรก็อาจจะเย็นดี แต่ตามหลักฮวงจุ้ยแล้วจะทำให้ผู้นอนรู้สึกระแวง เป็นกังวล และจะทำให้นอนหลับไม่สบายได้ อีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่ควรตั้งให้หัวเตียงติดหน้าต่างคือจะทำให้พลังชี่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นพลังของชีวิต ไหลออกไปจากห้อง

นอกจากนี้การวางหัวเตียงติดหน้าต่างก็ยังทำให้บริเวณศีรษะสัมผัสอากาศเย็นได้ง่าย อาจทำให้ไม่สบายได้เช่นกัน

หากวางหัวเตียงติดหน้าต่างหรือวางด้านข้างเตียงให้ชิดกับหน้าต่างเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำแล้ว ตำแหน่งไหนที่ควรวางเตียง ก็ต้องแนะนำว่า หัวเตียงควรจะตั้งให้ติดกำแพง หรือไม่ก็มีหัวเตียงที่แข็งแกร่ง (เปรียบเสมือนขุนเขา) ที่จะทำให้รู้สึกปลอดภัยยิ่งขึ้น

ไม่ใช่แค่หัวเตียงติดหน้าต่างเท่านั้น แต่การวางหัวเตียงแนวเดียวกับประตู ก็ไม่ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงด้วยเช่นเดียวกัน ตามหลักโหราศาสตร์จีนหรือฮวงจุ้ยนั้น ถือว่าตำแหน่งหัวเตียงนอนในลักษณะนี้ เป็นตำแหน่งเดียวกับการวางโลงศพ เตียงนอนของคุณจะถูกจัดวางในตำแหน่งที่พลังงานลบพุ่งเข้าหาอย่างรุนแรง แถมพลังงานบวกยังไหลจากเตียงนอนผ่านออกไปนอกประตูได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าเลี่ยงได้ควรเลี่ยง

หากเลี่ยงไม่ได้ ไม่สามารถย้ายเตียงนอนไปมุมอื่นได้ มีวิธีแก้ไข คือ หาแผ่นวางเท้ามาวางบนพื้นให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน และหาเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่มาวางกั้นระหว่างเตียงและประตูห้องนอนของคุณ เช่น วางม้านั่งพร้อมหมอนหรือผ้าคลุมม้านั่ง เก้าอี้เบาะหนัง หรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นที่เห็นว่ามีความเหมาะสม มาตั้งไว้บริเวณปลายเตียง ในกรณีที่ไม่สามารถย้ายตำแหน่งหัวเตียงนอนที่จัดวางในแนวเดียวกับประตูได้จริง ๆ เพื่อปกป้องตนเองจากพลังงานลบที่พุ่งเข้ามายังตัวคุณได้ในขณะหลับ

หลีกเลี่ยงการนำโคมไฟมาห้อยตรงบริเวณกลางหัวเตียง

 

2. หลีกเลี่ยงการนำโคมไฟมาห้อยตรงบริเวณกลางหัวเตียง

นอกจากไม่ควรวางหัวเตียงติดหน้าต่างแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการนำโคมไฟมาห้องตรงบริเวณกลางหัวเตียงด้วย เพราะหากคุณต้องนอนใต้โคมไฟที่ห้อยระย้า คุณจะรู้สึก “กดดัน” แล้วจะพาลนอนไม่หลับหรือหากหลับก็อาจจะฝันเป็นตุเป็นตะไปได้ ส่วนในทางวิทยาศาสตร์แล้ว การมีโคมไฟห้อยอยู่ตรงหน้าจะทำให้แสงที่ส่องมารบกวนการนอนของคุณนั่นเอง

ในกรณีที่คุณอยากจะมีโคมไฟอยู่บริเวณเตียง ควรหาโคมไปแบบตั้งวางด้านข้างหัวเตียงทั้งสองข้าง เพราะเชื่อกันว่าจะช่วยในเรื่องของความรัก ควรเลือกโคมไฟที่มีขอบมนกลมเพื่อช่วยเสริมการไหลเวียนของพลังชี่

 

3. กระจกเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในห้องนอน

แม้การติดกระจกในห้องนอนจะช่วยให้ห้องนอนเล็ก ๆ ดูกว้างขวางขึ้นได้ก็จริง แต่ตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว กระจกเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในห้องนอน เพราะเชื่อกันว่าจะสะท้อนพลังชีวิตให้ออกไปจากห้อง แต่ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พยายามอย่าตั้งเตียงให้ตรงกับกระจกเพราะจะทำให้คุณรู้สึกกลัวกับภาพประหลาด ๆ (ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจจะเป็นภาพของเราเองนั่นแหละ) เมื่อเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วอาจจะทำให้คุณคิดเตลิดเปิดเปิงไปจนนอนไม่หลับ หรือหลับก็หลับไม่ค่อยสบายจนอาจล้มป่วยลงได้

นอกจากนี้ ไม่ควรตั้งเตียงให้ตรงกับประตู เพราะจะทำให้คุณรู้สึกไม่ค่อยมีความเป็นส่วนตัว และไม่ค่อยปลอดภัยนั่นเอง

 

ใช้สีถูกต้องช่วยเสริมฮวงจุ้ยห้องนอน

 

4. ใช้สีถูกต้องช่วยเสริมฮวงจุ้ย

การใช้สีและองค์ประกอบตามหลักฮวงจุ้ย เชื่อกันว่าจะช่วยสร้างสมดุลให้กับชีวิตมากขึ้น สีที่จะขอแนะนำ ได้แก่ 

สี

ความหมายตามหลักฮวงจุ้ย

สีเหลือง

ความเบิกบานในชีวิต

สีชมพู

ความสุข

สีขาว

สงบสุขและสมดุล

สีแดง

ความรักและความสมหวัง

สีส้ม

ความสร้างสรรค์

สีเขียว

กระชุ่มกระชวยและเพิ่มพลังให้กับชีวิต

สีม่วง

ความสงบ

สีฟ้า

ความสงบ

 

การวางเตียงให้ถูกหลักฮวงจุ้ยเป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่แฝงไปด้วยหลักวิทยาศาสตร์ เช่น ไม่ควรวางหัวเตียงติดหน้าต่าง เพราะจะทำให้ไม่สบายได้ง่าย ดังนั้น การจัดหรือตกแต่งห้องนอนให้ถูกหลักฮวงจุ้ยนอกจากจะช่วยให้การนอนหลับสบายขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยเสริมสิริมงคลให้กับผู้นอนได้ด้วย

 

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
3 สไตล์ Renovate บ้านเก่ามือสอง เปลี่ยนลุคแถมได้เงิน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/รีโนเวทบ้านเก่ามือสอง-เปลี่ยนลุคแถมได้เงิน-47903?locale=th www.ddproperty.com:resources:47903 Fri, 22 Oct 2021 16:04:43 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/05/Renovate-townhouse-idea-150x150.jpg"/></p> 3 สไตล์ Renovate บ้านเก่ามือสอง เปลี่ยนลุคแถมได้เงิน หากใครกำลังมีบ้านเก่ามือสองอยู่ในมือ แล้วกำลังหาไอเดีย Renovate บ้านเก่ามือสองให้ดูเหมือนใหม่ ไฉไลกว่าเดิม ประหนึ่งเหมือนซื้อบ้านมือหนึ่งในโครงการหรู เพิ่มมูลค่าให้กับตัวบ้าน และสามารถสร้างรายได้ในอนาคต โดยเราได้นำไอเดียสุดว้าวในการ Renovate บ้านเก่า 3 สไตล์ทั้งแนวญี่ปุ่น โมเดิร์น หรือรูปแบบรีสอร์ท บังกะโล มาให้ทุกคนได้ศึกษา พร้อมลงมือปรับโฉมบ้านเก่าให้ใหม่หมดจดทั้งภายนอกและภายใน

รีโนเวทตึกแถวอย่างไรให้ถูกต้องและไม่รบกวนเพื่อนบ้าน

Guide

รีโนเวทตึกแถวอย่างไรให้ถูกต้องและไม่รบกวนเพื่อนบ้าน

 

1. เพิ่มมูลค่าทาวน์เฮ้าส์ ด้วยแบบบ้านสไตล์ญี่ปุ่น

รีโนเวทบ้านเก่า

Renovate บ้านเก่ามือสองสไตล์ญี่ปุ่น via: inhabitat.com

รีโนเวทบ้านเก่า

ทางเข้าบ้าน ถูกดีไซน์ให้เป็นที่ถอดรองเท้าตามสไตล์ญี่ปุ่น via: inhabitat.com

รีโนเวทบ้านเก่า

กั้นพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน via: inhabitat.com

รีโนเวทบ้านเก่า

ปรับเปลี่ยนบ้านให้กว้าง ดูโปร่ง ด้วยการทุบพนัง แล้วใช้ม่านแทน via: inhabitat.com

รีโนเวทบ้านเก่า

เพิ่มความอบอุ่นด้วยการใช้เสาและคานอันทำจากไม้ via: inhabitat.com

รีโนเวทบ้านเก่า

พื้นที่ครัวเปิด via: inhabitat.com

ใครจะไปเชื่อว่าทาวน์เฮ้าส์สภาพโทรมสุดเกินเยียวยา แถมยังมีขนาดเล็กจนไม่สามารถจะขยายใหญ่ได้แล้ว จะสามารถตกแต่งออกมาได้อย่างทันสมัยและกว้างขวาง แถมยังเพิ่มมูลค่าให้กับตัวบ้านด้วยรูปแบบการตกแต่งในสไตล์ญี่ปุ่น

โดยงานนี้ต้องขอยกความดีความชอบให้กับไอเดียสุดบรรเจิดของนักสถาปนิกชาวญี่ปุ่นนามว่า Kazuteru Matumura ที่ได้ใช้ม่านแทนผนัง ทำให้เพิ่มความโปร่งให้กับบ้าน แถมยังเพิ่มความอบอุ่นด้วยการใช้เสาและคานอันทำจากไม้ โดยส่วนของคานนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับบ้านอย่างเดียว แต่เป็นการเพิ่มพื้นที่เก็บของด้วย

ทั้งนี้ด้วยบ้านสไตล์ญี่ปุ่น จะค่อนข้างให้ความสำคัญกับทางเข้าบ้าน ที่ต้องมีชั้นเก็บรองเท้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เหตุนี้เองนักออกแบบเลยเพิ่มสเต๊ปบันไดบริเวณทางเข้าบ้าน พร้อมขยายเนื้อที่จนสุดหน้าบ้าน เพื่อให้พื้นที่ใช้สอยบริเวณดังกล่าวมากขึ้น พร้อมกั้นด้วยกำแพงทึบ

โดยด้านหลังกำแพงจะเป็นห้องนอนสไตล์ญี่ปุ่นแบบส่วนตัว และหากขึ้นไปชั้น 2 นอกจากถูกทุบผนังทิ้ง เพื่อเพิ่มความโปร่งให้กับบ้านแล้ว ยังแก้ปัญหาเรื่องระบบถ่ายเทอากาศของทาวน์เฮ้าส์ ด้วยการเพิ่มหน้าต่างบานเลื่อน ทำให้แสงและลมเข้าบ้านได้สะดวกขึ้น ดังนั้นด้านบนจึงเหมาะแก่การออกแบบเป็นครัวเปิด และห้องนั่งเล่น ไว้สำหรับพักผ่อนหรือกินอาหารในครอบครัว

เพิ่มมูลค่าบ้านหลังตกแต่ง: จากสภาพบ้านทาวน์เฮ้าส์มือสอง สุดเสื่อมโทรม ที่หาพบได้ตามชานเมือง ซึ่งมีราคาขายเริ่มต้นประมาณ ล้านปลายๆ จนถึงสองล้าน (ขึ้นอยู่กับทำเล) นั้น หากลงทุนตกแต่งใหม่ทั้งหมดเช่นนี้ จะเสียค่าใช้จ่ายเป็นหลักแสนหรือเกือบล้าน แต่กับสามารถเพิ่มมูคค่าของบ้านมือสองให้สามารถไปขายต่อ หรือปล่อยเช่า ได้กำไรเป็นเท่าตัว

ตัวอย่าง:

รายละเอียด ประมาณราคา
ทาวน์เฮ้าส์มือสอง (ขึ้นอยู่กับทำเล) ราคาประมาณ 1,500,000 บาท
ค่าปรับแปลน+ตกแต่ง ราคาประมาณ 600,000 บาท
ต้นทุนรวม 2,100,000 บาท
ขายต่อ ประมาณ 2,500,000-3,000,000 บาท

ก่อนรีโนเวทหรือต่อเติมอาคารอย่าลืมขออนุญาตดัดแปลงอาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522

 

2. เปลี่ยนตึกแถว ให้เป็นแหล่งทำเงินมหาศาล

รีโนเวทบ้านเก่า

ปรับโฉมตึกแถว 5 ชั้น ให้เป็นสไตล์โมเดิร์น via: inhabitat.com

รีโนเวทบ้านเก่า

ปรับพื้นที่ชั้นล่างให้เป็น Jewelry Shop via: inhabitat.com

รีโนเวทบ้านเก่า

ช่วงโถงบันได ถูกตกแต่งเป็นพื้นที่นั่งพักผ่อนสำหรับลูกค้า หรือคนในครอบครัว via: inhabitat.com

รีโนเวทบ้านเก่า

พื้นที่ส่วนของห้องนอน via: inhabitat.com

รีโนเวทบ้านเก่า

ช่องแสงกลางบ้าน via: inhabitat.com

รีโนเวทบ้านเก่า

หน้าต่างเปิดรับลมบานสูง via: inhabitat.com

รูปแบบของตึกแถวเก่า สภาพเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลามักมีให้พบเห็น อยู่ฝั่งข้างทางบ้านเรา บ้างถูกปล่อยให้รกร้างไร้การปรับปรุง เพราะไม่มีผู้ใดซื้อไปตกแต่ง แต่แล้วก็ดูเหมือนจะมีคนหัวใส ลงทุนซื้อตึกแถวสูง 5 ชั้น ปรับโฉมใหม่ให้ดูโดดเด่นที่สุดในย่านนั้น

โดยการลงแรงและความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นจากบริษัทสถาปนิก Idin ที่ได้โจทย์มาจากเจ้าของตึกที่ต้องการให้ตึกแถวเก่า 2 คูหานี้ กลายเป็น Jewelry Shop บริเวณชั้นล่าง ส่วนอีก 4 ชั้นที่เหลือ ต้องการเป็นที่อยู่อาศัยของสมาชิกครอบครัว ซึ่งอยากให้ได้ความรู้สึกเหมือนบ้านสไตล์คอนเทมโพรารีอย่างแท้จริง ที่สำคัญจำเป็นต้องมีลิฟต์ 

เหล่านักออกแบบจึงเริ่มลงมือพลิกโฉมตั้งแต่ชั้นแรก โดยแบ่งพื้นที่ชั้นล่าง 1 คูหาให้เป็นที่จอดรถ ส่วนอีก 1 คูหาทำเป็น Double Volume เพื่อเพิ่มความโปร่ง และหรูหราเพื่อให้สมกับเป็นร้านเพชร พร้อมทำบันไดวนขึ้นชั้น 2 และเมื่อขึ้นมาด้านบนบริเวณช่วงโถงบันได ถูกตกแต่งเป็นพื้นที่นั่งพักผ่อนสำหรับลูกค้า หรือคนในครอบครัว โดยราวบันได ใช้กระจกนิรภัยทั้งหมด

อีกทั้งชั้น 3-5 จะเป็นส่วนของห้องนอน ห้องดูหนัง พื้นที่พักผ่อนของครอบครัว นักออกแบบได้คำนึงถึงความโปร่งและถ่ายเทอากาศ ช่วยให้บ้านเย็นเป็นหลัก จึงได้ออกแบบช่องแสงกลางบ้าน พร้อมด้วยหน้าต่างเปิดรับลมบานสูง พร้อมเพิ่มพื้นที่สีเขียว ช่วยสร้างบรรยากาศร่มรื่น แม้จะเป็นตึกแถว

สังเกตว่าตึกแถวเก่า 2 คูหานี้ เมื่อได้รับรับแปลงโฉมใหม่ เรียกว่าไม่เหลิอเค้าโครงเดิมเลยแม้แต่น้อย

เพิ่มมูลค่าบ้านหลังตกแต่ง: เรียกได้ว่าเป็นการเพิ่มมูลค่ามหาศาลให้กับตึกแถวเก่า 2 คูหานี้ ภายหลังจากตกแต่งเสร็จแล้ว เพราะดูจากรูปลักษณ์ภายนอกที่สุดโมเดิร์น ส่วนภายในตกแต่งอย่างหรูหรา หากประเมินมูลค่าของ 2 ตึกนี้ คาดว่าน่าจะหลายสิบล้านไปแล้ว

ดังนั้นหากปล่อยขายต่อในอนาคตราคาอาจจะดูสูงไปสักนิดหากเทียบกับตึกใหม่ ที่มีลักษณะเดียวกัน ดังนั้นหากต่อยอดทำเป็น โฮสเทล น่าจะสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำมากกว่า

ตัวอย่าง:

- ตึกแถวเก่าร้าง 5 ชั้น (ขึ้นอยู่กับทำเล) ราคาประมาณ 5,000,000 บาท

- ค่าปรับโครงสร้าง + ตกแต่ง ราคาประมาณ 4,000,000 บาท

- ต้นทุนรวม 9,000,000 บาท

 

3. แปลงโฉมบ้านเก่า ให้เป็นบังกะโลสุดน่ารัก

รีโนเวทบ้านเก่าให้เป็นบังกะโล

แปลงโฉมบ้านเก่า ให้เป็นบังกะโล via: hookedonhouses

รีโนเวทบ้านเก่าให้เป็นบังกะโล

โฉมหน้าบังกะโล หลังจาก Renovate บ้านเก่าแล้ว via: hookedonhouses

รีโนเวทบ้านเก่าให้เป็นบังกะโล

สภาพชานนั่งเล่นหน้าบ้าน ก่อน Renovate บ้านเก่า via: hookedonhouses

รีโนเวทบ้านเก่าให้เป็นบังกะโล

Renovate พื้นที่หน้าบ้านให้เป็นมุมนั่งเล่น via: hookedonhouses

รีโนเวทบ้านเก่าให้เป็นบังกะโล

สภาพในบ้านก่อนปรับปรุง via: hookedonhouses

รีโนเวทบ้านเก่าให้เป็นบังกะโล

เมื่อ Renovate บ้านเก่าแล้ว สังเกตว่า ยังคงอนุรักษ์แบบบ้านเก่าไว้ แต่เพิ่มความโปร่ง สว่างให้น่าอยู่ via: hookedonhouses

รีโนเวทบ้านเก่าให้เป็นบังกะโล

d โถงนั่งเล่น ปูพื้นไม้ เพื่อให้ได้บรรยากาศอบอุ่น via: hookedonhouses

เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ดีในการแปลงโฉมบ้านเก่า ให้เป็นบังกะโลเล็ก ๆ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ โดยกำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุน แต่การ Renovate ให้ดูใหม่ ไฉไล อาจจะต้องปรับเปลี่ยนหลายองค์ประกอบสักหน่อย

อันดับแรก ต้องรื้อส่วนที่ผุ ใช้งานไม่ได้ออก แล้วเริ่มปรับปรุง วางระบบท่อ น้ำ ไฟ ให้ดี หลังจากนั้นจึงปฏิบัติการณ์เริ่มตกแต่งให้สวยงาม เหมือนอย่างบ้านนี้ยังคงอนุรักษ์แบบบ้านเก่าไว้ แต่เพิ่มความโปร่ง สว่างให้น่าอยู่ด้วยการเอากันสาดหน้าบ้านออก แล้วตกแต่งชานนั่งเล่นหน้าบ้าน ด้วยโทนสีพลาสเทล เพิ่มรั้วเล็ก ๆ ให้เป็นสไตล์วินเทจ พร้อมนำเก้าอี้สีขาวมาวาง หรือชิงช้าก็น่ารักไม่เบา

ส่วนบริเวณทางเดิน Corridor ของบ้าน ได้เปลี่ยนวอลเปเปอร์พร้อมทาสีใหม่ และปูพื้นไม้ ให้ได้บรรยากาศอบอุ่น เฉกเช่นเดียวกับโถงนั่งเล่นด้านใน

เพียงเท่านี้ก็ได้บังกะโลหลังน้อย น่าอยู่ เหมาะแก่การปล่อยเช่า และใช้งบประมาณในการ Renovate บ้านเก่าไม่มากแล้ว

เพิ่มมูลค่าบ้านหลังตกแต่ง: เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักลงทุนบ้านมือสอง เพื่อสร้างมูลค่าบ้านเก่าให้สามารถสร้างรายได้ต่อได้ ด้วยการเก็บเงินปล่อยเช่า โดยรูปแบบ Renovate บ้านเก่าดังกล่าวมักจะใช้งบประมาณไม่มากนัก เพราะยังคงยึดตัวแปลนหลักเก่าของบ้าน แต่เพียงตกแต่งให้ดูสวยงาม และดูทันสมัยขึ้น

ตัวอย่าง:

- บ้านเดี่ยวเก่า (ขึ้นอยู่กับทำเลและพื้นที่ใช้สอย) ราคาประมาณ 3,000,000 บาท

- ค่าตกแต่ง + วางระบบ ราคาประมาณ 300,000-500,000 บาท

- ต้นทุนรวม 3,500,000 บาท

- สามารถปล่อยเช่าเป็นรายวัน ประมาณ 5,000-7,000 บาท

 

สำหรับใครที่กำลังกลุ้มใจกับการซื้อบ้านมือสอง เชื่อว่าหากได้เรียนรู้ไอเดีย Renovate บ้านเก่าเหล่านี้แล้ว เป็นต้องอยากได้บ้านเก่าอีกหลายหลังมาแปลงโฉมใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่า สร้างรายได้ในอนาคตอีกแน่นอน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
แบบต่อเติมบ้าน 5 กรณีที่ไม่ต้องขออนุญาตสำนักงานเขต ถ้าคิดจะต่อเติม https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ต่อเติมบ้าน-5-เคสที่ไม่ต้องขออนุญาต-7394?locale=th www.ddproperty.com:resources:7394 Fri, 22 Oct 2021 19:14:50 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/05/home-build-150x150.jpg"/></p> แบบต่อเติมบ้าน 5 กรณีที่ไม่ต้องขออนุญาตสำนักงานเขต ถ้าคิดจะต่อเติม สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านเดี่ยว หรือซื้อทาวน์เฮ้าส์ / ทาวน์โฮม บางครั้งอาจจะไปเห็นแบบต่อเติมบ้าน หรือมีไอเดียจะดัดแปลงบางส่วนของบ้าน ทำให้หลายคนอยากจะต่อเติมบ้านเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย แต่ในโครงการจัดสรรส่วนใหญ่จะถูกออกแบบตัวบ้านให้สอดคล้องกับเนื้อที่ดินที่มี รวมถึงสัดส่วนพื้นที่ใช้สอยต่าง ๆ และเสาเข็มส่วนใหญ่ที่เลือกใช้ก็เป็นขนาดที่รองรับบ้านตามแบบที่ออกแบบไว้ หลายโครงการไม่ได้เผื่อสำหรับการรับน้ำหนักอื่น ๆ ด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลกับต้นทุน และราคาบ้าน

ทั้งนี้ การต่อเติมบ้านเพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านมากขึ้น จริง ๆ แล้วหากไม่ได้รับอนุญาตถือว่าผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติ ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่ว่าด้วยเรื่องการดัดแปลง หรือต่อเติมอาคาร จะต้องขออนุญาต แต่ยังมีข้อยกเว้นอยู่ด้วยกัน 5 กรณีที่ไม่ต้องขออนุญาต ดังนี้

 

5 กรณีที่ไม่ต้องขออนุญาตเมื่อต่อเติมบ้าน

5 กรณีที่ไม่ต้องขออนุญาตเมื่อต่อเติมบ้าน

1. การ “เพิ่ม” หรือ “ลด” เนื้อที่ของพื้นชั้นใดชั้นหนึ่งรวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร และไม่มีการเพิ่มหรือลดจำนวนเสาหรือคาน ซึ่งหมายความว่า ถ้าเกินกว่า 5 ตารางเมตร ก็ต้องขออนุญาต

2. การ “เพิ่ม” หรือ “ลด” เนื้อที่ของหลังคารวมกันไม่เกิน 5 ตารางเมตร และไม่มีการเพิ่มหรือลดจำนวนเสาหรือคาน หมายความว่า ถ้าเกินกว่า 5 ตารางเมตร ก็ต้องขออนุญาต

3. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคาร ด้วยการใช้วัสดุ ขนาด จำนวน และชนิดเดียวกับของเดิม ซึ่งหมายความว่า ถ้าเรามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเป็นวัสดุที่แตกต่างจากเดิม ต้องขออนุญาต

4. การเปลี่ยนส่วนใด ๆ ภายในบ้านที่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นโครงสร้างอาคาร ด้วยการใช้วัสดุชนิดเดียวกับของเดิม หรือวัสดุชนิดอื่นที่ไม่ได้เพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างของอาคารเดิมเกิน 10% ของน้ำหนักเดิม ซึ่งหมายความว่า ถ้าเรามีการเปลี่ยนแปลงส่วนใด ๆ ภายในบ้านด้วยวัสดุที่แตกต่างจากเดิม หรือเพิ่มน้ำหนักเกินกว่า 10% ของน้ำหนักเดิม ต้องขออนุญาต

5. การเปลี่ยน ต่อเติม เพิ่ม ลด เนื้อที่ส่วนใด ๆ ก็ตามในบ้านที่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นโครงสร้างอาคาร และไม่เพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างเกิน 10% ของโครงสร้างอาคารเดิม ซึ่งหมายความว่า ถ้าเรามีการเปลี่ยน ต่อเติม เพิ่ม ลด เนื้อที่ในบ้านด้วยวัสดุที่แตกต่างจากเดิม หรือเพิ่มน้ำหนักเกินกว่า 10% ของน้ำหนักเดิม ต้องขออนุญาต

สรุป 5 กรณีที่ไม่ต้องขออนุญาตต่อเติม

รายละเอียดแบบต่อเติมบ้าน

กรณีที่ไม่ต้องขออนุญาต

การ “เพิ่ม” หรือ “ลด” เนื้อที่ของพื้นชั้นใดชั้นหนึ่ง

ไม่เกิน 5 ตร.ม.

การ “เพิ่ม” หรือ “ลด” เนื้อที่ของหลังคา

ไม่เกิน 5 ตร.ม.

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคาร

ใช้วัสดุ ขนาด จำนวน และชนิดเดียวกับของเดิม

การเปลี่ยนแปลงส่วนใด ๆ ภายในบ้าน (ไม่ใช่ส่วนที่เป็นโครงสร้างอาคาร)

ใช้วัสดุชนิดเดียวกับของเดิม หรือวัสดุอื่นไม่ได้เพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างของอาคารเดิมเกิน 10% ของน้ำหนักเดิม

การเปลี่ยน ต่อเติม เพิ่ม ลด เนื้อที่ส่วนใด ๆ ในบ้าน

ไม่เพิ่มน้ำหนักให้แก่โครงสร้างเกิน 10% ของน้ำหนักเดิม

 

ถ้าพิจารณาจากข้อยกเว้น 5 ข้อแล้ว จะเห็นว่า แบบต่อเติมบ้านส่วนใหญ่ที่เรา ๆ ทำกันอยู่ ล้วนต้องขออนุญาต เพราะพื้นที่ที่เราต่อเติม ส่วนใหญ่จะเกินกว่า 5 ตารางเมตร

การต่อเติมบ้านให้ถูกกฎหมาย ต้องทำอย่างไร

 

ก่อนลงมือแบบต่อเติมบ้าน ต้องรู้จักขั้นตอนการยื่นของต่อเติมบ้าน

 

ขั้นตอนในการขออนุญาตก่อนต่อเติมบ้าน

เหตุผลสำคัญที่ภาครัฐกำหนดว่า ต้องขออนุญาตต่อเติมก่อนนั้น เป็นเพราะความปลอดภัยทั้งของเจ้าของบ้านที่ต่อเติมเองและเพื่อนบ้านใกล้เคียง แบบต่อเติมบ้านนั้นอาจส่งผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งไปยังเพื่อนบ้าน หรือชุมชนใกล้เคียง ดังนั้น การต่อเติมจึงควรขออนุญาตให้ถูกต้องก็ดีกว่า โดยขั้นตอนในการขออนุญาต มีดังนี้

1. ติดต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่บ้านของเราตั้งอยู่ เช่น ถ้าบ้านของเราอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ก็ดำเนินเรื่องผ่านสำนักงานเขตกรุงเทพมหานครที่พื้นที่ที่บ้านเราตั้งอยู่ ส่วนถ้าเป็นต่างจังหวัด เราอยู่จังหวัดไหน เราก็แจ้งกับองค์การบริหารจัดการส่วนท้องถิ่นของจังหวัดนั้น ๆ

2. ยื่นแบบขออนุญาตก่อสร้างอาคาร, ดัดแปลงอาคาร, รื้อถอนอาคาร

3. เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็ต้องมายื่นขอรับใบอนุญาตดังต่อไปนี้

- ใบแจ้งการออกใบอนุญาตก่อสร้าง, ดัดแปลง, รื้อถอนอาคาร ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ขออนุญาต

- หลังจากนั้น ให้ขอรับใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร, ดัดแปลงอาคารรื้อถอนอาคาร ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งออกใบอนุญาตไว้

ทั้งนี้ เอกสารและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ สามารถติดต่อสอบถามได้จากสำนักงานเขตท้องถิ่นตามพื้นที่ที่บ้านเราตั้งอยู่ ซึ่งอาจจะยุ่งยากเล็กน้อย แต่ทำตามความถูกต้อง ก็ปลอดภัยทั้งกับตัวเองและชุมชนรอบข้าง

 

หากต่อเติมบ้านโดยไม่ได้ขออนุญาตมีโทษอย่างไร

หากต่อเติมบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือแบบต่อเติมบ้านผิดไปจากแบบแปลนที่ยื่นขอไว้ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

ก่อนต่อเติมบ้านควรแจ้งเพื่อนบ้านก่อนสักนิด

 

ก่อนต่อเติมบ้านการแจ้งเพื่อนบ้านก็สำคัญ

เมื่อได้แบบต่อเติมบ้านมาแล้ว นอกจากขออนุญาตกับทางการแล้ว สิ่งที่ “ลืมไม่ได้” นั่นก็คือ การแจ้งกับเพื่อนบ้าน ใจเขาใจเรา เพื่อความสงบสุขในการอยู่อาศัยร่วมกัน บอกกล่าวเพื่อนบ้านว่าเราจะต่อเติม รื้อถอน ตั้งแต่ช่วงวันไหนถึงวันไหน อาจทำให้เกิดความไม่สะดวก และการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเติมบ้านเหล่านี้ อาจจะกระทบกับเพื่อนบ้านอย่างไรบ้าง เพราะหากเราต่อเติม รื้อถอน แล้วส่งผลกระทบกับเพื่อนบ้าน แม้จะดำเนินการขออนุญาตทางการอย่างถูกต้อง เราก็อาจจะถูกฟ้องร้องได้เช่นกัน

5 เรื่องต้องระวัง ถ้าไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนบ้าน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
แบบห้องพระ หิ้งพระในบ้าน 3 เรื่องต้องห้ามตามศาสตร์ฮวงจุ้ย https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/จัดห้องพระถูกหลัก-รวย-ชีวิตดีไม่รู้ตัว-23311?locale=th www.ddproperty.com:resources:23311 Fri, 22 Oct 2021 18:50:58 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/03/Buddha-room_02-150x150.jpg"/></p> แบบห้องพระ หิ้งพระในบ้าน 3 เรื่องต้องห้ามตามศาสตร์ฮวงจุ้ย ห้องพระและหิ้งพระ เป็นที่ประดิษฐานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้าน ดังนั้นการจะเลือกห้องในบ้านให้กลายเป็นห้องพระ หรือการตั้งหิ้งพระในห้องนอน จึงจำเป็นต้องกำหนดทั้งทิศทาง ตำแหน่งให้ดี เพราะเชื่อกันว่าหากปฏิบัติถูกต้อง จะส่งเสริมให้เจ้าของบ้านพบเจอแต่สิ่งดี ๆ นำความมงคลมาให้กับผู้ที่อยู่อาศัยในบ้าน ดังนั้น ผู้ที่กำลังคิดรีโนเวทบ้านใหม่ หรือเพิ่งซื้อบ้าน ควรทำการศึกษาแบบห้องพระ และการจัดห้องพระอย่างถูกต้อง และการตั้งหิ้งพระในห้องนอน ดังนี้

Subscription Banner for Article

 

ตำแหน่งทิศทางของห้องพระ

การจะเลือกห้องหรือมุมหนึ่งในบ้านให้จัดวางเป็นห้องพระ แบบห้องพระที่ดีควรเน้นเรื่องความสงบ และความเหมาะสมเป็นหลัก หากเป็นบ้าน 2 ชั้น ควรจัดวางอยู่ชั้นบน เนื่องจากพระเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ของสูง ไม่ควรเหยียบย่ำอย่างยิ่ง

ที่สำคัญต้องไม่อยู่ใกล้ครัว หรือห้องอเนกประสงค์ ซึ่งถูกจัดวางไว้เพื่อความบันเทิงของครอบครัว เนื่องจากมีเสียงดัง และหากเลือกตำแหน่งห้องพระอยู่ติดกับห้องนอน จำเป็นต้องพิจารณาการหันหัวเตียงเป็นสำคัญ โดยไม่ควรหันปลายเตียงไปทางหิ้งพระ

ทิศหัวเตียงตามหลักฮวงจุ้ย ห้ามนอนหันหัวไปทางไหน ที่ผู้อยู่อาศัยไม่ควรมองข้าม

Guide

ทิศหัวเตียงตามหลักฮวงจุ้ย ห้ามนอนหันหัวไปทางไหน ที่ผู้อยู่อาศัยไม่ควรมองข้าม

ส่วนบ้านไหนเลือกตำแหน่งห้องพระใกล้กับห้องน้ำ ซึ่งห้องน้ำถือว่าเป็นสถานที่ชำระล้างของสกปรก ดังนั้นถ้าจำเป็นต้องเลือกแบบห้องพระใกล้กับห้องน้ำ ควรเลือกตู้หรือสิ่งของมากั้น

ทั้งนี้ นอกจากจะต้องพิจารณาตำแหน่งของห้องพระเป็นสำคัญแล้ว เรื่องของทิศก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ โดยตามศาสตร์ฮวงจุ้ยจะนิยมให้ห้องพระหันออกไปทางทิศตะวันออกและทิศเหนือ ซึ่งถือว่าเป็นทิศมงคลนั่นเอง

 

ตำแหน่งของหิ้งพระ ถือว่ามีความสำคัญ

 

หิ้งพระวางตรงไหน สร้างความมงคล

บางบ้านมีการออกแบบห้องพระ ตั้งหิ้งพระในห้องนอน แยกจากห้องพระก็เป็นอีกวิธีในการตั้งหิ้งพระในบ้าน แต่หากตัดสินใจที่จะมีห้องพระแล้ว ตำแหน่งของหิ้งพระ ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญ นอกจากเจ้าของบ้านจำเป็นต้องเลือกขนาด ลวดลายให้มีความเหมาะสมแล้ว ยังต้องคำนึงถึงตำแหน่งและทิศทางของห้องพระเป็นสำคัญ

ทิศของการตั้งหิ้งพระ

ทิศ

ลักษณะทิศ

เสริมสิริมงคล

ทิศตะวันออก

ทิศแห่งราชา

การงานดี เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ทิศของเศรษฐี

ร่ำรวย มั่งคั่ง ค้าขายเจริญรุ่งเรือง

ทิศเหนือ

ทิศมัชฌิมาปฏิปทา 

ไม่เจ็บ ไม่จน มีแต่ความสุข ความเจริญ

ตามความเชื่อว่ากันว่าหากจัดวางหิ้งพระไว้ที่จุดศูนย์กลางของบ้าน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสื่อความหมายถึงสุขภาพ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย ของเจ้าของบ้านและสมาชิกในบ้าน โดยจะต้องวางไว้ในตำแหน่งที่สูงเป็นสำคัญ

ตำแหน่งหิ้งพระ หันหน้าพระไปทางทิศไหนเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับบ้าน

Guide

ตำแหน่งหิ้งพระ หันหน้าพระไปทางทิศไหนเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับบ้าน

นอกจากนี้ ควรหันหน้าหิ้งพระออกไปด้านนอกบ้าน เนื่องจากมีความเชื่อเรื่องการคุ้มครองคนในบ้านให้ปราศจากความทุกข์ พบเจอแต่สิ่งดี ๆ

ทั้งนี้ หากบ้านไหนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นำหิ้งพระไว้ด้านหลังโซฟา ตู้ หรือในลักษณะหลบซ่อน จะอาจนำพาเรื่องความเจ็บป่วยมาให้กับสมาชิกในบ้านได้ ดังนั้น การจะพิจารณาเลือกหิ้งพระมาวางในห้องพระ ควรดูเรื่องความกว้างของพื้นที่เป็นสำคัญ และไม่ควรทำให้บริเวณดังกล่าวเลอะ รก หรือสกปรกด้วย

 

เรื่องต้องห้าม เมื่อคิดจัดวางห้องพระ

 

เรื่องต้องห้าม เมื่อคิดจัดวางห้องพระ

เมื่อรู้การออกแบบห้องพระควรวางตำแหน่งทิศทางอย่างไร รวมถึงการวางหิ้งพระแล้วอย่างถูกต้องเพื่อเสริมสิริมงคลแล้ว ถึงเวลาต้องพิจารณาเรื่องต้องห้าม ในการจัดวางห้องพระ ไม่เช่นนั้นจะนำความอัปมงคลมาให้เจ้าของบ้านหรือสมาชิกในบ้านอย่างไม่รู้ตัว 

1. หิ้งพระไม่ควรอยู่บริเวณใต้คาน หรือใต้บันได สืบเนื่องจากเป็นของศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่สมควรจัดวางให้ผู้คนเดินผ่านเหยียบย่ำ อีกทั้งหากยังฝืนตั้งบริเวณดังกล่าว ว่ากันว่าจะทำให้เจ้าของบ้านและสมาชิกในบ้านพบเจอแต่เรื่องอัปมงคล

2. อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น การออกแบบห้องพระ ไม่ควรติดกับห้องน้ำ สืบเนื่องจากตามหลักศาสตร์ฮวงจุ้ยมีความเชื่อว่า ห้องน้ำเป็นแหล่งรวมของพลังงานธาตุน้ำ ส่วนห้องพระเป็นสถานีรวมพลังงานธาตุไฟ

ทั้งนี้ ตามกฎเบญจธาตุหรือธาตุทั้ง 5 ธาตุน้ำจะพิฆาตธาตุไฟ ดังนั้นบ้านไหนที่เลือกตำแหน่งห้องพระติดกับห้องน้ำ มีความเชื่อกันว่าอาจทำให้พระซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสื่อมได้ สืบเนื่องจากถูกพลังของธาตุน้ำทำลาย 

3. อีกหนึ่งเรื่องไม่ควรมองข้าม สำหรับบ้านไหนที่เลือกตำแหน่งห้องพระอยู่ติดกับห้องนอน แม้จะโยกย้ายปลายเตียงไปที่อื่น เพื่อไม่ให้หันชนกับหิ้งพระแล้ว แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งควรพิจารณานั้นคือหัวเตียง หากเลือกหันตรงกับหิ้งพระ เวลานอนจะได้รับพลังงานธาตุไฟจากห้องพระเต็ม ๆ ดังนั้นอาจทำให้รู้สึกไม่สบายหรือปวดหัวตามมาได้

ฮวงจุ้ยบ้านที่ดี จัดห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว อย่างไร? อยู่แล้วโชคดี ร่ำรวย

Guide

ฮวงจุ้ยบ้านที่ดี จัดห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว อย่างไร? อยู่แล้วโชคดี ร่ำรวย

 

ถือเป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับใครที่กำลังคิดซื้อบ้าน หรือซื้อคอนโด ทางที่ดีควรศึกษาแบบห้องพระ ตำแหน่งการจัดวางห้องพระ รวมถึงหิ้งพระให้ดี เพื่อเสริมฮวงจุ้ยให้กับบ้าน และจะได้นำความสิริมงคลมาให้เจ้าของและสมาชิกในบ้าน หรือหากแบบห้องพระ ทิศและตำแหน่งที่จัดวางห้องพระที่จัดวางอยู่ไม่ถูกต้อง นำมาซึ่งความอัปมงคล ก็ไม่ควรมองข้าม สามารถปรับเปลี่ยนให้ถูกหลักได้ตามคำแนะนำ ช่วยเสริมสิริมงคลด้านการเงิน การงาน และสุขภาพที่ดี

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ต้นไม้ คอนโด 5 ชนิด ทนแดดระเบียง เนรมิตพื้นที่สีเขียวให้ห้องคุณ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ต้นไม้ทนแดดระเบียง-เนรมิตพื้นที่สีเขียวให้ห้องคุณ-32302?locale=th www.ddproperty.com:resources:32302 Fri, 22 Oct 2021 19:23:29 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/08/shutterstock_282159770-150x150.jpg"/></p> ต้นไม้ คอนโด 5 ชนิด ทนแดดระเบียง เนรมิตพื้นที่สีเขียวให้ห้องคุณ ต้นไม้ คอนโด ทนแดดระเบียง ทางออกสำหรับคนที่ซื้อคอนโดแล้วมีพื้นที่ใช้สอยในห้องจำกัด แต่ต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับห้อง ลองมาดู 5 ต้นไม้ คอนโด ทนแดดระเบียง ที่สามารถทนต่อสภาพอากาศ ปลูกไม่ยาก และเพิ่มบรรยากาศสีเขียวให้กับห้องของเราไปอีกนาน

Subscription Banner for Article

 

1. แคคตัส หรือกระบองเพชร

แคคตัส หรือ กระบองเพชร ต้นไม้ทนแดดระเบียงชั้นยอด

แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงต้นไม้ คอนโด ทนแดดระเบียง ที่สามารถวางไว้ริมระเบียง ปลูกง่าย ดูแลง่าย ต้นแคคตัสหรือกระบองเพชรนับเป็นชื่อแรก ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวของใครหลายคนอย่างแน่นอน

โดยต้นแคคตัสเป็นต้นไม้ยืนต้นที่นิยมในการปลูกริมระเบียง ที่ได้รับแสงแดดส่องถึงตลอดเวลา เนื่องจากแคคตัสเป็นต้นไม้ที่ชอบแดด

แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรวางไว้ในบริเวณที่ต้องเผชิญกับแดดจัดตลอดเวลา เพราะทำให้ผิวของแคคตัสนั้นไหม้ ต้นแคคตัสมีหลากหลายสายพันธุ์และรูปทรง บางพันธุ์สามารถออกดอกเพิ่มความน่ารักสวยงามได้อีกด้วย

วิธีการดูแล การดูแลต้นแคคตัสนั้นเหมาะกับไลฟ์สไตล​์ของคนอยู่คอนโดเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นต้นไม้ คอนโด ทนแดดระเบียงแล้ว การรดน้ำยังไม่ต้องรดบ่อย ๆ เพียงแค่พรมน้ำหรือฉีดด้วยสเปรย์ให้ดินชุ่ม สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเท่านั้น

ไอเดียจัดสวนบนระเบียงคอนโด

Guide

ไอเดียจัดสวนบนระเบียงคอนโด

2. พลูด่าง

พลูด่าง ต้นไม้ทนแดดระเบียง ที่ดูแลง่าย

พลูด่างจัดเป็นต้นไม้ คอนโด ทนแดดระเบียง ประเภทไม้ประดับที่ได้รับความนิยมปลูกกันทั้งบริเวณในบ้านและนอกบ้าน คุณสมบัติของพลูด่างคือเป็นต้นไม้ที่เลี้ยงง่าย มีความทนต่อสภาพอากาศ มีความสวยงามจากการเลื้อยของต้นและใบ และมีสีสันสดใส ซึ่งถ้าหากนำไปปลูกไว้ริมระเบียง นอกจากจะเป็นต้นไม้ทนแดดระเบียงแล้ว การเลื้อยของใบยังช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับระเบียงได้อีกด้วย

วิธีการดูแล แม้พลูด่างจะเป็นต้นไม้ทนแดดระเบียง แต่ก็ค่อนข้างต้องการความชุ่มชื้น โดยการดูแลควรรดน้ำอย่างน้ำ 3 วันต่อ 1 ครั้ง แต่ถ้าหากบริเวณระเบียงต้องเผชิญแสงแดดจัด ๆ เช่น ห้องในทิศตะวันตก ควรรดน้ำประมาณวันเว้นวัน เพื่อให้ใบยังคงมีสีสันสดใสตลอดเวลา

 

3. ลิ้นมังกร

ลิ้นมังกร ต้นไม้ทนแดดระเบียง และช่วยฟอกอากาศ

สำหรับลิ้นมังกรนั้นเป็นต้นไม้ คอนโด ทนแดดระเบียง ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับการปลูกทั้งในบ้านและนอกบ้าน เนื่องจากลิ้นมังกรเป็นต้นไม้ที่มีรูปทรงของใบสวยงาม มีความเรียวแหลม โดยใบของต้นมังกรจะมีทั้งพันธุ์ที่เป็นสีเขียวล้วน และพันธุ์ที่เป็นสีเหลืองด่าง และมีลวดลายของใบที่สวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละต้น เป็นพืชที่แข็งแรง เหมาะกับทุกสภาพอากาศ ทำให้เป็นต้นไม้ทนแดดระเบียง ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ลิ้นมังกรยังมีความสามารถพิเศษในการช่วยฟอกอากาศ และยังเป็นพืชที่คายก๊าซออกซิเจนในเวลากลางคืน แต่จะคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในตอนกลางวัน จึงเหมาะสำหรับการปลูกในห้องนอน

9 ต้นไม้ฟอกอากาศ ปลูกง่ายในบ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว ดักจับฝุ่น PM 2.5

Guide

9 ต้นไม้ฟอกอากาศ ปลูกง่ายในบ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว ดักจับฝุ่น PM 2.5

วิธีการดูแล สำหรับการจัดวางลิ้นมังกรบริเวณระเบียง ควรจัดให้อยู่ในที่ที่เผชิญแสงแดดประมาณ 60-70% โดยอย่าวางในบริเวณที่โดนแดดจัดจนร้อนเกินไป เพราะจะทำให้ใบมีความแห้งกร้านไม่สวยงาม ในการรดน้ำสามารถรดน้ำได้ทุกวัน หรือลองสัมผัสดินว่ามีความชุ่มชื้นอยู่หรือไม่ ถ้าดินแห้งก็ควรรดน้ำจนน้ำซึมออกมานอกกระถาง

 

4. มอนสเตอรา

มอนสเตอรา ต้นไม้ทนแดดระเบียง ที่ให้ความสวยงามด้วย

มอนสเตอราเป็นต้นไม้ที่ได้รับความนิยมมาก มีความสวยงาม เพราะรูปทรงของใบมีความโดดเด่น โดยจะมีรอยฉีกขาดของใบคล้ายรอยฉลุ นอกจากนั้นใบยังมีขนาดใหญ่ ทำให้เพิ่มความสวยงามและความโดดเด่นให้กับบ้านได้อย่างมาก สำหรับมอนสเตอราที่ได้รับความนิยมมีหลายสายพันธุ์ ทั้งใบสีเขียวและใบด่าง ซึ่งถ้าหากเป็นใบที่ลักษณะด่างจะมีราคาแพงมาก

วิธีการดูแล ต้นมอนสเตอราเป็นต้นไม้ คอนโด ทนแดดระเบียง ที่ชอบแดดแบบรำไร ควรปลูกไว้ริมระเบียงในบริเวณที่แสงแดดพอเหมาะและอากาศถ่ายเทได้ดี นอกจากนั้นควรหมั่นนำผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำมาคอยเช็ดฝุ่นที่ใบ เพื่อให้ต้นมอนสเตอรามีสีของใบที่เขียวเข้มสวยงาม การดูแลสามารถใช้การสัมผัสว่าดินมีความชื้นหรือไม่ ถ้าหากดินแห้งก็สามารถรดน้ำได้เลยในปริมาณที่พอเหมาะ โดยส่วนใหญ่จะประมาณ 4 วันต่อ 1 ครั้ง

5 วิธีเปลี่ยนห้องมีกลิ่นอับให้สดชื่น

Guide

5 วิธีเปลี่ยนห้องมีกลิ่นอับให้สดชื่น

5. ต้นเดหลี

Peace Lily

เดหลีเป็นไม้ดอกไม้ประดับประเภทต้นไม้ คอนโด ทนแดดระเบียง ที่เพิ่มความสวยงามให้กับระเบียงห้องได้ดีมาก เนื่องจากต้นเดหลีจะออกดอกตลอดทั้งปี ดอกมีสีขาวเรียวรูปไข่ คล้ายดอกหน้าวัว ใบมีความเขียวสวยงาม นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการฟอกอากาศ สามารถปลูกไว้ริมระเบียงในบริเวณที่โดดแดดรำไร หรือห้องที่อยู่ในทิศเหนือและใต้ได้

วิธีการดูแล แม้ว่าดาหลีจะเป็นต้นไม้ทนแดดระเบียง แต่ต้นเดหลีเป็นไม้ดอกที่ชอบความชุ่มชื้น ควรรดน้ำในปริมาณที่พอให้ดินชุ่มเป็นประจำทุกวัน และระมัดระวังอย่ารดน้ำในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจเป็นสาเหตุให้รากของต้นเน่าได้

 

ทิศห้อง เลือกอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักสถาปัตย์ และหลักฮวงจุ้ย

Guide

ทิศห้อง เลือกอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักสถาปัตย์ และหลักฮวงจุ้ย

 

สรุปต้นไม้ คอนโด ทนแดดระเบียง พร้อมวิธีดูแลรักษา

ชนิดต้นไม้ คอนโด ทนแดดระเบียง

วิธีดูแลรักษา

แคคตัส หรือกระบองเพชร

พรมน้ำให้ดินชุ่ม สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

พลูด่าง

รดน้ำอย่างน้ำ 3 วันต่อ 1 ครั้ง

ลิ้นมังกร

รับแสงแดด 60-70% รดน้ำได้ทุกวัน

มอนสเตอรา

รับแสงแดดพอเหมาะ รดน้ำ 4 วันต่อ 1 ครั้ง

ต้นเดหลี

รดน้ำพอให้ดินชุ่ม เป็นประจำทุกวัน

 

สีเขียวจากต้นไม้ เป็นสีที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผ่อนคลาย คล้ายกับได้สัมผัสกับธรรมชาติ ช่วยเพิ่มบรรยากาศในการอยู่อาศัย​ โดยเฉพาะในคอนโดที่มีพื้นที่จำกัดได้ดี นอกจากนั้นหากเลือกต้นไม้ คอนโด ทนแดดระเบียง ที่เหมาะกับทิศของห้องและการรับแดดแล้ว ก็จะยิ่งช่วยให้ต้นไม้ทนแดดระเบียง ของเรานั้นเติบโตและสวยงาม อยู่ให้ความชุ่มชื้นผ่อนคลายกับเราไปอีกนาน

หากคุณต้องการศึกษาข้อมูลพันธุ์พืช หรือต้นไม้เพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ กลุ่มงานพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
หน้าต่างบานเลื่อน 8 ข้อเปรียบเทียบกับหน้าต่างแบบอื่น https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/รู้ลึกกับหน้าต่างบานเลื่อนก่อนเลือกซื้อ-21633?locale=th www.ddproperty.com:resources:21633 Tue, 12 Oct 2021 14:04:37 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/01/Property_House_Sliding-Windows_1-150x150.jpg"/></p> หน้าต่างบานเลื่อน 8 ข้อเปรียบเทียบกับหน้าต่างแบบอื่น ปัจจุบันหน้าต่างบานเลื่อนเป็นหนึ่งในประเภทหน้าต่างที่นิยมใช้กันแพร่หลายในบ้านและคอนโดสมัยใหม่ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยประหยัดพื้นที่และสะดวกในการใช้งาน แต่จะซื้อหรือสร้างบ้านทั้งที จะตามความนิยมอย่างเดียวไม่ได้ ต้องพิจารณาความเหมาะสมด้วย เพราะหน้าต่างคือจุดรับแสงและถ่ายเทอากาศ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพและความสบายในการอยู่อาศัย เราจึงขอพาไปทำความรู้จักกับหน้าต่างบานเลื่อนและให้ข้อมูลควรรู้เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุด

 

ลักษณะของหน้าต่างบานเลื่อน

หน้าต่างบานเลื่อนเป็นแบบเปิดปิดโดยเลื่อนบานหน้าต่างมารวมไว้ในด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือ เลื่อนจากซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้าย นอกจากนี้ ยังใช้งานง่าย ราคาไม่สูง และทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย

 

วัสดุที่ใช้ทำหน้าต่างบานเลื่อน

หน้าต่างบานเลื่อนกระจก

ปัจจุบันนิยมหน้าต่างโปร่งแสงโดยใช้วัสดุกระจก เพื่อรับแสงสว่างเข้ามาในบ้านได้มากโดยไม่ต้องเปิดหน้าต่าง และมีมุมมองที่กว้างในการมองไปยังภายนอกบ้านได้

หน้าต่างบานเลื่อนไวนิลหรือยูพีวีซี

มีลักษณะคล้ายกับพลาสติกและได้รับการพัฒนาให้มีคุณสมบัติมากมาย เช่น แข็งแรง ทนความร้อน ไม่ติดไฟ น้ำหนักเบา ป้องกันการรั่วซึมจากน้ำฝน และป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี

หน้าต่างบานเลื่อนอลูมิเนียม

เป็นวัสดุที่ทนต่อความร้อน สะท้อนแสง แข็งแรง ไม่เป็นสนิม และมีหลายเกรดหลายราคา แต่หากเป็นเกรดต่ำ ความแข็งแรงและความทนทานต่อการรั่วซึมจากน้ำฝนนั้นน้อยกว่ายูพีวีซี

หน้าต่างบานเลื่อนไม้

เป็นวัสดุที่ไม่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากซึมน้ำซึ่งเป็นผลให้เกิดการรั่วซึมหรือบวมน้ำได้ อีกทั้งยังผุกร่อนและไม่แข็งแรงทนทานซึ่งทำให้อายุการใช้งานไม่ยาวนานเหมือนกับวัสดุอื่น ๆ ในข้างต้น ที่สำคัญ ติดไฟได้ดี จึงไม่ปลอดภัยอีกด้วย

 

รูปแบบหน้าต่างบานเลื่อน

หน้าต่างบานเลื่อนข้างเดียว (Fixed-slide window)

ส่วนใหญ่เป็นหน้าต่างบานเลื่อน 2 บาน คือ มีบานหน้าต่าง 2 บาน แต่เลื่อนได้ 1 บาน หรือมีบานหน้าต่างเท่าไรก็ได้ แต่บานที่อยู่ริมสุดจะไม่สามารถเลื่อนได้ และบานอื่น ๆ ที่เหลือจะถูกเลื่อนมาไว้รวมกันที่บานริมสุดที่นั้น

หน้าต่างบานเลื่อนสลับ (Slide-slide window)

เป็นหน้าต่างบานเลื่อนคู่ หมายความว่า มีบานหน้าต่าง 2 บาน และเลื่อนได้ทั้ง 2 บาน หรือมีบานหน้าต่าง 4 บาน และเลื่อนได้ทั้ง 4 บาน โดยบานคู่ที่อยู่ฝั่งเดียวกันสามารถเลื่อนเข้าหากันได้ หมายความว่า บานหน้าต่างที่อยู่ฝั่งซ้ายจะเลื่อนเข้าหากันได้ และบานหน้าต่างที่อยู่ฝั่งขวาจะเลื่อนเข้าหากันได้

หน้าต่างบานเลื่อนข้างช่องแสงกลาง (Slide-fixed-slide window)

ส่วนใหญ่เป็นหน้าต่างบานเลื่อน 3 บาน คือ เลื่อนได้ 2 บาน เฉพาะบานหน้าต่างที่อยู่ริม โดยเลื่อนมายังบานตรงกลาง หรือจะมีบานหน้าต่างเท่าไรก็ได้ แต่จะไม่สามารถเลื่อนบานตรงกลางได้ และบานอื่น ๆ จะถูกเลื่อนมารวมกันที่บานตรงกลาง

หน้าต่างบานเลื่อนออกข้างคู่ (Fixed-slide-slide-fixed window)

หรือเรียกอีกอย่างว่า หน้าต่างบานเลื่อนสี่หรือหน้าต่างบานเลื่อน 4 บาน คือ เลื่อนได้ 2 บาน โดยบานที่เลื่อนได้เป็นบานคู่ตรงกลาง และเลื่อนออกไปยังบานที่ไม่สามารถเลื่อนได้

หน้าต่างบานเลื่อนอลูมิเนียมซึ่งเป็นที่นิยมในคอนโด

หน้าต่างบานเลื่อนอลูมิเนียมซึ่งเป็นที่นิยมในคอนโด

 

คุณสมบัติของหน้าต่างบานเลื่อน

  1. ให้ความสวยงามแบบเรียบไปกับผนัง
  2. เปิดปิดได้ง่าย โดยไม่ต้องใช้แรงและไม่ต้องเอื้อมมือไกล
  3. ป้องกันเสียงรบกวนได้พอสมควร เพราะสามารถปิดช่องที่ขอบบานหน้าต่างได้ค่อนข้างมิดชิดด้วยซีลยาง สักหลาด และลูกล้อ นอกจากนี้ หากติดตั้งแบบกระจก 2 ชั้น ก็จะยิ่งป้องกันเสียงได้ดียิ่งขึ้น
  4. ไม่กินพื้นที่ด้วยลักษณะการเลื่อนเปิดปิดไปทางด้านข้าง ซึ่งทำให้ห้องดูกว้างขึ้น
  5. เพิ่มมุมมองในการชมวิวทิวทัศน์ได้กว้างขึ้นสำหรับหน้าต่างบานเลื่อนกระจก

 

ห้องที่เหมาะกับหน้าต่างบานเลื่อน

ด้วยลักษณะการเปิดปิดที่ไม่กินเนื้อที่ จึงเหมาะกับห้องที่มีพื้นที่แคบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องต่าง ๆ ในคอนโด นอกจากนี้ ยังเหมาะกับห้องต่าง ๆ ที่ต้องการมุมมองกว้างในการเปิดรับแสงและชมทิวทัศน์ภายนอก เช่น ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร ห้องทำงาน และห้องนอน

 

ข้อเปรียบเทียบระหว่างหน้าต่างบานเลื่อนกับหน้าต่างประเภทอื่น

  บานเลื่อน บานเปิด บานกระทุ้ง บานเกล็ด
ลักษณะ เปิดโดยเลื่อนบานหน้าต่างไปรวมไว้ด้านใดด้านหนึ่ง เปิดโดยผลักบานหน้าต่างออกไปข้างนอกในทิศทางด้านข้าง เปิดโดยผลักบานหน้าต่างออกไปข้างนอกในทิศทางขึ้น มีลักษณะเป็นแผ่นเล็ก ๆ ซ้อนเหลื่อมกันเป็นเกล็ด และเปิดโดยหมุนหรือดึงให้เกล็ดทั้งหมดให้เปิด/ปิดพร้อมกัน
การใช้เนื้อที่ในการเปิดปิด น้อย มาก มาก น้อย
ความสวยงาม สวยเรียบไปกับผนัง สวยแบบมีมิติ สวยแบบมีมิติ สวยแบบมีลวดลายตัดกับผนัง
การระบายอากาศ 36% 46% 13% 86%
การป้องกันเสียง ปานกลาง มาก มาก น้อย
การป้องกันฝุ่นและแมลง อาจมีช่องระหว่างบานหน้าต่าง ทำให้ฝุ่นและแมลงตัวเล็กลอดผ่านเข้ามาได้ ปิดสนิทกว่า ทำให้ฝุ่นและแมลงลอดผ่านเข้ามาได้ยาก ปิดสนิทกว่า ทำให้ฝุ่นและแมลงลอดผ่านเข้ามาได้ยาก มักมีช่องระหว่างเกล็ดหน้าต่าง ทำให้ฝุ่นและแมลงตัวเล็กลอดผ่านเข้ามาได้
การรับชมวิว เห็นวิวภายนอกได้อย่างสะดวก เห็นวิวภายนอกได้อย่างสะดวก ยกเว้นตอนเปิดหน้าต่าง เห็นวิวภายนอกได้อย่างสะดวก ยกเว้นตอนเปิดหน้าต่าง เห็นวิวภายนอกได้ไม่สะดวกนัก
การทำความสะอาด ง่าย ง่าย ค่อนข้างยาก ยาก

 

ลองพิจารณารูปแบบ ลักษณะ คุณสมบัติของหน้าต่างบานเลื่อนกับพื้นที่และการใช้สอยห้อง แล้วชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบกับหน้าต่างประเภทอื่นในข้างต้น ก็จะช่วยให้เลือกหน้าต่างที่เหมาะสมที่สุด หากคุณเลือกใช้หน้าต่างบานเลื่อน ขอให้ลองพิจารณาใช้ประตูบานเลื่อน ซึ่งมีรูปแบบการใช้งานเดียวกันและทำให้ดูสวยเรียบไปกับผนังเช่นกัน โดยทำความรู้จักประตูบานเลื่อนได้ที่บทความใช้ประตูบานเลื่อนกับห้องแบบไหนดี?

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ผนังสำเร็จรูป ผนังอิฐมวลเบา และผนังอิฐมอญ ผนัง 3 แบบแตกต่างกันอย่างไร https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/อิฐมอญ-อิฐมวลเบา-ผนังสำเร็จรูป-เลือกแบบไหนดี-19074?locale=th www.ddproperty.com:resources:19074 Tue, 12 Oct 2021 14:47:14 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2019/10/Property_House_Living-Room_Wall-150x150.jpg"/></p> ผนังสำเร็จรูป ผนังอิฐมวลเบา และผนังอิฐมอญ ผนัง 3 แบบแตกต่างกันอย่างไร ไม่ว่าจะสร้างบ้านหรือซื้อบ้านก็ตาม ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนเพื่อความคุ้มค่าและความเหมาะสมกับการใช้งาน โดยสิ่งที่ต้องพิจารณานั้นรวมถึงผนังบ้านด้วย ปัจจุบันมีวัสดุที่ใช้สร้างผนังหลายประเภท เช่น ผนังอิฐมอญ ผนังอิฐมวลเบา และผนังสำเร็จรูป ซึ่งแต่ละวัสดุนั้นเป็นอย่างไร แล้วแบบไหนดีกว่า ตามมาดูกันเลย

Subscription Banner for Article

 

อิฐมอญ

อิฐมอญคืออะไร

อิฐมอญ (Brick) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อิฐแดง เป็นวัสดุก่อสร้างแบบธรรมชาติที่ใช้กันมาแต่โบราณ โดยเกิดจากการนำดินเหนียวมาผสมกับแกลบ หรืออาจใช้วัสดุอื่นแทน แล้วนำไปเผาให้สุก ในบรรดาอิฐทั้งหมด อิฐมอญมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องความแข็งแรง และขนาดอิฐมอญที่นิยมใช้กัน คือ 7 x 14.5 x 3 เซนติเมตร

ข้อดีของผนังอิฐมอญ

  • แข็งแกร่งทนทานกว่าอิฐมวลเบา
  • ทนกับสภาพอากาศในเมืองไทยเป็นอย่างดี
  • ราคาถูกกว่าอิฐมวลเบาและผนังสำเร็จรูป

ข้อเสียของผนังอิฐมอญ

  • สะสมและถ่ายเทความร้อน ทำให้บ้านร้อน ทางแก้ คือ ก่ออิฐมอญแบบ 2 ชั้นเพื่อลดการถ่ายเทความร้อนและกันไฟได้ดีกว่าอิฐมวลเบาเล็กน้อย แต่ก็เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้วย
  • เป็นฉนวนกันเสียงได้ดีน้อยกว่าอิฐมวลเบาประมาณ 20% เว้นแต่จะก่ออิฐมอญแบบ 2 ชั้น
  • หากไม่ชำนาญงานฉาบปูนบนผนังอิฐประเภทนี้ ก็อาจมีผลให้เกิดรอยร้าวบนผนังได้
  • ใช้เวลาในการก่อสร้างนาน จึงทำให้ค่าแรงสูง

 

การก่อสร้างผนังบ้านด้วยอิฐมอญ

 

อิฐมวลเบา

อิฐมวลเบาคืออะไร

อิฐมวลเบา (Lightweight Concrete) ทำมาจากปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ผสมกับวัสดุอื่น ๆ เช่น ทราย ปูนขาว ยิบซัม ผงอะลูมิเนียม และสารกระจายฟองอากาศซึ่งทำให้อิฐมีน้ำหนักเบาและลอยน้ำได้ อิฐมวลเบามีลักษณะกลวงและมีหลายขนาดให้เลือก ที่นิยม คือ ขนาด 20 x 60 x 7.5 เซนติเมตร

ข้อดีของผนังอิฐมวลเบา

  • ดูดซึมน้ำปานกลาง โดยน้อยกว่าอิฐมอญ 4 เท่า
  • ไม่เพียงเป็นฉนวนกันความร้อน แต่ยังทนไฟถึง 1,100 องศาเซลเซียสได้เป็นเวลานาน 4 ชั่วโมง
  • เก็บเสียงได้ดี เพราะวัสดุของอิฐมวลเบาช่วยสะท้อนเสียง
  • ประหยัดค่าโครงสร้างและค่าก่อสร้าง รวมทั้งยังก่อสร้างได้รวดเร็วกว่าใช้อิฐมอญ เพราะอิฐมวลเบามีน้ำหนักเบาและใช้แรงงานก่ออิฐน้อยกว่า

ข้อเสียของผนังอิฐมวลเบา

  • ทนทานน้อยกว่าอิฐมอญ
  • ไม่เหมาะกับงานเจาะแขวน เว้นแต่จะใช้ปูนฉาบคุณภาพดีและต้องใช้วัสดุเฉพาะ ซึ่งผู้รับเหมารายเล็กอาจไม่มี
  • ต้องใช้ช่างที่ชำนาญการและมีฝีมือละเอียด มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาตามมาได้
  • มีราคาแพงกว่าอิฐมอญ
  • ค่าแรงงานถูกกว่าใช้อิฐมอญ เนื่องจากอิฐมวลเบามีน้ำหนักเบาและมีขนาดใหญ่กว่า
ทิปส์การตรวจงานรับสร้างบ้านที่คุณควรรู้

Guide

ทิปส์การตรวจงานรับสร้างบ้านที่คุณควรรู้

 

ผนังคอนกรีตสำเร็จรูป

ผนังคอนกรีตสำเร็จรูปคืออะไร

ผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) หลายคนมักเรียกว่า พรีคาสท์ คือ ผนังที่สร้างจากคอนกรีตเสริมเหล็กหล่อสำเร็จรูป ซึ่งได้รับการพัฒนามาเพื่อตอบสนองงานธุรกิจก่อสร้างที่ต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ข้อดีของผนังสำเร็จรูป

  • แข็งแรงและรับน้ำหนักได้มากกว่าอิฐทุกประเภทด้วยพื้นผิวที่มีส่วนประกอบเหล็กหนา 0.5 มิลลิเมตร
  • ก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว เพราะผนังสำเร็จรูปนั้นถูกสร้างขึ้นรอไว้ล่วงหน้า ทั้งยังมีน้ำหนักเบาและใช้แรงงานก่อสร้างน้อยลง
  • คุณภาพผนังได้มาตรฐาน เพราะผลิตจากโรงงานที่มีกระบวนการผลิตตามมาตรฐาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือช่างและสภาพอากาศเหมือนผนังก่ออิฐ
  • ลดปัญหามลภาวะฝุ่นและเสียงในขณะก่อสร้าง
  • ลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสำหรับงานก่อสร้างบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีรูปแบบเดียวกัน

ข้อเสียของผนังสำเร็จรูป

  • ต้องเตรียมงานล่วงหน้านานและเป็นไปอย่างรอบคอบ เพราะต้องคำนึงถึงการผลิต การขนส่ง และการติดตั้งผนังสำเร็จรูป
  • เก็บความร้อนและคายความร้อนช้า จึงทำให้บ้านร้อนเมื่อโดนแดนนาน ๆ
  • งานต่อเติมเป็นไปได้ยาก เพราะคุณสมบัติความแข็งแรงเสริมเหล็กนั้นมักถูกรวมอยู่ในการคำนวณการรับน้ำหนักโครงสร้างบ้านแล้ว
  • หากต่อเติมหรือดัดแปลงแก้ไข ต้องปรึกษาวิศวกรที่เชี่ยวชาญและอาศัยช่างฝีมือที่ชำนาญ มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาได้

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างอิฐมอญ อิฐมวลเบา และผนังสำเร็จรูป

ปัจจัย ผนังอิฐมอญ ผนังอิฐมวลเบา ผนังสำเร็จรูป
ความแข็งแรง มากกว่าอิฐมวลเบา น้อยที่สุด มากที่สุด
การป้องกันความร้อน สะสมความร้อน แต่กันความร้อนดีกว่าอิฐมวลเบาหากก่ออิฐมอญ 2 ชั้น ดี สะสมความร้อน
การป้องกันเสียง ไม่ค่อยดี เว้นแต่จะก่ออิฐมอญ 2 ชั้น ดี ดีที่สุด
คุณภาพผนัง ขึ้นอยู่กับฝีมือของช่างที่ต้องมีประสบการณ์ ขึ้นอยู่กับคุณภาพปูนและฝีมือของช่าง ตามมาตรฐานคุณภาพของโรงงาน
การต่อเติมและดัดแปลง ง่าย ทำเองได้บ้างหากมีความรู้และประสบการณ์ ต้องอาศัยช่างที่ชำนาญ ทำไม่ได้หรือทำได้ยาก และต้องอาศัยวิศวกรและช่างที่ชำนาญโดยเฉพาะ
ต้นทุนในการก่อสร้าง ปานกลาง-สูง ต่ำ ต่ำ-ปานกลาง
ระยะเวลาในการสร้างผนัง ช้า ปานกลาง เร็ว

 

เมื่อทราบลักษณะพร้อมข้อดีข้อเสียของผนังอิฐมอญ ผนังอิฐมวลเบา และผนังสำเร็จรูปแล้ว ก็ลองชั่งน้ำหนักดูว่าแบบไหนจะเหมาะสมและคุ้มกับเงินที่ต้องจ่ายไปมากที่สุด จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายสิ่งที่ผู้ที่วางแผนจะสร้างบ้านต้องทราบ หนึ่งในสิ่งที่สำคัญเพื่อให้ได้บ้านที่มีคุณภาพและคุ้มค่าก็คือ การเลือกบริษัทรับสร้างบ้านและการตรวจรับงานสร้างบ้าน ตามลิงก์ด้านล่างไปอ่านคำแนะนำดี ๆ เลย

5 ยุทธวิธีเลือกบริษัทรับสร้างบ้านให้คุ้มทั้งคุณภาพและราคา

Guide

5 ยุทธวิธีเลือกบริษัทรับสร้างบ้านให้คุ้มทั้งคุณภาพและราคา

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
9 ต้นไม้ฟอกอากาศ ปลูกง่ายในบ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว ดักจับฝุ่น PM 2.5 https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/9-ต้นไม้ฟอกอากาศ-ปลูกง่ายในบ้าน-29421?locale=th www.ddproperty.com:resources:29421 Tue, 12 Oct 2021 13:29:51 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/07/Plant-in-your-house-150x150.jpg"/></p> 9 ต้นไม้ฟอกอากาศ ปลูกง่ายในบ้าน เพิ่มพื้นที่สีเขียว ดักจับฝุ่น PM 2.5 การปลูกต้นไม้ภายในบ้านหรือภายในคอนโดนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน หรือภายในห้องแล้ว ยังช่วยดักจับฝุ่นละอองต่าง ๆ และยังช่วยฟอกอากาศด้วย โดยเฉพาะ 9 ต้นไม้ฟอกอากาศ ที่ปลูกง่าย ภายในบ้านคุณ

 

ในอากาศมีอะไรบ้างที่ไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย

1. ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือฝุ่น PM 2.5

2. สารระเหยจากเครื่องถ่ายเอกสารหรือเครื่องพิมพ์ ได้แก่ เบนซิน โทลูอีน และโอโซน

3. สารฟอร์มาลดีไฮด์ จากบ้านหรืออาคาร เช่น เฟอร์นิเจอร์ใหม่ ไม้อัด บอร์ด สี พลาสติก รวมถึงปูน

4. ก๊าซพิษต่าง ๆ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์

 

ประโยชน์ของการปลูกต้นไม้ฟอกอากาศ

ต้นไม้ 1 ต้น

ประโยชน์

ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์

9-15 กิโลกรัมต่อปี

ดักฝุ่นและมลพิษทางอากาศ

1.4 กิโลกรัมต่อปี

ลดอุณหภูมิรอบบ้าน  

2-4 องศาเซลเซียส

การปลูกต้นไม้ 1 ต้น ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 9-15 กิโลกรัมต่อปี ดักฝุ่นและมลพิษทางอากาศได้ 1.4 กิโลกรัมต่อปี ช่วยฟอกอากาศ ลดการเกิดภูมิแพ้และหอบหืดได้ อีกทั้งยังช่วยทำให้สดชื่น ผ่อนคลาย ลดความเครียด รวมทั้งลดอุณหภูมิรอบบ้านได้ 2-4 องศาเซลเซียส เพราะช่วยให้ร่มเงาและป้องกันรังสี UV ได้เป็นอย่างดี

 

ต้นไม้ฟอกอากาศมีลักษณะอย่างไร

จากข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า การปลูกต้นไม้เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการดักจับสารพิษในอากาศ และสามารถป้องกันฝุ่นละออง เพราะส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ โดยเฉพาะใบ สามารถช่วยดักฝุ่นได้ดี ซึ่งฝุ่นละอองที่ลอยอยู่บนอากาศจะผ่านต้นไม้ติดค้างอยู่บนผิวใบ

โดยพืชตระกูลสนจะช่วยดักจับฝุ่นได้ เพราะโครงสร้างของใบมีความละเอียดซับซ้อน แต่หากเป็นไม้เลื้อยจะดักจับฝุ่นได้มากกว่าไม้อื่น เพราะมีพื้นผิวใบมากกว่าต้นไม้อื่น ด้วยลักษณะใบที่เรียวเล็ก ชื้น หยาบ มีขน หรือผิวใบที่เหนียวจะทำให้ฝุ่นเกาะติดใบได้ดี ส่วนลำต้น กิ่งก้านที่มีโครงสร้างพันกันอย่างสลับซับซ้อนมีส่วนช่วยดักจับฝุ่นได้เช่นกัน

 

ต้นไม้ฟอกอากาศที่ควรปลูกในบริเวณบ้าน

ต้นไม้ที่ควรปลูกบริเวณบ้าน อาทิ ไทรเกาหลี คริสตินา โมก ตะขบ การเวก พวงครามออสเตรเลีย อโศกอินเดีย และสนฉัตร แต่ไม่ควรปลูกไม้ผลัดใบเพราะบางช่วงไม่มีใบดักจับฝุ่น ก่อนปลูกจึงต้องเลือกชนิดต้นไม้ให้เหมาะสมกับสภาพหรือบริเวณที่จะปลูก

ดาวน์โหลดฟรี e-book รวบรวมไม้ประดับที่ดูดสารพิษมากถึง 40 ชนิด ที่คนไทยนิยมปลูก โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

ต้นไม้ฟอกอากาศที่ควรปลูกในบ้าน

สำหรับไม้ประดับภายในอาคารหรือในบ้านที่สามารถปลูกได้ง่าย ที่ช่วยฟอกอากาศและดูสารพิษ มีดังนี้

1. พลูด่าง

ต้นพลูด่าง เป็นต้นไม้ฟอกอากาศและเสริมสิริมงคล

พลูด่าง เป็นพืชไม้เลื้อยที่ปลูกง่ายมาก และใช้เวลาในการเจริญเติบโตไม่นาน ลำต้นทนทานต่อสภาพอากาศในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ถือเป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกในบ้านเพราะเชื่อว่าจะช่วยให้ชีวิตราบรื่นเป็นสุข มีคนมารักมีคนมาหลง

นอกจากนี้ยังสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 75% และยังสามารถคายก๊าซออกซิเจนในเวลากลางวัน ได้ถึง 100% จึงเหมาะสำหรับการนำมาปลูกภายในบ้านเป็นต้นไม้ฟอกอากาศชั้นดี

วิธีการดูแลรักษาพลูด่าง เนื่องจากพลูด่างปลูกได้หลายวิธีตามสายพันธุ์ แต่โดยรวมเป็นพืชที่ไม่ต้องการแสงมากนักจึงเหมาะกับการปลูกในอาคาร หากปลูกบนดินควรรดน้ำ 3 ครั้งต่อวัน หากปลูกในน้ำควรเปลี่ยนน้ำเดือนละครั้ง

 

พันธุ์ไม้มงคลคู่บ้าน เสริมดวงรับทรัพย์

 

2. ลิ้นมังกร

ลิ้นมังกร อีกหนึ่งต้นไม้ฟอกอากาศที่ปลูกง่าย

ลิ้นมังกร หรืออีกชื่อหนึ่งคือหอกพระอินทร์ เป็นอีกหนึ่งไม้ประดับที่ปลูกและดูแลรักษาได้ง่าย รวมทั้งยังมีคุณประโยชน์หลากหลาย และมีความพิเศษกว่าต้นไม้พันธุ์อื่น เนื่องจากเป็นพืชที่คายก๊าซออกซิเจนในเวลากลางคืน แต่จะคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในตอนกลางวัน จึงเหมาะสำหรับการปลูกในห้องนอน นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้ฟอกอากาศให้ปราศจากฝุ่นละลองอีกด้วย

วิธีการดูแลรักษาลิ้นมังกรนั้นง่ายมาก เพราะขึ้นชื่อเรื่องความทนทายาดเป็นอย่างมาก สามารถปลูกในพื้นที่ที่แดดแรงจัดได้ แต่ห้ามรดน้ำมากเกินไป อาจจะเพียงวันเว้นวัน และไม่ให้แฉะจนเกินไป เพราะอาจทำให้ต้นไม้ตายได้

 

3. ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ นอกจากช่วยฟอกอากาศยังมีสรรพคุณหลากหลาย

ว่านหางจระเข้ ต้นไม้ฟอกอากาศ ไม้ประดับมากสรรพคุณที่นอกจากจะใช้ดูแลรักษาแผลผุพองได้ดีจนถึงใช้ประโยชน์ในเรื่องความสวยความงามแล้ว ยังเป็นไม้ประดับที่สามารถปลูกในห้องนอนได้เนื่องจากเป็นพืชที่คายก๊าซออกซิเจนในเวลากลางคืน นอกจากนี้ยังช่วยฟอกอากาศในบ้านให้ปราศจากฝุ่น รวมถึงมีประสิทธิภาพในการดูดสารพิษจำพวกฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งพบในสารเคลือบต่าง ๆ ทั้งยาทาเล็บ ยาเคลือบเฟอร์นิเจอร์ และสีทาบ้าน

วิธีการดูแลรักษาว่านหางจระเข้ ควรตั้งในพื้นที่ที่มีแดดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน ควรระวังเรื่องการรดน้ำปริมาณมากเกินไป และทำให้น้ำขัง เพราะจะทำให้ต้นเน่าและตายได้

 

4. เดหลี

เดหลี นอกจากจะมีดอกสวยงามแล้ว ยังเป็นต้นไม้ฟอกอากาศด้วย

ต้นเดหลีเป็นไม้ล้มลุก ที่มีจุดเด่นทั้งเรื่องกลิ่นหอมและยังมีดอกสวยงาม โดยต้นเดหลีเหมาะจะเป็นต้นไม้ฟอกอากาศที่นำมาปลูกในบ้านเนื่องจากมีความสามารถในการดูดซับสารพิษในบ้านได้ด้วย โดยช่วยดูดสารพิษประเภทกาว อะซิโตนซึ่งมีอยู่ในเครื่องสำอาง น้ำยาทาเล็บ น้ำยาลบคำผิด สารไตรคลอโรเอทีลีน ซึ่งมีอยู่ในเครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร เตาแก๊ส น้ำยาเคลือบเงาไม้ รวมทั้งเบนซินและฟอร์มาลดีไฮด์

วิธีการดูแลรักษาเดหลี ควรรดน้ำเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ให้เพียงหน้าดินชุ่ม ควรตั้งอยู่ในพื้นที่ที่แสงรำไร และอากาศไม่ร้อนมาก

 

5. กล้วยไม้

กล้วยไม้ ไม้ประดับยอดนิยมที่ช่วยฟอกอากาศภายในบ้าน

กล้วยไม้นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามแล้ว ยังมีความพิเศษกว่าต้นไม้ชนิดอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ฟอกอากาศด้วย โดยกล้วยไม้มีความสามารถในการดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถคายก๊าซออกซิเจนได้ในปริมาณมากในแต่ละวัน

โดยเฉพาะกล้วยไม้สกุลหวาย สามารถดูดไอระเหยจากสารเคมีจำพวกแอลกอฮอล์ อะซิโตน ฟอร์มาลดีไฮด์ และคลอโรฟอร์มจากอากาศได้ดีเป็นพิเศษด้วย

วิธีการดูแลรักษากล้วยไม้ ควรตั้งหรือแขวนไว้ในพื้นที่ที่มีแดดรำไร และรดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้งก็เพียงพอ

 

6. เยอบีร่า

เยอบีร่า มีดอกสวยงาม และช่วยฟอกอากาศ

เยอบีร่าเป็นไม้ประดับที่มีขนาดเล็กและออกดอกสวยงาม เหมาะกับการนำมาประดับตกแต่งห้องต่าง ๆ ภายในบ้านหรือคอนโด ซึ่งนอกจากจะให้ความสวยงามแบบเฉพาะตัวแล้ว ยังเป็นต้นไม้ฟอกอากาศ ช่วยดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้อากาศสดชื่นตลอดวัน

วิธีการดูแลรักษาเยอบีร่า ทำได้ง่าย ๆ เพียงตั้งทิ้งไว้ในที่ที่มีแดด และรดน้ำปานกลาง อย่าให้แฉะจนเกินไป

 

7. เบญจมาศ

เบญจมาศ ไม้ดอกที่นอกจากจะใช้ประดับห้องแล้ว ยังช่วยฟอกอากาศด้วย

รู้หรือไม่ว่าเบญจมาศคือ ไม้ดอกที่มีความต้องการทางเศรษฐกิจมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากกุหลาบ เบญจมาศโดยเฉพาะส่วนของดอกจะมีรูปลักษ์ภายนอกและสีได้หลายแบบตามสายพันธุ์ จุดเด่นของเบญจมาศคือเป็นต้นไม้ฟอกอากาศที่เป็นมลพิษ อย่างกลิ่นจากสีทาบ้าน กาว พลาสติก และผงซักฟอก ให้กลายเป็นอากาศบริสุทธิ์ได้

วิธีการดูแลรักษาต้นเบญจมาศ แค่วางให้โดนแสงแดด เช่น ริมหน้าต่าง และหมั่นรดน้ำเป็นประจำ เนื่องจากเบญจมาศเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก เพราะใบมีการคายน้ำสูง     

 

8. เสน่ห์จันทร์แดง

เสน่ห์จันทร์แดง ไม้มงคล ที่ช่วยฟอกอากาศด้วย

เสน่ห์จันทร์แดง ไม้ประดับที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม เนื่องจากมีใบเป็นรูปหัวใจ มีสีเขียวตัดกับสีแดงเข้มของก้านใบ มีความสามารถดีเยี่ยมในการเป็นต้นไม้ฟอกอากาศ โดยช่วยดูดสารพิษจำพวกแอมโมเนีย นอกจากนี้ยังเป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกภายในบ้านเพื่อเสริมสิริมงคลในด้านของโชคแก่ผู้อยู่อาศัย

วิธีการดูแลรักษาเสน่ห์จันทร์แดง เนื่องจากเป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่ค่อยทนทานจึงต้องประคบประหงมกันสักหน่อย โดยต้องให้ความชุ่มชื้นอยู่เสมอ และอย่าให้โดนแสงแดดมาก ควรใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกผสมน้ำรดเดือนละครั้ง

 

9. เศรษฐีเรือนใน

เศรษฐีเรือนใน อีกหนึ่งไม้มงคลที่ช่วยเรื่องฟอกอากาศภายในบ้าน

เศรษฐีเรือนในเป็นไม้ประดับที่มักนิยมปลูกในบ้านเนื่องจากเชื่อว่าเป็นสิริมงคล เสริมโชคลาภและป้องกันภัยให้กับผู้อยู่อาศัย นอกจากนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องการเป็นต้นไม้ฟอกอากาศ โดยช่วยดูดสารพิษอย่างฟอร์มาลดีไฮด์ รวมถึงคาร์บอนมอนอกไซด์และไซลีน ซึ่งเป็นสารสำคัญในอุตสาหกรรมพลาสติกและใยสังเคราะห์ และพวกทินเนอร์ แลคเกอร์ กาว สีทาบ้าน ยาทาเล็บ และยาล้างเล็บ

วิธีการดูแลรักษาเศรษฐีเรือนใน ง่ายมาก เพราะเป็นพืชที่ขึ้นชื่อว่าดูแลรักษาง่าย แตกหน่อออกง่าย ขอเพียงตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และรดน้ำพอประมาณอย่าให้น้ำขัง

 

ปัญหาจากต้นไม้ข้างบ้านรุกล้ำจัดการอย่างไร

 

ปลูกต้นไม้ในห้องนอนไม่ดีจริงหรือไม่

ความเชื่อเดิม ๆ มักบอกกันว่าการปลูกต้นไม้ภายในห้องนอนเป็นอันตราย เนื่องจากในเวลากลางคืนต้นไม้ส่วนใหญ่จะคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา แต่จริง ๆ แล้วปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้นไม้ส่วนใหญ่คายออกมานั้นมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับปริมาณที่มนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงปล่อยออกมา

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
แบบบ้านสองชั้น 5 แบบ 5 สไตล์ แบบบ้านฟรี จากสำนักการโยธา https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แบบบ้านฟรี-บ้านสองชั้น-จากสำนักการโยธา-47850?locale=th www.ddproperty.com:resources:47850 Tue, 12 Oct 2021 13:48:19 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/05/Free-house-plan-150x150.jpg"/></p> แบบบ้านสองชั้น 5 แบบ 5 สไตล์ แบบบ้านฟรี จากสำนักการโยธา ใครที่มีที่ดินอยู่แล้ว หรือเพิ่งซื้อที่ดินก็ตาม สามารถสร้างบ้านประหยัดงบประมาณได้ โดยการเลือก แบบบ้านสองชั้น แบบบ้านฟรี จากสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปใช้ก่อสร้างบ้านจริง นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการให้สถาปนิกออกแบบบ้านแล้ว ยังช่วยกำหนดงบในการก่อสร้างได้ด้วยจากราคาประเมินที่มาพร้อมแบบบ้าน ลองมาดูแบบบ้านสองชั้น แบบบ้านฟรี 5 แบบ 5 สไตล์จากสำนักการโยธา พร้อมรายละเอียด และราคาประเมินการก่อสร้างเริ่มต้นได้ที่นี่

รวมแบบบ้านสวย ๆ แบบบ้านสไตล์ไหนใช่สำหรับคุณ

Guide

รวมแบบบ้านสวย ๆ แบบบ้านสไตล์ไหนใช่สำหรับคุณ

5 แบบบ้านสองชั้น แบบบ้านฟรี จากสำนักการโยธา
รูปแบบบ้าน ขนาด
1. แบบบ้านสองชั้น ตะแบกใหญ่ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 72 ตารางเมตร
2. แบบบ้านสองชั้น เทพธาโร 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 118 ตารางเมตร
3. แบบบ้านสองชั้น ทิพเกสร 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 112.5 ตารางเมตร
4. แบบบ้านสองชั้น ตรียัมปวาย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 152 ตารางเมตร
5. แบบบ้านสองชั้น บัวทอง 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร

1. แบบบ้านสองชั้นตะแบกใหญ่

แบบบ้านฟรีขนาดเล็ก แบบบ้านตะแยกใหญ่ บ้าน 2 ชั้น 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ

แบบบ้านสองชั้น แบบบ้านฟรีขนาดเล็ก แบบบ้านตะแยกใหญ่ บ้าน 2 ชั้น 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ

 

เริ่มต้นกันด้วยแบบบ้านสองชั้นขนาดเล็กที่สุด โดยมีพื้นที่ใช้ซอยอยู่ที่ 72 ตารางเมตร สำหรับที่ดินกว้างประมาณ 108 ตารางเมตร หรือประมาณ 27 ตารางวา เป็นแบบบ้านฟรีขนาด 1 ห้องนอน เหมาะสำหรับครอบครัวเล็ก ๆ หรือผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวสูง

แบบบ้านฟรีแบบนี้เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นแต่มีพื้นที่ใช้สอยของที่อยู่อาศัยที่ชั้น 2 ส่วนชั้นล่างที่เป็นใต้ถุนบ้านหรือเป็นที่จอดรถ สามารถจอดรถได้ 1 คัน ราคาประเมินค่าก่อสร้างเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 6 แสนกว่าบาทเท่านั้น

 

2. แบบบ้านสองชั้น เทพธาโร

แบบบ้านฟรีขนาดเล็ก แบบบ้านเทพธาโร บ้าน 2 ชั้น 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ

แบบบ้านสองชั้น แบบบ้านฟรีขนาดเล็ก แบบบ้านเทพธาโร บ้าน 2 ชั้น 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ

 

ต่อมาเป็นแบบบ้านสองชั้น ขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย มีพื้นที่ใช้สอยรวมอยู่ที่ประมาณ 118 ตารางเมตร โดยการก่อสร้างแบบบ้านฟรีแบบนี้จะต้องมีที่ดินอย่างน้อย 40-42 ตารางวาขึ้นไป เพื่อสร้างให้ถูกแบบถูกกฎหมายการก่อสร้างอาคาร

ด้วยพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นมาจากแบบบ้านตะแบกใหญ่พอสมควร นอกจากจะสามารถจอดรถได้ 1 คันแล้ว ยังมีพื้นที่ใช้สอยสำหรับชั้นล่างอยู่สองส่วนคือบริเวณโถงบันไดทางขึ้น และเฉลียงนอกบ้านที่สามารถจัดเป็นที่นั่งพักผ่อนหรือสวนนอกบ้านได้

ส่วนชั้นบนจะเป็นพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ประกอบไปด้วยห้องนอนขนาดพอ ๆ กัน 2 ห้องนอน โดยทั้งสองห้องจะไม่มีห้องน้ำในตัว แต่มีห้องน้ำกลางที่ชั้น 2 ส่วนอีกฝั่งหนึ่งจะเป็นพื้นที่ใช้สอยสำหรับห้องนั่งเล่น และห้องรับประทานอาหาร แบบบ้านฟรีแบบนี้เหมาะสำครับครอบครัวขนาดประมาณ 3-4 คน ราคาค่าก่อสร้างเริ่มต้นประมาณ 1 ล้านบาท

 

3. แบบบ้านสองชั้น ทิพเกสร

แบบบ้านฟรีขนาดเล็ก แบบบ้านทิพเกสร บ้าน 2 ชั้น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ

แบบบ้านสองชั้น แบบบ้านฟรีขนาดเล็ก แบบบ้านทิพเกสร บ้าน 2 ชั้น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ

 

แบบบ้านสองชั้นนี้เป็นแบบบ้านสไตล์โมเดิร์น ขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 112.5 ตารางเมตร ประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จาก Layout ของบ้านเป็นบ้านที่เน้นพื้นที่ใช้สอยแนวลึก เฉลียงหน้าบ้านมีขนาดกว้างมากจนสามารถจัดเป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนนอกบ้านได้

สำหรับใครที่ต้องการที่จอดรถระหว่างก่อสร้างอาจต้องรื้อเฉลียงตรงนี้ออก เพราะแบบบ้านฟรีนี้มาทำขึ้นมาสำหรับคนที่ไม่ต้องการที่จอดรถ และเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านที่มีฟังก์ชันครบครัน

โดยชั้นล่างประกอบไปด้วยห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องน้ำกลาง และพื้นที่ซักล้าง ที่ชั้นบนจะเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ที่มีฟังก์ชันห้องน้ำในตัว และระเบียงขนาดใหญ่

แบบบ้านฟรีแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่มีที่ดินขนาดประมาณ 40 ตารางวา และเหมาะกับคนที่มีที่ดินหน้าแคบเน้นพื้นที่ใช้สอยแนวลึก มีราคาเริ่มต้นสำหรับค่าก่อสร้างที่ 900,000 บาทถึง 1 ล้านบาทต้น ๆ

 

4. แบบบ้านสองชั้น ตรียัมปวาย

แบบบ้านฟรีขนาดเล็ก แบบบ้านตรียัมปวาย บ้าน 2 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ

แบบบ้านสองชั้น แบบบ้านฟรีขนาดเล็ก แบบบ้านตรียัมปวาย บ้าน 2 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ

 

แบบบ้านสองชั้น ขนาด 3 ห้องนอน ที่เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย แต่ยังคงราคาค่าก่อสร้างไม่แพงมากที่ประมาณ 1.2 ล้านบาทเท่านั้น โดยแบบบ้านฟรีแบบนี้จะเหมาะกับคนที่มีที่ดินหน้าแคบแต่มีพื้นที่แนวลึกเหมือนบ้านแบบทิพเกสร และยังคงสไตล์โมเดิร์นเอาไว้เหมือนเดิม

แต่ที่พิเศษกว่าแบบบ้านทิพย์เกสรก็คือ แม้ฟังก์ชันบ้านมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 152 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ แต่ใช้พื้นที่ในการก่อสร้างเพียง 32 ตารางวาขึ้นไปเท่านั้น

โดยสเปคของแบบบ้านฟรีตรียัมปวายจะออกแนวบ้านจัดสรรทั่วไปเลย คือ ชั้นล่างเป็นพื้นที่ใช้สอยสำหรับห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร ห้องครัว และที่ชั้น 2 จะเป็นในส่วนของห้องนอนใหญ่ที่มีห้องน้ำในตัว และห้องนอนเล็ก 2 ห้องที่ใช้ห้องน้ำกลางเป็นหลัก

 

5. แบบบ้านสองชั้น บัวทอง

แบบบ้านฟรีขนาดเล็ก แบบบ้านบัวทอง บ้าน 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ

แบบบ้านฟรีขนาดเล็ก แบบบ้านบัวทอง บ้าน 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ

 

แบบบ้านสองชั้นหลังสุดท้ายเป็นบ้านขนาดใหญ่สุด เหมาะกับคนที่มีที่ดินแบบหน้ากว้าง หรือเป็นที่ดินรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส เป็นแบบบ้านฟรี 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 130 ตารางเมตร แต่ที่เซอร์ไพรส์ไปกว่านั้นคือมีราคาก่อสร้างอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาทต้น ๆ เท่านั้น แต่แลกมาด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ที่เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านจัดสรรตามโครงการใหม่ต่าง ๆ ในระดับราคา 3 ล้านขึ้นไปเลยทีเดียว

ส่วนดีไซน์บ้านจะเป็นบ้านดีไซน์ร่วมสมัย หลังคาทรงจั่วปกติ เน้นบานหน้าต่างรอบตัวบ้าน เหมาะสำหรับครอบครัวที่ชอบความโปร่งโล่งสบายจาก Layout ที่เป็นสี่เหลี่ยม ชั้นล่างจะเป็นพื้นที่ใช้สอยของห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร

ส่วนชั้นบนจะเป็นพื้นที่พักผ่อนตามแบบบ้านทั่วไป แต่ในชั้นล่างจะได้ห้องอเนกประสงค์หรือห้องนอนที่ 4 เพิ่มเข้ามา สำหรับใครที่มีที่ดินหน้ากว้างขนาดประมาณ 38-40 ตารางเมตร ก็สามารถเลือกแบบบ้านฟรีแบบนี้ไปใช้ก่อสร้างได้ โดยหากอยากได้ที่จอดรถเพิ่มก็สามารถนำไปปรับใช้กับที่ดินของตนเองได้

 

หากใครที่กำลังมองหาแบบบ้านสองชั้น แบบบ้านฟรี เพื่อไปสร้างบ้านของตัวเอง โดยประหยัดงบประมาณค่าแบบก็สามารถเข้าไปเลือกแบบบ้านสองชั้น แบบบ้านฟรี จากสำนักการโยธา กรุงเทพมหานครได้ แต่หากใครกำลังมองหาบ้านเดี่ยวสวย ๆ สักหลังก็สามารถเข้าไปเลือกบ้านที่ชอบได้ที่นี่เช่นกัน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
รถไฟฟ้า EV กับ 5 วิธีชาร์จไฟบ้านอย่างไรให้ประหยัดและปลอดภัย https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/รถไฟฟ้า-ev-56068?locale=th www.ddproperty.com:resources:56068 Thu, 07 Oct 2021 04:59:56 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/10/EV-vehicle1-150x150.jpg"/></p> รถไฟฟ้า EV กับ 5 วิธีชาร์จไฟบ้านอย่างไรให้ประหยัดและปลอดภัย รถไฟฟ้า EV ถือว่าเป็นรถที่กำลังเป็นเทรนด์และมาแรงที่สุดในยุคนี้ มีหลายค่ายรถยนต์ที่ผลิตรถไฟฟ้า EV ออกมาให้ได้ยลโฉมและเป็นเจ้าของกัน มาดูข้อดีของรถไฟฟ้า EV ขั้นตอนการติดตั้งระบบชาร์จไฟที่บ้านเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง รถ และบ้าน

sportlight

 

รถไฟฟ้า EV คืออะไร  

รถไฟฟ้า EV (Electric Vehicle) คือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว 100% และสามารถชาร์จไฟได้อย่างสม่ำเสมอเมื่อแบตเตอรี่หมด โดยรถไฟฟ้านี้จะมีองค์ประกอบหลักสำหรับการขับเคลื่อน คือ แบตเตอรี่ อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 

 

ข้อดีของรถไฟฟ้า EV  

1. เงียบและอัตราเร่งที่เรียบและเร็ว 

รถไฟฟ้า EV ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สู่มอเตอร์เพื่อทำการขับเคลื่อน โดยที่ไม่ได้ใช้เครื่องยนต์สันดาป ภายในจึงไม่ก่อให้เกิดการเผาไหม้ ทำให้เสียงของการทำงานของรถไฟฟ้า EV นั้นเงียบกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหลายเท่า และสามารถทำให้มีอัตราเร่งเป็นไปได้อย่างที่ใจต้องการ เพราะไม่มีขั้นตอนการทดเกียร์อีกต่อไป จึงทำให้รถไฟฟ้า EV สามารถตอบสนองในการขับขี่ได้ตามความต้องการของผู้ขับ 

 

2. ประหยัดค่าใช้จ่ายและค่าซ่อมบำรุง

รถไฟฟ้า EV ช่วยประหยัดเงินค่าน้ำมันและค่าซ่อมบำรุง เนื่องจากรถไฟฟ้า EV ใช้พลังงานไฟฟ้ามาแทนที่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีราคาสูง เช่นเดียวกันกับค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง รถไฟฟ้า EV จะมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาน้อยกว่า เพราะไม่มีเครื่องยนต์ และไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง จึงทำให้การดูแลรักษาเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น 

 

3. ช่วยลดมลภาวะ

เมื่อโลกที่ร้อนขึ้นทุกวัน สาเหตุหลัก ๆ ล้วนเกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยไอเสียของโรงงานอุตสาหกรรม การเผาป่า พืชไร่ กำจัดขยะ และการเผาผลาญเชื้อเพลิงของรถยนต์ ทำให้รถไฟฟ้า EV คือหนึ่งนคำตอบในการลดมลภาวะ ลดโลกร้อน เพราะไม่มีการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ที่ก่อให้เกิดไอเสียและมลภาวะทางอากาศ 

รวมบทความรักษ์โลก ช่วยประหยัดพลังงาน และลดโลกร้อน 

 

4. ชาร์จแบตได้ที่บ้าน 

เปลี่ยนภาพจากที่เคยต่อคิวยาวเพื่อเติมน้ำมันที่ปั๊ม หรือต้องขับรถไกลเพราะไม่มีปั๊มน้ำมันใกล้บ้าน เพราะรถไฟฟ้า EV สามารถชาร์จแบตได้ที่บ้าน สามารถชาร์จทิ้งไว้ได้ระหว่างที่นอนหลับ ตื่นเช้ามารถไฟฟ้า EV ก็อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่ต้องกังวลเรื่องการเสียเวลาหรือเสียเวลาเติมน้ำมันที่ปั๊มอีกต่อไป  

 

 การติดตั้งระบบชาร์จรถไฟฟ้า EV มีหลายขั้นตอน

 

5 ขั้นตอนการติดตั้งระบบชาร์จรถไฟฟ้า EV  

สำหรับผู้ที่จะซื้อรถไฟฟ้า EV มาใช้งาน จำเป็นต้องเข้าใจระบบไฟฟ้าภายในบ้านก่อนติดตั้ง เพื่อความปลอดภัยและป้องกันปัญหาที่ตามมา   

1. ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า 

โดยปกติขนาดมิเตอร์ของบ้านพักอาศัยทั่วไปจะใช้เป็น 15(45) 1 เฟส(1P) หมายถึงมิเตอร์ ขนาด 15 แอมป์(A) และสามารถใช้ไฟได้มากถึง 45(A) สำหรับคนที่ต้องการชาร์จรถไฟฟ้าในบ้าน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) แนะนำให้เปลี่ยนขนาดมิเตอร์เป็น 30(100) ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ป้องกันการใช้ไฟฟ้าที่มากเกินไป  

 

2. สายเมน และลูกเซอร์กิต (MCB) 

สำหรับสายเมนของเดิมใช้ขนาด 16 ตร.มม. ต้องปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 25 ตร.มม. และเปลี่ยนลูกเซอร์กิต (MCB) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันร่วมกับตู้ MDB ที่เดิมรองรับได้สูงสุด 45(A) เปลี่ยนเป็น 100(A) เพื่อให้ขนาดมิเตอร์ ขนาดสายเมน และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) มีความสอดคล้องกัน 

 

3. ตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB)  

ตรวจสอบภายในตู้ว่ามีช่องว่างสำรองเพื่อติดตั้ง Circuit Breaker อีก 1 ช่องหรือไม่ เพราะการชาร์จไฟของรถไฟฟ้า EV จะต้องมีส่วนตัว และแยกใช้งานกับเครื่องไฟฟ้าอื่น ๆ หรือถ้าหากภายในตู้หลักไม่มีช่องว่าง ต้องเพิ่มตู้ควบคุมย่อยอีก 1 จุด 

 

4. เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD) 

เครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติที่จะตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าออกมีค่าไม่เท่ากัน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไฟฟ้าลัดวงจร และเกิดเพลิงไหม้ได้ในอนาคต กรณีที่สายชาร์จไฟฟ้ามีระบบตัดไฟภายในตัวอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องติดตั้งเพิ่ม 

 

5. เต้ารับ (EV Socket)  

สำหรับการเสียบชาร์จรถไฟฟ้าจะเป็นชนิด 3 รู (มีสายต่อหลักดิน) ต้องทนกระแสไฟฟ้าได้ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 16(A) โดยรูปทรงอาจจะปรับตามรูปแบบปลั๊กของรถไฟฟ้า EV แต่ละรุ่น 

 

รถไฟฟ้า EV ชาร์จไฟบ้านอย่างไร  

วิธีการชาร์จรถไฟฟ้า EV ที่บ้าน แบ่งได้เป็น 3 แบบ ดังนี้  

1. ชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge)  

วิธีนี้เป็นการชาร์จไฟฟ้าจากตัวเต้ารับโดยตรง โดยขนาดมิเตอร์ขั้นต่ำที่แนะนำคือ 30(100)A และเต้ารับต้องติดตั้งใหม่เฉพาะการชาร์จรถไฟฟ้าเท่านั้น โดยเป็นการใช้ไฟบ้านที่เป็นกระแสสลับ (AC) ที่ใช้ระยะเวลาในการชาร์จประมาณ 12-16 ชม. 

 

2. ชาร์จแบบรวดเร็ว (Double Speed Charge)  

วิธีนี้เป็นการชาร์จไฟฟ้าจากเครื่องชาร์จ EV Charger เป็นตู้ชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) ที่ช่วยให้ชาร์จพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV ให้เต็มเร็วยิ่งขึ้น โดยเหลือเวลาชาร์จประมาณ 6-8 ชม. 

 

3. ชาร์จแบบด่วน (Quick Charge)  

วิธีนี้เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) ตรงเข้าแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV จาก 0-80% ได้ภายในเวลา 40-60 นาที นิยมใช้ตามสถานีบริการนอกบ้าน ที่ต้องการความรวดเร็วในการชาร์จ แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้ตัวแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ได้แก่ CHAdeMo, GB/T และ CCS เป็นต้น 

 

เลือกจุดติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า EV ในบ้าน  

- ระยะทางไม่เกิน 5 เมตร จากตัวเครื่องชาร์จจนถึงจุดที่เสียบชาร์จกับตัวรถ ไม่ควรวางห่างกันเกิน 5 เมตร เนื่องจากสายเครื่องชาร์จ EV Charger โดยทั่วไปอยู่ที่ 5-7 เมตรเท่านั้น 

- วางใกล้ตู้ MDB การเลือกจุดชาร์จใกล้ตู้เมนไฟฟ้าในบ้าน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินสายไฟที่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น 

- มีหลังคาปกคลุม โดยจุดชาร์จรถไฟฟ้า EV ควรอยู่ใต้หลังคา เพื่อป้องกันละอองฝน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมาตรฐานการกันน้ำของเครื่อง EV Charger นั้น ๆ  

- สำหรับลูกค้าที่พักอาศัยอยู่ในคอนโด ให้ติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่นิติบุคคล เพื่อขออนุญาตให้เรียบร้อย ทั้งนี้คอนโดโดยส่วนใหญ่จะมีระยะแนวเดินสายไฟที่ไกลกว่าบ้าน จึงอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า 

สิ่งที่ต้องคำนึงถึง

รายละเอียด

ระยะห่าง

ไม่เกิน 5 เมตร จากจุดชาร์จ

จุดชาร์จ

ใกล้ตู้เมนไฟฟ้า

ตำแหน่ง

ใต้หลังคา

กรณีอยู่คอนโด

ติดต่อเจ้าหน้าที่นิติบุคคล

ปัจจุบันการใช้รถไฟฟ้า EV มีความสะดวกมากขึ้น เพราะนอกจากจะสามารถชาร์จไฟที่บ้านแล้ว ยังมีจุดบริการชาร์จไฟรถไฟฟ้า EV โดยสามารถดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน MEA EV เพื่อค้นหาสถานีชาร์จรถไฟฟ้า EV ของการไฟฟ้านครหลวง (MEA) บริษัท EA Anywhere (EA) และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) หรือแอปพลิเคชัน EV Station ของปตท. 

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
รีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสอง 7 เรื่องที่ต้องทำก่อนลงมือรีโนเวท https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/รีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสอง-55853?locale=th www.ddproperty.com:resources:55853 Fri, 15 Oct 2021 18:03:47 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/09/Renovate-townhouse1-150x150.jpg"/></p> รีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสอง 7 เรื่องที่ต้องทำก่อนลงมือรีโนเวท เพราะว่าใคร ๆ ก็อยากที่จะมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่การจะซื้อบ้านในโครงการใหม่ ๆ นั้น อาจจะมีราคาสูงเกินงบประมาณหรือโครงการอยู่ในทำเลที่ไม่อยากได้ ทาวน์เฮ้าส์มือสองในทำเลที่ต้องการ ในราคาที่ใช่ จึงเป็นคำตอบที่สำหรับหลาย ๆ คน แต่การซื้อทาวน์เฮ้าส์มือสองนั้น ต้องทำใจยอมรับว่าสภาพอาจจะทรุดโทรมไปบ้าง ดังนั้น การรีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสองจึงพบเห็นกันบ่อย ๆ

แม้ว่าทาวนเฮ้าส์มือสองจะตอบโจทย์ผู้ซื้อในด้านราคาที่ย่อมเยาและทำเลที่ตรงกับความต้องการ เพราะโครงการทาวน์เฮ้าส์มือสองส่วนใหญ่มักจะอยู่ในทำเลที่ดี เดินทางสะดวก ใกล้เมืองสถานที่สำคัญและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แต่เอาเข้าจริงการเลือกซื้อบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์มือสองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะจำเป็นต้องศึกษาและทำการวิเคราะห์ปัจจัยหลากหลายด้านก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ

Subscription Banner for Article

 

7 เรื่องควรรู้ในการเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์มือสอง

ก่อนจะถึงขั้นตอนการรีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสอง ลองมาดูข้อควรรู้ในการเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์มือสองกันก่อน

1. ต้องรู้ว่าทาวน์เฮ้าส์ที่เลือกซื้อมีอายุเท่าไร เพราะอายุทาวน์เฮ้าส์มีผลต่อโครงสร้าง และทาวน์เฮ้าส์ที่สร้างมานานแน่นอนว่าต้องมีการรีโนเวทหรือซ่อมบำรุง

2. ต้องรู้ว่าทาวน์เฮ้าส์ที่จะซื้อมีการต่อเติมหรือเคยต่อเติมหรือไม่ เพราะต้องดูด้วยว่าโครงสร้างเดิมเป็นอย่างไร

3. ทิศทางของทาวน์เฮ้าส์นั้นหันไปในทิศทางใด เพราะเรื่องทิศทางที่ตั้งมีความสำคัญกับการรับแสง และการถ่ายเทของอากาศภายในที่อยู่อาศัยได้ดีหรือไม่

4. ต้องตรวจสอบระบบประปา ระบบไฟฟ้า ในกรณีที่ทาวน์เฮ้าส์ยังมีการอยู่อาศัย ปัญหาระบบน้ำประปาและระบบไฟฟ้าอาจไม่มีปัญหา แต่หากเป็นทาวน์เฮ้าส์ที่ไม่มีการอยู่อาศัยมานาน ปัญหาระบบไฟฟ้าและประปาอาจมีปัญหาได้

5. ต้องตรวจสอบเรื่องที่จอดรถ เพราะหลายคนลืมนึกถึงเรื่องที่จอดรถ แต่เมื่อถึงเวลาเข้าอยู่กลับพบว่าที่จอดรถไม่พอดีกับพาหนะคันของตนเอง ฉะนั้นก่อนซื้ออย่าลืมคำนึงถึงเรื่องที่จอดรถด้วย

6. ต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบๆ ทาวน์เฮ้าส์ เพราะสภาพแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เพราะหากรู้ก่อนว่าทาวน์เฮ้าส์ที่จะซื้อนั้นอยูใกล้อะไรบ้าง ก็ยิ่งทำให้การตัดสินใจในการเลือกซื้อง่ายขึ้น

7. เมื่อตรวจสอบข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อทาวน์เฮ้าส์มือสองเรียบร้อยแล้วขั้นตอนต่อไปมาดูว่าจะต้องทำเตรียมตัวเรื่องใดบ้าง

 

เรื่องต้องทำเมื่อต้องรีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสองมีหลายขั้นตอน

 

7 เรื่องที่ต้องทำเมื่อต้องรีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสอง

เมื่อทาวน์เฮ้าส์มือสองที่ซื้อมานั้นทรุดโทรม หรือต้องการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นเพื่อให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของผู้ซื้อหรือต้องการปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับสมาชิกใหม่ แต่อย่างไรก็ตามในการรีโนเวททาวน์เฮ้าส์มีข้อจำกัดหลายอย่าง ดังนั้นจึงมีเรื่องสำคัญที่ต้องรู้เมื่อต้องรีโนเวททาวนเฮ้าส์มือสอง

1. เตรียมงบประมาณให้พร้อม

เงินคือปัจจัยสำคัญที่สุดของการรีโนเวท เพราะทุกขั้นตอนของการซ่อมแซมล้วนมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นค่าออกแบบ ค่าจ้างผู้รับเหมา ค่าวัสดุอุปกรณ์ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการซ่อมแซมหากมีปัญหาใหม่ ๆ ที่ต้องแก้ไขเกิดขึ้นมา

ดังนั้น ควรตั้งงบเผื่อค่าเสียหายจากการดำเนินงานก่อสร้าไว้ประมาณ 20-30% ของงบประมาณทั้งหมด เพราะหากเงินไม่พออาจส่งผลต่อความล่าช้าในการรีโนเวทก็เป็นได้

2. ศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องในการรีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสอง

พราะนอกจากงบประมาณแล้วสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือข้อกำหนดและกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนมองข้ามไป

โดยกฎหมายที่ควรรู้คือ พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 หรือ พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร ข้อกำหนดให้การก่อสร้างหรือต่อเติมต้องมีระยะห่างระหว่างอาคาร เพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยและป้องกันการรบกวนบุคคลในพื้นที่ข้างเคียง นอกจากนี้ยังมีกฎหมายอื่น ๆ ที่ต้องรู้ ดังนั้นก่อนทำการรีโนเวทเราจำเป็นต้องนำแบบบ้านส่วนต่อเติมขออนุญาตกับเจ้าหน้าที่เขตก่อน

3. ต้องรู้ข้อจำกัดของการรีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสอง

ตามกฎหมายนั้นทาวน์เฮ้าส์ไม่สามารถต่อเติมเต็มพื้นที่ได้ เพราะมีข้อกำหนดคือ ทาวน์เฮ้าส์หรือ บ้านแถว (ในภาษากฎหมาย) ต้องมีที่ว่างด้านหลัง ซึ่งไม่มีสิ่งปกคลุม 3 เมตร เพื่อใช้เป็นทางหนีไฟ โดยสามารถสร้างบันไดหนีไฟภายนอกล้ำเข้ามาในที่ว่างนี้ได้ไม่เกิน 1.40 เมตร และต้องมีพื้นที่ว่างซึ่งไม่มีสิ่งปกคลุมอย่างน้อย 10% ของพื้นที่ชั้นใดชั้นหนึ่งที่มากที่สุดของอาคาร ต้องเว้นระยะด้านหน้าอย่างน้อย 3 เมตร ระยะด้านหลังอย่างน้อย 2 เมตร และอาคารที่พักอาศัยต้องมีพื้นที่ว่างซึ่งไม่มีสิ่งปกคลุมอย่างน้อย 30% ของพื้นที่ชั้นใดชั้นหนึ่ง

สรุปข้อกฎหมายของทาวน์โฮมกับทาวน์เฮ้าส์

ข้อกำหนด ระยะที่ถูกต้อง
ขนาดของทาวน์โฮมกับทาวน์เฮ้าส์ หน้ากว้างอย่างต่ำ 4 เมตร
พื้นที่ว่างด้านหน้า ระหว่างแนวรั้วหรือแนวเขตที่ดินกับแนวผนังบ้าน กว้างไม่น้อยกว่า 3 เมตร
พื้นที่ว่างด้านหลัง ไม่น้อยกว่า 2 เมตร
หากทาวน์โฮมกับทาวน์เฮ้าส์สร้างเป็นแถวยาวรวม 40 เมตร ต้องเว้นที่ว่างระหว่างแถว 4 เมตร

4. ตรวจสอบโครงสร้างบ้านให้ดี

ก่อนจะเริ่มรีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสองควรสำรวจโครงสร้างก่อนว่าโครงสร้างบ้านสามารถรับน้ำหนักส่วนที่จะต่อเติมหรือมีส่วนไหนที่เสียหายต้องซ่อมแซมก่อนหรือไม่ เพราะโครงสร้างเป็นส่วนที่จะรองรับน้ำหนักทั้งหมดหรือส่วนที่จะเพิ่มเติมขึ้นมา สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ตัดเสา ตัดคาน ทุบพื้นและผนังเดิมได้หรือไม่ ที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทาวน์เฮ้าส์นั้น จำเป็นต้องปรึกษาวิศวกร เพราะปกติเสาและคานหลักไม่สามารถตัดได้

วิธีตรวจโครงสร้างบ้านง่าย ๆ ด้วย 4 ขั้นตอน เรื่องต้องทำก่อนบ้านทรุด

Guide

วิธีตรวจโครงสร้างบ้านง่าย ๆ ด้วย 4 ขั้นตอน เรื่องต้องทำก่อนบ้านทรุด

5. ต้องรู้ว่าขอบเขตกรรมสิทธิ์ทาวน์เฮ้าส์ว่าอยู่ตรงไหน

เนื่องจากทาวน์เฮ้าส์เป็นอาคารที่มีการใช้โครงสร้างร่วมกัน มีฐานราก เสา ผนังระหว่างคูหา โครงหลังคาและรั้วร่วมกัน คูหาที่ติดกันจึงมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งเสาครึ่งผนัง รวมถึงพื้นที่ในอากาศและใต้ดิน การรีโนเวทจึงต้องระมัดระวังไม่ทำให้โครงสร้างร่วมเสียหาย และไม่ล้ำเกินขอบเขตบ้าน เช่น การเจาะและสกัดผนัง ซึ่งอาจทะลุหรือแรงสะเทือนทำให้ปูนฉาบผนังอีกฝั่งร้าว ซึ่งเราต้องเป็นผู้รับผิดชอบ  

6. เลือกผู้รับเหมาที่เป็นมืออาชีพ

ถ้าหากไม่เลือกผู้รับเหมาให้ดีนอกจากจะทำให้งานออกมาห่วย ยังต้องเสียทั้งเวลาเสียทั้งเงินเพื่อมาแก้ไขภายหลัง

7. แจ้งเพื่อนบ้านก่อนเริ่มรีโนเวท

สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนในการรีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสอง คือ เสียงที่ดังรบกวนเพื่อนบ้าน ทั้งเสียงทุบ เสียงเจาะ ดังนั้นก่อนเริ่มก่อสร้างอย่าลืมแจ้งเรื่องการก่อสร้างต่อเพื่อนบ้านด้วย จะได้ไม่เกิดปีญหาการอยู่ร่วมกันในภายหลัง

3 สไตล์ รีโนเวทบ้านเก่ามือสอง เปลี่ยนลุคแถมได้เงิน

Guide

3 สไตล์ รีโนเวทบ้านเก่ามือสอง เปลี่ยนลุคแถมได้เงิน

การรีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสองนั้น นอกจากเป็นการปรับปรุงให้ทาวน์เฮ้าส์ของเรากลับมาอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วยังช่วยสร้างความน่าอยู่อาศัย รวมถึงเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทาวน์เฮ้าส์ของคุณเมื่อต้องขายต่อก็สามารถทำราคาขายได้ดีกว่าทาวน์เฮ้าส์โทรม ๆ อีกด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
บ้านสไตล์ลอฟท์ 7 ขั้นตอนการตกแต่งเปลี่ยนบ้านให้ดูดี https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/บ้านสไตล์ลอฟท์-55835?locale=th www.ddproperty.com:resources:55835 Sun, 03 Oct 2021 20:48:55 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/09/Loft-style-house1-150x150.jpg"/></p> บ้านสไตล์ลอฟท์ 7 ขั้นตอนการตกแต่งเปลี่ยนบ้านให้ดูดี ฝันอยากมีบ้านสไตล์ลอฟท์แต่ไม่ชอบงานปูนเปลือยจะเรียกว่าบ้านสไตล์ลอฟท์ได้ไหม จำเป็นต้องปล่อยให้เห็นสายไฟระโยงระยางบนผนังบ้านจึงจะเรียกว่าบ้านสไตล์ลอฟท์หรือเปล่า แล้วบ้านสไตล์ลอฟท์เกี่ยวอะไรกับความมินิมอลหรือไม่ ถ้าคำถามเหล่านี้ยังกวนใจ วันนี้เราชวนคุณมาทำความเข้าใจกันไหมว่าบ้านสไตล์ลอฟท์เป็นแบบไหน มีข้อดี-ข้อด้อยอย่างไร เพื่อที่คุณจะได้แต่งบ้านสไตล์ลอฟท์ได้สวยถูกใจไม่มีไม่พลาด

sportlight

 

ย้อนเวลาหาต้นกำเนิด ‘บ้านสไตล์ลอฟท์’

ย้อนไปช่วงปี ค.ศ. 1980 ยุคนั้นบรรดาโรงงานในย่านแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก ต่างก็ต้องหัวหมุนไปตามกันเพราะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ ทำให้บรรดาโรงงานต้องปิดตัวไปตาม ๆ กัน เหลือทิ้งไว้เพียงอาคารเปล่า ๆ โล่ง ๆ

แต่ดันไปถูกใจบรรดาศิลปินทั้งหลายที่อยากได้พื้นที่ไว้ทำงาน อัดเสียง หรือแม้แต่จัดแกลลอรี่ย่อม ๆ ด้วยพื้นที่โล่ง เพดานสูง แถมยังไม่มีห้องกั้น เมื่อนำเอาเฟอร์นิเจอร์เข้าไปตกแต่งทำเป็นที่อยู่อาศัย เป็นบ้านสไตล์ลอฟท์ จึงทำให้ดูสวยแปลกตา ไม่เนี้ยบเหมือนกับบ้านทั่วไป กลายเป็นที่อยู่อาศัยแบบบ้านสไตล์ลอฟท์ในยุคแรก ๆ นั่นเอง

คำว่า ลอฟท์ หรือ Loft ตามพจนานุกรม หมายถึงพื้นที่ด้านบนสุดของตึกหรือพื้นที่ใต้หลังคาที่ใช้เก็บของ ดังนั้นบ้านสไตล์ลอฟท์จึงหมายถึงลักษณะของการตกแต่งบ้านที่มีการเว้นพื้นที่อยู่อาศัยโล่ง ๆ เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น ปล่อยวัสดุตกแต่งบ้านไม่ว่าจะเป็นผนัง พื้น ฝ้าเพดาน หรือการเดินสายไฟให้คงเดิมตามความสวยงามของโครงสร้าง ไม่ต้องหาอะไรมาปกปิด กลายเป็นสไตล์ของบ้านสไตล์ลอฟท์ที่เราคุ้นชินกันในปัจจุบัน

 

บ้านสไตล์ลอฟท์แบบปูนเปลือย

 

บ้านสไตล์ลอฟท์ต้องปูนเปลือยเท่านั้นหรือไม่

ความจริงแล้วบ้านสไตล์ลอฟท์ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ที่พื้นขัดมัน หรือผนังปูนเปลือยเท่านั้น โดยลักษณะบ้านสไตล์ลอฟท์แบบนี้มีอิทธิพลมาจากสมัยแรก ๆ ที่บ้านสไตล์ลอฟท์มีโครงสร้างเดิมเป็นโกดัง ซึ่งนิยมสร้างด้วย เหล็ก อิฐและปูน ไม่ได้มีการฉาบเรียบ

แต่ในปัจจุบันบ้านสไตล์ลอฟท์นั้นสามารถตกแต่งได้หลายแบบ เพียงแค่ลักษณะเด่นของบ้านสไตล์ลอฟท์คือความโล่ง ความสวยงามจากการโชว์เนื้อวัสดุ โชว์พื้นผิวที่ปราศจากการตกแต่ง

อย่างไรก็ตามสำหรับลักษณะของบ้านสไตล์ลอฟท์ก็ไม่ได้มีนิยามกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าแบบไหนผิดหรือถูก แต่ถ้าคุณผู้อ่านอยากลองแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์ อาจจะเริ่มจากสิ่งเหล่านี้ก็ได้

 

แต่งบ้านสไตล์ลอฟท์มีหลายขั้นตอน

 

เริ่มแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์ต้องทำอย่างไร

1. เริ่มจากสำรวจโครงร่างของบ้าน สามารถเปิด เปลือย หรือเชื่อมต่อให้กลายเป็นพื้นที่ว่างได้ตรงจุดใดบ้าง

2. บ้านสไตล์ลอฟท์มีเสน่ห์ตรงความเปิดโล่งและเพดานสูง ดังนั้นคุณอาจจะต้องทำพื้นที่ชั้นล่างให้เปิดโล่งจนถึงชั้นลอยหรือหลังคา

3. พยายามเน้นแสงของบ้านสไตล์ลอฟท์ให้เป็นแสงธรรมชาติ หรืออาจจะใช้หลอดไฟที่ให้แสงโทนอบอุ่น

4. วัสดุภายในบ้านสไตล์ลอฟท์สามารถเป็นได้ทั้งไม้ พรม หิน หรือวัสดุอื่น ๆ แต่พยายามให้ไม่รกหรือปิดกั้นสายตาจนเกินไป

5. บันไดในบ้านสไตล์ลอฟท์มักเลือกใช้แบบโปร่ง โครงเหล็ก จะทำให้บ้านยิ่งดูโล่งกว่าการสร้างบันไดแบบทึบ แถมยังโชว์โครงสร้างสวย ๆ อีกด้วย

6. อาจจะเน้นใช้เฟอร์นิเจอร์แบบน้อยชิ้น หรือแบบลอยตัว ในการแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์

7. ใช้โทนสีแบบธรรมชาติ ไม่ฉูดฉาด เช่น สีดำ สีขาว สีไม้ หรือสีดั้งเดิมของตัวบ้าน เน้นการแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์ให้ออกมามีกลิ่นอายของความดิบ ตามวัสดุพื้นเดิมของมันจะดีที่สุด

 

ข้อดี-ข้อด้อยของบ้านสไตล์ลอฟท์

 

ข้อดี-ข้อด้อย ของการแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์

อยากจะแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์ทั้งทีศึกษาแต่ข้อดีอย่างเดียวคงไม่ได้ สำหรับปัญหาใหญ่ที่มักจะกวนใจแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์คือ การที่ต้องปล่อยพื้นที่โล่ง ไม่ได้แบ่งเป็นสัดส่วน ทำให้การอยู่อาศัยในบ้านสไตล์ลอฟท์คงไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเท่าใดนัก หรือถ้าวางโครงสร้างบ้านสไตล์ลอฟท์ไว้แล้วจะมาแบ่งกั้นห้องทีหลังก็อาจจะยุ่งยาก

ปัญหาต่อมาคือสภาพอากาศในบ้านสไตล์ลอฟท์ สำหรับประเทศไทยที่อากาศค่อนข้างร้อน การติดตั้งแอร์ในบ้านสไตล์ลอฟท์ อาจจะทำให้เปลืองไฟมากกว่าปกติ เนื่องจากต้องรอให้แอร์กระจายไปทั่วบ้าน

ส่วนปัญหาที่มักจะกวนใจมากที่สุดคือ บ้านสไตล์ลอฟท์มีความโปร่ง โล่ง ดังนั้นจึงไม่ช่วยดูดซับเสียงได้เท่ากับบ้านที่กั้นเป็นห้อง ๆ และปัญหาการดูแลรักษาและทำความสะอาดบ้านสไตล์ลอฟท์ เนื่องจากแต่ละวัสดุที่ไม่เหมือนกันต้องการการดูแลต่างกัน เช่น พื้นผนังขัด ถ้าไม่มีการเช็ดถูเลยคงไม่สะอาด

9 จุดในบ้านที่มักเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค

Guide

9 จุดในบ้านที่มักเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค

ส่วนข้อดีของบ้านสไตล์ลอฟท์คือด้วยความโปร่ง โล่ง หากคุณเป็นสายชอบบ้านสบาย ๆ ไม่อึดอัด ก็จะยิ่งตกหลุมรัก เพราะการบ้านสไตล์ลอฟท์จะทำให้ในบ้านของคุณดูกว้างขวางขึ้นด้วย

แน่นอนว่าการเปิดเปลือยไม่ซ่อนท่อแอร์ หรือสายไฟ เป็นอีกหนึ่งในเสน่ห์ของบ้านสไตล์ลอฟท์ที่เป็นข้อดีเช่นกัน เพราะจะทำให้ง่ายต่อการซ่อมแซมสายไฟหรือท่อเหล่านั้น เพียงแค่ต้องติดตั้งให้เป็นระเบียบเสียก่อน

นอกจากนี้ยังทำให้คุณสามารถเปลี่ยนแปลงการตกแต่ง จัดวางห้องใหม่ หรืออยากจะปรับมุมตรงไหนในบ้านสไตล์ลอฟท์ก็สามารถทำได้ง่าย ไม่มีเบื่อ และการแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์ยังอาจจะช่วยเซฟค่าใช้จ่ายในการตกแต่งของคุณได้ด้วย

สรุปข้อดี-ข้อด้อยของบ้านสไตล์ลอฟท์

ข้อดีของบ้านสไตล์ลอฟท์

ข้อด้อยของบ้านสไตล์ลอฟท์

พื้นที่โล่ง โปร่ง

ขาดความเป็นส่วนตัว

อากาศถ่ายเทได้ดี

ไม่ดูดซับเสียง

ตกแต่งง่าย

ทำความสะอาดยาก

ง่ายต่อการซ่อมแซมและติดตั้ง

เปลืองไฟ

 

3d,Rendering.,Interior,House,Modern,Open,Living,Space,With,Kitchen.loft

 

บ้านสไตล์ลอฟท์เหมาะกับใคร

แน่นอนว่าบ้านสไตล์ลอฟท์คงไม่เหมาะกับใครที่ชื่นชอบบ้านสไตล์เนี้ยบ ๆ เก็บสายไฟเรียบพ้นสายตาแน่ ๆ แต่ถ้าคุณชอบความดิบ ความเท่ ความกว้างขวาง ธรรมชาติตามโครงสร้างของมัน ก็ขอแนะนำให้รู้จักกับบ้านสไตล์ลอฟท์ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในดวงใจ ส่วนบ้านไหนที่อยู่รวมกันหลายครอบครัว อยากได้พื้นที่ส่วนตัว มีพื้นที่เก็บของเยอะ ๆ อาจจะไม่เหมาะกับบ้านสไตล์ลอฟท์สักเท่าไหร่

รวมแบบบ้านสวย ๆ กว่า 20 สไตล์ พร้อมขั้นตอนยื่นก่อสร้างที่สำนักงานเขต

Guide

รวมแบบบ้านสวย ๆ กว่า 20 สไตล์ พร้อมขั้นตอนยื่นก่อสร้างที่สำนักงานเขต

ดังนั้นสำหรับใครที่อยากแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์ ก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจหากคุณชอบความโล่ง โปร่งสบาย ให้อิสระกับการจัดตกแต่งมุมต่าง ๆ ได้ตามใจ บ้านสไตล์ลอฟท์ก็เป็นหนึ่งในสไตล์ที่ตอบโจทย์คุณได้อย่างดีเลยทีเดียว

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
ต่อเติมหลังบ้าน 4 ข้อควรรู้ ป้องกันปัญหาบ้านทรุดตัว https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ต่อเติมหลังบ้าน-55776?locale=th www.ddproperty.com:resources:55776 Sun, 03 Oct 2021 17:33:19 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/09/Back-house-remodel1-150x150.jpg"/></p> ต่อเติมหลังบ้าน 4 ข้อควรรู้ ป้องกันปัญหาบ้านทรุดตัว ต่อเติมหลังบ้าน เพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้คุ้มค่าและได้สัดส่วนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว หรือทาวน์โฮม ต้องศึกษาให้ดีก่อน โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างบ้านและข้อกฎหมาย เพื่อไม่ให้การต่อเติมหลังบ้านเป็นครัวไทย ห้องอเนกประสงค์ ห้องออกกำลังกาย หรือห้องผู้สูงอายุ เกิดปัญหาตามมาภายหลัง รุนแรงถึงขั้นบ้านทรุดตัว  

sportlight

 

5 เทคนิคการต่อเติมหลังบ้าน

1. ตรวจสอบโครงสร้างเดิม

ปัญหาการต่อเติมบ้าน ส่วนใหญ่ สาเหตุหลักเกิดจากการที่เจ้าของบ้านมองข้ามการตรวจเช็กโครงสร้างตัวบ้านและพื้นที่ดินโดยรอบตัวบ้าน ในกรณีที่บ้านสร้างบนที่ดินที่อาจเคยเป็นแหล่งน้ำ หรือเป็นโครงการที่สร้างเสร็จไว การถมที่ดินเพิ่งผ่านมาไม่นาน มีโอกาสเกิดการทรุดตัวตามธรรมชาติได้ง่ายเมื่อระยะเวลาผ่านไป

ก่อนต่อเติมลังบ้าน จึงควรตรวจสอบโครงสร้างตัวบ้าน การวางเสาเข็ม เพื่อป้องกันปัญหาบ้านทรุดตัวหลังต่อเติมหลังบ้าน สามารถสอบถามกับทางโครงการหรือถ้าบ้านสร้างเอง ควรสอบถามกับวิศวกรหรือผู้ออกแบบไว้เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการต่อเติมหลังบ้านในอนาคต

2. แยกโครงสร้างใหม่

หากคิดต่อเติมหลังบ้าน ควรแยกระหว่างโครงสร้างเดิมและโครงสร้างใหม่ เนื่องจากการต่อเติมหลังบ้าน มักใช้เสาเข็มสั้น หากจะลงเสาเข็มยาวต้องใช้พื้นที่เยอะและค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งด้วยขนาดของเสาเข็มที่ต่างกันนี้เอง อาจส่งผลให้โครงสร้างเดิม และส่วนต่อเติมเกิดการทรุดตัวที่แตกต่างกันได้ การแยกโครงสร้างใหม่และโครงสร้างเดิมออกจากกัน จะช่วยป้องกันการทรุดตัว เดินระบบต่าง ๆ ได้ง่ายและไม่กระทบตัวบ้านเดิม

อาจเลือกใช้เสาเข็มสปันซึ่งเหมาะกับพื้นที่แคบ แต่จะมีราคาสูงกว่าเสาเข็มทั่วไป สามารถจะลงเสาเข็มลึกถึงชั้นดินแข็ง ลดโอกาสเสี่ยงบ้านทรุดได้ โดยเฉพาะบริเวณที่ดินอ่อน เคยเป็นแหล่งน้ำมาก่อน เพิ่งถมไม่เกิน 1-2 ปี และทรุดตัวได้ง่าย

เสาเข็ม 3 ประเภท เรื่องสำคัญที่คนซื้อบ้านควรรู้

 

3. คำนวณการรับน้ำหนัก

เนื่องจากคานที่มีอยู่เดิม อาจไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนัก สำหรับก่อผนังอิฐ และฉาบปูน เพื่อต่อเติมหลังบ้าน แต่เป็นคานสำหรับรับน้ำหนักของพื้น อีกทั้งผนังก่ออิฐมีน้ำหนักมากประมาณ 60-180 กก./ตร.ม. (ขึ้นอยู่กับชนิดของอิฐ) ดังนั้นจึงไม่ควรเชื่อมคานยื่นออกไปจากคานเดิม แต่ควรสร้างคานใหม่เพื่อรองรับพื้น เพื่อป้องกันไม่ให้โครงสร้างบ้านเดิมเกิดความเสียหาย หากส่วนต่อเติมหลังบ้านเกิดการทรุดตัว 

บ้านทรุด เช็ก 2 สัญญาณที่บ่งบอกว่าบ้านทรุด ก่อนลุกลามจนบ้านพัง

 

4. รู้กฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร

การต่อเติมหลังบ้าน หากมีผิดกฎหมายอาจทำให้หลังต่อเติมไปแล้วต้องทุบทิ้งภายหลัง หรือเกิดปัญหาแตกร้าว ทรุดตัว หรือเกิดการร้องเรียนจากเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากการต่อเติมบ้าน ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้กฎหมายควบคุมอาหาร หรือพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กรมโยธาธิการและผังเมือง 

ข้อจำกัดในการต่อเติมหลังบ้านที่ควรรู้ คือ การเว้นระยะห่างระหว่างอาคารที่ก่อสร้างกับแนวเขตพื้นที่ดินข้างเคียง เพื่อป้องกันความปลอดภัย ง่ายต่อการซ่อมแซม

การต่อเติมอาคารชั้นเดียว หรืออาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร เช่น มีข้อกำหนดเรื่องระยะห่างของผนังและที่ดินบ้านข้างเคียง

- ผนังที่มีช่องเปิด เช่น หน้าต่าง, ช่องลมระบายอากาศ, ช่องแสง หรือบล็อคแก้ว) ควรมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินข้างเคียงไม่น้อยกว่า 00 ม.

- ผนังทึบ (ไม่มีช่องแสง) ควรมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินข้างเคียงไม่น้อยกว่า 50 ซม.

กรณีโครงการบ้านจัดสรร สามารถเจรจากับเจ้าของบ้านข้างเคียงฝั่งที่มีการต่อเติมหลังบ้านได้ หากได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร ก็สามารถสร้างชิดแนวเขตที่ดินได้ตามข้อตกลง

 

รูปแบบ

อาคารชั้นเดียว หรืออาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 ม.

พื้นที่ต่อเติม

หลังบ้าน

ผนังที่มีช่องเปิด

ระยะห่างแนวเขตที่ดิน ไม่น้อยกว่า 2.00 ม.

ผนังทึบ

ระยะห่างแนวเขตที่ดิน ไม่น้อยกว่า 50 ซม.

ต่อเติมข้างบ้าน รู้ข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522

 

การต่อเติมหลังบ้านที่ได้รับความนิยม

 

การต่อเติมหลังบ้านที่ได้รับความนิยม

ปัจจุบันนอกจากการตกแต่งบ้าน  ที่หลายคนให้ความสำคัญ สเต็ปถัดมาหลังเข้าอยู่อาศัย ก็คือการพื้นที่ต่อเติมขยับขยาย เพื่อเป็นการใช้ประโยชน์พื้นที่ใช้สอยอย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยการต่อเติมหลังบ้านมีหลายรูปแบบที่ได้รับความนิยม มีดังนี้

1. ครัวไทยหลังบ้าน

การต่อเติมหลังบ้านที่นิยมที่สุด คือการทำครัวไทยหลังบ้าน เนื่องจากโครงการบ้านจัดสรรส่วนใหญ่จะออกแบบเป็นครัวปิดมาให้ ผัดกระเพราหรือผัดพริกแกงที กลิ่นกระจายฟุ้งตลบอบอวลภายในบ้าน การมีครัวไทยหลังบ้านหรือครัวไทยนอกบ้าน ทำให้สามารถทำอาหารได้โดยไม่มีข้อจำกัด และยังง่ายต่อการทำความสะอาดอีกด้วย

2. ห้องด้านหลัง

การต่อเติมหลังบ้าน เป็นห้องใหม่เพิ่มขึ้นมา เช่น ห้องนอนผู้สูงอายุ ชั้นล่าง เพื่อที่ผู้สูงอายุจะได้ไม่ต้องขึ้น-ลงบันได สามารถสร้างทางลาดเข้า-ออก รองรับผู้สูงอายุที่ต้องใช้วีลแชร์ได้ เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบาย หรือจะต่อเติมหลังบ้านเป็นห้องออกกำลังกายสำหรับคนรักสุขภาพก็ได้รับความนิยม เพิ่มความเป็นสัดส่วน อาจจะทำผนังห้องเป็นประตูกระจก ออกกำลังกายไปพร้อม ๆ กับมองสวนสีเขียวด้านนอกเพิ่มความผ่อนคลาย 

3. มุมพักผ่อน

หากมีพื้นที่เหลือและกว้างพอสมควร พื้นที่ด้านหลังบ้านก็สามารถออกแบบและตกแต่งเป็นพื้นที่กิจกรรมของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ พื้นที่วิ่ง ลานอเนกประสงค์ มุมรับประทานอาหาร มินิบาร์ ศาลา มุมนั่งเล่น หรืออ่านหนังสือในสวนแบบใกล้ชิดธรรมชาติ

 

การต่อเติมหลังบ้านสามารถทำได้ แต่ต้องไม่ขัดต่อข้อกฎหมาย และรู้โครงสร้างบ้านเป็นอย่างดี เนื่องจากการต่อเติมหลังบ้านต้องมีค่าใช้จ่าย ดังนั้นจึงควรศึกษาก่อนจะต่อเติมหลังบ้าน เพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าและไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
จัดสวนสไตล์อังกฤษ 5 เรื่องควรรู้เพื่อทำให้บ้านน่าอยู่ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/จัดสวนสไตล์อังกฤษ-55648?locale=th www.ddproperty.com:resources:55648 Sun, 03 Oct 2021 01:54:18 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/09/English-garden-idea-150x150.jpg"/></p> จัดสวนสไตล์อังกฤษ 5 เรื่องควรรู้เพื่อทำให้บ้านน่าอยู่ การจัดสวนสไตล์อังกฤษเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นน่าอยู่ให้กับที่พักอาศัย ด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวของการจัดสวนสไตล์อังกฤษจะช่วยเปลี่ยนมุมธรรมดาของบ้านให้กลายเป็นมุมโปรดสำหรับคุณ ลองมาดูกันว่า 5 เรื่องน่ารู้กับการจัดสวนสไตล์อังกฤษ เพื่อเพิ่มมุมมองให้บ้านสวยงามน่าอยู่นั้นมีอะไรบ้าง

sportlight

 

การจัดสวนสไตล์อังกฤษเป็นอย่างไร

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับการจัดสวนสไตล์อังกฤษ หรือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสวนสไตล์อังกฤษกันก่อน การจัดสวนสไตล์อังกฤษจะเน้นการปลูกต้นไม้เป็นกลุ่มมีเนินเพื่อเล่นระดับสายตา การทำซุ้มไม้เลื้อย และปูหญ้าเป็นพื้นเขียวตัดด้วยสีสันของดอกไม้นานาชนิดและสีขาวจากเครื่องใช้หรือของตกแต่ง

การจัดสวนสไตล์อังกฤษที่นิยมมาถึงปัจจุบันเป็นการเปลี่ยน Formal Garden หรือการจัดสวนสไตล์อังกฤษแบบทางการที่เน้นในเรื่องของความสมมาตรและการใช้รูปทรงเรขาคณิต มาเป็นแบบ English Cottage Garden หรือสวนกระท่อม

โดยเป็นการจัดสวนสไตล์อังกฤษที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ผสมผสานพันธุ์ไม้หลากหลายชนิดให้ดูเป็นธรรมชาติ ตกแต่งด้วยประติมากรรม น้ำพุ หรือโต๊ะน้ำชาตามแบบยุโรป อีกทั้งยังเป็นการจัดสวนสไตล์อังกฤษที่ใช้พื้นที่ใช้สอยน้อยเหมาะกับการจัดสวนในปัจจุบันเป็นอย่างมาก

 

จัดสวนสไตล์อังกฤษที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ผสมผสานพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด

 

5 กลุ่มพันธุ์ไม้เพิ่มมนต์เสน่ห์ให้การจัดสวนสไตล์อังกฤษ

1. ไม้พุ่มสูง

ไม้พุ่มสูงเป็นหนึ่งในพันธุ์ไม้ที่นิยมในการจัดสวนสไตล์อังกฤษ อาจเป็นไม้ยืนต้นที่ให้รูปทรงเป็นพุ่ม ไม้ยืนต้นที่ใบมีขนาดเล็ก หรือไม้ยืนต้นที่ให้ดอก เพื่อสร้างบรรยากาศให้สวนร่มรื่นและอบอุ่น ตัวอย่างไม้พุ่มสูงที่เหมาะสำหรับจัดสวนสไตล์อังกฤษ เช่น สนฉัตร, สนดินสอ, สนมังกร, ไทรอังกฤษ, ไทรเกาหลี, ซิลเวอร์โอ๊ค, ตีนเป็ดฝรั่ง, หลิวทอง, มะตาด, ต้นตาเบดอกเหลือง, ต้นนีออน และชาฮกเกี้ยน

 

2. ไม้ประดับพุ่มเล็ก

การจัดตกแต่งไม้ประดับพุ่มเล็กนานาพรรณจะช่วยให้การจัดสวนสไตล์อังกฤษดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยลักษณะเด่นของต้นไม้ที่เลือกสำหรับจัดสวนสไตล์อังกฤษควรมีลักษณะใบเล็ก ช่อชูตั้งขึ้น เช่น ต้นไทม์, ปริก,ฮอลแลนด์, ปริกน้ำค้าง, สะระแหน่, ส้มจี๊ด, ริปซาลิส, เฟิร์น, หญ้าน้ำพุ, แว่นแก้ว, ซุ้มกระต่ายด่าง, ชบาด่าง, เล็บครุฑ, และหนวดปลาดุก

 

3. ไม้ดอก

การจัดสวนสไตล์อังกฤษสิ่งที่ขาดไม่ได้คือสีสันสวยงามจากดอกไม้ ตัวอย่างดอกไม้ที่เหมาะกับการจัดสวนสไตล์อังกฤษ เช่น กุหลาบ, พิทูเนีย, บลูซัลเวีย, ไอริส, ตะวันยอแสง, ประทัดจีน, แววมยุรา, บานชื่นหนู, ดาวกระจายฝรั่ง, ต้นโรสแมรี่, คอร์นฟลาวเวอร์, พยับหมอก, ลาเวนเดอร์, เดลฟินเนียม และแพรเซี่ยงไฮ้

 

4. ไม้เลื้อย

ไม้เลื้อยจะช่วยให้บริเวณบ้านเข้ากับการจัดสวนสไตล์อังกฤษมากขึ้น เพราะเราสามารถใช้ไม้เลื้อยไปปลูกไว้ตามกำแพง ผนังบ้านเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติเข้ากับการจัดสวนสไตล์อังกฤษ ตัวอย่างไม้เลื้อยที่เหมาะกับการนำมาใช้ในการจัดสวนสไตล์อังกฤษ ได้แก่ พวงชมพู, แฮปปีเนส, มอร์นิ่งกลอรี่, กุหลาบเลื้อย, พวงแสด, ลดาวัลย์, เล็บมือนาง, เดฟ และเหลืองชัชวาล

 

5. ไม้อยู่เหนือน้ำ/ไม้ริมน้ำ

การจัดสวนสไตล์อังกฤษมักนิยมสร้างน้ำพุ ก๊อกประดับหรือแหล่งน้ำเล็ก ๆ ไว้ด้วย การเลือกใช้ไม้ประดับที่เหมาะกับการปลูกใกล้แหล่งน้ำหรือในน้ำจึงช่วยเพิ่มความสมจริงและความเป็นธรรมชาติให้กับการจัดสวนสไตล์อังกฤษมากขึ้น ตัวอย่างต้นไม้สำหรับการจัดสวนสไตล์อังกฤษที่มีแหล่งน้ำ เช่น อเมซอนใบพาย, บัว, กกอียิปต์, หญ้าถอดปล้อง และไอริสน้ำ

การจัดสวนข้างบ้าน 4 ขั้นตอนที่ควรรู้ เพื่อเพิ่มโอโซนในบ้านให้น่าอยู่

Guide

การจัดสวนข้างบ้าน 4 ขั้นตอนที่ควรรู้ เพื่อเพิ่มโอโซนในบ้านให้น่าอยู่

สรุปพันธุ์ไม้ของการจัดสวนสไตล์อังกฤษ

กลุ่มพันธ์ุไม้ ตัวอย่างต้นไม้
ไม้พุ่มสูง สนฉัตร, สนดินสอ, สนมังกร, ไทรอังกฤษ, ไทรเกาหลี, ซิลเวอร์โอ๊ค, ตีนเป็ดฝรั่ง, หลิวทอง, มะตาด, ต้นตาเบดอกเหลือง, ต้นนีออน และชาฮกเกี้ยน
ไม้ประดับพุ่มเล็ก ต้นไทม์, ปริก,ฮอลแลนด์, ปริกน้ำค้าง, สะระแหน่, ส้มจี๊ด, ริปซาลิส, เฟิร์น, หญ้าน้ำพุ, แว่นแก้ว, ซุ้มกระต่ายด่าง, ชบาด่าง, เล็บครุฑ, และหนวดปลาดุก
ไม้ดอก พวงชมพู, แฮปปีเนส, มอร์นิ่งกลอรี่, กุหลาบเลื้อย, พวงแสด, ลดาวัลย์, เล็บมือนาง, เดฟ และเหลืองชัชวาล
ไม้เลื้อย พวงชมพู, แฮปปีเนส, มอร์นิ่งกลอรี่, กุหลาบเลื้อย, พวงแสด, ลดาวัลย์, เล็บมือนาง, เดฟ และเหลืองชัชวาล
ไม้อยู่เหนือน้ำ/ไม้ริมน้ำ อเมซอนใบพาย, บัว, กกอียิปต์, หญ้าถอดปล้อง, ไอริสน้ำ

ดูประเภทไม้ประดับเพิ่มเติม

8 สิ่งตกแต่งเพิ่มกลิ่นอายการจัดสวนสไตล์อังกฤษ

1. ทางเดิน อาจจัดสวนสไตล์อังกฤษโดยวางเป็นแผ่นหินทางเดิน เช่น หินธรรมชาติ อิฐมอญ หินคอบเบิลสโตน แล้วโรยกรวดก้อนเล็ก ๆ โดยรอบ หรือปูพื้นหญ้าเพิ่มความสดชื่นและเป็นธรรมชาติ

2. รั้ว การเลือกรั้วให้เข้ากับการจัดสวนสไตล์อังกฤษจะช่วยให้สวนสวยงามดูเป็นธรรมชาติและมีมิติมากขึ้น เช่น การใช้รั้วไม้ รั้วอิฐ หิน รั้วต้นไม้ รั้วไม้เรื้อยมากั้นให้เป็นสัดส่วน เป็นต้น

3. กระถางต้นไม้ การเลือกใช้กระถางรูปทรงต่าง ๆ ที่เข้ากับการจัดสวนสไตล์อังกฤษ เช่น กระถางเอิร์น กระถางทรงโรมัน กระถางรูปทรงเรขาคณิตหรือสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เป็นต้น

4. โต๊ะเก้าอี้ในสวน การเพิ่มมุมโต๊ะน้ำชาในสวนโดยเลือกโต๊ะโทนสีขาวแบบคลาสสิคเพื่อเพิ่มกลิ่นอายของการจัดสวนสไตล์อังกฤษและเป็นมุมนั่งเล่นผ่อนคลาย

5. รูปปั้นประติมากรรมสไตล์ยุโรป อาจเน้นโทนสีขาวเพื่อให้พื้นที่ดูกว้างมากขึ้น และจัดวางให้มีช่วงว่างผสมผสานด้วยรูปทรงต่างๆ เพื่อเพิ่มลูกเล่นให้กับการจัดสวนสไตล์อังกฤษให้ดูสวยงามคลาสสิคแบบยุโรป ตัวอย่างรูปปั้นที่เหมาะกับการจัดสวนสไตล์อังกฤษ เช่น รูปปั้นโรมัน รูปปั้นเทพทรงดั้งเดิม รูปปั้นสัตว์ต่าง ๆ

6. น้ำพุ อ่างน้ำนก แหล่งน้ำเล็ก ๆ ก๊อกน้ำประดับ จะช่วยเพิ่มความสดชื่นและเพิ่มมิติให้กับการจัดสวนสไตล์อังกฤษ ก๊อกน้ำประดับนอกจากประโยชน์ใช้สอยแล้วยังช่วยให้การจัดสวนสไตล์อังกฤษดูดีมากขึ้นด้วย

7. ซุ้มต้นไม้หรือศาลา ซุ้มต้นไม้เป็นการจัดสวนสไตล์อังกฤษโดยใช้ไม้เลื้อยมาทำเป็นซุ้มให้ร่มเงาอาจใช้ประโยชน์สำหรับวางโต๊ะหรือเก้าอี้ และหากมีพื้นที่มากพออาจจัดสวนสไตล์อังกฤษโดยทำเป็นศาลาวินเทจมีไม้เลื้อยรอบๆ เพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับนั่งทำกิจกรรมต่าง ๆ

8. การติดไฟโทนอุ่น เพิ่มเสน่ห์ให้การจัดสวนสไตล์อังกฤษยามค่ำคืนด้วยการติดไฟโทนอุ่น อาจติดซ่อนตามพุ่มไม้ รอบต้นไม้หรือไฟส่องอาคารกลางสวน

 

 ขั้นตอนการจัดสวนสไตล์อังกฤษเบื้องต้น

 

6  ขั้นตอนการจัดสวนสไตล์อังกฤษเบื้องต้น

1. วางแผนการจัดสวนสไตล์อังกฤษโดยออกแบบการจัดวางต้นไม้ อุปกรณ์ของตกแต่งต่าง ๆ รวมไปถึงการจัดระบบน้ำ และระบบไฟ

2. เปิดพื้นที่ให้โล่ง ปรับดินให้เสมอกัน

3. ขุดดินเพื่อนฝังสายไฟสนาม และระบบรดน้ำ

4. ผสมดินใหม่เพื่อให้ระบายน้ำได้ดี

5. ลองวางตำแหน่งต้นไม้ก่อนปลูกและเริ่มปลูกจากหลังมาหน้า ไล่ระดับจากสูงมาต่ำ

6. วางหินทางเดิน ปูสแลนก่อนโรยกรวด อาจปูหญ้าเพิ่มเติม ตกแต่งด้วยอุปกรณ์ของตกแต่งต่าง ๆ ตามแบบการจัดสวนสไตล์อังกฤษ

 

 การดูแลรักษาสวนสไตล์อังกฤษ

 

6 วิธีการดูแลรักษาสวนสไตล์อังกฤษ

1. การปรับดินไม่ให้มีน้ำขัง ปลูกต้นไม้ไม่ชิดกันมากเกินไปเพื่อไม่ให้ต้นไม้แย่งอาหารและแสงแดดกัน

2. การจัดวางต้นไม้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น ต้นไม้ที่ควรอยู่ในร่ม ต้นไม้ที่ต้องการแสง ต้นไม้ใกล้แหล่งน้ำ เป็นต้น

3. การรดน้ำต้นไม้อย่างเหมาะสมกับชนิดของต้นไม้

4. ใส่ปุ๋ยอย่างพอเหมาะและป้องกันแมลงรบกวน

5. เก็บกวาดใบไม้แห้งและกำจัดวัชพืชหรือต้นไม้ส่วนเกิน

6. เลือกโต๊ะเก้าอี้หรือของตกแต่งที่ทนต่อแดดและฝน จัดวางโต๊ะเก้าอี้ หรือของตกแต่งในพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น

3 ขั้นตอนปลูกผักสวนครัวในบ้านฉบับมือใหม่

Guide

3 ขั้นตอนปลูกผักสวนครัวในบ้านฉบับมือใหม่

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
7 แบบบ้านประหยัดพลังงาน ไอเดียบ้านเพื่ออนาคต ลดค่าใช้จ่าย https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แบบบ้านประหยัดพลังงาน-ไอเดียบ้านเพื่ออนาคต-ลดค่าใช้จ่าย-24587?locale=th www.ddproperty.com:resources:24587 Tue, 21 Sep 2021 03:37:27 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/03/Energy-saving-house-150x150.jpg"/></p> 7 แบบบ้านประหยัดพลังงาน ไอเดียบ้านเพื่ออนาคต ลดค่าใช้จ่าย “บ้าน” เป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ในปัจจุบัน “บ้าน” ยังถูกออกแบบพื้นที่ใช้สอยต่าง ๆ ไว้สำหรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เพื่อรองรับกิจกรรมต่าง ๆ ของสมาชิกในครอบครัว รวมถึงการประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่าย และใช้งานได้อย่างไม่จำกัด

"แบบบ้านประหยัดพลังงาน" จึงเป็นรูปแบบที่อยู่อาศัยอีกอย่างหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคที่คนเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ลองมาดูวิธีการเปลี่ยนแปลงแบบบ้านให้บ้านกลายเป็นบ้านประหยัดพลังงงาน

Subscription Banner for Article

 

ลักษณะของแบบบ้านประหยัดพลังงาน

แบบบ้านประหยัดพลังงาน หากอธิบายให้เข้าใจง่าย คือ แบบบ้านที่ถูกออกแบบมาให้สามารถลดการใช้พลังงานในบ้านให้ได้มากที่สุด อาทิ ออกแบบบ้านให้มีความโปร่ง โล่ง สบาย หรือเรียบง่าย แต่มีสไตล์ ตอบโจทย์ได้ตามความต้องการของผู้คนในแต่ละเจนเนอร์เรชั่น ซึ่งแบบบ้านประหยัดพลังงานที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในขณะนี้ คือ

1. แบบบ้านประหยัดพลังงานที่มีผสมผสานเข้ากับธรรมชาติได้อย่างลงตัว

เนื่องจากในปัจจุบัน ผู้คนได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพและการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ธรรมชาติบำบัด เพราะนอกจะความเขียวขจีจากต้นไม้ แสงแดด และลมเย็น ๆ ช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทำงานแล้วยังทำให้ลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในบ้านได้ดีอีกด้วย

การใช้แสงสว่างจากช่องแสงธรรมชาติ รวมถึงการเปิดประตูและหน้ารับลมเย็นตามทิศทางลม ทำให้อากาศภายในบ้านถ่ายเทได้สะดวก ลดอัตราการใช้ไฟฟ้าจากเครื่องทำความเย็น ถือเป็นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน

ทิศทางลม เรื่องควรรู้ก่อนซื้อบ้าน-สร้างบ้าน

 

2. แบบบ้านประหยัดพลังงานอัจฉริยะ

ยุคสมัยที่เต็มไปด้วยเครื่องมือสื่อสารและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และทุกอย่างสามารถเข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นแบบบ้านสไตล์นี้จึงได้รับความสนใจจากผู้คนอยู่ไม่น้อย เพราะนอกจะสามารถควบคุมและสั่งการได้ผ่านระบบ Internet of Things หรือระบบ IoT ที่อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถเชื่อมโยงทุกสิ่งรวมเข้าไว้ในจุดเดียวบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และสั่งการผ่านระบบบนมือถือหรือแท็บเล็ต

ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิด อุปกรณ์ไฟฟ้า กล้องวงจรปิด รวมไปถึงระบบการสั่งการระบบต่าง ๆ ภายในบ้าน ซึ่งนอกจากเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างมากแล้ว ยังป้องกันการหลงลืมการเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าโดยไม่ได้ใช้ซึ่งเป็นการสิ้นเปลือง

นอกจากนั้นยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการทำงานแบบ Work from home อีกด้วย

7 สุดยอดนวัตกรรมความปลอดภัยในบ้านและคอนโดยุคใหม่

 

3. แบบบ้านประหยัดพลังงานสำหรับผู้สูงอายุ

ส่วนใหญ่แบบบ้านสไตล์นี้จะเป็นบ้านชั้นเดียวที่มีการจัดการพื้นที่การใช้งานที่เรียบง่ายและเป็นระเบียบ รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกกับผู้สูงอายุให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังคงความเป็นบ้านมีความผสมผสานกับธรรมชาติได้อย่างลงตัวและพื้นที่ที่สามารถประยุกต์ให้ใช้งานได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความโปร่งสบาย อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้สูงอายุและสมาชิกเจนเนอร์เรชั่นอื่น ๆ ภายในครอบครัว

สรุปส่วนต่าง ๆ ของบ้านผู้สูงอายุ

ส่วนต่าง ๆ ของบ้าน ลักษณะที่เหมาะสมของบ้านผู้สูงอายุ
ห้องนอน ควรปูด้วยวัสดุลดแรงกระแทกและไม่ควรมีพื้นที่ต่างระดับ พื้นที่บริเวณข้างเตียง 90-100 เซนติเมตร
ห้องน้ำ ขนาดกว้างอย่างน้อย 200 เซนติเมตร เพื่อรองรับการใช้รถเข็น ใช้กระเบื้องปูพื้นที่มีค่าความฝืดตั้งแต่ R10 ขึ้นไป
บันได ลูกตั้งบันไดสูงไม่เกิน 15 เซนติเมตร ลูกนอนกว้างอย่างน้อย 30 เซนติเมตร ควรมีราวบันไดทั้ง 2 ข้าง ในระยะ 80 เซนติเมตรจากพื้น
ภูมิทัศน์รอบบ้าน มีทางเดินเรียบ มีราวจับ มีทางลาดสำหรับรถเข็น

บ้านผู้สูงอายุกับ 4 เคล็ดลับปรับพื้นที่ในบ้านให้เหมาะกับการใช้ชีวิต

 

4. แบบบ้านประหยัดพลังงาน ECO Friendly

เป็นแบบบ้านรักษ์โลกที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในด้าน “การลดค่าใช้จ่ายและใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด โดยไม่ส่งผลประทบหรือผลเสียต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”

โดยการออกแบบบ้านสไตล์นี้จะผสมผสานระหว่างนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกันกับรูปแบบและวิธีทางธรรมชาติ เช่น การออกแบบบ้านให้มีรูปทรงและเหมาะกับทิศทางลมของแต่ละพื้นที่ที่ใช้ในการปลูกบ้าน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากแสงธรรมชาติ และอื่น ๆ ที่ช่วยประหยัดและลดอัตราการพลังงานสิ้นเปลือง รวมถึงการประยุกต์ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เข้ามาร่วมด้วย

 

 

5. แบบบ้านประหยัดพลังงานแบบ Small is cool

เป็นแบบบ้านประหยัดพลังงานที่มีขนาดเล็กกระทัดรัด มีพื้นที่ใช้สอยครบครันที่เต็มไปด้วยฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่สามารถพับ จัดเก็บ และใช้งานได้อย่างหลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการออกแบบภายในจะใช้เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานด้วยการบิวท์อิน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์ไตล์ของผู้ใช้งานและเจ้าของบ้านได้ดีที่สุด เนื่องจากสามารถทำได้ง่าย ประหยัดเวลา และสามารถปรับรูปแบบพื้นที่ภายในบ้านได้อย่างสะดวก และสวยงาม

 

6. แบบบ้านประหยัดพลังงานแบบอยู่ร่วมกัน

แบบบ้านนี้คือการอยู่อาศัยเป็นครอบครับใหญ่ หรือมีบ้านหลายหลังอยู่บริเวณเดียวกัน แต่มีพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น สระว่ายน้ำ ห้องนั่งเล่น โรงจอดรถ สวนหน้าบ้าน หรือแม้กระทั่งห้องฟิตเนส

แบบบ้านประหยัดพลังงานนี้นอกจากจะได้รับความนิยมในกลุ่มคนที่มีครอบครัวใหญ่มีสมาชิกที่หลากหลายแล้ว ยังนิยมนำมาทำเป็นห้องพักหรือคอนโดอีกด้วย เพราะในปัจจุบันที่ดินในการก่อสร้างหรือปลูกบ้านมีราคาสูง

ดังนั้น หลาย ๆ คน จึงสะดวกที่จะพักอาศัยอยู่ในคอนโดที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีในเรื่องของการประหยัดพลังงานและใช้ประโยชน์ของพื้นที่ส่วนกลางต่าง ๆ ที่จัดเตรียมไว้ให้ใช้ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด

 

7. แบบบ้านประหยัดพลังงานแบบ Personalization Selected

แบบบ้านนี้เรียกอีกอย่างว่า แบบบ้านที่ขึ้นอยู่กับความต้องการของบุคคลเป็นหลัก ซึ่งแบบบ้านสไตล์นี้เป็นแบบบ้านที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอีกรูปแบบหนึ่ง อาจจะด้วยความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนเหมือนใคร เนื่องจากแต่ละคนมีความชื่นชอบและมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันออกไป จึงทำให้แบบบ้านประหยัดพลังงานแบบ Personalization Selected ถูกตัดทอนส่วนที่ไม่ได้ใช้งานออกและเพิ่มเติมส่วนที่ต้องการเฉพาะบุคคลเข้าไป เช่น

- ผู้ที่ชื่นชอบการทำงานที่บ้านอย่าง Work from home ส่วนใหญ่มักต้องการพื้นที่ที่ใช้ทำงานเป็นส่วนมาก แบบบ้านอาจลดทอนในส่วนที่เป็นห้องนอน แต่มีการปรับเปลี่ยนให้อยู่ในห้องเดียวกัน

- ผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหาร อาจจะออกแบบบ้านให้มีพื้นที่ห้องครัวที่มีขนาดใหญ่ และมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่มากขึ้น เพื่อรองรับการทำอาหารหลากหลายรูปแบบ แต่อาจลดทอนส่วนที่เป็นห้องทำงาน และปรับเปลี่ยนห้องนั่งเล่นให้มีพื้นที่ใช้งานเพิ่มมากขึ้น

- บางคนชอบความคุ้มค้า ประหยัดพื้นที่ แต่ยังอยากคงความหลากหลายของฟังก์ชั่นการใช้งานเอาไว้ ก็จะทำการออกแบบตกแต่งบิลท์อินเพิ่มเติมเข้าไป เช่น ชั้นเก็บหนังสือห้องทำงาน เตียง หรือแม้กระทั่งชั้นเก็บของที่ซ่อนฟังก์ชั่นอื่น ๆ เอาไว้

 

แบบบ้านประหยัดพลังงาน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย

แบบบ้านประหยัดพลังงาน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย

 

ข้อแตกต่างระหว่างแบบบ้านประหยัดพลังงานกับแบบบ้านทั่วไป

ด้วยความพิเศษและจุดเด่นที่ทำให้แบบบ้านประหยัดพลังงานได้รับความสนใจที่ต่างไปจากแบบบ้านสไตล์อื่น ๆ เพราะเป็นแบบบ้านที่เน้นความเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยคุณภาพ ทั้งทางด้านการประหยัดพลังงาน ความคงทน และการตอบโจทย์การใช้งานที่ทันสมัยเข้าถึงได้กับทุกเจนเนอร์เรชั่น รวมทั้งสามารถอยู่อาศัยร่วมกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว นอกจากนั้นยังสามารถรองรับการใช้งานและเทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้ได้ดีอีกด้วย

ค้นหาบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ

 

ข้อดีของแบบบ้านประหยัดพลังงาน

- ประหยัดพลังงาน

- ตอบโจทย์การใช้งานของผู้คนในปัจจุบัน

- รองรับความต้องการได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการทำงาน และการอยู่อาศัย

- ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างคุ้มค่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

- ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ธรรมชาติ และรูปแบบการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
3 ขั้นตอนปลูกผักสวนครัวในบ้านฉบับมือใหม่ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/3-ขั้นตอน-ปลูกผักสวนครัว-ในบ้าน-ฉบับมือใหม่-25995?locale=th www.ddproperty.com:resources:25995 Mon, 20 Sep 2021 03:40:52 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/04/Vegetable-Garden-plant-150x150.jpg"/></p> 3 ขั้นตอนปลูกผักสวนครัวในบ้านฉบับมือใหม่ เมื่อเวลาเปลี่ยนไปของกินของใช้ก็เริ่มจะแพงขึ้น โดยเฉพาะพืชผักที่มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาจากราคาเดิมตลอดทุกปี ยิงสดสะอาดเท่าไหร่ก็ยิ่งมีราคาสูงเท่านั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้เพื่อแก้ไขปัญหานี้ก็คือ "การปลูกผักสวนครัว" ไว้กินเอง นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้านแล้ว ยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย

ลองมาดู 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ฉบับมือใหม่ สำหรับผู้ที่กำลังคิดจะเริ่มต้นปลูกผักสวนครัวไว้กินเองที่บ้าน มีขั้นตอนอย่างไรบ้างดูได้ที่นี่

Subscription Banner for Article

 

1. เลือกขนาดแปลงปลูกผักสวนครัวที่เหมาะสม

สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านเดี่ยว หรือซื้อทาวน์เฮ้าส์/ทาวน์โฮม แล้วมีพื้นที่เหลือไม่ว่าจะเป็นฝั่งหน้าบ้าน ข้างบ้าน หรือหลังบ้าน แล้วตกลงปลงใจจะปลูกผักสวนครัวไว้กินเอง อันดับแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ การเลือกขนาดแปลงหรือมองหาพื้นที่ในบ้านเพื่อปลูกผักสวนครัว

หากไม่เคยปลูกอะไรมาก่อนแนะนำให้เริ่มต้นด้วยแปลงปลูกผักสวนครัวขนาดเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์การปลูกผักสวนครัวมาก่อน เพราะการปลูกผักสวนครัวนั้นจำเป็นต้องดูแลอย่างดี และจะปลูกผักให้งอกงามจนนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งนี้ ขนาดของแปลงปลูกผักสวนครัวที่แนะนำคือ เริ่มต้นประมาณ 16x10 ฟุต

 

2. เลือกตำแหน่งแปลงปลูกผักสวนครัวควรให้เหมาะสม

สิ่งต่อมาที่ควรคำนึงถึงคือการเลือกตำแหน่งของแปลงปลูกผักสวนครัว ควรเลือกปลูกในสถานที่ที่มีแสงแดดส่องมาถึงแปลงผักตลอดทั้งวัน โดยปกติผักสวนครัวส่วนใหญ่ต้องการแสงแดดในการเจริญเติบโตกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งช่วยให้ผักสวนครัวเติบโตได้ดี ให้รสชาติที่อร่อย

ตำแหน่งแปลงปลูกผักสวนครัวที่แนะนำคือ หลังบ้านหรือหน้าบ้าน ไม่แนะนำให้ตั้งอยู่บริเวณข้างบ้านเพราะจะมีตัวบ้านและรั้วบ้านเป็นตัวกันแดด ที่สำคัญแปลงผักควรตั้งอยู่ในแนวที่หันไปทางทิศเหนือและใต้ ซึ่งเป็นทิศที่มีแสงแดดส่องผ่านทั้งวัน เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากแสงอาทิตย์อย่างเต็มที่

ปลูกต้นไม้อย่างไรไม่ให้มีปัญหากับเพื่อนบ้าน

 

เลือกปลูกผักสวนครัวที่โตง่าย ๆ และโตเร็ว

เลือกปลูกผักสวนครัวที่โตง่าย ๆ และโตเร็ว

 

3. การเตรียมดินและการเลือกปลูกผักสวนครัว

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการปลูกผักสวนครัวก็คือ การเตรียมดิน ซึ่งผักสวนครัวส่วนใหญ่นั้นจะเป็นพืชที่ต้องปลูกในดินที่ดีมีความร่วนซุย รากของดินสามารถทะลุผ่านดินได้ง่าย ดังนั้นดินที่ใช้ในการปลูกผักสวนครัวควรมีการเติมปุ๋ยเพื่อเพิ่มสารอาหารให้กับดิน รวมไปถึงแปลงผักที่มีการระบายน้ำที่เหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่าแปลงผักสวนครัวนั้นจะไม่สะสมน้ำไว้ในดินเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่มีฝนตกชุกแล้ว

นอกจากจะต้องมีการวางแผนเรื่องดินให้ดีแล้วยังต้องคิดถึงเรื่องพันธุ์ของพืชผักสวนครัวด้วย โดยขอแนะนำสำหรับมือใหม่ที่อยากได้พันธุ์พืชที่สามารถปลูกได้ง่าย ได้แก่ กะเพรา คะน้า บวบ โหระพา มะระ ตะไคร้ พริก มะเขือเทศ และตำลึง ยกตัวอย่างการปลูกดังนี้

 

- กะเพรา

โรยเมล็ดทิ้งไว้ 7-10 วัน ในดินร่วนซุย และระบายน้ำได้ดี หากโตเบียดกันแน่นเกินไปควรถอนแยกเพื่อให้ต้นโตเป็นพุ่ม และควรเด็ดใบมาปรุงอาหารบ่อย ๆ เพื่อให้ต้นไม่ผลิดอก ติดเมล็ด หรือต้นโทรมเร็วเกินไป

- พริก

หยอดเมล็ดลงในดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี ประมาณ 7 วัน ต้นกล้าจะเริ่มงอก แล้วจึงแยกนำมาปลูกในภาชนะ หรือแปลง ควรเว้นระยะห่างของต้นประมาณ 50-60 เซนติเมตร ข้อควรระวังคืออย่าให้ดินแฉะเกินไป เพราะต้นอาจตายได้

- ตะไคร้

นำต้นที่ตัดใบปักชำในดินร่วนซุย โดยปลูกในดินลึกไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร ในพื้นที่ที่มีแสงแดดครึ่งวัน หลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะเริ่มแตกรากผลิใบ

คู่มือการปลูกผักสวนครัว กรมการพัฒนาชุมชน

ทั้งนี้ วิธีการเลือกเมล็ดพันธุ์นั้นก็ขอแนะนำให้เลือกเมล็ดพันธุ์อย่างดียอมจ่ายแพงดีกว่าจ่ายถูกแล้วปลูกผักไม่ขึ้น

 

นี่คือ 3 ขั้นตอนง่าย ๆ สำหรับมือใหม่ที่คิดจะปลูกผักสวนครัว หากใครสามารถปฏิบัติตามได้การปลูกผักสวนครัวไว้ในบ้านเพื่อรับประทานเองก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่สิ่งสำคัญคืออย่าลืมวางแผนหรือทำตารางดูแลปลูกผักสวนครัวต่าง ๆ ไว้ด้วย เพื่อไม่ให้พลาดการดูแล รดน้ำ ใส่ปุ๋ย และพรวนดิน

นอกจากผักสวนครัวแล้วมีพื้นที่เหลือลองมาปลูกพันธุ์ไม้มงคลเพิ่มเติม ดังนี้

ชนิดต้นไม้

ช่วยเสริมฮวงจุ้ย

ต้นโป๊ยเซียน

มั่งคั่งร่ำรวย โชคดีมีชัย แคล้วคลาดปลอดภัย อายุมั่นขวัญยืน เป็นที่รักใคร่ชื่นชม มีดีที่ภาษา ปลอดศัตรูมีแต่ผู้นิยม มีสุขภาพดีปลอดจากโรคภัย

ต้นทับทิม

มีบุตรที่ดี มีลูกหลานเต็มบ้าน มีเงินทองมั่งคั่ง และมีพลังปัดเป่าเคราะห์ภัยทั้งหลาย

ต้นโบตั๋นหรือต้นพุดตาน

เสริมดวงเสน่ห์ ส่งเสริมเมตตา และเสริมสร้างความมั่งมีศรีสุข

ต้นไผ่สีสุก

เป็นสิริมงคล มีความมั่งมีศรีสุข

ต้นมะยม

คนนิยมชมชอบ รักใคร่ มีชื่อเสียง ไม่มีคนคิดร้าย หรือเป็นศัตรู

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ผนังกันเสียง 3 ประโยชน์ช่วยแก้ปัญหาเสียงรบกวนจากเพื่อนบ้าน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ผนังกันเสียง-หมดปัญหาเสียงรบกวนจากเพื่อนบ้าน-45282?locale=th www.ddproperty.com:resources:45282 Mon, 20 Sep 2021 03:15:07 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/05/Sound-proof-wall-make-you-relax-150x150.jpg"/></p> ผนังกันเสียง 3 ประโยชน์ช่วยแก้ปัญหาเสียงรบกวนจากเพื่อนบ้าน สำหรับผู้ที่พักอาศัยในบ้านแฝดหรือทาวน์โฮมอาจเคยมีปัญหาเรื่องเสียงรบกวนจากเพื่อนบ้านหรือจากชุมชนในละแวกใกล้เคียงกันมาบ้าง ซึ่งเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะแก้ไขไม่ได้ การติดตั้ง “ผนังกันเสียง” ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย ลองมาดู 3 ประโยชน์ของผนังกันเสียง และสิ่งที่ต้องรู้ก่อนติดตั้งผนังกันเสียง

Subscription Banner for Article

 

ผนังกันเสียงคืออะไร

ผนังกันเสียง เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติในการป้องกันเสียงดัง เพื่อใช้แก้ไขปัญหาเสียงรบกวนต่าง ๆ ได้ทั้งเสียงดังจากภายนอกทะลุเข้ามาสู่ภายในห้อง รวมทั้งยังป้องกันไม่ให้เสียงดังจากภายในห้องของเราทะลุออกไปสร้างความรบกวนภายนอกอีกด้วย

 

ประโยชน์ของผนังกันเสียง

แน่นอนว่าประโยชน์ของผนังกันเสียง คือการป้องกันเสียงต่าง ๆ จากภายนอกไม่ให้มารบกวนภายในบ้านของคุณ แต่เสียงรบกวนประเภทใดบ้างที่ผนังกันเสียงสามารถตอบโจทย์ความต้องการผู้อยู่อาศัยได้

1. ผนังกันเสียงป้องกันเสียงจากบ้านข้าง ๆ ที่มีผนังบ้านติดกัน เช่น บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ หรือทาวน์โฮม หรือแม้แต่บ้านเดี่ยวที่มีระยะห่างกันไม่มาก ทำให้ยังได้รับเสียงรบกวนจากเพื่อนบ้านข้าง ๆ อยู่

2. ผนังกันเสียงป้องกันเสียงจากแหล่งชุมชน เช่น ถนนใหญ่ และโรงงานอุตสาหกรรม หรือพื้นที่ที่มีการก่อสร้างในบริเวณใกล้เคียง สำหรับผู้มีบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ หรือทาวน์โฮม การติดตั้งผนังกันเสียงจะช่วยแก้ไขปัญหาเสียงรบกวนจากสิ่งแวดล้อมภายนอกได้เป็นอย่างดี

วัสดุกันเสียงรบกวนคืออะไร เลือกอย่างไรให้เหมาะกับบ้าน

Guide

วัสดุกันเสียงรบกวนคืออะไร เลือกอย่างไรให้เหมาะกับบ้าน

ปิดบ้านอย่างดี เสียงรบกวนเล็ดลอดเข้ามาได้อย่างไร?

ก่อนที่จะเลือกติดผนังกันเสียง หลายคนอาจสงสัยว่าเสียงรบกวนต่าง ๆ ทั้งจากเพื่อนบ้านและสิ่งแวดล้อมรอบบ้านนั้นทะลุผ่านเข้ามาบ้านของคุณได้อย่างไร จริง ๆ แล้ว โดยธรรมชาติเสียงจะต้องเดินทางผ่านตัวกลางเสมอ โดยอาศัยตัวกลางได้ 2 แบบ คือ ตัวกลางที่เป็นอากาศ กับตัวกลางที่เป็นโครงสร้าง

 

1. เสียงส่งผ่านตัวกลางที่เป็นอากาศ (Airborne Sound Transmission)

โดยเสียงจะเดินทางผ่านอากาศส่วนต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงช่องว่างของทุกรอยต่อ เช่น รอยต่อระหว่างวงกบประตูหน้าต่างกับผนังหรือตัวหน้าบานเอง กรณีทาวน์โฮม ตึกแถว หรือคอนโด ที่ใช้ผนังร่วมกันเพื่อนบ้าน อาจพบปัญหาเสียงลอดตามรอยต่อปลั๊กที่อยู่ตำแหน่งเดียวกัน รวมถึงปัญหาเสียงลอดผ่านช่องว่างของผนังส่วนเหนือฝ้าที่ก่อไม่ชนถึงท้องคาน

 

2. เสียงส่งผ่านตัวกลางที่เป็นโครงสร้าง (Structure-Borne Sound Transmission)

โดยการสั่นสะเทือนของโครงสร้างหรือส่วนประกอบอาคาร อย่างเวลาปิดประตูแรง ๆ กระแทกจนเกิดแรงสั่นสะเทือนผ่านวงกบต่อเนื่องไปยังผนัง พื้น/คาน/เสา หรือเวลาที่ข้างบ้านเปิดเพลงดังจนเรารู้สึกถึงการสั่นสะเทือนที่กระทบผ่านส่วนต่าง ๆ ของอาคาร

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกาศกรมอนามัยเรื่อง กำหนดมาตรฐานเหตุรำคาญ กรณีเสียงรบกวน

 

ผนังกันเสียงช่วยป้องกันเสียงจากภายนอกได้ดี

 

ผนังปกติสามารถกันเสียงได้มากน้อยแค่ไหน

เมื่อเรารู้ถึงหลักการเดินทางของเสียงแล้ว ลองมาดูกันว่า ผนังปกติของบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม หรือคอนโด ที่ไม่ใช่ผนังกันเสียงนั้นมีค่า Sound Transmission Class หรือ STC คือ ค่าที่บอกถึงระดับการส่งผ่านของเสียงอยู่ที่เท่าใหร่ เพราะยิ่งมีค่ามากหมายถึงกันเสียงได้มาก เช่น ผนังที่มีค่า STC 50 จะกันเสียงได้ดีกว่าผนังที่มีค่า STC 40 นั่นเอง

โดยในสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดมาตรฐานของค่าการกั้นเสียงของผนังระหว่างยูนิตไว้ดังนี้

1. สำหรับอาคารระดับโรงแรม 5 ดาว ต้องมีค่าการกั้นเสียง หรือค่า STC อย่างน้อย 55

2. สำหรับอาคารที่พักทั่วไป ต้องมีค่าการกั้นเสียง หรือค่า STC อย่างน้อย 52

3. ค่าการกั้นเสียงต่ำที่สุดที่ยอมรับได้ สำหรับผนังกั้นระหว่างห้อง ต้องมีค่า STC อย่างน้อย 48

แต่ในประเทศไทย วิศวกรแนะนำว่าผนังของที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ทาวน์เฮาส์ หรือคอนโด ควรมีค่าการกั้นเสียงหรือค่า STC อย่างน้อย 45 ซึ่งปกติในการก่อสร้างที่พักอาศัย ส่วนใหญ่มักจะใช้ผนังเหล่านี้ในการก่อสร้าง

ชนิดของผนังกันเสียง ความหนา ค่า STC
ผนังก่ออิฐมอญเต็มแผ่น ฉาบทั้งสองด้าน 10 เซนติเมตร ประมาณ 45
ผนังก่ออิฐมวลเบา G2 ฉาบทั้งสองด้าน 10 เซนติเมตร ประมาณ 42
ผนังก่ออิฐมอญเต็มแผ่น ฉาบทั้งสองด้าน 15 เซนติเมตร ประมาณ 50
ผนังก่ออิฐมวลเบา G4 ฉาบทั้งสองด้าน 20 เซนติเมตร ประมาณ 51

 

จะเห็นได้ว่าผนังก่ออิฐมวลเบามีค่า STC ต่ำสุดในบรราดาผนังทั้งหมด ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกน้อยลงไปด้วย ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการติดตั้งผนังกันเสียง เพื่อเพิ่มค่า STC ที่ช่วยป้องกันเสียงต่าง ๆ ได้มากขึ้น เช่น

1. ผนังก่ออิฐมวลเบา 2 ชั้น แต่ละด้านใช้อิฐมวลเบา G4 หนา 7.5 เซนติเมตร ฉาบทั้งสองด้าน กรุภายในช่องว่างด้วยผนังกันเสียง ISO NOISE หนา 5 เซนติเมตร เต็มพื้นที่ผนัง โดยความหนาของผนังทั้งหมด 20 เซนติเมตร มีค่า STC ประมาณ 65

2. ผนังเบายิปซั่ม แต่ละด้านประกอบด้วย ยิปซั่มความหนา 12 มิลลิเมตร ด้านละ 2 แผ่น ติดตั้งกับโครง C64 กรุภายในช่องว่างด้วยผนังกันเสียง ISO NOISE หนา 5 เซนติเมตร เต็มพื้นที่ผนัง โดยความหนาของผนังทั้งหมด 12 เซนติเมตร มีค่า STC ประมาณ 52

3. ผนังเบายิปซั่ม แต่ละด้านประกอบด้วย ยิปซั่มความหนา 12 มิลลิเมตร ด้านละ 2 แผ่น ติดตั้งกับโครง C64 แบบโครงคู่ กรุภายในช่องว่างด้วยผนังกันเสียง ISO NOISE หนา 5 เซนติเมตร จำนวน 2 ชั้น เต็มพื้นที่ผนัง โดยความหนาของผนังทั้งหมด 12 เซนติเมตร มีค่า STC ประมาณ 63

 

ผนังอิฐมวลเบา ผนังอิฐมอญ และผนังสำเร็จรูป เลือกแบบไหนดี

Guide

ผนังอิฐมวลเบา ผนังอิฐมอญ และผนังสำเร็จรูป เลือกแบบไหนดี

 

ดังนั้น ก่อนที่จะติดตั้งผนังกันเสียง เจ้าของบ้านจึงจำเป็นต้องทราบว่า ผนังบ้านของตนเองใช้วัสดุแบบไหน เพื่อให้สามารถเลือกใช้ผนังกันเสียงได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ

ที่สำคัญคือควรเช็กความต้องการของตนเองเสียก่อนว่าอยากให้ป้องกันเสียงเล็ดลอดขนาดไหน เพราะการแก้ไขปัญหาเรื่องเสียงรบกวนจากรอบบ้านอาจไม่จำเป็นต้องใช้ผนังกันเสียงเสมอไป ทุกวันนี้มีวัสดุกันเสียงมากมายให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม ซึ่งควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดสรรงบประมาณได้อย่างคุ้มค่า

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ต่อเติมครัวหลังบ้าน ราคาไม่แพง ต้องรู้ 3 เทคนิค และ พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/คิดจะต่อเติมครัวหลังบ้านต้องรู้เรื่องอะไรบ้าง-23315?locale=th www.ddproperty.com:resources:23315 Wed, 15 Sep 2021 18:07:49 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/06/Kitchen-back-house-150x150.jpg"/></p> ต่อเติมครัวหลังบ้าน ราคาไม่แพง ต้องรู้ 3 เทคนิค และ พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร ห้องครัวในปัจจุบันถึงแม้จะถูกแบ่งออกเป็นหลายแบบ ได้แก่ ครัวใน ครัวนอก ครัวเปิด หรือครัวปิด แต่เชื่อว่าหลาย ๆ คน ก็ยังให้ความนิยมกับการทำครัวข้างนอกบ้านโดยการต่อเติมครัวหลังบ้าน

สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านใหม่ หรือโครงการมือสอง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้านเดี่ยว หรือซื้อทาวน์เฮ้าส์/ทาวน์โฮม เวลาเข้าไปชมโครงการก็มักจะเปลี่ยนพื้นที่หลังบ้านให้เป็นห้องครัวนอก หรือครัวหลังบ้านราคาไม่แพง

แต่ด้วยความที่เป็นครัวหลังบ้านราคาไม่แพง พื้นที่ใช้สอยจึงถูกจำกัดจาก Layout ต่าง ๆ ของตัวบ้าน ทำให้การต่อเติมครัวหลังบ้านราคาไม่แพง ไม่ใช่เรื่องง่าย วันนี้ DDproperty จึงจะมาแนะนำ 3 เทคนิคสำคัญที่ผู้ที่คิดจะต่อเติมครัวหลังบ้านต้องรู้ เพื่อให้ห้องครัวสามารถใช้งานได้สะดวก ไม่รบกวนเพื่อน และสามารถกำหนดงบประมาณในการต่อเติมครัวหลังบ้านราคาไม่แพง

 

1.ต่อเติมครัวหลังบ้านราคาไม่แพง ต้องรู้เรื่องพื้นที่หลังบ้านที่จำกัด

ตกแต่งครัวหลังบ้านบนพื้นที่จำกัด

การต่อเติมครัวหลังบ้านราคาไม่แพง มักจะมีปัญหาในเรื่องของพื้นที่ใช้สอยที่จำกัด ด้วยการนำพื้นที่ซักล้างหลังบ้านมาประยุกต์ใช้เป็นครัวหลังบ้าน จึงจำเป็นต้องเหลือพื้นที่ส่วนหนึ่งสำหรับซักล้างด้วย ดังนั้นพื้นที่ของครัวหลังบ้านส่วนใหญ่จึงมีขนาดไม่ใหญ่มาก ฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ จึงต้องมีความหลากหลายเพื่อที่จะประหยัดพื้นที่มากที่สุด

ข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ห้องครัวจะต้องมีคือเคาน์เตอร์ครัวสำหรับเตรียมอาหาร บางโครงการมอบเคาน์เตอร์ครัวบิลท์อินให้เป็นเคาน์เตอร์แนวยาว บางโครงการไม่ได้มอบให้ต้องจัดวาง Layout ของเคาน์เตอร์ครัวเอง

จุดนี้ถ้าอยากให้พื้นที่ใช้สอยในการวางเคาน์เตอร์ครัวที่สามารถประกอบอาหารได้ทุกชนิด ควรติดตั้งเคาน์เตอร์ครัวที่เป็นรูปตัวแอลเข้ามุมกับผนังด้านหลังบ้าน รวมไปถึงเคาน์เตอร์ครัวที่ติดตั้งจะต้องมีฟังก์ชันการใช้งานอื่น ๆ เสริม เช่น ช่องใส่ไมโครเวฟ ชั้นเก็บจานชาม หรือจะให้ดีต้องมีชั้นด้านบนบิลท์อินติดผนังก็จะช่วยให้การต่อเติมครัวหลังบ้านมีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายขึ้นบนพื้นที่ที่จำกัด

วิธีเลือกเคาน์เตอร์ครัวสำเร็จรูปจากการใช้สอย
1. งานครัวเบา คือ การเตรียมและปรุงอาหารเบา ๆ ในปริมาณไม่มาก เช่น ชงกาแฟ ปอกผลไม้ ปิ้งขนมปัง อุ่นอาหาร หรือการทำอาหารง่าย ๆ เช่น ทอดไข่เจียว โดยมีปริมาณไม่มากและไม่ต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องใช้ที่มีน้ำหนักมาก
2. งานครัวปานกลาง คือ การเตรียมและปรุงอาหารทั่วไป เช่น ทำกับข้าวแบบต้ม ผัด ทอด นึ่ง ปิ้ง และย่าง ซึ่งทำในปริมาณค่อนข้างมาก เช่น อาหารสำหรับ 2-4 คน
3. งานครัวหนัก คือ การเตรียมและปรุงอาหารเหมือนงานครัวปานกลาง แต่รวมถึงใช้ภาชนะและอาหารหนัก เช่น ใช้ครกตำน้ำพริก ใช้เครื่องตีแป้งขนาดใหญ่ ใช้หม้อทำแกงขนาดใหญ่ รวมถึงใช้ครัวทำอาหารสำหรับ 5 คนขึ้นไปเป็นประจำ

ที่มา: วิธีเลือกเคาน์เตอร์ครัวสำเร็จรูป 3 ประเภท ให้เหมาะกับบ้าน

 

2.ต่อเติมครัวหลังบ้านราคาไม่แพง ต้องรู้เรื่องกลิ่นและควัน

ต่อเติมครัวหลังบ้าน ถ้าให้ดีต้องมีเครื่องดูดควัน

ฟังก์ชันที่ครัวหลังบ้านจะต้องมีแล้วขาดไม่ได้เลยก็คือ การต่อเติมหลังคาและผนังที่ครอบคลุมห้องครัวหลังบ้านเอาไว้ โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวคนไทยอย่างเรา ๆ ที่ชอบทำอาหารรสจัดจ้านทั้งต้ม ผัด แกง ทอด บางครั้งมักอบอวนไปด้วยควันและกลิ่น ซึ่งอาจไปรบกวนเพื่อนบ้านได้ ดังนั้น ฉากกั้นหลังคาต่าง ๆ รวมไปถึงที่ดูดควันก็เป็นเรื่องสำคัญในการต่อเติมครัวหลังบ้าน

โดยการต่อเติมหลังคาของครัวหลังบ้านควรยกสูงมากกว่าปกติ เพื่อให้ที่ดูดควันสามารถปล่อยควันและกลิ่นออกไปให้พ้นรัศมีของบ้านอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการต่อเติมครัวหลังบ้านของที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์/ทาวน์โฮม ที่มีเพื่อนบ้านอยู่ติดกัน ซึ่งบ้านบางหลังใช้รั้วหลังบ้านอันเดียวกันด้วย

เรื่องกลิ่นและควัน สิ่งรบกวนต่าง ๆ จึงต้องพยายามอย่าให้เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด ซึ่งนอกจากจะไม่รบกวนเพื่อนบ้านแล้ว อีกหนึ่งข้อสำคัญก็คือสามารถต่อเติมครัวหลังบ้านที่มีความเป็นส่วนตัวและปกปิดสายตาบ้านหลังข้างเคียงได้ด้วย

 

3.ต่อเติมครัวหลังบ้านราคาไม่แพง ต้องรู้เรื่องคราบไม่พึงประสงค์

ต่อเติมครัวหลังบ้าน ต้องทำใจรับคราบไม่พึงประสงค์

อีกหนึ่งปัญหาที่พบมากที่สุดสำหรับห้องครัวหลังบ้าน นอกจากเรื่องกลิ่นก็คือ เรื่องคราบสกปรกที่ไปเกาะตามผนัง ฝ้าเพดาน หรือหลังคา เป็นสิ่งที่ผู้ที่คิดจะต่อเติมครัวหลังบ้านรู้กันอยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่การต่อเติมครัวหลังบ้านจะนิยมใช้พื้นที่ซักล้างหลังบ้านมาประยุกต์ให้เป็นครัวหลังบ้าน และใช้รั้วบ้านด้านหลังเป็นส่วนหนึ่งของผนังห้องครัว

โดยรั้วบ้านด้านหลังส่วนใหญ่ก็จะเป็นซีเมนต์ปาดเรียบทาสีขาว ดังนั้นหากรักและชอบที่จะใช้รั้วบ้านเดิม ๆ ในการต่อเติมครัวหลังบ้าน ก็ต้องเป็นคนที่ยอมรับเรื่องความสกปรกและคราบต่าง ๆ จากการประกอบอาหารที่ตามมาทีหลังได้

แต่สำหรับผู้ที่ไม่อยากมีปัญหาเรื่องความสกปรกนี้แนะนำให้เปลี่ยนสีห้องครัวหรือต่อเติมให้เป็นผนังประเภทปูนเปลือย สีอะคริลิคแบบผิวมันที่ทำความสะอาดง่าย ใช้สีโทนทึบ ๆ ที่นิยมกันในปัจจุบัน หรือไม่ก็ต่อเติมครัวหลังบ้านให้เป็นสไตล์ Industrial เลยก็ได้

การต่อเติมครัวหลังบ้านแบบนี้จะทำให้สามารถดูแลรักษาความสะอาดในห้องครัวหลังบ้านได้ง่ายขึ้น ส่วนหลังคาส่วนใหญ่การต่อเติมครัวหลังบ้านทั่วไปจะใช้การทำกระเบื้องแบบโปร่งแสง หรือทำกันสาดแบบม้วนเก็บได้ หรือ พับเก็บได้ เพื่อให้หลังบ้านเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ไปในตัว ซึ่งการที่มีแสงแดดส่องเข้ามาในห้องครัวบ้างก็จะทำให้ครัวดูโปร่งโล่ง และสะอาดตาอยู่ตลอดเวลาด้วย

รู้จักกระเบื้องและเลือกให้เหมาะกับผนังห้องครัว

 

ครัวหลังบ้าน ต้องใช้พื้นให้เหมาะ เพื่อป้องกันรอยเปื้อน

 

ส่วนเรื่องการต่อเติมพื้นของครัวหลังบ้านก็เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ เพราะพื้นมีโอกาสเกิดรอยเปื้อนจากอาหารและคราบมันต่าง ๆ ได้ง่าย ควรเลือกพื้นผิวที่เรียบแต่ไม่ลื่น เช่น กระเบื้องโฮโมจีเนียส (Homogeneous) ซึ่งมีผิวสัมผัสหยาบ แต่ขอบเรียบตัดตรง สามารถปูได้ชิด ลดปัญหาคราบสกปรกที่สะสมตามร่องยาแนว หรือหินสังเคราะห์ ก็มีอัตราการดูดซึมน้ำต่ำ นอกจากนี้ยังดูสวยงาม และทนทานด้วย

 

นอกจาก 3 ปัจจัยนี้แล้ว สิ่งที่ห้องครัวที่ดีจะต้องมีก็คือความสะอาด ดังนั้นสำหรับใครที่คิดจะต่อเติมห้องครัว ไม่ว่าจะเป็นครัวในบ้าน หรือครัวหลังบ้าน หลังใช้งานทุกครั้งก็ต้องทำความสะอาด เพื่อให้ห้องครัวมีความน่าใช้ตลอดเวลา และยังช่วยเรื่องสุขอนามัยที่ดีในบ้านด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
บ้านปูนเปลือยราคาถูก ข้อดี-ข้อเสีย และ 4 ไอเดียฉาบปูนเปลือย https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/รู้จักบ้านปูนเปลือย-มีกี่ประเภท-มีข้อดีอย่างไร-26090?locale=th www.ddproperty.com:resources:26090 Wed, 29 Sep 2021 16:59:58 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/05/Loft-Interior-150x150.jpg"/></p> บ้านปูนเปลือยราคาถูก ข้อดี-ข้อเสีย และ 4 ไอเดียฉาบปูนเปลือย สำหรับคนที่เพิ่งซื้อที่ดินแล้วมีแผนจะสร้างบ้าน หรือผู้ที่ซื้อบ้านมือสองมาอยากจะรีโนเวทบ้านใหม่ หลายคนคงเคยได้ยินและรู้จักกับบ้านปูนเปลือยกันมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งในปัจจุบันบ้านสวยสไตล์ดิบ ๆ เท่ไม่เหมือนใครนี้กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยใช้คอนกรีตเปลือยเป็นหลัก หรือที่เรียกกันว่าบ้านปูนเปลือยในปัจจุบัน หรือบ้านสไตล์ลอฟต์นั้นเอง ทีนี้บ้านปูนเปลือยจริง ๆ แล้วมีกี่ประเภท และมีข้อดี และมีวิธีดูแลรักษาอย่างไร หาคำตอบได้จากบทความนี้

 

บ้านปูนเปลือยราคาถูก คือ อะไร?

บ้านปูนเปลือยราคาถูก หรือบ้านสไตล์ลอฟท์ คือ บ้านที่โชว์ให้เห็นถึงโครงสร้างและผนังของงานปูน โดยที่ไม่มีการนำวัสดุอื่นได้มาฉาบปิดทับตกแต่ง ซึ่งจะแสดงความดิบ เนื้อแท้ข้างในของโครงสร้างปูนให้เห็นกันชัด ๆ บ่งบอกถึงความเท่ แปลกตา แต่มีสไตล์

รวมแบบบ้านสวย แบบบ้านสไตล์ไหนใช่สำหรับคุณ

 

บ้านปูนเปลือยราคาถูกมีกี่ประเภท

โดยรูปแบบวัสดุหรือบ้านปูนเปลือยจะแยกออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ

1. บ้านปูนเปลือยราคาถูกแบบหล่อ

จะมีค่าใช้จ่ายและงบประมาณการก่อสร้างค่อนข้างสูง เนื่องจากมีการเทคอนกรีตลงในแม่แบบที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อใช้ในการหล่อผนังคอนกรีตปูนเปลือย ซึ่งลักษณะของแม่แบบที่นำมาใช้นั้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของบ้านและการออกแบบของทีมสถาปนิก ซึ่งจะใช้ไม้หรือเหล็กเป็นแม่แบบก็ได้ตามความชอบ

เมื่อทำการเทคอนกรีตลงในแม่แบบผนังที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้และรอให้ปูนเซ็ตตัว จากนั้นทำการแกะแม่แบบออกช้า ๆ อย่างระมัดระวัง ซึ่งหลังการทำการถอดแม่แบบออกเรียบร้อยแล้ว ผนังหล่อปูนเปลือยก็จะโชว์ลวดลายออกมาให้เห็นอย่างสวยงาม

2. บ้านปูนเปลือยราคาถูกแบบก่ออิฐฉาบปูน

เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณในการก่อสร้างจำกัด แต่มีความหลงใหลในบ้านสไตล์ลอฟท์ หรือผู้ที่ชื่นชอบการรีโนเวทบ้านเก่าให้มีความเท่ในแบบอินดัสเทรียล การก่อผนังด้วยวัสดุอื่น ๆ ก่อนแล้วจึงทำการฉาบตกแต่งและทำลายปูนเปลือยตามความต้องการ

ซึ่งในปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทำงานงานทาสี ฉาบปูนเปลือยสไตล์ลอฟท์ กลายเป็นเรื่องที่ง่ายดาย และสามารถทำเองได้เพียงไม่มีขึ้นตอน ตามวิธีการข้างกล่องบรรจุภัณฑ์

 

บ้านปูนเปลือย โชว์สเน่ห์ของผนังปูนสวย ๆ

 

ไอเดียในการฉาบบ้านปูนเปลือยราคาถูกสไตล์ลอฟท์

ไอเดียในการฉาบปูนเปลือยสไตล์ลอฟท์แบบเท่ ๆ นั้น ส่วนใหญ่จะแบบออกเป็น 2 แบบหลัก ๆ ด้วยกัน คือ การฉาบเรียบ การฉาบขัดมัน และการทาสีสไตล์ลอฟท์ลงบนผนังเรียบ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน ดังนี้

1. การฉาบเรียบ

เป็นการนำปูนไปโปะไว้ตามผนังอิฐที่ก่อไว้ จากนั้นเริ่มทำการฉาบไล่ตั้งแต่ด้านบนลงไปยังด้านล่างจนทั่วบริเวณ โดยก่อนทำการฉาบปูนหลังจากก่อผนังอิฐเสร็จ ช่างจะทำการรดน้ำตรงบริเวณที่ต้องการจะฉาบให้ชุ่ม ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการแตกร้าวที่อาจเกิดขึ้นกับผนังหลังฉาบเสร็จเรียบร้อย

2. การฉาบขัดมัน

หลังทำการฉาบผนังเรียบปรับระดับพื้นผิวให้เสมอกันเรียบร้อยแล้ว ให้โรยผงปูนซีเมนต์ให้ทั่วบริเวณผนัง จากนั้นทำการพรมน้ำให้ทั่วและขัดด้วยเกรียงเหล็ก ซึ่งลวดลายปูนฉาบขัดมันที่ได้นั้น จะขึ้นอยู่กับเทคนิคและความชำนาญของช่างฝีมือ ทิ้งไว้ประมาณ 7 วัน แล้วทำการลงน้ำยาเคลือบคอนกรีตให้ทั่ว

3. การทาสีสไตล์ลอฟท์

ทำความสะอาดผนังให้สะอาด ทำการทาสีรองพื้นผิวแล้วทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นทำการสร้างลวดลายสไตล์ลอฟท์ตามต้องการโดยการใช้อุปกรณ์ปัดกวาดสีสร้างลวดลายไปตามทิศทางต่าง ๆ

4. ตกแต่งพื้นผิวสร้างผนังปูนเปลือยด้วยเทคนิค Skim Coat

การรื้อสีที่ชำรุดของผนังเก่าออกด้วยน้ำยาลอกสี จากนั้นทำความสะอาดและทาน้ำยารองพื้นปูนเก่าให้เรียบร้อย ทิ้งผนังไว้ให้แห้งสนิท เสร็จแล้วฉาบด้วยปูน Skim Coat สำเร็จรูปที่มีส่วนผสมการใช้งานตามคำแนะนำและสูตรมาตรฐานที่ให้ไว้ตามคู่มือการใช้งานผลิตภัณฑ์

จากนั้นทำการฉาบปิดผนังให้เรียบร้อย เพียงเท่านี้ก็จะได้ผนังปูนเปลือยสไตล์เท่ ๆ ตามใจต้องการ ซึ่งเทคนิคนี้มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกนำมาตกแต่งผนังในส่วนต่าง ๆ ของบ้านได้อย่างมากมาย และมีหลากสีให้เลือกใช้

 

แบบบ้านประหยัดพลังงาน ไอเดียบ้านเพื่ออนาคต ลดค่าใช้จ่าย

 

บ้านปูนเปลือยราคาถูกมีความน่าสนใจอย่างไร

ความน่าสนใจของบ้านปูนเปลือย หรือบ้านสไตล์ลอฟท์ นอกจากความดิบเท่แล้ว บ้านสไตล์นี้ยังเป็นแบบบ้านราคาประหยัด เนื่องจากทำให้เจ้าของบ้านสามารถประหยัดงบประมาณในการก่อสร้างบ้านได้ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะไม่ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อวัสดุต่าง ๆ มาตกแต่งเหมือนบ้านสไตล์อื่น ๆ แต่บ้านสไตล์นี้เน้นการโชว์ความมีเสน่ห์ของผนังอิฐ โครงสร้างปูน รวมถึงการเดินระบบท่อไฟฟ้าภายในบ้านได้อย่างสวยงามและลงตัว

นอกจากนั้น หากตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์ลอฟท์ที่โชว์เท็กเจอร์ไม้กับโครงสร้างเหล็กสีดำ ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้บ้านได้อีกเป็นเท่าตัว

 

บ้านปูนเปลือยราคาถูก มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง

ลักษณะของบ้านปูนเปลือย คือ บ้านที่เน้นการเน้นการตกแต่งด้วยวัสดุจากผิวสัมผัสของจริง โชว์ความสวยงามของโครงสร้างอาหาร ระบบงานไฟฟ้า และผนังอิฐไม้ไร้การฉาบเรียบ รวมไปถึงการโชว์ความสวยงามของลวดลายผนังคอนกรีตปูนเปลือย

โดยส่วนใหญ่แล้วบ้านสไตล์ลอฟท์จะถูกออกแบบมาให้มีเพดานสูง พื้นที่ใช้สอยกว้าง ประตูหน้าต่างมีขนาดใหญ่ และเน้นการตกแต่งด้วยสีคุมโทน เช่น สีปูนเปลือย ส้มอิฐ

ข้อดี

ข้อเสีย

อากาศถ่ายเทสะดวก

พื้นที่เก็บของจำกัด

ดีไซน์แปลกตา โดดเด่น

เกิดเสียงก้องได้ง่าย

ปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้

ขาดความเป็นส่วนตัว

ข้อดีของบ้านปูนเปลือยราคาถูก

- อากาศถ่ายเทได้สะดวก เนื่องจากมีเพดานสูง ทำให้ภายในบ้านดูโปร่ง ไม่อึดอัด

- มีดีไซน์ที่แปลกตาและโดดเด่นไม่เหมือนใครตามไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบของเจ้าของบ้าน

- สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้อย่างอิสระ

 

ข้อเสียของบ้านปูนเปลือยราคาถูก

- ด้วยความที่บ้านสไตล์ลอฟท์มีลักษณะโปร่งและโล่ง เนื่องจากเพดานสูง ไม่เน้นกำแพงกันกั้น จึงทำให้บ้านเกิดเสียงก้องได้ง่าย

- พื้นที่ในการจัดเก็บของมีจำกัด เนื่องจากแบบบ้านถูกออกแบบมาให้มีพื้นที่โล่ง โปร่ง

- เนื่องจากพื้นที่เน้นความโปร่งโล่ และไม่เน้นกำแพงกันกั้น จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว

 

ผนังปูนเปลือยมีวิธีการดูแลรักษาไม่ยาก

 

วิธีการเลือกซื้อวัสดุ ขั้นตอนการก่อสร้าง และดูแลรักษา

การเลือกซื้อวัสดุก่อสร้างจะต้องเลือกซื้อจากแหล่งวัสดุที่เชื่อถือได้ มีเจ้าหน้าที่ที่เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาโดยเฉพาะ รวมถึงทีมผู้ออกแบบและรับเหมาก่อสร้างด้วยเช่นกัน เพราะหากได้ทีมงานที่ไม่มีคุณภาพ นอกจากจะทำให้บ้านที่ก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานแล้ว ยังทำให้งบประมาณในการก่อสร้างบานปลายอีกด้วย

สัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง ข้อควรระวังก่อนเสียรู้ผู้รับเหมา

 

ขั้นตอนการก่อสร้างบ้านปูนเปลือยราคาถูก

- เตรียมพื้นที่สำหรับก่อสร้าง

- เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น แปลนบ้าน, เอกสารอนุญาตก่อสร้าง

- วางแผนผังอาคารตามแปลนบ้าน

- ลงเสาเข็ม

- งานฐานราก งานโครงสร้าง งานโครงหลังคา งานระบบสุขาภิบาล

- งานมุงหลังคา ก่อผนัง งานประตู-หน้าต่าง และงานระบบไฟฟ้า-ประปา

- งานพื้น งานติดตั้งอุปกรณ์ จนกว่าจะแล้วเสร็จ

- งานทำความสะอาดและตรวจสอบความเรียบร้อย

 

การดูแลรักษาบ้านปูนเปลือย

ควรทำการทาน้ำยาเคลือบผนังปูนเปลือยเคลือบผิวและต้านการดูดซึมของน้ำ ทุก ๆ 1-2 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวบ้านและผนังเกิดความชื้นและมีคราบสกปรกเกาะตามพื้นผิว

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
5 วิธีเลือกช่างซ่อมแอร์อย่างไรให้ได้ช่างมืออาชีพ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/เลือกช่างซ่อมแอร์อย่างไร-ให้ได้ช่างมืออาชีพ-38547?locale=th www.ddproperty.com:resources:38547 Wed, 15 Sep 2021 14:19:07 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/12/shutterstock_1289075521-150x150.jpg"/></p> 5 วิธีเลือกช่างซ่อมแอร์อย่างไรให้ได้ช่างมืออาชีพ แอร์ หรือ เครื่องปรับอากาศ ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้านสำคัญประจำบ้าน โดยทั่วไปเรามักดูแลรักษาแอร์ด้วยการทำความสะอาด เปลี่ยนไส้กรอง และเติมน้ำยาแอร์ ตามกำหนดครั้งอย่างสม่ำเสมอ ถึงอย่างนั้น ก็ยังเกิดปัญหาแอร์เสียขึ้นมาบ้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก บางปัญหาก็สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองทันที แต่บางปัญหาก็จำเป็นต้องใช้บริการช่างซ่อมแอร์เข้ามาช่วย

 

เรื่องน่ารู้กับการซ่อมแอร์เบื้องต้น

ก่อนอื่นมาดูกันว่าปัญหาแอร์เสียที่พบได้บ่อยที่สุดมีอะไรบ้าง แล้วเราจะสามารถจัดการแก้ไขเบื้องต้นได้อย่างไรในกรณีที่ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้รุนแรงจนต้องใช้บริการจากช่างมืออาชีพเสมอไป โดยอาการที่พบบ่อยมีดังนี้

1. เครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน ถือเป็นปัญหาอันดับต้นที่พบเจอได้บ่อย โดยอาจพบว่าเครื่องไม่ทำงานตามปกติ สาเหตุอาจเกิดจากฟิวส์ขาด แผงวงจรแอร์ใช้งานไม่ได้ ลวดหลวมไป หรือเทอร์โมสแตทมีปัญหา หากเป็นเช่นนี้ อาจต้องปรับรีเซ็ตระบบทั้งหมดหรือเปลี่ยนอะไหล่ใหม่

2. แอร์ไม่เย็น อาจเกิดจากตัวทำความเย็นทำงานได้ไม่ดี มีประสิทธิภาพต่ำ หรือมีรอยรั่วก็ได้

3. คอนเดนเซอร์ร้อน หากคอนเดนเซอร์ (Condenser) เกิดปัญหาหรือคอยล์ร้อน มักส่งผลให้เครื่องปรับอากาศปล่อยลมแอร์ร้อนออกมาได้ รวมทั้งยังอาจปล่อยฝุ่นหรือสิ่งสกปรกอื่นออกมาด้วย เพราะตัวคอนเดนเซอร์ติดตั้งอยู่ด้านนอก

4. แอร์เสียงดัง มักเกิดจากใบพัดพัดลมในเครื่องระเบิด ส่งผลให้อีวาพอเรเตอร์ (Evaporator) หรือคอยล์เย็นทำงานผิดปกติ มีสิ่งสกปรกเข้าไปตกค้างภายในเครื่อง เมื่อใบพัดพัดก็จะเกิดเสียงดังอออกมา หากเกิดเช่นนี้อาจต้องปิดเครื่องและเรียกช่างซ่อมแอร์มาดู

5. ท่อแอร์รั่วหรือสกปรก หากคุณรู้สึกว่าเครื่องปรับอากาศทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร มักมีลมอุ่น ๆ หรือบางที่อุ่น บางที่เย็น นั่นก็เพราะลมแอร์ไหลออกมาได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งเกิดจากปัญหาท่อแอร์รั่วหรือมีสิ่งสกปรกอุดตันอยู่ภายในท่อแอร์นั่นเอง

ติดตั้งแอร์ให้ถูกหลัก สบายกายสบายกระเป๋า

 

วิธีแก้ไขปัญหาแอร์เสียด้วยตัวเองเบื้องต้น
1. ตรวจสอบเบรกเกอร์ หากเบรกเกอร์กระตุก ทำงานไม่ราบรื่น จะส่งผลให้เครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน คุณจึงต้องลองตรวจสอบเบรกเกอร์เป็นอันดับแรกเมื่อเครื่องปรับอากาศไม่ทำงานตามปกติ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เบรกเกอร์เสีย
2. ดูเทอร์โมสตัท หากเครื่องปรับอากาศของคุณใช้แบตเตอรี่ ปัญหาเครื่องทำงานผิดปกติอาจเกิดจากแบตเตอรี่เก่า ใช้งานมานาน ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ ทั้งนี้ ควรตรวจดูให้แน่ใจว่าตั้งค่าเทอร์โมสตัท (Thermostat) ให้
มีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง รวมทั้งยูนิตภายในเครื่องเปิดใช้งานเปิดปกติแล้ว
3. เปลี่ยนตัวกรอง ปัญหาแอร์เสียหลายอย่างป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนตัวกรอง เพราะตัวกรองที่สะอาด ปราศจากสิ่งสกปรกอุดตันจะช่วยป้องกันการเกิดปัญหาแอร์ได้มากมาย ตัวกรองที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกไม่เพียงทำให้แอร์ไม่เย็น แต่บางครั้งอาจก่อให้เกิดน้ำแข็งเกาะตัวภายในเครื่องได้
4. ละลายน้ำแข็ง หากเครื่องปรับอากาศมีน้ำแข็งเกาะตัว อาจทำให้แอร์ไม่เย็นได้ วิธีแก้ไขที่ทำได้ง่ายที่สุดคือปิดการทำงานของระบบ ให้เหลือไว้เพียงใบพัดพัดลม เพื่อช่วยละลายน้ำแข็งได้เร็วขึ้น หรือจะปิดระบบการทำงานทั้งหมดและปล่อยให้น้ำแข็งละลายเองก็ได้
5. ทำความสะอาด บ่อยครั้งที่ตัวเครื่องมักเกิดสิ่งสกปรก ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการใช้งานเครื่องปรับอากาศได้ไม่น้อย โดยคุณอาจเริ่มทำความสะอาดจากใบพัดพัดลมและคอนเดนเซอร์ โดยระวังไม่ให้อุปกรณ์สองชิ้นนี้งอหรือหักระหว่างทำความสะอาด

ทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวทางเบื้องต้นในการป้องกันและซ่อมแซมปัญหาแอร์เสียด้วยตัวเอง นอกจากนี้ คุณสามารถศึกษาวิธีซ่อมแอร์ด้วยตัวเองเพิ่มเติมได้ที่นี่

 

เบื้องต้นอาจไม่ต้องถึงมือช่างซ่อมแอร์

 

เลือกใช้บริการ ช่างซ่อมแอร์ อย่างไร ไม่ให้ถูกโกง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาแอร์เสียบางอย่างก็ค่อนข้างซับซ้อนหรือใหญ่เกินกว่าจะรับมือได้เอง คุณจึงจำเป็นต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญอย่าง "ช่างซ่อมแอร์" เข้ามาจัดการแทน มาดูกันว่าปัญหาแบบไหนที่ควรเรียกช่างซ่อมแอร์ และจะเลือกช่างอย่างไรไม่ให้โดนโกง ดังนี้

1. พิจารณาประสบการณ์และความน่าเชื่อถือ

สิ่งแรกที่ควรตรวจสอบคือประสบการณ์การทำงานของช่างซ่อมแอร์ ดูว่ามีประสบการณ์การทำงานด้านนี้มากน้อยแค่ไหน หากเป็นบริษัทที่ให้บริการซ่อมแอร์ต้องดูด้วยว่าบริษัทนั้นจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือ มีเอกสารหรือใบประกอบวิชาชีพที่ได้รับรองตามมาตรฐานทั่วไปหรือไม่

การว่าจ้างบุคลากรหรือบริษัทที่มีมาตรฐานและน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเครื่องปรับอากาศเกิดขัดข้องหรือมีปัญหาอื่นตามมาภายหลัง คุณจะได้แจ้งหรือเรียกร้องได้ โดยเฉพาะกรณีที่อุปกรณ์ได้รับความเสียหายจากการซ่อมแซมของช่างโดยตรง ก่อนตกลงว่าจ้างงานกันจึงควรสอบถามรายละเอียดส่วนนี้ เงื่อนไขการรับประกันและบริการหลังการขาย รวมทั้งเอกสารรับรองการทำงานของช่างหรือบริษัทให้ชัดเจน

 

2. ดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง

"รีวิว" ถือเป็นโฆษณาที่ไม่ต้องโฆษณาคุณสมบัติของสินค้าหรือบริการที่น่าเชื่อถือไม่แพ้กัน เพราะกลั่นกรองมาจากประสบการณ์ตรงของผู้ใช้งานจริง คุณอาจเริ่มหาช่างซ่อมแอร์บ้านหรือบริษัทที่มีบริการดังกล่าวจากการอ่านรีวิวหรือการบอกต่อของผู้ที่เคยใช้บริการมาก่อนก็ได้

อย่างไรก็ตาม ก็ควรฟังหูไว้หู เพราะรีวิวทุกรีวิวก็ไม่ได้น่าเชื่อถือเสมอไป บางรีวิวก็เขียนค่อนข้างสั้น อาจจะไม่ได้ครอบคลุมทุกด้านของการบริการที่ทำให้เราเห็นได้ว่า "ช่างซ่อมแอร์" คนนี้ หรือบริษัทนี้ดีจริง

ทั้งนี้ หากมีรีวิวเชิงลบหรือวิจารณ์เกี่ยวกับการให้บริการแนวเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ คุณต้องเก็บเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ แล้วมาเปรียบเทียบน้ำหนักดูว่าจะเลือกใช้บริการหรือไม่

 

3. ราคา

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ "ราคา" จริงอยู่ที่คนเรามักชอบของถูก แต่ต้องดูด้วยว่าของถูกนั้นมาพร้อมสิ่งที่ดีด้วยหรือไม่ ส่วนใหญ่แล้ว การให้บริการที่มีราคาถูกเกินไปมักมาพร้อมกับการจบงานที่ไม่ละเอียดและทิ้งปัญหาไว้ภายหลัง คุณจึงควรศึกษาตลาดค่าแรงของช่างซ่อมแอร์ว่าตกอยู๋ที่เท่าไหร่โดยประมาณ

โดยอาจอิงจากประสบการณ์ของช่างเป็นหลัก เพื่อดูว่าสายงานช่างซ่อมแอร์ที่มีประสบการณ์เท่านี้มักเรียกค่าจ้างต่องานมากน้อยแค่ไหน หากมีค่าอุปกรณ์เสริมที่เราต้องจ่ายเองกรณีเปลี่ยนอะไหล่บางตัว ก็ต้องรู้ด้วยว่าอะไหล่ตัวนั้นราคาเท่าไหร่ เพื่อนำมาใช้คำนวณให้ได้ราคาที่ใกล้เคียง ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป

ที่สำคัญหากคุณกำลังมองหาบริษัทที่ให้บริการซ่อมแอร์ ก็ควรดูด้วยว่าบริษัทนั้นมีข้อเสนอราคาพิเศษหรือโปรโมชันหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องสอบถามรายละเอียดหรือเงื่อนไขอื่น ๆ ให้แน่ใจว่าครอบคลุมบริการส่วนไหนบ้าง

 

4. รายละเอียดว่าจ้างและเงื่อนไข

เนื่องจากราคาจ้างช่างของแต่ละที่แตกต่างกัน คุณจึงควรทำสัญญาลงรายละเอียดและเงื่อนไขว่าจ้างให้ละเอียดและเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะการว่าจ้างปากเปล่าหรือติดต่อทางโทรศัพท์อาจนำมาสู่การสื่อสารคลาดเคลื่อนได้ นอกจากนี้ คุณควรดูรายละเอียดของเรื่องการรับประกัน อุปกรณ์หรืออะไหล่ที่นำมาเปลี่ยนแทนของเดิม (ถ้ามี) วันเริ่มงานและจบงาน

สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจว่าจ้างได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อตกลงรับงานกันเรียบร้อยแล้ว ต้องตรวจสอบรายละเอียดการทำงานอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาแอร์เสียคืออะไร ซ่อมตรงไหนบ้าง และค่าใช้จ่ายในการซ่อมทั้งหมดเท่าไหร่ เพื่อลดความเสี่ยงการสื่อสารผิดพลาดให้มากที่สุด

 

5. เงื่อนไขการบำรุงรักษา

แม้ว่าคุณอาจไม่ได้คำนึงถึงประเด็นนี้ตั้งแต่มองหาช่างซ่อมแอร์ตั้งแต่แรก แต่การบำรุงรักษาหลังให้บริการก็เป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขสำคัญที่ต้องพิจารณาควบคู่ด้วย โดยทั่วไปแล้ว ช่างซ่อมแอร์มืออาชีพหรือบริษัทที่ให้บริการด้านนี้จะมีบริการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศให้อยู่แล้ว ซึ่งมักมาในรูปแบบสัญญารายปี คุณสามารถโทรติดต่อช่างและแจ้งปัญหาได้โดยตรง รวมทั้งรับทราบรายละเอียดบริการและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามสมควร

 

หาช่างซ่อมแอร์บ้าน ต้องเลือกให้ดี

 

เว็บไซต์และแอปพลิเคชันค้นหาช่างซ่อมแอร์

1. 24 Fix

บริการของ 24 Fix จะเน้นไปที่การดูแลบ้านในงานช่างต่าง ๆ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างซ่อมแอร์ ช่างประปา รวมไปทั้งเกี่ยวกับโครงสร้างของบ้าน เช่น งานต่อเติม งานพื้น เพดาน และทาสี หรืองานซ่อมทั่วไป โดยค่าบริการเริ่มต้นที่ประมาณ 700 บาท

2. รวมช่าง fixer finder

แอปรวมช่าง fixer finder โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ที่ได้รวบรวมช่างฝีมือจำนวนกว่า 6,000 คน ทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2563) ที่พร้อมจะให้บริการ มีมาตรฐาน ราคาที่เป็นธรรม มีช่างบริการจำนวน 3 ช่าง ได้แก่

1) ช่างไฟฟ้า ให้บริการเดินสายไฟฟ้าภายในอาคาร ติดตั้งระบบไฟฟ้าภายในอาคาร ที่พักอาศัยหรือเปลี่ยนหลอดไฟ ปลั๊ก สวิตช์ เบรกเกอร์

2) ช่างซ่อมแอร์ ให้บริการล้าง ติดตั้ง เติมน้ำยาแอร์ และตรวจเช็กความผิดปกติของแอร์

3) ช่างประปาและสุขภัณฑ์ ให้บริการเปลี่ยนก๊อกน้ำ ซิงค์ ท่อน้ำและติดตั้งสุขภัณฑ์

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ฟรีทั้งในระบบ iOS และ Android

3. ServisHero

ServisHero เป็นบริษัทข้ามชาติจากมาเลเซียที่มีบริการช่างหลากหลาย เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างซ่อมบำรุงทั่วไป ช่างซ่อมแอร์ รวมถึงบริการทำความสะอาดใหญ่ ทำความสะอาดธรรมดา ทำความสะอาดฆ่าเชื้อ และกำจัดแมลง

4. Fixzy

บริการเกี่ยวกับบ้านครบวงจร โดยผู้ให้บริการมืออาชีพ ที่เดียวครบจัดการได้ทุกปัญหาเรื่องบ้าน ได้แก่ ช่างไฟฟ้า ช่างระบบน้ำ ช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า งานบริการและซ่อมบำรุงต่าง ๆ งานด้านโครงสร้าง ปรับปรุง ต่อเติมอุปกรณ์ต่าง ๆ ในบ้าน และงานเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ อย่างการดูแลสวนหย่อม

 

เป็นธรรมดาที่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้มานานย่อมเสื่อมสภาพและต้องได้รับการดูแลซ่อมแซมตามกรณี การรู้จักและเข้าใจว่าปัญหาคืออะไร วิธีแก้ไขแบบไหนถึงเหมาะสม คือทางออกที่ดีที่สุด หากปัญหานั้นเป็นเรื่องทั่วไปที่จัดการได้ทันที ก็ควรศึกษาวิธีซ่อมแซมและทำตามอย่างเคร่งครัด

ในขณะเดียวกัน หากปัญหาแอร์เสียเกิดจากปัญหาทางเทคนิค ก็จำเป็นต้องเรียกใช้ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนเจ้าบ้านหรือผู้อยู่อาศัยก็ควรเลือกเรียกใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้รับบริการคุ้มค่าและแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
20 วันดีปี 2564 ฤกษ์มงคลสำหรับขึ้นบ้านใหม่ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/20-วันดีปี-2564-ฤกษ์มงคลสำหรับขึ้นบ้านใหม่-40469?locale=th www.ddproperty.com:resources:40469 Fri, 03 Sep 2021 00:14:41 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/01/House-warming-day-in-2021-150x150.jpg"/></p> 20 วันดีปี 2564 ฤกษ์มงคลสำหรับขึ้นบ้านใหม่ ในการถือฤกษ์ยามนั้น สิ่งที่สำคัญคือการอาศัยจังหวะฟ้าดินในการให้พลังสิริมงคล ในโหราศาสตร์ไทย การขึ้นบ้านใหม่ การเปิดกิจการร้านค้า การแต่งงาน ดูรวม ๆ อาจเหมือนเป็นงานมงคลในลักษณะเดียวกัน แต่ในรายละเอียดแล้วมีข้อปลีกย่อยต่างกันไป

สำหรับการขึ้นบ้านใหม่ ฤกษ์ที่เหมาะสม จะใช้ได้อยู่หลายฤกษ์ ทั้งนี้อาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก แต่ถ้าจะให้ใช้อย่างง่ายและอยู่ในความเป็นสิริมงคลเบื้องต้น คุณการะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ นักพยากรณ์ชื่อดัง เจ้าเก่าเจ้าเดิมขอแนะนำ 20 วันดีปี 2564 ดังนี้

พิธีการขึ้นบ้านใหม่และข้อห้าม 2564

 

วันดีโดยใช้ฤกษ์ดาว

1. ใช้ฤกษ์ที่ครองด้วยดาวศุกร์ (6) ดีที่สุด เพราะดาวศุกร์คือดาวแห่งศิลปะ ความงาม ความรัก ความสุข และการเงิน ซึ่งในหมวดฤกษ์ ก็คือกลุ่มมหัธโนฤกษ์ ซึ่งมีความหมายอีกชั้นว่า เป็นฤกษ์ของผู้มั่งคั่ง ผู้ร่ำรวย ถือว่าเป็นฤกษ์เบิกประตูชัยให้ชีวิต เพื่อความเจริญผาสุกในบ้านเรือนที่อยู่อาศัย

2. ใช้ฤกษ์ที่ครองด้วยดาวเสาร์  (7) ดีในลำดับต่อมา เพราะเสาร์คือความแข็งแรง ความมั่นคง ความอดทน เป็นดาวแห่งกระดูกสันหลังแห่งชีวิต ซึ่งก็คือฤกษ์ในกลุ่มราชาฤกษ์ ซึ่งหมายถึงเจ้าแห่งแผ่นดิน อันเป็นนิมิตหมายที่ดีในการเข้าอยู่ในบ้านเรือนที่มั่นคง

อย่างไรก็ตาม ราชาฤกษ์เป็นฤกษ์ที่แรง ควรพิจารณารายละเอียดอื่น ๆ ประกอบกันด้วย จะใช้ให้ได้ผลดีที่สุด ควรใช้ประกอบฤกษ์ในดวงชะตาอย่างเจาะจง

3. ใช้ฤกษ์ที่ครองด้วยดาวจันทร์ (2) เพราะจันทร์คือแม่ คู่ชีวิตเพศหญิง ความอุดมสมบูรณ์แก่บุตร และรายได้การเงิน ซึ่งก็คือฤกษ์ในกลุ่มภูมิปาโลฤกษ์ อันหมายถึงฤกษ์ผู้รักษาแผ่นดิน ซึ่งก็อยู่ในเกณฑ์มีความหมายที่ดีสำหรับบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดิน

หมายเหตุ ฤกษ์นี้ใช้ได้กับงานมงคลหลายอย่าง แต่หากจะขึ้นบ้านใหม่ ให้ดีควรพิจารณาประกอบฤกษ์ชะตาของเจ้าบ้านด้วย

สำหรับในทางเหนือล้านนา ก็มีคติการให้ฤกษ์ยามต่างออกไป โดยจะนิยมใช้ดิถีดาวจันทร์เป็นหลัก ประกอบกับฤกษ์มงคลประจำวัน เช่น ฤกษ์นันทาดิถี ใช้สร้างบ้านใหม่, ฤกษ์ริทธาดิถี ใช้ทำความสะอาดบ้านเรือน, ฤกษ์วันสิทธิโชค มหาสิทธิโชค เป็นวันแห่งความสำเร็จ, ฤกษ์ราชาโชค วันดีของการซื้อบ้าน

ความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีทำบุญขึ้นบ้านใหม่จากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม

ห้ามขึ้นบ้านใหม่วันไหน

ข้อห้ามของการขึ้นบ้านใหม่ ควรเลี่ยงการขึ้นบ้านใหม่ในวันเสาร์ และวันพุธ แม้ว่าดาวเสาร์จะเป็นดาวเจ้าฤกษ์แห่งราชาฤกษ์ แต่เป็นดาวบาปเคราะห์ และถือว่าเสาร์คือความทุกข์ยากเศร้าโศก จึงไม่เหมาะกับงานมงคล ส่วนวันพุธ เพราะดาวพุธคือเจ้าแห่งความรวนเรแปรปรวน จึงไม่นิยมใช้ในงานมงคลที่ต้องการความยั่งยืน

ด้วยเหตุนี้วันที่ดีที่สุดสำหรับการขึ้นบ้านใหม่ จึงควรเป็นวันจันทร์ และวันพฤหัส ด้วยเป็นวันของดาวศุภเคราะห์ ความรื่นรมย์สวยงาม และความมั่นคง

พิธีลงเสาเอกบ้าน พิธีเสริมมงคลให้กับบ้านใหม่

 

20 วันดีปี 2564 สำหรับการขึ้นบ้านใหม่ ทำการมงคลแก่บ้านเรือน

วันดีปี 2564 ที่เหมาะกับการเป็นฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ หรือทำการมงคลแก่บ้านเรือน ได้แก่

 

10 มกราคม 2564

- วันอาทิตย์ แรม 11 ค่ำ

- วันสิทธิโชค ราชาฤกษ์ ต่อด้วยสมโณฤกษ์

- วันร้ายกลายเป็นดี  ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นแรม 12 ค่ำ

 

24 มกราคม 2564

- วันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ

- วันสิทธิโชค ภูมิปาโลฤกษ์

- วันร้ายกลายเป็นดี ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นออก 11 ค่ำ

 

29 มกราคม 2564

- วันศุกร์ แรม 1 ค่ำ

- วันอมริสสโชค วันราชาโชค วันไชยโชคสมโณฤกษ์

- วันช้างแก้วขึ้นสู่โรงธรรม ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันนันทาดิถี ควรแก่การปลูกสร้างบ้านใหม่

 

28 กุมภาพันธ์ 2564

- วันอาทิตย์ แรม 1 ค่ำ มหัธโณฤกษ์

- วันช้างแก้วขึ้นสู่โรงธรรม ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นแรม 2 ค่ำ

 

26  มีนาคม 2564

- วันศุกร์ ขึ้น 13 ค่ำ ทลิทโฤกษ์ ต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์

- วันฤกษ์ชัยดี วันหัวเรียงหมอน

- วันชัยยะปราบจมปูดี ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันออก 13 ค่ำ

 

29 มีนาคม 2564

- วันจันทร์ แรม 1 ค่ำ ภูมิปาโลฤกษ์

- วันฤกษ์ชัยดี

- วันช้างแก้วขึ้นสู่โรงธรรม ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันแรม 1 ค่ำ

 

25 เมษายน 2564

- วันอาทิตย์ ขึ้น 13 ค่ำ ภูมิปาโลฤกษ์ ต่อด้วยเทศาตรีฤกษ์

- วันฤกษ์ชัยดี วันมหาสิทธิโชค ดิถีเรียงหมอน

- วันไชยะปราบจมปู (วันชนะอุปสรรคทั้งปวง) ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันออก 14 ค่ำ

 

29 เมษายน 2564

- วันพฤหัสบดี แรม 2 ค่ำราชาฤกษ์ ต่อด้วยสมโณฤกษ์

- วันล้างมือคอยท่ากิน ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันแรม 3 ค่ำ วันล้างมือคอยท่ากิน

 

10 พฤษภาคม 2564

- วันจันทร์ แรม 13 ค่ำ ทลิทโทฤกษ์ ต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์

- วันฤกษ์ชัยดี วันหัวเรียงหมอน

- วันไชยะปราบจมปู (วันชนะอุปสรรคทั้งปวง) ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันแรม 14 ค่ำ

 

27 พฤษภาคม 2564

- วันพฤหัสบดี แรม 1 ค่ำ สมโณฤกษ์ ต่อด้วยทลิทโทฤกษ์

- วันฤกษ์ชัยดี

- วันช้างแก้วขึ้นสู่โรงธรรม ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันแรม 1 ค่ำ

 

24 มิถุนายน 2564

- วันพฤหัส จันทร์เพ็ญ 14 ค่ำ สมโณฤกษ์ ต่อด้วยทลิทโทฤกษ์

- วันปุณณาดิถี ฟ้าตีแส่งเศษ 5 เป็นวันมงคลของล้านนา

- ล้านนาเป็นวันออก 15 ค่ำ

 

27 มิถุนายน 2564

- วันอาทิตย์ แรม 3 ค่ำ ภูมิปาโลฤกษ์ ต่อด้วยเทศาตรีฤกษ์

- วันฤกษ์ชัยดี

- วันล้างมือคอยท่ากิน ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาก็เป็นวันแรม 3 ค่ำ

 

9 สิงหาคม 2564

- วันจันทร์ ขึ้น 1 ค่ำ สมโณฤกษ์ ต่อทลิทโทฤกษ์

- วันฤกษ์ชัยดี

- วันช้างแก้วขึ้นสู่โรงธรรม ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันออก 1 ค่ำ

 

22 สิงหาคม 2564

- วันอาทิตย์ จันทร์เพ็ญ เทศาตรีฤกษ์ ต่อด้วยเทวีฤกษ์

- วันมหาสิทธิโชค

- ล้านนาเป็นวันออก 14 ค่ำ

 

6 กันยายน 2564

- วันจันทร์ แรม 15 ค่ำ ทลิทโทฤกษ์ ต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์

- วันหัวเรียงหมอน

- ล้านนาเป็นวันแรม 14 ค่ำ

 

20 กันยายน 2564

- วันจันทร์ ขึ้น 13 ค่ำ ราชาฤกษ์

- วันฤกษ์ชัยดี ดิถีเรียงหมอน

- วันไชยะปราบจมปู (วันชนะอุปสรรคทั้งปวง) ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันออก 14 ค่ำ

 

15 พฤศจิกายน 2564

- วันจันทร์ขึ้น 11 ค่ำ ราชาฤกษ์ ต่อด้วยสมโณฤกษ์

- วันฤกษ์ชัยดี วันหัวเรียงหมอน

- วันขี้ร้ายกลายเป็นดี ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันออก 11 ค่ำ

 

22 พฤศจิกายน 2564

- วันจันทร์ แรม 3 ค่ำ เทศาตรีฤกษ์ ต่อด้วยเทวีฤกษ์

- วันอัมมริสโชค วันไชยะโชค ราชาโชค

- ล้านนาเป็นวันแรม 3 ค่ำ

 

25 พฤศจิกายน 2564

- วันพฤหัสบดี แรม 6 ค่ำ ราชาฤกษ์ ต่อด้วยสมโณฤกษ์

- วันฤกษ์ชัยดี

- วันลงสำเภาไปค้า ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันแรม 6 ค่ำ ลงสำเภาไปค้าเป็นวันดี

 

2 ธันวาคม 2564

- วันพฤหัสบดี แรม 13 ค่ำ เทวีฤกษ์ (ภายในเวลาไม่เกิน 17.59 น.)

- วันฤกษ์ชัยดี วันหัวเรียงหมอน

- วันไชยะปราบจมปู (วันชนะอุปสรรคทั้งปวง) ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันแรม 13 ค่ำ

 

วันดีปี 2564 เพิ่มเติม ที่เหมาะกับงานมงคล ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่

 

วันดีปี 2564 เพิ่มเติม ที่เหมาะกับงานมงคล ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่

กรณีหาฤกษ์ยามได้ไม่ตรงกำหนดเวลาชีวิต วันเพิ่มเติมเหล่านี้ มีมงคลอยู่มาก แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่เป็นบางส่วน สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม โดยอาจจะใช้วิธีแก้เคล็ด หรือแก้ไขด้วยวิธีการอื่น ๆ เพิ่มเติม จึงแนะนำให้ปรึกษาโหราจารย์อีกครั้ง

 

11 เมษายน 2564

- วันอาทิตย์ แรม 14 ค่ำ ราชาฤกษ์ ต่อด้วยสมโณฤกษ์

- วันมหาสิทธิโชค วันหัวเรียงหมอน

- เป็นวันทำการมงคลพอได้ แต่ไม่ดีนัก ควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

 

 20 พฤษภาคม 2564

- วันพฤหัสบดี ขึ้น 9 ค่ำ ทลิทโทฤกษ์ ต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์

- วันสิทธิโชค

- วันนี้ตกเสี้ยนพระราม ไม่ดีนัก แต่ก็พอใช้ได้ ควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

- ล้านนาเป็นวันออก 9 ค่ำ

 

24 พฤษภาคม 2564

- วันจันทร์ ขึ้น 13 ค่ำ เทศาตรีฤกษ์ ต่อด้วยเทวีฤกษ์

- วันฤกษ์ชัยดี ดิถีเรียงหมอน

- วันไชยะปราบจมปู (วันชนะอุปสรรคทั้งปวง) ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันเสีย แต่ออก 13 ค่ำ จึงอาจได้อย่างเสียอย่าง ควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

 

6 มิถุนายน 2564

- วันอาทิตย์ แรม 11 ค่ำ ทลิทโทฤกษ์ ต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์

- วันสิทธิโชค วันฤกษ์ชัยดี

- วันร้ายกลายเป็นดี ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันเสีย แต่แรม 13 ค่ำ วันไชยะปราบจมปู (วันชนะอุปสรรคทั้งปวง) จึงอาจได้อย่างเสียอย่าง ควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

 

1 กรกฎาคม 2564

- วันพฤหัสบดี แรม 7 ค่ำ ราชาฤกษ์ ต่อด้วยสมโณฤกษ์

- วันมหาสิทธิโชค

- ล้านนาเป็นวันแรม 7 ค่ำ ตกวันเคราะห์อยู่หน้า จึงอาจได้อย่างเสียอย่าง ควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

 

6 สิงหาคม 2564

- วันศุกร์ แรม 13 ค่ำ เทวีฤกษ์ ต่อเพชฌฆาตฤกษ์

- วันหัวเรียงหมอน วันไชยะปราบจมปู (วันชนะอุปสรรคทั้งปวง) ดิถีมงคลของทางล้านนา

- แต่ล้านนาเป็นวันแรม 12 ค่ำ อาจได้อย่างเสียอย่าง ควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

 

26 สิงหาคม 2564

- วันพฤหัสบดี แรม 4 ค่ำ สมโณฤกษ์ ต่อด้วยทลิทโทฤกษ์

- วันอมริสสโชค วันไชยะโชค ดิถีเรียงหมอน

- ล้านนาเป็นวันแรม 3 ค่ำ ล้างมือคอยท่ารอกิน แต่ตกวันเสียประจำเดือน ควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

 

- 27 สิงหาคม 2564

- วันศุกร์ แรม 5 ค่ำ ทลิทโทฤกษ์ ต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์

- วันหัวเรียงหมอน

- ล้านนาเป็นวันแรม 4 ค่ำ ตกดิถีไม่ดีนัก แต่มีฤกษ์ดีอื่นๆ ประกอบ ควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

 

2 กันยายน 2564

- วันพฤหัสบดี แรม 11 ค่ำ เทวีฤกษ์ (ภายในเวลาไม่เกิน 16.29 น.)

- วันฤกษ์ชัยดี

- วันร้ายกลายเป็นดี ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันแรม 10 ค่ำ ตกวันเสียประจำเดือน และดิถีไม่ดีนัก ควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

 

10 กันยายน 2564

- วันศุกร์ ขึ้น 3 ค่ำ เทศาตรีฤกษ์ ต่อด้วยเทวีฤกษ์

- วันล้างมือท่าคอยกิน  ดิถีมงคลของทางล้านนา

- ล้านนาเป็นวันออก 4 ค่ำ ตกวันเสียประจำเดือน จึงอาจได้อย่างเสียอย่าง ควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

 

25 ตุลาคม 2564

- วันจันทร์ แรม 5 ค่ำ เทศาตรีฤกษ์ ต่อด้วยเทวีฤกษ์ (ภายในเวลาไม่เกิน 16.08 น.)

- วันสิทธิโชค

- ล้านนาเป็นวันแรม 4 ค่ำ ตกวันเสียประจำเดือน อาจได้อย่างเสียอย่างควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

 

18 พฤศจิกายน 2564

- วันพฤหัสบดี ขึ้น 14 ค่ำ มหัทธโนฤกษ์ (ภายในเวลาไม่เกิน 03.01 ของเช้าวันรุ่งขึ้น)

- ล้านนาเป็นวันออก 14 ค่ำ ดิถีทางล้านนาไม่ดีนัก อาจได้อย่างเสียอย่าง ควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

 

23 ธันวาคม 2564

- วันพฤหัสบดี แรม 4 ค่ำ สมโณฤกษ์ ต่อด้วยทลิทโทฤกษ์

- วันอมมริสโชค ดิถีเรียงหมอน

- ล้านนาเป็นวันแรม 4 ค่ำ ตกวันเสียประจำเดือน อาจได้อย่างเสียอย่าง ควรปรึกษาโหราจารย์เพิ่มเติม

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ก่อนต่อเติมหน้าบ้าน มี 4 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ก่อน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ต่อเติมหน้าบ้าน-54742?locale=th www.ddproperty.com:resources:54742 Wed, 01 Sep 2021 21:15:25 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/08/shutterstock_691277239-150x150.jpg"/></p> ก่อนต่อเติมหน้าบ้าน มี 4 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ก่อน การต่อเติมหน้าบ้านก็เหมือนกับการขยับขยายพื้นที่แห่งความสุขออกไปให้กว้างขึ้นอีกนิด เพราะสิ่งที่คุณจะได้จากการต่อเติมหน้าบ้านนอกจากพื้นที่ใช้สอยที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้คุณได้ถือโอกาสแปลงโฉมให้บ้านใหม่ ด้วยการต่อเติมหน้าบ้านให้เข้ากับตัวบ้าน

แต่การจะต่อเติมหน้าบ้านนั้นใช่ว่าคิดอยากทำแล้วจะทำได้ทันที ยังมีอีกหลายปัจจัยที่คุณต้องรู้ก่อนต่อเติมหน้าบ้าน ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่าก่อนจะต่อเติมหน้าบ้าน 4 เรื่องสำคัญที่คุณต้องรู้คืออะไร เพื่อให้คุณได้พื้นที่หน้าบ้านที่ทั้งสวยถูกใจ ถูกกฎหมาย ใช้งานได้จริง และไม่รบกวนเพื่อนบ้านของคุณด้วย

sportlight

 

1. ต่อเติมหน้าบ้านคืออะไร

เรื่องแรกที่คุณควรรู้ก่อนจะเริ่มต่อเติมหน้าบ้าน ก็คือการทำความเข้าใจว่าแบบไหนที่เรียกว่าต่อเติมหน้าบ้านกันแน่ เนื่องจากคุณจะต้องพิจารณาต่อไปว่า แบบแผนการต่อเติมหน้าบ้านที่เราเตรียมไว้นั้นจะถูกกฎหมายหรือไม่ ต้องขออนุญาตจากใครหรือเปล่า

โดยการต่อเติมหน้าบ้านนั้น คือ การต่อเติม ดัดแปลง หรือปลูกสร้างสิ่งใดบนพื้นที่หน้าบ้าน เช่น การปูพื้นหน้าบ้าน การทำโรงรถ การต่อเติมหลังคา เป็นต้น ซึ่งแต่ละแบบของการต่อเติมหน้าบ้านอาจจะเข้าข่ายที่ต้องขออนุญาตตามกฎหมาย ดังนั้นก่อนที่จะต่อเติมหน้าบ้าน เราควรจะมีแบบให้แน่ใจว่าอยากจะต่อเติมหน้าบ้านแบบไหน เพื่อที่จะได้เตรียมการต่อเติมหน้าบ้านได้อย่างถูกใจ และถูกกฎหมาย

 

ต่อเติมหน้าบ้านอย่าลืมทำให้ถูกกฎหมาย

 

2. ต่อเติมหน้าบ้านอย่างไรให้ถูกกฎหมาย

สิ่งที่สำคัญและไม่ควรจะมองข้ามในการต่อเติมหน้าบ้านคือการตรวจสอบข้อกฎหมาย เพราะถ้าเราเลือกต่อเติมหน้าบ้านไปแล้วแต่ผิดกฎหมาย ก็อาจจะต้องมารื้อให้เสียดายเงินเสียดายเวลากันภายหลัง

ซึ่งคณะอนุกรรมการคลินิกช่างวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้รวบรวมข้อควรรู้ตามกฎหมายการต่อเติมหรือดัดแปลงอาคารไว้ในหนังสือชื่อ “ต่อเติมอย่างไรไม่ให้มีปัญหา” โดยรายละเอียดต่อไปนี้ จะต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการ

- การขยายพื้นที่ชั้นหนึ่งชั้นใดตั้งแต่ 5 ตารางเมตร

- การเปลี่ยนหรือขยายหลังคาให้ปกคลุมเนื้อที่มากกว่าเดิม

- การเพิ่ม ลด จำนวนหรือเปลี่ยนเสา คาน บันได และผนัง

และอาคารจะต้องมีระยะถอยร่นจากแนวเขตที่ดิน ดังนี้

- สำหรับทาวน์เฮาส์และตึกแถม พื้นที่ว่างด้านหลังกว้าง 2 เมตรจะต้องเว้นไว้เพื่อเป็นทางหนีไฟ

- ผนังด้านที่เปิดประตู หน้าต่าง ที่สูงไม่เกิน 9 เมตร ต้องอยู่ห่างจากเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 2 เมตร สำหรับที่สูงเกิน 9 เมตรจะต้องห่าง 3 เมตร และผนังที่ไม่มีช่องเปิดต้องห่างจากเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 0.5 เมตร ยกเว้นแต่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินข้างเคียง

ข้อกำหนดเกี่ยวกับระยะร่น

ลักษณะอาคาร

ความกว้างถนน

ระยะร่น

สูงไม่เกิน 2 ชั้น หรือ 8 เมตร

น้อยกว่า 6 เมตร

จากจุดกึ่งกลางถนนอย่างน้อย 3 เมตร

สูงเกิน 2 ชั้น หรือ 8 เมตร

น้อยกว่า 10 เมตร

จากจุดกึ่งกลางถนนอย่างน้อย 6 เมตร

สูงเกิน 2 ชั้น หรือ 8 เมตร

10-20 เมตร

จากเขตถนนอย่างน้อย 1 ใน 10 ของความกว้างถนน

สูงเกิน 2 ชั้น หรือ 8 เมตร

เกิน 20 เมตร

จากเขตถนนอย่างน้อย 2 เมตร

 

ดังนั้น การต่อเติมทั่วไปก็มักจะต้องขออนุญาตสร้างอยู่แล้ว โดยต้องแจ้งกับพนักงานท้องถิ่น และต้องให้สถาปนิก หรือ วิศวกร ที่มีใบอนุญาตถูกต้องเป็นผู้ลงลายมือชื่อรับรองแบบให้ด้วย แต่ราชการอาจจะอนุโลมให้สำหรับกรณีที่ไม่มีปัญหากับบ้านข้างเคียง เพราะถึงแม้บ้านข้างเคียงจะอนุญาตแล้ว แต่ถ้าเราต่อเติมหน้าบ้านแล้วเกิดปัญหาการก่อสร้างกระทบกับบ้านข้างเคียง เช่น ตอกเสาเข็มจนสั่นสะเทือน ขุดดินจนบ้านทรุด เสียงหรือฝุ่นผงรบกวน ก็อาจจะเกิดการฟ้องร้องให้หยุดการต่อเติมหน้าบ้านได้ ดังนั้นตรวจสอบให้ชัดเจน และคุยกับเพื่อนบ้างข้างเคียงไว้ก่อนต่อเติมหน้าบ้านดีที่สุด

ที่สำคัญ อย่าลืมเราต่อเติมหน้าบ้านโดยไม่ได้ขออนุญาต หรือต่อเติมบ้านผิดไปจากแบบแปลนที่ยื่นขอไว้ ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ต่อเติมบ้าน รู้ข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522

Guide

ต่อเติมบ้าน รู้ข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522

3. ต่อเติมหน้าบ้านแบบไหนได้บ้าง

อยากต่อเติมหน้าบ้านแล้วแต่ไม่มีไอเดียเราจัดให้ มาดูกันว่าพื้นที่หน้าบ้านของเราจะสามารถต่อเติมเป็นแบบไหนได้บ้าง

ต่อเติมหน้าบ้านเป็นโรงจอดรถ

- ต่อเติมหน้าบ้านเป็นโรงจอดรถ

นับว่าเป็นการต่อเติมหน้าบ้านยอดนิยมสำหรับหลาย ๆ ครอบครัว ข้อดีของการต่อเติมหน้าบ้านเป็นโรงจอดรถก็คือช่วยให้คุณสามารถต่อเติมหลังคาป้องกันความร้อนและฝนให้กับรถ และยังใช้เป็นพื้นที่ร่มสำหรับทำกิจกรรมอย่างอื่นได้อีกด้วย

จะสร้างโรงจอดรถให้เหมาะกับบ้านและรถ ต้องรู้อะไรบ้าง

Guide

จะสร้างโรงจอดรถให้เหมาะกับบ้านและรถ ต้องรู้อะไรบ้าง

ทั้งนี้การต่อเติมหน้าบ้านเป็นโรงรถควรจะพิจารณาพื้นว่ามีสภาพเหมาะสมแล้วหรือไม่ เช่น ถ้าเป็นพื้นดิน อาจจะต้องมีการเทพื้นคอนกรีตก่อนเพื่อเตรียมพื้น และตอกเสาเหล็กรับหลังคาโรงรถตามแบบที่กำหนดไว้

ต่อเติมหน้าบ้านโดยการปูพื้น

- ต่อเติมหน้าบ้านโดยการปูพื้น

บางบ้านอาจจะต้องการเพียงแค่พื้นที่สะอาดเรียบร้อยหน้าบ้าน ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยอาจจะพิจารณาจากสภาพพื้นที่ที่มีอยู่ และเลือกวิธีการปูพื้นและวัสดุให้เหมาะสม เช่น ปูพื้นคอนตรีตทั่วไป ปูแบบพิมพ์ลาย ปูแบบกรวดล้าง หรือปูแบบกระเบื้อง ขึ้นอยู่กับความสวยงามและการใช้งานพื้นที่ที่ต้องการ

ต่อเติมหน้าบ้านเป็นสวนสวย

- ต่อเติมหน้าบ้านเป็นสวนสวย

บางบ้านต้องการพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจคลายเครียด ก็อาจจะเลือกต่อเติมหน้าบ้านโดยการแบ่งเป็นพื้นที่สำหรับปูหญ้าและทางคอนกรีต ขุดเจาะน้ำพุจำลอง หรือจะทำเป็นโรงเก็บต้นไม้พันธุ์เล็กก็สวยงามไปอีกแบบ และยังช่วยเพิ่มความรู้สึกชุ่มชื้น เป็นธรรมชาติให้กับตัวบ้านอีกด้วย

ต่อเติมหน้าบ้านเป็นห้องเพิ่มเติม

- ต่อเติมหน้าบ้านเป็นห้องเพิ่มเติม

สำหรับการต่อเติมหน้าบ้านเป็นห้องในบ้านอาจจะต้องวางแผนมากกว่าการต่อเติมแบบอื่น ๆ เนื่องจากเป็นการต่อเติมพื้นที่หน้าบ้านแบบที่ต้องกั้นผนังห้องใหม่ ใส่หน้าต่าง และอาจจะต้องดูว่าจะเชื่อมต่อกับตัวบ้านได้อย่างไร เช่น อาจจะทำเป็นแค่ส่วนของห้องกระจกแยกออกมา เป็นต้น

 

ต่อเติมหน้าบ้านอย่างไรให้ถูกหลักการก่อสร้าง

การต่อเติมหน้าบ้านนอกจากจะต้องถูกกฎหมาย สวยถูกใจ หลักการก่อสร้างก็ต้องถูกต้องด้วยเช่นกัน เราคงไม่อยากให้หน้าบ้านที่ต่อเติมใหม่กลายมาเป็นปัญหาให้ช้ำใจ ดังนั้นก่อนจะต่อเติมบ้านครั้งใด คุณควรจะ

1. ปรึกษาสถาปนิกและวิศวกรในการต่อเติมบ้าน ไม่ว่าจะทุบ จะสร้าง เพิ่มลดจำนวนพื้นที่ใช้สอยมากน้อยแค่ไหนก็ควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันความผิดพลาด

2. ตรวจสอบพื้นที่เก่าก่อนต่อเติมหน้าบ้านเข้าไปใหม่ เช่น สภาพดินตรงนั้นเป็นอย่างไร พื้นที่เพียงพอกับการต่อเติมหน้าบ้านหรือไม่ ถ้าตอกเสาเข็มไปจะทำให้บ้านทรุดหรือเปล่า

3. คำนึงถึงความปลอดภัยก่อนความสวยงามเสมอ

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมายควบคุมอาคารจากกรมโยธาธิการและผังเมือง

นี่ก็คือ 4 เรื่องสำคัญที่คุณต้องรู้ก่อนจะต่อเติมหน้าบ้าน เพื่อให้พื้นที่ใช้สอยหน้าบ้านของคุณนั้นสามารถทำได้อย่างถูกต้อง ถูกใจ และใช้สอยได้จริง เพราะถึงแม้จะเป็นพื้นที่หน้าบ้านหรือนอกตัวบ้าน แต่ก็เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของ “บ้าน” อันแสนอบอุ่นของเราและครอบครัว ดังนั้นการต่อเติมหน้าบ้านจึงไม่ได้ทำเพื่อความสุขของคนในบ้านเท่านั้น แต่จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนบ้านของเราด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
5 แบบบันไดบ้าน เพิ่มมูลค่าให้บ้านสวยและน่าอยู่ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/แบบบันไดบ้าน-54752?locale=th www.ddproperty.com:resources:54752 Wed, 01 Sep 2021 17:45:51 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/08/shutterstock_363826127-150x150.jpg"/></p> 5 แบบบันไดบ้าน เพิ่มมูลค่าให้บ้านสวยและน่าอยู่ หลายคนอาจมองว่า “บันไดบ้าน” เป็นเพียงส่วนประกอบที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างชั้นหนึ่งไปอีกชั้นหนึ่งของบ้านเท่านั้น แต่ความจริงแล้วบันไดบ้านที่ออกแบบอย่างดี กลับช่วยเพิ่มมูลค่าให้บ้านสวยงามและน่าอยู่อาศัยขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ของ Hogbens Property Services จากประเทศอังกฤษเผยว่า บันไดบ้านที่ถูกออกแบบมาอย่างสวยงามจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้บ้านมีราคาที่น่าสนใจขึ้น เพราะแทบจะเป็นสิ่งแรกที่พบเห็นเมื่อเปิดประตูบ้านเข้ามา ซึ่งบันไดบ้านที่ได้รับการออกแบบอย่างสร้างสรรค์ก็เปรียบเสมือนผลงานศิลปะชิ้นเอกของบ้าน นอกจากทำให้บรรยากาศโดยรวมของบ้านน่าอยู่มากขึ้น แล้วยังสะท้อนรสนิยมของผู้อาศัยอีกด้วย

sportlight

 

บันไดบ้านมีกี่แบบ

บันไดบ้านมีหลากหลายรูปแบบให้เลือก แต่สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงเป็นอันดับแรกคือขนาดของพื้นที่บ้านที่เรามี จากนั้นค่อยมาเลือกรูปแบบของบันไดบ้านที่เหมาะสม ซึ่งมีให้เลือกดังนี้

1. บันไดบ้านทางตรง

บันไดบ้านทางตรง

เป็นบันไดที่ไม่มีการเลี้ยวหรือโค้ง เหมาะกับบ้านที่มีหน้าแคบแต่ทรงยาว และสามารถใช้โครงสร้างให้เป็นประโยชน์ได้ เช่น ทำเป็นตู้วางหนังสือ เป็นต้น ถ้าหากบ้านมีความสูงระหว่างพื้นสองชั้นเยอะ ควรมีชานพักตรงกลางเพื่อความปลอดภัย ข้อดีของบันไดบ้านทางตรงคือสามารถออกแบบลูกเล่นได้เยอะ ทั้งในเรื่องโครงสร้าง วัสดุ ราวบันไดเพราะค่อนข้างเป็นบันไดบ้านที่ปลอดภัยและเรียบง่ายที่สุด

 

2. บันไดบ้านแบบหักฉากหรือแบบบันไดรูปตัว L

บันไดบ้านแบบหักฉากหรือแบบบันไดรูปตัว L

ลักษณะบันไดบ้านเลี้ยวเป็นมุมฉาก 90 องศา แบ่งเป็นบันไดสองช่วง โดยมีชานพักคั่นกลาง จำนวนขั้นของบันไดช่วงแรกกับช่วงที่สองไม่จำเป็นต้องเท่ากันก็ได้ แล้วแต่พื้นที่ที่เอื้ออำนวย ซึ่งถ้าต้องการประหยัดพื้นที่อีก บางบ้านจะเลือกใช้บันไดที่คล้ายบันไดบ้านแบบหักฉาก แต่บริเวณชานพักจะใช้ขั้นบันไดรูปลิ่มแทน เหมาะกับบ้านที่ต้องการความต่อเนื่องของพื้นที่ในการใช้บันได หรือพื้นที่ไม่พอต่อการใช้บันไดตัว L

 

3. บันไดบ้านแบบหักกลับ

บันไดบ้านแบบหักกลับ

เป็นบันไดบ้านแบบหักกลับ 180 องศา ที่พบเห็นได้ในบ้านส่วนใหญ่ เหมาะกับบ้านที่มีลักษณะแปลนแต่ละชั้นเหมือนๆกัน บางคนคิดว่าบันไดบ้านแบบนี้ไม่สวยเพราะเหมือนบันไดหนีไฟ แต่จริง ๆ แล้วเราสามารถออกแบบให้บันไดบ้านแบบนี้ดูมีระดับได้ด้วยการใช้วัสดุที่ดูเฉียบ ทันสมัย และการให้แสงธรรมชาติเข้ามาในช่องบันไดนี้เยอะหน่อย ก็จะทำให้สวยงามน่าใช้งานมากขึ้น

ห้องน้ำใต้บันได ถูกหลักฮวงจุ้ยหรือไม่ ตกแต่งอย่างไรให้ไม่แคบ

Guide

ห้องน้ำใต้บันได ถูกหลักฮวงจุ้ยหรือไม่ ตกแต่งอย่างไรให้ไม่แคบ

4. บันไดบ้านแบบเกลียวหรือแบบบันไดบ้านเวียน

บันไดบ้านแบบเกลียวหรือแบบบันไดบ้านเวียน

เหมาะกับบ้านที่ต้องการประหยัดพื้นที่ใช้สอย ที่ผ่านมาบันไดบ้านรูปแบบนี้ไม่นิยมใช้เป็นบันไดหลักของบ้าน แต่จะใช้เฉพาะจุดที่พื้นที่ไม่พอต่อการทำบันไดแบบอื่น ๆ แต่ปัจจุบันก็การออกแบบให้สวยงามจนเป็นบันไดบ้านหลักได้ แต่มีข้อเสียตรงที่ไม่สะดวกเรื่องการใช้งานเท่าบันไดบ้านรูปแบบอื่น ๆ

 

5. บันไดบ้านแบบโค้งวงกลม

บันไดบ้านแบบโค้งวงกลม

เป็นบันไดบ้านแบบโค้งวงกลมเมื่อมองจากด้านบน เหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นบันไดที่มีการเปิดมุมมองให้ผู้เดินเห็นพื้นที่ต่าง ๆ ภายในบ้านได้มากที่สุด เหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่ห้องโถงหน้าบ้านขนาดใหญ่เพิ่มความหรูหราและเป็นทางการให้กับตัวบ้าน

ขณะเดียวกันเรายังสามารถดีไซน์พื้นที่ใต้บันไดบ้านให้มีลูกเล่นในการจัดเก็บสิ่งของเพื่อประหยัดพื้นที่ได้ด้วย เช่น ชั้นวางหนังสือเก๋ ๆ หรือตู้โชว์ของตกแต่ง นอกจากจะประหยัดเนื้อที่แล้ว ยังทำให้เป็นไฮไลท์ของบ้านได้ด้วย

 

กฎหมายเกี่ยวกับบันไดบ้าน

 

กฎหมายเกี่ยวกับบันไดบ้าน

การออกแบบช่องว่างระหว่างบันไดให้ดูโปร่ง โล่ง ก็เป็นกิมมิคที่ทำให้บ้านของคุณดูเก๋และทันสมัยขึ้นได้เช่นกัน แต่ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยในการใช้งาน ซึ่งควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่างสถาปนิกหรือวิศวกรให้ดีในเรื่องของโครงสร้างบันไดบ้านและการใช้งาน

หรือจะสร้างความแปลกใหม่ด้วยวัสดุที่แตกต่าง ด้วยการเปลี่ยนจากบันไดที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กหรือไม้มาแทนที่ด้วยเหล็ก สเตนเลส อลูมิเนียม ทองแดง กระจกนิรภัย หรือจะเลือกใช้ผสมกัน เช่น ขั้นบันไดเป็นเหล็ก ราวเป็นกระจก เป็นต้น ขึ้นอยู่กับความชอบของเจ้าของบ้านได้เลย แต่ต้องปรึกษาวิศวกรให้แน่ใจว่าวัสดุพวกนี้ต้องมีขนาดเท่าไหร่จึงจะรับน้ำหนักได้

แม้ว่าคุณจะสามารถออกแบบบันไดบ้านได้หลากหลายดีไซน์เลยทีเดียว ซึ่งนอกจากข้อจำกัดด้านพื้นที่ที่เหมาะสมแล้ว ยังต้องคำนึงถุงความปลอดภัยในการใช้งานของผู้อาศัยด้วย จึงทำให้มีกฎหมายเป็นมาตรฐานในการออกแบบบันไดบ้านด้วยเช่นกัน โดยกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ข้อ 23 ซึ่งกำหนดบันไดสำหรับอาคารอยู่อาศัยไว้ดังนี้

"บันไดของอาคารอยู่อาศัยถ้ามี ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งบันไดที่มีความกว้างสุทธิไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร ช่วงหนึ่งสูงไม่เกิน 3 เมตร ลูกตั้งสูงไม่เกิน 20 เซนติเมตร ลูกนอนเมื่อหักส่วนที่ขั้นบันไดเหลื่อมกันออกแล้วเหลือความกว้างไม่ น้อยกว่า 22 เซนติเมตร และต้องมีพื้นหน้าบันไดมีความกว้างและยาวไม่น้อยกว่าความกว้างของบันได

บันไดที่สูงเกิน 3 เมตร ต้องมีชานพักบันไดทุกช่วง 3 เมตร หรือน้อยกว่านั้น และชานพักบันไดต้องมีความกว้างและยาวไม่น้อยกว่าความกว้างของบันได ระยะดิ่งจากขั้นบันไดหรือชานพักบันไดถึงส่วนต่ำสุดของอาคารที่อยู่เหนือขึ้นไปต้องสูงไม่ น้อยกว่า 1.90 เมตร"

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของบันไดหลัก และบันไดหนีไฟโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง

โดยแบ่งรายละเอียดได้ดังต่อไปนี้

1. บันไดในบ้านพักอาศัยแต่ละแบบ จะต้องมีระยะตามที่กฎหมายกำหนด หากอยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตก่อสร้าง แล้วพบว่าระยะต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามกำหนดจะไม่ได้รับอนุญาตจนกว่าจะแก้ไขแบบให้ถูกต้อง

2. บันไดบ้านต้องกว้างสุทธิไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร หมายถึงความกว้างที่วัดจากจุดที่กว้างน้อยที่สุด และต้องมีระยะไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร ซึ่งในข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 ข้อ 38 ก็มีการกำหนดเรื่องมาตรฐานการสร้างบันไดไว้เช่นกัน เนื้อหาคล้ายกับกฎกระทรวงทั้งหมด

แต่จะแตกต่างกันตรงที่ กำหนดให้ระยะความกว้างของบันไดไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร โดยในที่นี้จะใช้คำว่า “ความกว้าง” หมายถึง ระยะที่วัดตามความยาวลูกนอนบันได ด้วยเหตุนี้บ้านในเขตกรุงเทพฯ จึงจะต้องวัดความกว้างบันไดจากทั้งหมด 2 จุด ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 นั่นเอง

3. บันไดช่วงหนึ่งต้องสูงไม่เกิน 3 เมตร หากสูงเกินต้องมีชานพักบันไดทุกช่วง 3 เมตร โดยช่วงบันได หมายถึง ช่วงที่ขั้นบันไดเป็นขั้นต่อเนื่องกัน ในกรณีที่ความสูงระหว่างชั้นของตัวบ้านมากกว่า 3 เมตร บันไดระหว่างชั้นนั้นจะทำเป็นขั้นต่อเนื่องได้สูงสุดไม่เกิน 3 เมตร และจะต้องมีชานพักคั่น จากนั้นจึงค่อยทำเป็นขั้นต่อเนื่องไปถึงระดับที่ต้องการ

4. ความกว้างและยาวของพื้นหน้าบันได รวมถึงชานพักบันได มีกำหนดดังนี้ สำหรับพื้นหน้าบันได คือบริเวณพื้นก่อนเดินขึ้น-ลงบันไดขั้นแรก และขั้นสุดท้ายนั่นเอง ส่วนชานพัก คือพื้นที่คั่นระหว่างช่วงบันได ซึ่งจะต้องมีความกว้างและยาว อย่างน้อยเท่ากับความกว้างบันได

5. ในส่วนของความสูงเหนือขั้นบันไดทุกขั้น หรือเหนือชานพักทั้งหมด จะต้องมีความสูงวัดตามแนวดิ่งจนถึงสิ่งกีดขวางเหนือหัวไม่น้อยกว่าที่กำหนด ซึ่งก็คือ ไม่น้อยกว่า 1.90 เมตร เพื่อป้องกันไม่ให้เดินขึ้นลงแล้วหัวชนนั่นเอง

6. สำหรับส่วนประกอบอื่น ๆ ของบันไดบ้าน หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ลูกตั้ง และ ลูกนอน คือส่วนใดของบันได “ลูกตั้ง” ก็คือ ความสูงของขั้นบันไดหรือระยะที่เรายกเท้า ส่วน “ลูกนอน” คือ ความกว้างของขั้นบันไดหรือขั้นที่เท้าเหยียบ

โดยลูกตั้งต้องสูงไม่เกิน 20 เซนติเมตร ส่วนลูกนอน หรือขั้นบันได เมื่อหักส่วนที่ขั้นบันไดเหลื่อมกันออกแล้วต้องเหลือระยะไม่น้อยกว่า 22 เซนติเมตร

สรุปรูปแบบบันไดบ้านที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ส่วนต่าง ๆ ของบันได

ขนาดที่ถูกต้อง

ความกว้างของบันได

กว้างไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร

ความสูงของบันได (แต่ละชั้น)

ไม่เกิน 3 เมตร (หากเกินต้องมีชานพัก)

ลูกตั้ง

สูงไม่เกิน 20 เซนติเมตร

ลูกนอน

กว้างไม่น้อยกว่า 22 เซนติเมตร

พื้นที่เหนือบันได

ต้องมีความสูงไม่น้อยกว่า 1.90 เมตร

 

เกร็ดความรู้เรื่องฮวงจุ้ยเกี่ยวกับบันได

Guide

เกร็ดความรู้เรื่องฮวงจุ้ยเกี่ยวกับบันได

สำหรับผู้ที่มีแผนจะสร้างบ้านหรือรีโนเวทบ้านเพื่อขาย สามารถนำแนวคิดการออกแบบบันไดบ้านมาใช้สร้างมูลค่าของบ้านให้เป็นที่สนใจขึ้นได้ แต่อย่าลืมคำนึงถึงเรื่องข้อกฎหมายและความปลอดภัยในการใช้งานของผู้อาศัยด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
ยาแนวกระเบื้อง 7 ประเภท และวิธีการใช้ ยืดอายุพื้นกระเบื้อง https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ยาแนวกระเบื้อง-เรื่องควรรู้สำหรับคนรักบ้าน-22168?locale=th www.ddproperty.com:resources:22168 Wed, 01 Sep 2021 01:27:23 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/01/Property_House_Bathroom_Tile-Grout_1-150x150.jpg"/></p> ยาแนวกระเบื้อง 7 ประเภท และวิธีการใช้ ยืดอายุพื้นกระเบื้อง เมื่อพูดถึงพื้นและผนังกระเบื้อง หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับ “ยาแนวกระเบื้อง” ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่มาคู่กับกระเบื้องและมีความสำคัญต่อความสวยงาม ความทนทาน และความน่าอยู่ของบ้าน แต่ทราบหรือไม่ว่า ยาแนวกระเบื้องเป็นวัสดุอะไร ใช้ทำอะไร และมีประโยชน์อะไรบ้าง มาทำความรู้จักกับวัสดุที่สำคัญนี้กันเลย

 

ยาแนวกระเบื้องคืออะไร

เราจะเห็นได้ว่ามีร่องระหว่างแผ่นกระเบื้อง ส่วนที่ปิดร่องนี้เองคือยาแนวกระเบื้อง ซึ่งเป็นซีเมนต์ที่ใช้เติมเต็มช่องว่างระหว่างกระเบื้อง บางคนเรียกว่า “กาวยาแนวกระเบื้อง” “ปูนยาแนวกระเบื้อง” หรือ “ยาแนว” มีลักษณะเป็นผงและมีหลายสี เมื่อจะใช้งาน ต้องนำมาผสมน้ำ หรือบางยี่ห้อกำหนดให้ต้องผสมทรายด้วย

 

ความสำคัญของยาแนวกระเบื้อง

นอกจากอุดรอยต่อระหว่างแผ่นกระเบื้องแล้ว ยาแนวกระเบื้องยังใช้สำหรับเชื่อมแผ่นกระเบื้องเข้าด้วยกัน และมีประโยชน์หลายอย่างดังนี้

  • จัดแต่งกระเบื้องให้เรียงกันอย่างสวยงาม กระเบื้องบางแผ่นอาจมีขนาดที่คลาดเคลื่อนเล็กน้อย เมื่อนำมาวางต่อกัน จะสามารถเห็นขนาดที่ไม่เท่ากันและไม่ตรงเป็นแนวตามที่ต้องการได้ การใช้ยาแนวกระเบื้องเชื่อมระหว่างกระเบื้องจะช่วยปรับให้ดูเรียงกันเป็นแนวเรียบร้อยและสวยงาม
  • ป้องกันฝุ่น น้ำ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก รวมถึงเชื้อโรคไม่ให้เข้าไปร่องระหว่างกระเบื้อง
  • ปกป้องพื้นปูนซีเมนต์ที่อยู่ใต้กระเบื้องจากการผุกร่อนอันเนื่องมาจากตัวกระตุ้นทางสภาพแวดล้อม เช่น น้ำ ฝุ่น สารเคมี

5 เทคนิค ตรวจงานช่างปูกระเบื้อง

 

ประเภทยาแนวกระเบื้อง

1. ยาแนวกระเบื้องธรรมดา

เหมาะสำหรับใช้กับงานพื้นและผนังกระเบื้องทั่วไป มีราคาถูกกว่าประเภทอื่น แต่มีข้อเสียคือ ไม่ป้องกันเชื้อราดำ จึงไม่เหมาะกับพื้นหรือผนังนอกอาคาร รวมถึงห้องที่มักเปียกชื้นหรืออยู่ใกล้ความชื้น เช่น ห้องน้ำ บ่อน้ำ สระน้ำ

2. ยาแนวกระเบื้องกันเชื้อรา

เหมาะสำหรับใช้งานกับพื้นและผนังทั่วไปเช่นกัน แต่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ยับยั้งการเกิดเชื้อรา เช่น สารไมโครแบน แม้มีราคาแพงกว่ายาแนวกระเบื้องประเภทแรก แต่เพื่อสุขอนามัยและการดูแลรักษาความสะอาดที่ง่ายขึ้น ก็นับว่าคุ้มค่าที่จะใช้ โดยเฉพาะกับพื้นที่ภายนอกอาคารและห้องที่มักเปียกชื้น

3. ยาแนวกระเบื้องร่องเล็ก

มีลักษณะเหลวมากเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถไหลตัวเข้าไปตามร่องขนาดเล็กระหว่างกระเบื้องได้ดี จึงเหมาะกับงานปูกระเบื้องที่จำเป็นต้องให้ชิดกันมาก เช่น กระเบื้องแผ่นใหญ่ กระเบื้องที่ทำจากหินธรรมชาติ

4. ยาแนวกระเบื้องร่องใหญ่

มีลักษณะเป็นเนื้อหยาบ เพื่อเติมเต็มพื้นที่ได้มากขึ้น โดยเหมาะกับงานปูกระเบื้องที่มีร่องยาแนวขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกระเบื้องที่หดตัวมากอย่างกระเบื้องหินเผา

5. ยาแนวกระเบื้องทนแรงอัดแรงดันน้ำ

มีคุณสมบัติทนแรงดันน้ำได้ดี พร้อมทนคลอรีน เพื่อใช้กับสระว่ายน้ำ บ่อน้ำ สปา และซาวน่า

6. ยาแนวกระเบื้องอีพ็อกซี่

เป็นยาแนวกระเบื้องคุณภาพสูงที่สุดและราคาแพง เพราะกันฝุ่นและน้ำได้ดีเยี่ยม ตลอดจนทนทานแรงดันน้ำและสารเคมีทั้งกรดและด่าง จึงเหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความคงทนและความสะอาดมากเป็นพิเศษ เช่น สระว่ายน้ำ โรงงาน

7. ยาแนวกระเบื้องสำเร็จรูป

หรือยาแนวกระเบื้องแบบหลอด มีลักษณะเนื้อเหลวและสามารถบีบยาแนวมาใช้ได้ทันที นับว่าสะดวกในการใช้งานสำหรับผู้ใช้งานตามบ้าน ซึ่งนิยมนำมาใช้ซ่อมแซมร่องยาแนวกระเบื้องเก่าที่ดำหรือหลุดล่อน แต่เนื่องจากไม่ทนน้ำและหดตัวสูง จึงไม่สามารถใช้ทำแนวกระเบื้องใหม่ได้ หมายความว่า งานปูกระเบื้องใหม่นั้นต้องใช้ยาแนวกระเบื้องประเภทในข้างต้นที่มีลักษณะเป็นผงและต้องผสมน้ำก่อนใช้งาน

สรุปการใช้งานยาแนวแต่ละประเภท

ประเภทยาแนว

ประเภทงาน

ยาแนวกระเบื้องธรรมดา

พื้นและผนังทั่วไป

ยาแนวกระเบื้องกันเชื้อรา

พื้นและผนังทั่วไป

ยาแนวกระเบื้องร่องเล็ก

กระเบื้องแผ่นใหญ่ กระเบื้องหินธรรมชาติ

ยาแนวกระเบื้องร่องใหญ่

กระเบื้องดินเผา

ยาแนวกระเบื้องทนแรงอัดแรงดันน้ำ

สระว่ายน้ำ บ่อน้ำ สปา ซาวน่า

ยาแนวกระเบื้องอีพ็อกซี่

สระว่ายน้ำ โรงงาน

ยาแนวกระเบื้องสำเร็จรูป

บ้าน

 

ส่วนใหญ่นิยมใช้ยาแนวกระเบื้องสีขาว

ส่วนใหญ่นิยมใช้ยาแนวกระเบื้องสีขาว

 

การเลือกสียาแนวกระเบื้อง

จะเห็นได้ว่าตามอาคารสถานที่ทั่วไป ส่วนใหญ่ใช้สีขาวหรือเทา แต่จริง ๆ แล้วปัจจุบันมีสีสันให้เลือกมากมาย โดยหลักการเลือกมีดังนี้

  • เน้นความสะอาด ควรเลือกสีขาวเพื่อให้สามารถเห็นสิ่งสกปรกได้ง่ายและรีบทำความสะอาด
  • เน้นสวยเรียบและกลมกลืน ควรเลือกสีโทนเดียวกับกระเบื้อง ซึ่งจะช่วยทำให้สบายตา
  • เน้นสวยมีมิติ ควรเลือกสีที่ตัดกับสีกระเบื้อง ซึ่งจะทำให้เส้นแนวกระเบื้องดูโดดเด่นและพื้นดูมีลูกเล่น
  • เน้นความโมเดิร์น คลาสสิก ควรเลือกยาแนวกระเบื้องสีดำ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเช่นเดียวกับกระเบื้องสีดำ และยังนิยมใช้ตัดกับกระเบื้องสีขาว เพื่อเพิ่มลวดลายและเส้นสายให้มีมิติสวยงาม

 

การเลือกขนาดและจำนวนร่องยาแนวกระเบื้อง

เนื่องจากยาแนวกระเบื้องเป็นซีเมนต์ จึงทำให้สิ่งสกปรกติดได้ง่ายกว่ากระเบื้อง ยิ่งมีขนาดและจำนวนร่องยาแนวกระเบื้องมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเกิดความสกปรกและต้องดูแลทำความสะอาดมากขึ้นด้วย จึงไม่แนะนำให้พื้นที่ที่สกปรกง่ายมีร่องยาแนวขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก

แม้ร่องแนวกระเบื้องเป็นเพียงเส้นเล็ก ๆ แต่ก็มีความสำคัญไม่น้อย ทั้งในด้านความสวยงาม ความสะอาด และอายุการใช้งานของพื้นและผนังกระเบื้อง และเมื่อรู้ถึงความสำคัญและการเลือกยาแนวกระเบื้องที่เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว ลองทำดูวิธีทำยาแนวกระเบื้องสำหรับแก้ปัญหายาแนวดำหรือหลุดแบบไม่ต้องง้อช่าง

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>
วิธีทำไม้กวาดทางมะพร้าวด้วยตัวเอง พร้อมวิธีใช้ไม้ 2 แบบให้เหมาะกับงาน https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ไม้กวาดทางมะพร้าว-ใช้อย่างไรให้อยู่นาน-พร้อมวิธีทำด้วยตัวเอง-30337?locale=th www.ddproperty.com:resources:30337 Sun, 05 Sep 2021 04:24:55 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/07/shutterstock_1409513573-150x150.jpg"/></p> วิธีทำไม้กวาดทางมะพร้าวด้วยตัวเอง พร้อมวิธีใช้ไม้ 2 แบบให้เหมาะกับงาน ไม้กวาดทางมะพร้าว หนึ่งในเครื่องมือเครื่องใช้ทำความสะอาดที่ต้องมีติดไว้ทุกบ้าน ถึงจะหาซื้อได้ง่ายตามร้านค้าทั่วไปในราคาไม่สูงมากนัก แต่ใช่ว่าไม้กวาดทางมะพร้าวทุกด้ามจะมีคุณภาพ เหมาะแก่การนำมาใช้งานได้ทนทานตามต้องการ

การรู้จักวิธีเลือกซื้อ ใช้งาน ถนอมรักษา หรือกระทั่งวิธีทำไม้กวาดทางมะพร้าวด้วยตัวเองนั้น จึงเป็นเรื่องที่ควรรู้เช่นกัน เพื่อที่เราจะได้มีเครื่องมือเครื่องใช้ทำความสะอาดบ้านที่มีคุณภาพ ใช้งานได้นาน คุ้มค่าคุ้มราคาที่ต้องจ่ายไป

5 เครื่องมือช่างสำคัญที่ต้องมีติดบ้าน

 

ไม้กวาดทางมะพร้าว คืออะไร มีกี่แบบ

ไม้กวาดทางมะพร้าว คือ ไม้กวาดที่ทำจากทางมะพร้าว ด้ามจับยาวกว่าไม้กวาดทั่วไป มักนำมาใช้กวาดทำความสะอาดพื้นข้างนอก ลานบ้าน สนามหญ้า โดยจะนำมากวาดเศษหิน ดิน ทราย ใบไม้ หรือเศษขยะชิ้นใหญ่ไว้กองรวมกัน รวมทั้งนำมาใช้กวาดน้ำท่วม เพื่อแก้ปัญหาน้ำขังให้ระบายลงท่อด้วย

โดยทั่วไปแล้ว ไม้กวาดทางมะพร้าวอาจแบ่งประเภทตามลักษณะและพื้นผิวที่นำไปใช้งาน เพื่อให้นำไปใช้งานได้ถูกต้องและได้ประโยชน์จริง ไม้กวาดทางมะพร้าวแบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่ ไม้กวาดทางมะพร้าวสำหรับกวาดซีเมนต์ และไม้กวาดทางมะพร้าวสำหรับกวาดพื้นดิน

1. ไม้กวาดทางมะพร้าว สำหรับกวาดซีเมนต์

ลักษณะของพื้นซีเมนต์ค่อนข้างเรียบและแข็ง ดูดซับแรงกระแทกได้น้อย การเลือกใช้ไม้กวาดทางมะพร้าวให้เหมาะนั้นจึงต้องเลือกก้านมะพร้าวอ่อน เมื่อลองกวาดพื้นแล้ว ก้านมะพร้าวโค้งตัวตามแรงกวาดได้ง่าย หากคุณกำลังมองหาใบมะพร้าวสำหรับนำไปทำไม้กวาดเองนั้น อาจต้องเลือกทางมะพร้าวที่มีใบเขียวสด ไม่แก่มาก

2. ไม้กวาดทางมะพร้าว สำหรับกวาดพื้นดิน

พื้นดินธรรมชาติจะอ่อนนุ่มและยวบกว่าพื้นซีเมนต์ ขึ้นอยู่กับความชื้นและสภาพอากาศ การเลือกใช้ไม้กวาดทางมะพร้าวต้องใช้ก้านมะพร้าวที่แข็ง เมื่อลองกวาดพื้นแล้ว ก้านมะพร้าวไม่โค้งตัวตามแรงกวาด เพราะก้านที่แข็งกว่าจะช่วยกวาดเศษขยะที่ติดตามร่องเล็ก ๆ ของพื้นดินออกมาได้ง่ายกว่า ส่วนใครที่ทำไม้กวาดเอง ควรเลือกทางมะพร้าวแก่ ใบออกเขียวเข้มหรือเหลือง

9 จุดในบ้านที่มักเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค

วัสดุ

ทางมะพร้าว

ประเภท

กวาดซีเมนต์และกวาดพื้นดิน

การใช้งาน

กวาดพื้นข้างนอก, ลานบ้าน, สนามหญ้า, เศษหิน, ดิน, ทราย, ใบไม้, เศษขยะ และกวาดน้ำท่วม

การเก็บรักษา

ล้างน้ำทำความสะอาด และผึ่งแดด

 

วิธีทำไม้กวาดทางมะพร้าว ทำได้ด้วยตัวเองอย่างไร

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักการทำงานบ้านและชื่นชอบการทำงานฝีมือ การทำไม้กวาดทางทะพร้าวไว้ใช้เองสักด้ามก็ถือเป็นเรื่องที่น่าลองทำไม่น้อย นอกจากจะช่วยลดรายจ่ายในการซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านไปอย่างหนึ่งแล้ว ยังทำให้เราเลือกวัตถุดิบ รวมทั้งรู้วิธีทำและซ่อมแซมไม้กวาดทางมะพร้าวมากขึ้นด้วย วิธีทำไม้กวาดทางมะพร้าวมีขั้นตอน ดังนี้

 

วิธีทำไม้กวาดทางมะพร้าว ขั้นตอนการเตรียมอุปกรณ์

เตรียมด้ามไม้กวาด

1. ตัดด้ามไม้ไผ่ตัน ขนาดลำต้น 2-3 เซนติเมตร โดยเลือกลำต้นออกสีเขียวแก่หรือเขียวออกเหลืองปนน้ำตาล

2. เหลาตากิ่งไม้ไผ่ออก เกลาเสี้ยนให้เรียบ

3. นำด้ามไม้ไผ่มาลวกไฟสักพัก ดัดให้ตรง นำไปตากแดดให้แห้ง ใช้เวลาประมาณ 15-30 วัน

4. ใช้เลื่อยตัดไม้ไผ่ตามความยาวด้ามไม้กวาดที่ต้องการ ประมาณ 1-1.5 เมตร

5. เจาะรูตรงปลายด้ามขนาด 0.5x1.0 เซนติเมตร โดยกะระยะให้ห่างจากปลายด้ามประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร

6. ตัดไม้ไผ่ขนาด 0.5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตร สำหรับทำเป็นไม้สลักสอดเข้าด้ามไม้กวาด

 

ไม้กวาดทางมะพร้าว ทำเองได้ไม่ยาก

 

เตรียมก้านมะพร้าว

1. ตัดทางมะพร้าวตามต้องการ โดยควรตัดให้โคนก้านติดกับทางมะพร้าว

2. กรีดแผ่นใบมะพร้าวสดออกทั้งสองด้าน นำไปตากแดดประมาณ 7-10 วัน

3. มัดใบมะพร้าวแห้งเก็บรวมกันไว้ในที่ร่ม เพื่อนำไปมัดติดกับด้ามไม้กวาดต่อไป อาจเตรียมไว้ประมาณ 300 ก้านสำหรับทำไม้กวาดทางมะพร้าวหนึ่งด้าม

 

เตรียมอุปกรณ์อื่น ๆ

เมื่อเตรียมด้ามไม้กวาดและก้านมะพร้าวแล้ว ยังมีอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ต้องเตรียมเพิ่มเติมสำหรับใช้ประกอบไม้กวาดทางมะพร้าวให้สมบูรณ์ ดังนี้

1. มีด/กรรไกรเหล็ก

2. ลวด

3. ตะปู 1-2 นิ้ว

4. สีน้ำมัน

5. เชือกไนล่อน

 

วิธีทำไม้กวาดทางมะพร้าว ขั้นลงมือทำ

ขั้นตอนการทำไม้กวาดทางมะพร้าว

1. สอดไม้สลักเข้าตรงรูปลายด้ามไม้กวาดที่เจาะไว้ตอนแรก โดยวางสอดให้อยู่กึ่งกลาง

2. ตอกตะปู 2 จุด โดยจุดแรกอยู่เหนือไม้สลัก 12 เซนติเมตร และอีกจุดอยู่เหนือไม้สลัก 3-4 เซนติเมตร พอให้หัวตะปูโผล่ออกมาเล็กน้อย และมัดลวดตรงหัวตะปูให้แน่น

3. นำมัดก้านมะพร้าวแห้งที่เตรียมไว้ มาตัดโคนเจียนให้เรียบเสมอกัน จากนั้นนำก้านมะพร้าววางล้อมห่อปลายด้ามไม้ไผ่ โดยวางสูงกว่าตะปูประมาณ 2 เซนติเมตร มัดเชือกรอบโคนก้านมะพร้าวให้แน่น

4. แบ่งมัดก้านมะพร้าวแห้งมัดใหญ่ที่มัดติดด้ามไม้ไผ่ โดยเลือกตรงบริเวณไม้สลักลงมา แบ่งออกเป็น 6 กำ และมัดเชือกแต่ละกำให้เรียงติดไม้สลักทั้งสองข้าง

5. จากนั้นแบ่งก้านมะพร้าวแห้งออกเป็นมัดย่อยอีก แล้วนำเชือกไนล่อนมารัดแต่ละกำเล็ก ถักเชือกให้เรียงติดกันเป็นระเบียบ

6. ตัดก้านใบมะพร้าวอ่อนออก ตัดปลายให้เรียบเสมอกัน

7. ทาสีน้ำมันกันสนิมให้ทั่วก้านมะพร้าว จากนั้นนำไปตากแดดประมาณ 3-5 วัน

 

ไม้กวาดทางมะพร้าว ใช้งานอย่างไรให้อยู่ได้นาน

ไม่ว่าคุณจะเลือกซื้อหรือทำไม้กวาดทางมะพร้าวไว้ใช้เอง หลังจากรู้วิธีทำไม้กวาดทางมะพร้าวกันไปแล้ว การใช้งานไม้กวาดให้ถูกต้องก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยถนอมอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านชิ้นนี้ให้นำมาใช้ประโยชน์ได้อีกนาน วิธีใช้งานไม้กวาดทางมะพร้าวที่ถูกต้องนั้นมีรายละเอียด ดังนี้

 

วิธีใช้ไม้กวาดทางมะพร้าว

1. ควรจับด้ามไม้กวาดเอียงเล็กน้อย ออกแรงกวาดปกติ ไม่ต้องกดด้ามไม้กวาดมากเกินไป เพราะปลายก้านอาจงอได้

2. หากกวาดพื้นที่มีน้ำขัง ควรนั่งยอง กดปลายด้ามไม้กวาดแนบพื้น ออกแรงกวาดไปทางเดียวกัน

 

วิธีดูแลเก็บรักษาไม้กวาดทางมะพร้าว

1. นำไม้กวาดมาผึ่งแดดให้แห้งทุกครั้งเมื่อใช้กวาดพื้นที่มีน้ำขัง จากนั้นจึงนำไปเก็บให้เรียบร้อย

2. ควรเคาะฝุ่นออก นำไปล้างน้ำสะอาดแล้วผึ่งให้แห้งก่อน

3. เก็บโดยตั้งด้านก้านมะพร้าวให้ชี้ขึ้น

 

ไม่ว่าอุปกรณ์ทำความสะอาดชิ้นไหน ๆ ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญที่คุณต้องดูแลรักษาให้อยู่สภาพดี เพื่อพร้อมใช้งานได้ไปอีกนาน การเลือกซื้อหรือทำไม้กวาดทางมะพร้าวไว้ใช้เองนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนรักบ้านไม่ควรมองข้าม

ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
Exotic Pets คือสัตว์เลี้ยงจริงหรือ คิดให้ดีก่อนมีสัตว์แปลกในครอบครอง https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/คิดให้ดี-ก่อนมี-สัตว์แปลก-ในครอบครอง-54797?locale=th www.ddproperty.com:resources:54797 Mon, 13 Sep 2021 12:21:42 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2021/08/Exotic-Pets-in-your-house-150x150.jpg"/></p> Exotic Pets คือสัตว์เลี้ยงจริงหรือ คิดให้ดีก่อนมีสัตว์แปลกในครอบครอง ภาพของตลาดนัดจตุจักรกลางเมืองในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยสินค้าทุกประเภทวางขายเรียงราย เป็นภาพที่คุ้นตาคนไทยเป็นอย่างดี และไม่เพียงแต่สินค้าอุปโภค-บริโภคเท่านั้น ตลาดนัดจตุจักร ยังเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นแหล่งรวมสัตว์เลี้ยงที่เราสามารถเลือกซื้อ จับจอง และจูงกลับบ้านได้ไม่ยาก

หากสัตว์เลี้ยงที่เรากำลังเอ่ยถึงนี้คือ สุนัข แมว ซึ่งถือเป็นสัตว์เลี้ยงโดยทั่วไปก็ดูจะไม่ผิดแปลกอะไร
แต่ปัจจุบัน ขอบข่ายและนิยามของคำว่าสัตว์เลี้ยง ขีดเกินเลยไปกว่าบรรดาสุนัขและแมวไปมากแล้ว ไม่ใช่เพียงแต่คนไทยเท่านั้น แต่เทรนด์การเลี้ยงสัตว์แปลก หรือสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษที่เรียกกันว่า Exotic Pets กำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก สัตว์แปลกที่ว่านี้ อาทิ งู กิ้งก่า เต่า นกป่าบางชนิด สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ไม่ใช่ปลาสวยงาม และสัตว์ที่ไม่ได้ถูกจัดประเภทให้อยู่ในวงการปศุสัตว์

รวมคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ เอาใจทาสหมาทาสแมว

Exotic Pets เป็นประเด็นที่นักอนุรักษ์ และนักวิชาการ กับกลุ่มคุ้มครองสวัสดิภาพของสัตว์พูดคุยกันมาเป็นเวลานานถึงความเหมาะสม และลักษณะการดูแลจัดการ การเลี้ยงสัตว์แปลกยังคงเป็นเรื่องใหม่ทั้งในด้านกฎหมายที่จะต้องมีการขออนุญาตนำเข้า และซื้อขายอย่างถูกต้องจากทางหน่วยงานราชการ และเรื่อยไปจนถึงระบบการรักษาพยาบาลดูแลหากสัตว์เจ็บป่วย 

Chatuchak

ในขณะที่เรื่องของการเลี้ยงสัตว์แปลกยังเป็นประเด็นสีเทา ๆ ที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนถึงความถูกต้องและเหมาะสม โลกของเราก็เผชิญกับสภาวะโรคระบาดจากสัตว์มาสู่คนอีกครั้ง ที่ร้ายแรง รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ในรอบศตวรรษ เมื่อเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 อุบัติขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา

โควิดผิดหรือที่ออกมาจากป่า? 

องค์การอนามัยโลกออกแถลงการณ์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากใช้เวลากว่า 1 ปีในการหาความเชื่อมโยงระหว่างไวรัสที่อาจส่งผ่านจากสัตว์ป่ามาสู่มนุษย์ แถลงการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การวิจัยตลาดผู้บริโภคโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย ต่อการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์และสัตว์ป่า ซึ่งรวมไปถึงสัตว์ชนิดพิเศษบางสายพันธุ์ ที่ถูกนำออกจากป่าและกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงตามครัวเรือน

exotic pets

รายงานการ “โควิด-19: หนึ่งปีให้หลัง: การรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับโรคระบาดและความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ” (COVID-19: One Year Later: Public Perceptions about Pandemics and their Links to Nature) จัดทำโดยบริษัทวิจัย GlobeScan โดยการสนับสนุนขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ WWF ระบุว่า ผู้บริโภคมีความตระหนักรู้มากขึ้นในเรื่องของความเสี่ยง และอันตรายจากการบริโภคสัตว์ป่า โดย 79% ของผู้ทำแบบสำรวจในประเทศไทย เผยว่า รู้สึกกังวลต่อการเกิดโรคระบาดครั้งใหม่เป็นอย่างมาก

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ข้อมูลจากการสำรวจเชิงลึกกลับพบประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งยอมรับว่า แม้จะเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโควิด แต่ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา กลุ่มที่ตอบแบบสอบถามควักกระเป๋าซื้อสัตว์จากตลาดค้าสัตว์ป่าถึง 11% ในขณะที่ 8% บอกว่าซื้อผ่านช่องทางค้าขายออนไลน์ โดยสัตว์ป่าที่ได้รับความนิยมสูงสุดใน 5 ประเทศ ได้แก่ นก งู เต่า ค้างคาว ชะมด และตัวนิ่ม ในขณะ 12% ระบุว่า ได้ซื้อสัตว์แปลก (Exotic pet) ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสัตว์แปลกที่ได้รับความนิยมสูงสุดใน 5 ประเทศ ได้แก่ นกแก้ว งู เต่า กิ้งก่า แมว และนกร้องเพลง

Home

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความไม่เชื่อมโยงของข้อมูลที่หน่วยงานสาธารณสุขกำลังพร่ำบอกสู่กลุ่มประชาชน ที่ยังคงมองไม่เห็นภาพของการติดเชื้อไวรัสจากสัตว์ไปสู่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากสัตว์ป่า และสัตว์แปลกต่างๆ ตลาดค้าสัตว์ชนิดพิเศษยังคงได้รับความนิยม โดยเราไม่ปฏิเสธว่า ในยามนี้ที่หลายคนจำเป็นต้องทำงานอยู่ที่บ้าน การมองหาสัตว์เลี้ยงมาช่วยแก้เหงาในครอบครัวเป็นทางเลือกหนึ่งที่มักจะทำกัน

แต่จะดีกว่าไหม ที่เพื่อนเล่นยามเหงาของเราเป็นสัตว์เลี้ยงธรรมดา สุนัขและ แมว มิใช่สัตว์แปลก?

แม้จะยังไม่มีการศึกษาเชิงลึกที่ชัดเจนว่า สัตว์พิเศษดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ส่งผ่านเชื้อโรค หรือเชื้อไวรัสต่าง ๆ สู่คนได้จริงหรือไม่ แต่นักวิชาการจากองค์การอนามัยโลกก็ยอมรับว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะอันที่จริง พื้นที่ธรรมชาติของสัตว์เหล่านั้น คือป่า หรือเรือกสวนไร่นา มิใช่การอยู่อาศัยร่วมบ้านกับมนุษย์ และการหากินของพวกมันจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติจัดสรรจากวงจรห่วงโซ่อาหาร มิใช่จากอาหารที่ให้โดยมนุษย์

วันนี้ที่สถานการณ์โควิดยังคงไม่คลี่คลาย เศรษฐกิจในบางภาคธุรกิจซลเซา สวนทางกับตลาดค้าขายสัตว์เลี้ยงต่างๆที่เติบโต ในฐานะนักอนุรักษ์ จึงอยากฝากประเด็นนี้ให้ทุกท่านช่วยพิจารณาสักนิดก่อนซื้อหาสัตว์เลี้ยงมาเป็นเพื่อนยามเหงา

รวมบทความรักษ์โลก ช่วยประหยัดพลังงาน และลดโลกร้อน  

บทความโดย คุณดวงกมล วงศ์วรจรรย์ ผู้บริหารฝ่ายสื่อสารองค์กร WWF ประเทศไทย ท่านสามารถศึกษาข้อมูลของโครงการอนุรักษ์ต่างๆ และความเคลื่อนไหวขององค์กรได้ที่ Facebook: https://www.facebook.com/wwfthailand

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
รู้จักเหล็กดัดหน้าต่าง 2 แบบ พร้อมดูราคาเหล็กดัดหน้าต่างเบื้องต้น https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/เหล็กดัดหน้าต่าง-ความปลอดภัยที่คุ้มค่า-21832?locale=th www.ddproperty.com:resources:21832 Wed, 01 Sep 2021 02:46:03 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/01/Property_House_Curved-Steel-Window_1-150x150.jpg"/></p> รู้จักเหล็กดัดหน้าต่าง 2 แบบ พร้อมดูราคาเหล็กดัดหน้าต่างเบื้องต้น เหล็กดัดหน้าต่างบ้านเป็นการป้องกันหัวขโมยวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม แต่หลายคนก็คลางแคลงใจว่าการติดเหล็กดัดหน้าต่างจะดีหรือไม่ เพราะลดความสวยงามของบ้าน และที่สำคัญ เป็นการปิดกั้นทางออกเมื่อมีเหตุเพลิงไหม้ ข้อมูลดี ๆ ต่อไปนี้จะช่วยให้คุณพิจารณาและตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการ พร้อมดูราคาเหล็กดัดหน้าต่างเบื้องต้นได้ที่นี่

7 สุดยอดนวัตกรรมความปลอดภัยในบ้านและคอนโดยุคใหม่

 

ควรติดเหล็กดัดหน้าต่างบ้านหรือไม่

หากมีข้อกังวลใจที่ทำให้เกิดความลังเลไม่อยากติดเหล็กดัดหน้าต่าง ลองพิจารณาจากข้อคิดด้านล่างดู

ข้อกังวลใจ ข้อคิด
จะช่วยป้องกันขโมยได้ดีจริงหรือ • ช่วยป้องกันไม่ให้โจรทำลายกระจกเพื่อเข้ามาในบ้าน และด้วยวัสดุที่เป็นโลหะแข็งแกร่ง จึงไม่สามารถตัดหรือถอดออกได้อย่างง่ายดาย
• การป้องกันนี้เป็นไปตลอด 24 ชั่วโมง
คุ้มหรือไม่ที่จะติดตั้ง • ปัจจุบันเหล็กดัดหน้าต่างมีหลายเกรด หลายขนาด และหลายราคาเหล็กดัดหน้าต่างมีตั้งแต่ประมาณ 500 จนถึง 5,000 บาทต่อบานหน้าต่าง ซึ่งรวมค่าติดตั้งด้วย
• ด้วยอายุการใช้งานที่ยาวนานหลายสิบปี ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อปีจึงนับว่าไม่แพง
• ไม่ต้องอาศัยความรู้ทางเทคนิค ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า อีกทั้งยังทำความสะอาดได้ง่าย จึงประหยัดแรง เงิน และเวลาในการดูแลรักษา
ทำให้บ้านดูเชยหรือไม่ • ปัจจุบันมีเหล็กดัดหน้าต่างสวย ๆ ให้เลือกหลายแบบ หลายลวดลาย และหลายสี เพื่อให้เข้ากับดีไซน์บ้าน
• หากไม่พบแบบที่ชอบ มีบริการออกแบบเหล็กดัดหน้าต่าง เพื่อตกแต่งให้สวยงามตามความต้องการ
ไม่ปลอดภัยเมื่อเกิดไฟไหม้ • สามารถติดเหล็กดัดหน้าต่างด้านในที่เปิดออกจากข้างในได้

10 วิธีป้องกันขโมยขึ้นบ้าน

เหล็กดัดหน้าต่างแบบไม่ติดตายที่สามารถเปิดออกได้

 

ประเภทเหล็กดัดหน้าต่าง

1. เหล็กดัดหน้าต่างแบบไม่ติดตาย

ข้อดี

- เหล็กดัดหน้าต่างเปิดได้ คือ สามารถเปิดออกได้จากด้านในในกรณีฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้

- ไม่ทำให้บ้านเสียรูปทรง เพราะติดตั้งจากด้านใน

- มีอายุการใช้งานยาวนาน เพราะอยู่ในบ้านจึงไม่โดนแดนและฝนเต็มที่

- ให้ความปลอดภัยดี เพราะการงัดแงะเข้ามาในบ้านทำได้ยาก

ข้อเสีย

- บางรูปแบบกินพื้นที่ภายในบ้าน

- มักมีราคาสูงกว่าเหล็กดัดหน้าต่างแบบติดตาย

รูปแบบ

- เหล็กดัดหน้าต่างบานเลื่อน มีลักษณะเลื่อนได้จากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย หรือเลื่อนสองบานมาชนกันตรงกลาง ซึ่งทำให้ต้องใช้พื้นที่ด้านข้างหน้าต่างสำหรับเก็บเหล็กดัดหน้าต่างที่เลื่อนออก หรือไม่ก็ต้องให้เลื่อนเปิดได้เพียงฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ทำให้บล็อกการเห็นทิวทัศน์ภายนอกบ้าน

- เหล็กดัดหน้าต่างบานเฟี้ยม มีลักษณะแบบงอพับได้ในระหว่างเปิดปิด เหมาะสำหรับหน้าต่างที่กว้าง และช่วยประหยัดพื้นที่ภายในบ้าน เพราะไม่ต้องเสียพื้นที่ด้านข้างหน้าต่างเพื่อเก็บเหล็กดัด

- เหล็กดัดหน้าต่างบานกระทุ้ง มีลักษณะเปิดขึ้นแล้วใช้ขอสับให้ค้างไว้ แบบนี้กินพื้นที่ด้านนอกตัวบ้านเล็กน้อยแต่ก็สามารถใช้เป็นระแนงกันแดดได้ด้วย

- เหล็กดัดหน้าต่างยืดได้ มีลักษณะยืดได้เมื่อเปิดและหดได้เมื่อปิด โดยแบบนี้มีความแข็งแรงมากและไม่กินพื้นที่ในการเปิดปิด

2. เหล็กดัดหน้าต่างแบบติดตาย

ข้อดี

- มักมีราคาถูกกว่าเหล็กดัดหน้าต่างแบบไม่ติดตาย

ข้อเสีย

- ไม่สามารถเปิดออกได้จากด้านในได้ จึงเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้

รูปแบบ

- เหล็กดัดหน้าต่างครอบด้านนอก มีลักษณะเป็นเหล็กครอบหน้าต่างนอกตัวบ้านโดยยึดด้วยน็อต เหล็กยื่นออกมานอกตัวบ้านแบบนี้อาจทำให้เสียรูปทรงบ้าน เป็นสนิมง่ายจึงทำให้อายุการใช้งานไม่ยาวนาน อีกทั้งขโมยน่าจะถอดเหล็กดัดที่ครอบนี้ได้ไม่ยากนัก

- เหล็กดัดหน้าต่างครอบด้านใน มีลักษณะเหมือนกับแบบแรก เพียงแต่ครอบหน้าต่างภายในตัวบ้าน จึงไม่ทำให้บ้านเสียรูปทรง และเหล็กดัดเป็นสนิมยากจึงทำให้อายุการใช้งานยาวนาน ตลอดจนปลอดภัยกว่าเพราะขโมยงัดแงะได้ยาก แต่ก็มีข้อเสียคือ เหล็กที่ยื่นด้านในบ้านทำให้เกะกะเวลาใช้งานหน้าต่างและผ้าม่าน

รู้ลึกกับหน้าต่างบานเลื่อนก่อนเลือกซื้อ

 

การเลือกเหล็กดัดหน้าต่าง

1. ความหนาเหล็กดัดหน้าต่าง

โดยทั่วไปนิยมใช้ขนาด 4 หุนตัน เนื่องจากแข็งแรงดีและราคาไม่แพงจนเกินไป หากมีงบจำกัด ให้ใช้ขนาด 3 หุนตัน ซึ่งจะบางกว่าขนาด 4 หุน แต่ก็ยังพอแข็งแรง และไม่แนะนำขนาดที่ใหญ่กว่านี้ เพราะไม่จำเป็นต่อการใช้งานเพื่อความปลอดภัยของบ้าน และเหล็กที่หนามากอาจลดความสวยงามและทำให้รู้สึกอึดอัดได้

2. สีเหล็กดัดหน้าต่าง

การเลือกสีนั้นมี 2 แบบคือ เลือกสีที่กลมกลืนกับผนังบ้านและเป็นสีเดียวกับวงกบหน้าต่าง ซึ่งจะทำให้สบายตา และเลือกสีที่ตัดกับผนังบ้านแต่ก็ควรเป็นสีเดียวกับวงกบหน้าต่าง ซึ่งจะทำให้รู้สึกโดดเด่น หากต้องการให้รู้สึกแปลกตาหรือดูพิเศษ ก็สามารถเลือกใช้สีสันสดใสได้ตามสไตล์บ้าน ส่วนสีที่ปลอดภัยในการใช้งานคือ สีดำ สีน้ำตาลเข้ม สีครีม และสีขาว โดยประเภทสีมีดังนี้

- สีอบ ซึ่งให้ความเงางามและความทนทานมากกว่าสีประเภทอื่น แต่ก็มาพร้อมกับราคาที่สูงกว่าเช่นกัน

- สีพ่นหรือสีทา ซึ่งร้านเหล็กดัดมักทำเอง ความทนทานน้อยกว่าสีประเภทแรก แต่ก็ราคาถูกกว่า

3. ลวดลายเหล็กดัดหน้าต่าง

การเลือกลวดลายนั้นขึ้นอยู่กับสไตล์บ้านที่เป็นความชอบส่วนบุคคล โดยมีทั้งบริการออกแบบลวดลายและเหล็กดัดหน้าต่างสำเร็จรูปให้เลือก อย่างไรก็ตาม หากต้องการให้บ้านดูสวยนาน ควรเลือกลวดลายที่คลาสสิก ไม่หวือหวา และเพื่อความสบายตา ก็ควรเลือกลวดลายที่กลมกลืนกับตัวบ้าน

จะเห็นได้ว่า การติดเหล็กดัดหน้าต่างนั้นมีประโยชน์ทั้งในด้านความปลอดภัยและความสวยงาม แต่หากเลือกเหล็กดัดหน้าต่างแบบติดตาย ตามกฎหมายแล้ว จะต้องมีหน้าต่างอย่างน้อย 1 บาน ขนาดไม่ต่ำกว่า 60x80 เซนติเมตร ที่ไม่ติดเหล็กดัดหรือติดเหล็กดัดแบบไม่ติดตายเพื่อเป็นช่องทางหนีไฟยามเกิดเหตุไฟไหม้ด้วย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
น้ำยาฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 หาได้ง่าย ๆ ในบ้านคุณ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ยาฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19-หาได้ง่าย-ในบ้านคุณ-24350?locale=th www.ddproperty.com:resources:24350 Fri, 03 Sep 2021 00:32:36 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2020/03/Clean-house-covid-19-150x150.jpg"/></p> น้ำยาฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 หาได้ง่าย ๆ ในบ้านคุณ สถานการณ์โควิด-19 (COVID-19) ในเวลานี้ เริ่มมีสัญญาณกลับมาสู่การระบาดอีกครั้ง เพื่อให้บ้านของเราปลอดภัยจากโควิด-19 ลองมาดูน้ำยาฆ่าเชื้อที่สามารถหาได้ในบ้าน และถ้าอยากให้บ้านสะอาดปลอดภัยเราสามารถซื้อมาทำเองที่บ้านได้หรือไม่ หรือใช้บริการทำความสะอาดดี ลองมาคำตอบกัน

Subscription Banner for Article

 

น้ำยาฆ่าเชื้อโรคคืออะไร

น้ำยาที่มีสารฆ่าเชื้อที่นำมาใช้นั้น เรียกว่า "Disinfectant" เป็นสารที่ใช้กำจัดเชื้อจุลินทรีย์ได้หลากหลายรูปแบบ แต่มีความรุนแรงต่อผิวหนังของสิ่งมีชีวิต จึงเหมาะสำหรับใช้กับพื้นผิวบนสิ่งของต่าง ๆ เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อ เป็นสารประกอบสำคัญที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่ใช้ในครัวเรือน นอกจากนั้นยังนิยมใช้ในสถานพยาบาลด้วย

ติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในไทยจากเว็บไซต์กรมควบคุมโรค

ทั้งนี้ สารฆ่าเชื้อสามารถแบ่งตามประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อได้เป็น 3 ระดับ คือ

1. สารฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูง (high level disinfectants)

เป็นกลุ่มที่มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อสูง สามารถฆ่าเชื้อได้ทุกชนิด ส่วนมากใช้ทำความสะอาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่สามารถนึ่งฆ่าเชื้อได้ เช่น formaldehyde, 30% hydrogen peroxide, chlorinated compounds

2. สารฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพปานกลาง (intermediate level disinfectants)

สารในกลุ่มนี้สามารถทำลายแบคทีเรียและไวรัสได้เกือบทุกชนิด นิยมใช้ในห้องปฏิบัติการและโรงพยาบาล เช่น sodium hypochlorite, ethyl alcohol, isopropyl alcohol

3. สารฆ่าเชื้อประสิทธิภาพต่ำ (low level disinfectants)

สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและเชื้อราได้บางชนิด เช่น 3% hydrogen peroxide

9 จุดในบ้านที่มักเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค

 

สารแบบใดจึงสามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

เห็นชื่อสารเคมีมากมายแล้วอาจจะงง แต่จริง ๆ แล้วสำหรับการเลือกใช้สารฆ่าเชื้อโรคในกรณีของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ทาง Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ของสหรัฐอเมริกา และองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้ใช้ ethyl alcohol (ethanol) ที่ความเข้มข้นอย่างน้อย 70% หรือ sodium hypochlorite เข้มข้น 0.5% ในการทำความสะอาดพื้นผิว ซึ่งอยู่ในกลุ่มของสารฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพแบบปานกลาง สามารถใช้ได้ทั้งในสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงสถานพยาบาลที่ต้องรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ

 

น้ำยาฆ่าเชื้อ หาได้ภายในบ้าน

 

ของในบ้านก็เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

สำหรับน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้ตามบ้านเรือนและสามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ มี 5 ชนิด ได้แก่ 1. Benzalkonium chloride 2. Chloroxylenol 3. Ethyl alcohol 4. Isopropyl alcohol และ 5. Sodium hypochlorite

โดยส่วนมากจะมีความเข้มข้นสูง ก่อนใช้งานต้องนำมาเจือจางด้วยน้ำ เพื่อให้มีความเข้มข้นในระดับที่สามารถฆ่าเชื้อได้ ซึ่งมีหลายยี่ห้อที่มีสารดังกล่าวและสามารถหาซื้อได้ง่ายในราคาหลักร้อย เช่น 

1. ไฮเตอร์ (Haiter®) และ คลอร็อกซ์ (Clorox®)

มีสารโซเดียมไฮโปคลอไรท์ที่ฆ่าเชื้อได้ ในรูปของ available Chlorine อยู่ 6% จึงควรเจือจางให้ได้ความเข้มข้นตามที่เหมาะสม เช่น อาจใช้ 1 ส่วนผสมกับน้ำ 11 ส่วน ก็จะได้ความเข้มข้นโดยประมาณ 0.5%

2. น้ำยาฆ่าเชื้อเดทตอล (Dettol®)

น้ำยาฆ่าเชื้อยี่ห้อ เดทตอล นั้น มีขาย 2 ชนิด คือ Dettol® Hygiene Multi-Use Disinfectant กับ Dettol® Antiseptic Disinfectant ซึ่งมีสารออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน

- Dettol® Hygiene Multi-Use Disinfectant มีสารออกฤทธิ์เป็น alkyl dimethyl benzoyl ammonium chloride เข้มข้น 2.4% ใช้ฆ่าเขื้อโรคได้ แต่ห้ามนำมาใช้กับผิวหนัง เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคือง

- Dettol® Antiseptic Disinfectant มีสารออกฤทธิ์เป็น chloroxylenol เข้มข้น 4.8% (ที่ขวดจะมีมงกุฎสีฟ้าบนฉลาก) ซึ่งใช้ได้กับผิวหนัง หากต้องการใช้ทำความสะอาดพื้นผิว ให้เจือจางในอัตราส่วนน้ำยา 1 ส่วน ผสมน้ำ 39 ส่วน แต่ถ้าใช้กับผิวหนัง ต้องเจือจางลงให้เหมาะสม เช่น ใช้ล้างบาดแผล ให้เจือจางน้ำยาในอัตราส่วน 1:20 หรือถ้าใช้เพื่อทำความสะอาดร่างกาย ให้เจือจาง 1:40 

หมายเหตุ: ขอขอบคุณข้อมูลจากอาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์" อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทำความสะอาดบ้านอย่างไรให้ห่างไกลโควิด-19

 

บริการจากผู้เชี่ยวชาญด้านการฆ่าเชื้อโรคจำเป็นหรือไม่

แม้ว่าน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้กันทั่วไปและสามารถหาซื้อมาใช้เพื่อทำความสะอาดบ้านเรือนของตนเองได้อย่างง่ายดาย เพราะมีขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายยาชั้นนำ แต่ในกรณีที่มีบ้านหลังใหญ่ พื้นที่ใช้สอยมาก หรือเป็นผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงเรียน มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม สถานบันเทิง ระบบขนส่งสาธารณะต่าง ๆ ที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่และมีผู้คนมาใช้จำนวนมาก

ในกรณีเหล่านี้อาจจำเป็นต้องใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญในการทำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรคโดยเฉพาะ ซึ่งต่างจากการทำความสะอาดด้วยตนเองตรงที่บริษัทเหล่านี้จะมีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่เหมาะสม รวมถึงอุปกรณ์สำหรับฉีดพ่นน้ำยาเพื่อฆ่าเชื้อโรคได้ทุกซอกมุมสำหรับมืออาชีพ โดยคิดค่าบริการตามขนาดพื้นที่ ซึ่งมีให้เลือกใช้บริการหลายบริษัทด้วยกัน เช่น

 

น้ำยาฆ่าเชื้อโรค ช่วยกำจัดเชื้อโควิด-19 ได้

 

ยกตัวอย่างบริษัทผู้ให้บริการทำความสะอาด

1. P&P Service Solution

บริษัททำความสะอาดที่ให้บริการทั้งบ้านพักอาศัย คอนโด อาคารสำนักงาน ด้วยน้ำยา Chemgene HLD4H ที่ได้รับการรับรองจากสถาบันในยุโรปและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีจุดเด่นคือ

- สามารถกำจัดเชื้อโรคได้หลายชนิด รวมถึงเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยเครื่องพ่นละอองฝอยละเอียด

- มีระยะการพ่นละอองเคมีได้ไกลถึง 10 เมตร

ราคา เริ่มต้นที่ 5,000 บาท

 

2. BPI-Bangkok Pacific International

บริการทำความสะอาดและพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ข้อดีคือ

- กำจัดได้ทั้งเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดนก (H5N1) ไข้หวัดใหญ่ มือเท้าปาก รวมถึงเชื้อไวรัสโควิด-19

- น้ำยาฆ่าเชื้อเหมาะแก่การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อวัสดุ 

- ไม่มีกลิ่นฉุน ไม่มีฤทธิ์กัดกร่อน ไม่ทำให้มีอาการระคายเคือง 

- ไม่มีสารกลุ่มอัลดีไฮด์ที่เป็นพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

ราคา ค่าบริการเริ่มต้นที่ 5,000 บาท/1,000 ลูกบาศก์เมตร 

 

3. Mypro Service

บริการพ่นฆ่าเชื้อ (Sanitizer Service) ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค อัลตราไซด์ (Ultraxide) ที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ส่งผลต่อสุขภาพกลุ่มคนและปศุสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อดีคือ

- Ultraxide เป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้กว้างขวางหลายชนิด สามารถควบคุมเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา 

- ไม่มีฤทธิ์กัดกร่อนหรือทำลายอุปกรณ์ต่างๆ

- ปลอดภัยต่อคนและสัตว์

ราคา ค่าบริการเริ่มต้นที่ 5,000 บาท 

 

4. Rentokil

จากบริษัทรับกำจัดแมลงที่ให้บริการมานานกว่า 36 ปี เร็นโทคิลได้พัฒนาวิธีควบคุมไวรัสและเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพ มีจุดเด่นคือ

- ใช้ Rentokil Microbial Aerial Sanitization (Rentokil M.A.S.) ซึ่งได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ถึง 65 สายพันธุ์ใน 19 สกุล แบคทีเรีย 400 สายพันธุ์ เชื้อรา 100 สายพันธุ์ 

- สามารถฆ่าเชื้อโรคและไวรัสในอากาศ เช่น ไข้หวัดนก (H5N1) ไข้หวัดใหญ่ (H1N1 ) และโรคมือเท้าปาก รวมถึงเชื้อไวรัสโควิด-19 

- ใช้เวลาปฏิบัติการเพียง 3 ชั่วโมง 

ราคา ค่าบริการเริ่มต้นที่ 12.5 บาท/ตารางเมตร

 

5. De Hygienique

บริษัททำความสะอาดบ้านและบริการน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ด้วยน้ำยาปลอดสารเคมี 100% มีจุดเด่นคือ

- น้ำยาที่ใช้ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ปลอดภัยต่อผู้อาศัยในบ้าน 

- เทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากศูนย์วิจัยเยอรมัน 

- สามารถกำจัดได้ทั้งแบคทีเรียและไวรัส เช่น เชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงเชื้อโรคที่มีขนาดเล็ก 0.1 ไมครอน 

ราคา ค่าบริการเริ่มต้นที่ 100 บาท/ตารางเมตร

 

ข้อดีของการใช้บริการจากบริษัทที่ให้บริการทำความสะอาดคือ มีอุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรคที่รัดกุม ที่สำคัญคือมีการพัฒนาสารฆ่าเชื้อโรคให้สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา รวมถึงเชื้อโรคระบาดอื่น ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก โรคมือเท้าปาก บางรายยังพัฒนาให้น้ำยาฆ่าเชื้อมีความปลอดภัยต่อมนุษย์ สัตว์เลี้ยง และสิ่งแวดล้อมด้วย

ทั้งนี้ การใช้สารฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 แตกต่างจากการพ่นยาเคมีเพื่อกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายที่เป็นสาเหตุของไข้เลือดออก ซึ่งสารบางตัวมีพิษต่อคนและสัตว์ จึงต้องใช้ความระมัดระวังสูงและต้องทำความสะอาดคราบสารเคมีที่ตกค้างตามพื้น จึงต่างจากการใช้สารฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19

ถึงแม้ว่าการทำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรคภายในบ้านเรือนหรือที่อยู่อาศัยจะสามารถซื้อสารฆ่าเชื้อโรคมาทำเองได้ที่บ้าน แต่ถ้าอยากได้ความสะอาดแบบขั้นสุด เพื่อป้องกันเชื้อโรคได้อย่างครอบคลุม และเป็นมิตรต่อผู้อาศัยและสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้บริการจากมืออาชีพก็เป็นคำตอบที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า

]]>
หาเลขห้องมงคลและเลขชั้นคอนโด 2 ขั้นตอน แบบไหนส่งผลดีต่อฮวงจุ้ย https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/ชั้นและเลขห้อง-คอนโด-ฮวงจุ้ย-9631?locale=th www.ddproperty.com:resources:9631 Thu, 02 Sep 2021 11:21:17 +07 <p><img src="https://cdn-cms.pgimgs.com/static/2018/08/43982056_xl-150x150.jpg"/></p> หาเลขห้องมงคลและเลขชั้นคอนโด 2 ขั้นตอน แบบไหนส่งผลดีต่อฮวงจุ้ย เลขห้องมงคลและเลขชั้นคอนโด เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หลายคนใช้ในการเลือกคอนโด นอกเหนือจากการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ในการอยู่อาศัย อาทิ ศักยภาพทำเล ความปลอดภัย ราคาและอื่น ๆ แล้ว การนำศาสตร์แห่งฮวงจุ้ยมาใช้ประกอบ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการอยู่อาศัยแล้ว เทคนิคและวิธีการต่าง ๆ ยังอาจช่วยให้สะดวกสบายมากขึ้น

สำหรับในครั้งนี้จะมากล่าวกันถึงหมายเลขชั้นและหมายเลขห้องมงคลของคอนโดที่ส่งผลดีต่อฮวงจุ้ย เลขไหนจะเป็นเลขห้องมงคลสำหรับวันเกิดของคุณ แนะนำโดยแม่หมอการะเกต์ เจ้าเก่าเจ้าเดิม

 

ฮวงจุ้ยบ้านที่ดี จัดห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว อย่างไร? อยู่แล้วโชคดี ร่ำรวย

Guide

ฮวงจุ้ยบ้านที่ดี จัดห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว อย่างไร? อยู่แล้วโชคดี ร่ำรวย

 

หลักการคิดเลขห้องมงคล

ปัจจุบันนี้คอนโดในไทยมีความสูงกันถึง 30-40 ชั้น และโดยทั่วไปยิ่งสูงก็ยิ่งวิวสวย ทำให้เป็นที่หมายปองของใครหลายคน แต่คุณล่ะอยู่ที่ชั้นที่เท่าไหร่? ก่อนที่จะไปเจาะหมายเลขของแต่ละคนแบ่งเป็นวันเกิด มาดูหลักการในการคิดเลขห้องมงคลเสียก่อน 

วิธีการคิดเลขห้องมงคล

1. จดชั้นคอนโด ที่คุณอยู่ไว้ในกระดาษ (ถ้าอยู่เกินชั้นที่ 9 ขึ้นไป ให้บวกเลขชั้นนั้น ๆ จนเหลือเพียงหลักเดียว) เช่น ชั้นที่ 11 = 2, ชั้นที่ 23 = 5

2. เมื่อได้เลขชั้นแล้ว ก็มาดู “เลขที่ห้องในคอนโด” ของคุณต่อ หากเลขห้องมีหลายหลัก มีทับ / ก็ให้บวกเข้าด้วยกันจนเหลือเพียงเลขหลักเดียว เช่น 74/69 = 7+4+6+9 = 26=8

สรุปก็คือ เราจะมีตัวเลข 2 ชุดด้วยกันดังนี้

A = เลขลำดับชั้นอาคาร

B = เลขห้องของคุณ

 

อ่านค่ารหัสเลขห้องมงคลจากวันเกิด

ทีนี้เรามาดูความหมายของเลขที่และชั้นคอนโด ในส่วนที่จะสัมพันธ์กับชีวิตของคุณกัน โดยในครั้งนี้ เราจะอ่านค่ารหัสจากวันเกิดของคุณ

1. เมื่อเกิดวันใด ให้อ่านในวันเกิดของคุณ

2. หารหัสชั้น, รหัสห้อง จนได้เพียงเลขตัวเดียว แล้วนำมาอ่านความหมายร่วมกันดังนี้ ตัวอย่าง อยู่ชั้นที่ 3
รหัสห้อง 4  เท่ากับ = 34 ดังนั้นผลรวมของรหัสทั้งสองจะเท่ากับ = 7

 

เลขห้องมงคลที่แนะนำ 

  • หมายเลข 3 ชั้นที่คุณอยู่ ส่งผลต่อเรื่องบารมี ตำแหน่งการงาน ภาวะผู้นำ (ดี)
  • หมายเลข 4 ห้องที่คุณอยู่ ส่งผลต่อสิริมงคลของชีวิต ความร่ำรวย ความสมบูรณ์พูนสุข (ดี)
  • ผลรวมของ 3+4 = เท่ากับ 7 หมายเลข 7 ส่งเสริมความมั่นคงของทรัพย์สิน มรดก หลักฐานฐานะ (ดี)

เลขห้องมงคลที่ได้ตามตัวอย่างข้างต้นนับว่าได้ ดี+ดี+ดี เป็นห้องที่เหมาะสมกับดวงชะตาของคุณเลยทีเดียว

แต่สำหรับห้องที่ได้รหัสกาลกิณี เข้ามาประกอบ จุดนั้นคือสิ่งที่ต้องระมัดระวัง ขอให้คุณใส่ใจในเรื่องต่าง ๆ ภายในห้องและภายในอาคารให้มาก หากมีข้อติดขัดใด ๆ อาจจะใช้เครื่องรางเข้าส่งเสริม หรือจัดวางทางฮวงจุ้ยเพิ่มเติมแก้เคล็ด

หมายเหตุ: วิธีนี้นำไปปรับใช้ดูกับอาคารพาณิชย์ได้ด้วย 

 

คำทำนายสำหรับคนเกิดแต่ละวันและเลขมงคลตามวันเกิด (หรือไม่มงคล)

 

คำทำนายสำหรับคนเกิดแต่ละวันและเลขห้องมงคลตามวันเกิด (หรือไม่มงคล)

1. เลขห้องมงคลสำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 1
ส่งผลต่อเรื่องลูกน้อง บริวาร สัตว์เลี้ยง เครือญาติ บุคคลที่แวดล้อมในชีวิต (ค่อนข้างดี แต่ถ้ามีรหัสกาลกิณีเข้ามาจะมีจุดเสียเพิ่มได้)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 2
ส่งผลต่อเรื่องสุขภาพ ดีกับพลานามัย จะอายุมั่นขวัญยืน (ดี)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 3
ส่งผลต่อเรื่องบารมี ตำแหน่งการงาน ภาวะผู้นำ (ดี)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 4
ส่งผลต่อสิริมงคลของชีวิต ความร่ำรวย ความสมบูรณ์พูนสุข (ดี)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 5
ส่งผลต่อพละกำลัง ความขยันขันแข็ง การต่อสู้ฝ่าฟัน (ดีปานกลาง)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 6
ส่งผลต่อเรื่องสิ่งชั่วร้าย อุปสรรค ปัญหาในชีวิต (รหัสกาลกิณี ควรระวัง)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 7
ชั้นนี้ส่งเสริมความมั่นคงของทรัพย์สิน มรดก หลักฐานฐานะ (ดี)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 8
ส่งผลต่อเรื่องการอุปถัมภ์ค้ำจุน ผู้ใหญ่ หัวหน้าเจ้านาย (ดี)

 

2. เลขห้องมงคลสำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 1
ส่งผลต่อเรื่องสิ่งชั่วร้าย อุปสรรค ปัญหาในชีวิต (รหัสกาลกิณี ควรระวัง)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 2
ส่งผลต่อเรื่องลูกน้อง บริวาร สัตว์เลี้ยง เครือญาติ บุคคลที่แวดล้อมในชีวิต (ค่อนข้างดี แต่ถ้ามีรหัสกาลกิณีเข้ามาจะมีจุดเสียเพิ่มได้)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 3
ส่งผลต่อเรื่องสุขภาพ ดีกับพลานามัย จะอายุมั่นขวัญยืน (ดี)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 4
ส่งผลต่อเรื่องบารมี ตำแหน่งการงาน ภาวะผู้นำ (ดี)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 5
ชั้นนี้ส่งเสริมความมั่นคงของทรัพย์สิน มรดก หลักฐานฐานะ (ดี)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 6
ส่งผลต่อเรื่องการอุปถัมภ์ค้ำจุน ผู้ใหญ่ หัวหน้าเจ้านาย (ดี)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 7
ส่งผลต่อสิริมงคลของชีวิต ความร่ำรวย ความสมบูรณ์พูนสุข (ดี)

อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 8
ส่งผลต่อพละกำลัง ความขยันขันแข็ง การต่อสู้ฝ่าฟัน (ดีปานกลาง)

 

เลขห้องมงคลตามวันเกิดมงคล ส่งผลต่อการอยู่อาศัยในคอนโด

 

3. เลขห้องมงคลสำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 1
ส่งผลต่อเรื่องการอุปถัมภ์ค้ำจุน ผู้ใหญ่ หัวหน้าเจ้านาย

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 2
ส่งผลต่อเรื่องสิ่งชั่วร้าย อุปสรรค ปัญหาในชีวิต (รหัสกาลกิณี ควรระวัง)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 3
ส่งผลต่อเรื่องลูกน้อง บริวาร สัตว์เลี้ยง เครือญาติ บุคคลที่แวดล้อมในชีวิต (ค่อนข้างดี แต่ถ้ามีรหัสกาลกิณีเข้ามาจะมีจุดเสียเพิ่มได้)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 4
ส่งผลต่อเรื่องสุขภาพ ดีกับพลานามัย จะอายุมั่นขวัญยืน (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 5
ส่งผลต่อสิริมงคลของชีวิต ความร่ำรวย ความสมบูรณ์พูนสุข (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 6
ส่งผลต่อพละกำลัง ความขยันขันแข็ง การต่อสู้ฝ่าฟัน (ดีปานกลาง)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 7
ส่งผลต่อเรื่องบารมี ตำแหน่งการงาน ภาวะผู้นำ (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 8
ชั้นนี้ส่งเสริมความมั่นคงของทรัพย์สิน มรดก หลักฐานฐานะ (ดี)

 

4. เลขห้องมงคลสำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางวัน

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 1
ส่งผลต่อพละกำลัง ความขยันขันแข็ง การต่อสู้ฝ่าฟัน (ดีปานกลาง)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 2
ส่งผลต่อเรื่องการอุปถัมภ์ค้ำจุน ผู้ใหญ่ หัวหน้าเจ้านาย

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 3
ส่งผลต่อเรื่องสิ่งชั่วร้าย อุปสรรค ปัญหาในชีวิต (รหัสกาลกิณี ควรระวัง)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 4
ส่งผลต่อเรื่องลูกน้อง บริวาร สัตว์เลี้ยง เครือญาติ บุคคลที่แวดล้อมในชีวิต (ค่อนข้างดี แต่ถ้ามีรหัสกาลกิณีเข้ามาจะมีจุดเสียเพิ่มได้)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 5
ส่งผลต่อเรื่องบารมี ตำแหน่งการงาน ภาวะผู้นำ (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 6
ชั้นนี้ส่งเสริมความมั่นคงของทรัพย์สิน มรดก หลักฐานฐานะ (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 7
ส่งผลต่อเรื่องสุขภาพ ดีกับพลานามัย จะอายุมั่นขวัญยืน (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 8
ส่งผลต่อสิริมงคลของชีวิต ความร่ำรวย ความสมบูรณ์พูนสุข (ดี)

 

5. เลขห้องมงคลสำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืน (วันราหู)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 1
ส่งผลต่อเรื่องบารมี ตำแหน่งการงาน ภาวะผู้นำ (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 2
ส่งผลต่อสิริมงคลของชีวิต ความร่ำรวย ความสมบูรณ์พูนสุข (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 3
ชั้นนี้ส่งเสริมความมั่นคงของทรัพย์สิน มรดก หลักฐานฐานะ (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 4
ส่งผลต่อพละกำลัง ความขยันขันแข็ง การต่อสู้ฝ่าฟัน (ดีปานกลาง)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 5
ส่งผลต่อเรื่องสิ่งชั่วร้าย อุปสรรค ปัญหาในชีวิต (รหัสกาลกิณี ควรระวัง)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 6
ส่งผลต่อเรื่องสุขภาพ ดีกับพลานามัย จะอายุมั่นขวัญยืน (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 8
ส่งผลต่อเรื่องลูกน้อง บริวาร สัตว์เลี้ยง เครือญาติ บุคคลที่แวดล้อมในชีวิต (ค่อนข้างดี แต่ถ้ามีรหัสกาลกิณีเข้ามาจะมีจุดเสียเพิ่มได้)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 7
ส่งผลต่อเรื่องการอุปถัมภ์ค้ำจุน ผู้ใหญ่ หัวหน้าเจ้านาย

 

เลขห้องมงคลตามวันเกิด อีกหนึ่งฮวงจุ้ยคอนโด

 

5. เลขห้องมงคลสำหรับผู้ที่เกิดวันพฤหัส

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 1
ส่งผลต่อสิริมงคลของชีวิต ความร่ำรวย ความสมบูรณ์พูนสุข (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 2
ชั้นนี้ส่งเสริมความมั่นคงของทรัพย์สิน มรดก หลักฐานฐานะ (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 3
ส่งผลต่อพละกำลัง ความขยันขันแข็ง การต่อสู้ฝ่าฟัน (ดีปานกลาง)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 4
ส่งผลต่อเรื่องการอุปถัมภ์ค้ำจุน ผู้ใหญ่ หัวหน้าเจ้านาย (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 5
ส่งผลต่อเรื่องลูกน้อง บริวาร สัตว์เลี้ยง เครือญาติ บุคคลที่แวดล้อมในชีวิต (ค่อนข้างดี แต่ถ้ามีรหัสกาลกิณีเข้ามาจะมีจุดเสียเพิ่มได้)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 6
ส่งผลต่อเรื่องบารมี ตำแหน่งการงาน ภาวะผู้นำ (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 7
ส่งผลต่อเรื่องสิ่งชั่วร้าย อุปสรรค ปัญหาในชีวิต (รหัสกาลกิณี ควรระวัง)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 8
ส่งผลต่อเรื่องสุขภาพ ดีกับพลานามัย จะอายุมั่นขวัญยืน (ดี)

 

6. เลขห้องมงคลสำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 1
ส่งผลต่อเรื่องสุขภาพ ดีกับพลานามัย จะอายุมั่นขวัญยืน (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 2
ส่งผลต่อเรื่องบารมี ตำแหน่งการงาน ภาวะผู้นำ (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 3
ส่งผลต่อสิริมงคลของชีวิต ความร่ำรวย ความสมบูรณ์พูนสุข (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 4
ชั้นนี้ส่งเสริมความมั่นคงของทรัพย์สิน มรดก หลักฐานฐานะ (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 5
ส่งผลต่อเรื่องการอุปถัมภ์ค้ำจุน ผู้ใหญ่ หัวหน้าเจ้านาย

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 6
ส่งผลต่อเรื่องลูกน้อง บริวาร สัตว์เลี้ยง เครือญาติ บุคคลที่แวดล้อมในชีวิต (ค่อนข้างดี แต่ถ้ามีรหัสกาลกิณีเข้ามาจะมีจุดเสียเพิ่มได้)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 7
ส่งผลต่อพละกำลัง ความขยันขันแข็ง การต่อสู้ฝ่าฟัน (ดีปานกลาง)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 8
ส่งผลต่อเรื่องสิ่งชั่วร้าย อุปสรรค ปัญหาในชีวิต (รหัสกาลกิณี ควรระวัง)

 

7. เลขห้องมงคลสำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 1
ชั้นนี้ส่งเสริมความมั่นคงของทรัพย์สิน มรดก หลักฐานฐานะ (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 2
ส่งผลต่อพละกำลัง ความขยันขันแข็ง การต่อสู้ฝ่าฟัน (ดีปานกลาง)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 3
ส่งผลต่อเรื่องการอุปถัมภ์ค้ำจุน ผู้ใหญ่ หัวหน้าเจ้านาย

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 4
ส่งผลต่อเรื่องสิ่งชั่วร้าย อุปสรรค ปัญหาในชีวิต (รหัสกาลกิณี ควรระวัง)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 5
ส่งผลต่อเรื่องสุขภาพ ดีกับพลานามัย จะอายุมั่นขวัญยืน (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 6
ส่งผลต่อสิริมงคลของชีวิต ความร่ำรวย ความสมบูรณ์พูนสุข (ดี) (ดี)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 7
ส่งผลต่อเรื่องลูกน้อง บริวาร สัตว์เลี้ยง เครือญาติ บุคคลที่แวดล้อมในชีวิต (ค่อนข้างดี แต่ถ้ามีรหัสกาลกิณีเข้ามาจะมีจุดเสียเพิ่มได้)

- อยู่ในลำดับชั้นอาคาร หรือได้เลขรหัสห้อง หมายเลข 8
ส่งผลต่อเรื่องบารมี ตำแหน่งการงาน ภาวะผู้นำ (ดี)

 

หมายเหตุ: อยู่ในลำดับชั้นอาคารหรือได้เลขรหัสห้องเป็น หมายเลข 9 หากเป็นชาย ให้อ่านความหมายที่ชั้น 3 แทน, หากเป็นหญิงให้อ่านความหมายที่ชั้น 6 แทน

 

สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า 

]]>